ในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์ ผมขออนุญาตแนะนำตัวให้ทุกท่านได้รู้จัก จะได้รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้นนะครับ
ผมชื่อ นำบุญ นามเป็นบุญ เคยมีอาชีพเป็นนักเขียนนิทานในนิตยสารขวัญเรือนราว 17 ปี ภาพที่เห็นนี้ เป็นภาพที่ถ่ายในปี 2562 ตอนไปบรรยายที่ “บ้านเรียนสานฝัน” จังหวัดขอนแก่น เกี่ยวกับเรื่อง “การใช้หนังสือภาพเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก”
หลายคนอาจสงสัยว่า ผมมาเป็น “นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” ได้อย่างไร ผมสารภาพตามตรงว่า ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันครับ! เพราะถ้าย้อนไปดูเรื่องประวัติการศึกษา ผมเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก ๆ คือ สมัยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนลาซาล บางนา ก็เป็นนักเรียนที่สอบได้ที่ 1-5 เกือบทุกปี พอเข้ามัธยม ผมสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมสาธิตประสานมิตรได้ (ซึ่งในสมัยนั้น อัตราส่วนของการสอบคือ 1 ต่อ 80 เรียกว่าเป็นการสอบเข้ามัธยมต้นที่คัดแต่เด็กเก่ง ๆ ระดับประเทศเข้าไปทั้งนั้น) พอเรียนถึงมัธยม 2 ผมก็สอบเทียบได้วุฒิมัธยม 3 จากนั้น นำวุฒิมัธยม 3 จากการสอบเทียบ ไปสอบเทียบมัธยม 6 ต่อ (แต่สอบผ่านครบจบมัธยม 6 ตอนอยู่มัธยม 4)
ช่วงที่เรียนมัธยม 3 ที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตร คุณครูบางท่านแนะนำผมว่า “นำบุญควรไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมนะ” ตอนนั้น ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่ด้วยมาดที่ตัดผมเกรียน ใส่แว่นตา กางเกงขาสั้นยาวถึงเข่า และชอบเข้าห้องสมุด (ไปตากแอร์กับไปแอบอ่านนิตยสารคู่สร้างคู่สม) คุณครูและคนทั่วไปจึงมักเข้าใจว่าผมเข้าไป “ซุ่ม” อ่านหนังสือสอบ
ก่อนจบมัธยม 3 ผมสอบได้ทุน พสวท. (โครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์) เป็นอันดับที่ 3 ของศูนย์บดินทรเดชา แต่วันสอบตรงกับการสอบของโรงเรียนเตรียมอุดม เลยต้องสละสิทธิ์ แล้วไปเสี่ยงสอบที่เตรียมอุดม ซึ่งผลการสอบคือ ผมฟลุ้คสอบติด (ติดห้องรองแจ๊คซะด้วย รุ่นผมมีห้องคิง 2 ห้อง ควีน 2 ห้อง แจ็ค 2 ห้อง)
ในการเรียนที่เตรียมอุดม เพื่อน ๆ น่ารักและมีน้ำใจมาก ผมเป็นเด็กชานเมือง การเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดม ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก เพราะบ้านไกล ผมเรียนอยู่ในระดับปานกลาง (เกรดอยู่ที่ 3 กว่า ๆ) ไม่เก่งวิชาพวกฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ (เพราะไม่เข้าใจว่าจะคำนวณเข้าสูตรไปทำไม มันนึกภาพเชื่อมโยงกับชีวิตจริงไม่ออก) ส่วนวิชาเคมี ชีววิทยา และวิชาอื่น ๆ ถือว่าเรียนได้ดี เป้าหมายในการสอบเข้่ามหาวิทยาลัยของผมอยู่ที่คณะสถาปัตย์และทันตะ ส่วนสาขาด้านแพทย์ ผมไม่เลือก เพราะกลัวเลือดกับอวัยวะภายใน ส่วนสาขาที่เพื่อนห้องเดียวกันเลือกและติดเกือบหมด คือวิศวะ เป็นสาขาที่ผมไม่รู้จักว่าเรียนอะไร เลยไม่ได้สนใจเลย แต่เพราะผมมีวุฒิสอบเทียบ เลยนำวุฒิไปสอบเล่น ๆ ตอนอยู่ม.5 โดยเลือกคณะตามความสนใจ (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักคณะเหล่านั้นมากนัก) ตอนนั้น ผมเลือกสาขาออกแบบนิเทศศิลป์เป็นอันดับแรก เพราะสนใจงานโฆษณา ตามมาด้วยนิเทศศาสตร์และสถาปัตย์ แต่มาติดอันดับที่ 4 คือ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนที่ธรรมศาสตร์ ตอนนั้น ผมคิดว่าคงมีวิชาทำหนังสือการ์ตูน ผมเลยตัดสินใจเรียนที่วารสาร โดยไม่เรียนมัธยม 6 ต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดม และนั่นก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนจากเด็กสายวิทย์ มาเป็นสายสังคมศาสตร์แบบไม่คาดคิด
ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย นอกจากการเรียนวิชาในคณะ ผมก็สนุกกับการเรียนวิชานอกคณะ การทำกิจกรรม และการหาประสบการณ์นอกมหาวิทยาลัย ตอนนั้น ได้ไปเล่นเกมโชว์เยอะมาก (ความตั้งใจคืออยากไปดูการถ่ายทำเพื่อให้ตัวเองมีประสบการณ์) ต่อมาได้ทำงานพิธีกรนอกสถานที่ในรายการโทรทัศน์เล็ก ๆ รายการหนึ่ง จนก่อนจบการศึกษา ผมได้รางวัลจากการประกวดรูปแบบรายการโทรทัศน์ระดับประเทศ (แต่ผมเรียนสาขาภาพยนตร์ และเรียนสาขาโฆษณาควบคู่ไปด้วยกันนะครับ ไม่ได้เรียนเอกโทรทัศน์) ผมจบมาด้วยคะแนนที่ดีมาก ๆ คือ 3.4 มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านชวนไปทำงานด้วย ทั้งงานวิชาการและงานในบริษัทโฆษณา แต่ตอนนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองรักงานด้านภาพยนตร์ จึงปฏิเสธโอกาสทั้งหมดที่ผู้ใหญ่เสนอให้
พอออกมาจากมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมพบในวงการภาพยนตร์คือ เป็นวงการที่เลี้ยงตัวเองได้ยาก (เงินเดือนยุคนั้นอยู่ที่ประมาณ 7000 บาท และหนังยุคนั้นเป็นหนังตลกเอาใจตลาด ซึ่งผมไม่สนใจนัก)
สุดท้าย ผมจับพลัดจับผลู ได้ไปเป็นพิธีกรในชุด Mascot ในรายการเด็กทางโทรทัศน์ ซึ่งประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมพบว่า ตัวเองรักเด็กและรักการทำงานเพื่อให้เด็กมีความสุข ผมจึงตัดสินใจว่า “เราจะทำงานเด็ก”
หลังจากนั้น ชีวิตของผมก็เริ่มเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น ผมตัดสินใจรับทุนไปเรียนรู้วิชาศิลปะการแสดงหุ่นที่คณะละครหุ่นแห่งชาติประเทศสวีเดน 1 ปี

พอกลับมา ก็ได้ทำงานสอนวิทยาศาสตร์ให้เด็กประถมด้วยหลักสูตรของแคนาดา ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน ทางนิตยสารขวัญเรือน ต้องการหานักเขียนนิทานคนใหม่ ถ้าจำไม่ผิด พี่ดาว รักษิตา นักเขียนนิทานและเรื่องราวที่อ่อนหวานแนะนำให้น้องนุช นุชลดา ซึ่งเป็นกองบรรณาธิการทาบทามให้ผมลองเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน และนั่นก็ทำให้ผมได้กลายเป็นนักเขียนนิทานเด็กติดต่อมาอีก 17 ปี
ผมเขียนเล่าประวัติมายาวมาก แต่หวังว่าเรื่องราวที่เล่าจะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นนะครับ ถ้าอยากรู้จักผมมากกว่านี้ ลองคลิกไปที่ Menu เพื่ออ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้นะครับ อ้อ..ในเรื่องของการศึกษา ผมกลับมาเรียนปริญญาโท 2 ครั้ง ตอนที่อายุ 40 กว่า (เรียนตอนแก่) คือเรียนการศึกษาปฐมวัยที่ม.เกษตร (ผมเรียนไม่จบ แต่ได้ความรู้มากมายจริงๆ เพราะตั้งใจเรียนและค้นคว้าเพิ่มเติมเยอะมาก) และเรียนปริญญาโทด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัล ที่มหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่งหนึ่ง (และนั่นก็ทำให้เกิดเว็บไซต์เว็บนี้ครับ)
การเขียนเรื่องตัวเองเป็นเรื่องที่ทำให้เขินนิดหน่อย แต่มันเขียนง่าย เพราะเป็นเรื่องจริงของเราเอง
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
#นำบุญ_นามเป็นบุญ