ประวัติและรางวัล

ในฐานะผู้ดูแลเว็บไซต์  ผมขออนุญาตแนะนำตัวให้ทุกท่านได้รู้จัก จะได้รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้นนะครับ

ผมชื่อ นำบุญ นามเป็นบุญ  เคยมีอาชีพเป็นนักเขียนนิทานในนิตยสารขวัญเรือนราว 17 ปี  ภาพที่เห็นนี้ เป็นภาพที่ถ่ายในปี 2562  ตอนไปบรรยายที่ “บ้านเรียนสานฝัน” จังหวัดขอนแก่น เกี่ยวกับเรื่อง “การใช้หนังสือภาพเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก”

71305702_10211386925467190_2956428695113302016_n

หลายคนอาจสงสัยว่า ผมมาเป็น “นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” ได้อย่างไร   ผมสารภาพตามตรงว่า ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันครับ!  เพราะถ้าย้อนไปดูเรื่องประวัติการศึกษา  ผมเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก ๆ  คือ สมัยเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนลาซาล บางนา ก็เป็นนักเรียนที่สอบได้ที่ 1-5 เกือบทุกปี  พอเข้ามัธยม ผมสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมสาธิตประสานมิตรได้  (ซึ่งในสมัยนั้น อัตราส่วนของการสอบคือ 1 ต่อ 80 เรียกว่าเป็นการสอบเข้ามัธยมต้นที่คัดแต่เด็กเก่ง ๆ ระดับประเทศเข้าไปทั้งนั้น)   พอเรียนถึงมัธยม 2 ผมก็สอบเทียบได้วุฒิมัธยม 3 จากนั้น นำวุฒิมัธยม 3 จากการสอบเทียบ ไปสอบเทียบมัธยม 6 ต่อ (แต่สอบผ่านครบจบมัธยม 6 ตอนอยู่มัธยม 4)

ช่วงที่เรียนมัธยม 3 ที่โรงเรียนสาธิตประสานมิตร  คุณครูบางท่านแนะนำผมว่า “นำบุญควรไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมนะ”  ตอนนั้น ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง  แต่ด้วยมาดที่ตัดผมเกรียน ใส่แว่นตา กางเกงขาสั้นยาวถึงเข่า และชอบเข้าห้องสมุด (ไปตากแอร์กับไปแอบอ่านนิตยสารคู่สร้างคู่สม)  คุณครูและคนทั่วไปจึงมักเข้าใจว่าผมเข้าไป “ซุ่ม” อ่านหนังสือสอบ

ก่อนจบมัธยม 3 ผมสอบได้ทุน พสวท. (โครงการพัฒนาวิทยาศาสตร์) เป็นอันดับที่ 3 ของศูนย์บดินทรเดชา แต่วันสอบตรงกับการสอบของโรงเรียนเตรียมอุดม เลยต้องสละสิทธิ์ แล้วไปเสี่ยงสอบที่เตรียมอุดม  ซึ่งผลการสอบคือ ผมฟลุ้คสอบติด  (ติดห้องรองแจ๊คซะด้วย รุ่นผมมีห้องคิง 2 ห้อง ควีน 2 ห้อง แจ็ค 2 ห้อง)

ในการเรียนที่เตรียมอุดม เพื่อน ๆ น่ารักและมีน้ำใจมาก  ผมเป็นเด็กชานเมือง การเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดม ถือว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก เพราะบ้านไกล  ผมเรียนอยู่ในระดับปานกลาง (เกรดอยู่ที่ 3 กว่า ๆ)  ไม่เก่งวิชาพวกฟิสิกส์และคณิตศาสตร์  (เพราะไม่เข้าใจว่าจะคำนวณเข้าสูตรไปทำไม มันนึกภาพเชื่อมโยงกับชีวิตจริงไม่ออก) ส่วนวิชาเคมี ชีววิทยา และวิชาอื่น ๆ ถือว่าเรียนได้ดี  เป้าหมายในการสอบเข้่ามหาวิทยาลัยของผมอยู่ที่คณะสถาปัตย์และทันตะ   ส่วนสาขาด้านแพทย์ ผมไม่เลือก เพราะกลัวเลือดกับอวัยวะภายใน  ส่วนสาขาที่เพื่อนห้องเดียวกันเลือกและติดเกือบหมด คือวิศวะ เป็นสาขาที่ผมไม่รู้จักว่าเรียนอะไร  เลยไม่ได้สนใจเลย  แต่เพราะผมมีวุฒิสอบเทียบ  เลยนำวุฒิไปสอบเล่น ๆ ตอนอยู่ม.5 โดยเลือกคณะตามความสนใจ  (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักคณะเหล่านั้นมากนัก)  ตอนนั้น ผมเลือกสาขาออกแบบนิเทศศิลป์เป็นอันดับแรก เพราะสนใจงานโฆษณา ตามมาด้วยนิเทศศาสตร์และสถาปัตย์  แต่มาติดอันดับที่ 4 คือ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนที่ธรรมศาสตร์  ตอนนั้น ผมคิดว่าคงมีวิชาทำหนังสือการ์ตูน  ผมเลยตัดสินใจเรียนที่วารสาร โดยไม่เรียนมัธยม 6 ต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดม  และนั่นก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนจากเด็กสายวิทย์ มาเป็นสายสังคมศาสตร์แบบไม่คาดคิด

ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย  นอกจากการเรียนวิชาในคณะ  ผมก็สนุกกับการเรียนวิชานอกคณะ การทำกิจกรรม และการหาประสบการณ์นอกมหาวิทยาลัย  ตอนนั้น ได้ไปเล่นเกมโชว์เยอะมาก  (ความตั้งใจคืออยากไปดูการถ่ายทำเพื่อให้ตัวเองมีประสบการณ์)  ต่อมาได้ทำงานพิธีกรนอกสถานที่ในรายการโทรทัศน์เล็ก ๆ รายการหนึ่ง  จนก่อนจบการศึกษา ผมได้รางวัลจากการประกวดรูปแบบรายการโทรทัศน์ระดับประเทศ (แต่ผมเรียนสาขาภาพยนตร์ และเรียนสาขาโฆษณาควบคู่ไปด้วยกันนะครับ ไม่ได้เรียนเอกโทรทัศน์)  ผมจบมาด้วยคะแนนที่ดีมาก ๆ คือ 3.4   มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านชวนไปทำงานด้วย ทั้งงานวิชาการและงานในบริษัทโฆษณา แต่ตอนนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองรักงานด้านภาพยนตร์ จึงปฏิเสธโอกาสทั้งหมดที่ผู้ใหญ่เสนอให้

พอออกมาจากมหาวิทยาลัย  สิ่งที่ผมพบในวงการภาพยนตร์คือ เป็นวงการที่เลี้ยงตัวเองได้ยาก  (เงินเดือนยุคนั้นอยู่ที่ประมาณ 7000 บาท และหนังยุคนั้นเป็นหนังตลกเอาใจตลาด ซึ่งผมไม่สนใจนัก)

สุดท้าย  ผมจับพลัดจับผลู ได้ไปเป็นพิธีกรในชุด Mascot ในรายการเด็กทางโทรทัศน์   ซึ่งประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมพบว่า ตัวเองรักเด็กและรักการทำงานเพื่อให้เด็กมีความสุข   ผมจึงตัดสินใจว่า “เราจะทำงานเด็ก”

nambun

หลังจากนั้น ชีวิตของผมก็เริ่มเห็นเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น  ผมตัดสินใจรับทุนไปเรียนรู้วิชาศิลปะการแสดงหุ่นที่คณะละครหุ่นแห่งชาติประเทศสวีเดน 1 ปี

35
นักเรียนที่คณะละครหุ่นแห่งชาติสวีเดน

พอกลับมา ก็ได้ทำงานสอนวิทยาศาสตร์ให้เด็กประถมด้วยหลักสูตรของแคนาดา  ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน  ทางนิตยสารขวัญเรือน ต้องการหานักเขียนนิทานคนใหม่  ถ้าจำไม่ผิด  พี่ดาว รักษิตา นักเขียนนิทานและเรื่องราวที่อ่อนหวานแนะนำให้น้องนุช นุชลดา ซึ่งเป็นกองบรรณาธิการทาบทามให้ผมลองเขียนนิทานให้นิตยสารขวัญเรือน  และนั่นก็ทำให้ผมได้กลายเป็นนักเขียนนิทานเด็กติดต่อมาอีก 17 ปี

71528645_10211386830384813_3827918696668463104_n

ผมเขียนเล่าประวัติมายาวมาก  แต่หวังว่าเรื่องราวที่เล่าจะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นนะครับ   ถ้าอยากรู้จักผมมากกว่านี้ ลองคลิกไปที่ Menu เพื่ออ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้นะครับ  อ้อ..ในเรื่องของการศึกษา ผมกลับมาเรียนปริญญาโท 2 ครั้ง ตอนที่อายุ 40 กว่า  (เรียนตอนแก่)  คือเรียนการศึกษาปฐมวัยที่ม.เกษตร (ผมเรียนไม่จบ แต่ได้ความรู้มากมายจริงๆ  เพราะตั้งใจเรียนและค้นคว้าเพิ่มเติมเยอะมาก) และเรียนปริญญาโทด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัล ที่มหาวิทยาลัยเอกชนอีกแห่งหนึ่ง  (และนั่นก็ทำให้เกิดเว็บไซต์เว็บนี้ครับ)

การเขียนเรื่องตัวเองเป็นเรื่องที่ทำให้เขินนิดหน่อย แต่มันเขียนง่าย เพราะเป็นเรื่องจริงของเราเอง

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

#นำบุญ_นามเป็นบุญ