นิทานเรื่องจริง เป็นการนำเรื่องราวที่ผู้เขียนพบเจอในชีวิตของตนเอง มาเขียนเล่าเป็นเรื่องราวให้ทุกคนได้อ่าน นิทานเหมาะกับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กเล็ก หวังว่า นิทานเรื่องจริงแต่ละเรื่อง จะให้แง่คิดและเป็นบทเรียนชีวิตที่มีประโยชน์นะครับ
โทรศัพท์หาแม่
นานมาแล้ว ในช่วงที่พี่ ๆ ของผมไปเรียนเมืองนอกกันหมด ช่วงนั้น แม่ป่วยมาก ปากเป็นแผลเหมือนร้อนในทั้งปาก ทั้งลิ้น ทายาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เวลากินข้าวก็กินลำบาก บางทีต้องปั่นกิน
มีคืนนึง แม่คงเจ็บแผลมาก แต่อาจมีเรื่องเจ็บช้ำน้ำใจอื่น ๆ ด้วย แม่เขียนจดหมายระบายความทุกข์ราว 2 หน้ากระดาษ ผมมองแม่ด้วยความรู้สึก …. เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกทุกข์ไปด้วย เพราะตอนนั้น ไม่เข้าใจหรอกว่า….ความทุกข์จริง ๆ มันโหดร้ายขนาดไหน
ในเวลาต่อมา แม่ไปหาหมอประจำที่คลีนิก คุณหมอเห็นลิ้นแม่แล้วก็….มีสีหน้าแปลก ๆ ปากบอกว่าไม่เป็นไรมาก แต่ต่อมาเมื่อผมได้พบหมอหลาย ๆ คนมากขึ้น ผมจึงได้รู้ว่า….เรื่องบางเรื่อง หมอก็พูดความจริงไม่ได้ “ในการสื่อสาร ให้เชื่อภาษากายมากกว่า ภาษาพูด จำให้ดี”
ต่อมา อาการป่วยที่ชัดเจนขึ้นของแม่ก็ปรากฏ แม่เป็นมะเร็งที่ลูกมด เอ้ย มดลูก ผมต้องพยุงแม่ไปฉายแสงที่โรงพยาบาลจุฬา และ ณ ที่นั้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นภาพ “ชีวิตจริง” ที่น่ากลัว
การมองคนป่วยที่รอการฉายแสงด้วยแววตาสีเทา ๆ หม่น ๆ คนที่เดินแบบซังกะตาย ไร้ความหวัง บรรยากาศที่ซึมเซื่องหดหู่ บรรยากาศเหล่านี้ ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา ก็คงรู้สึกไม่ได้ และแม้จะเห็นด้วยตา แต่ไม่ได้เป็นคนป่วยเอง ก็คงไม่รู้จริง ๆ ว่า…สิ่งที่เผชิญอยู่นี้ มันน่ากลัวขนาดไหน
หลังจากฉายแสดงไม่กี่ครั้ง อาการของแม่ก็แย่ลง แม่ท้องบวมใหญ่เหมือนคนท้อง เราต้องให้คุณหมอเจาะท้องเพื่อให้มันยุบตัว ไม่นาน การรักษาเปลี่ยนจากฉายแสงเป็นไอติมคีโม แม่ผมร่วง จิตตก พี่ ๆ เริ่มบินกลับมา ห้องคนป่วยมีแต่ลูก ๆ นอนกันเกลื่อน
ต่อมา เมื่อแม่เริ่มรู้ตัวแน่ ๆ ว่าคงไม่หาย เพราะมะเร็งมันใหญ่ขึ้นจนขับถ่ายไม่ได้เลย แม่ต้องใช้สติตั้งรับกับเหล่ามิจฉาชีพที่เข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พระปลอม หมอยาจีน ที่พยายามแสดงกลหาทางหลอกเงินเป็นค่ารักษาด้วยวิธีพิเศษ บางกรณีก็ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ให้พี่สาวผมไปเป็นคนเอายา แต่โชคดีที่แม่มีสติ จึงให้น้า ๆ ตามไปด้วย พี่สาวเลยรอดปลอดภัยมาได้ มนุษย์เป็นสัตว์ที่โหดร้ายจริง ๆ แต่ตอนนั้น..ผมยังไม่เชื่อ
คืนสุดท้าย 2 สิงหา ความดันแม่ตก หมอต้องมาคุยกับญาติ ว่าจะเอาไงกันดี ให้ทรมานจนตาย หรือ ให้ยากดประสาทและมอร์ฟีนจนหลับไป การตัดสินใจเรื่องชีวิตของคนที่เรารักเป็นเรื่องหนัก เราใช้วิธีประชาธิปไตย คือการโหวต ซึ่งผมไม่เห็นด้วยนัก สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่เลือกการให้แม่ไปสบาย
ตอนเช้าตรู่ อาม่ากับอากุ๊ง (พ่อกับแม่ของแม่) ได้มาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดเวลาหลายเดือนที่แม่ป่วย อาม่าไม่เคยรู้ว่าแม่ป่วย เพราะเค้าสองคน…มีกันสองคน..แม่ลูกจริง ๆ การให้อาม่ามา
หรือการที่แม่ต้องตายโดยทิ้งอาม่าไว้ เป็นเรื่องใหญ่ของแม่
ผมเคยถามแม่ตอนที่แม่รู้ว่าตัวเองคงไม่รอดว่า “แม่อยากได้อะไร” แม่บอกว่า “อยากให้พี่น้อง 5 คน…รักกัน และเมื่อแม่ไม่อยู่ ขอให้พวกเราดูแลอาม่า” แม่เขียนกระดาษยกตึกแถวให้เป็นตัวแทนเลี้ยงอาม่า เพื่อที่ลูก ๆ จะได้ไม่ลำบาก
เช้าวันนั้น แม่เบลอมาก พออากุ๊งกับอาม่ามา แม่ก็ยกมือไหว้ แล้วเรียก “พ่อกับแม่” ตัวเอง แม่ยังมีสติดีอยู่ แม้ยาจะกดประสาทมากแล้ว แม่ถามว่า…ตัวเองกำลังจะไปแล้วใช่ไหม
การเห็นคนที่เรารักกำลังจะจากไป..เป็นเรื่องที่ทรมาน แต่พอถึงเวลาจากกันจริง ๆ …มันทรมานมากกว่า
เช้าวันที่ 3 สิงหา ทุกคนมายืนรอบเตียงแม่ พูดส่งแม่ ให้แม่ระลึกถึงนั่นนู่นนี่ แต่ทันทีที่แม่จากไป
ภาพทุกอย่างก็กลายเป็นภาพสโลว์ ทุกคนปล่อยโฮออกมาเสียงดัง….แต่ไม่มีใครได้ยิน น้ำตาไหลออกมาแบบหยุดยั้งไม่ได้
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่มันเป็นความจริง ที่คนทุกคน ต้องพบเจอและยอมรับมันให้ได้
ถึงวันนี้ เวลาผ่านมานานมากแล้ว ยิ่งผมรู้จักความทุกข์มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเข้าใจและนับถือแม่มากเท่านั้น
เชื่อไหม..ตอนผมเด็ก ๆ แม่โทรศัพท์หาอาม่าตอนเที่ยงทุกวัน ผมรำคาญมาก ไม่รู้จะโทรอะไรบ่อย ๆ แต่ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เพราะแม่รักอาม่ามาก การที่อาม่าอยู่บ้าน อาม่าอาจจะเหงา แม่เลยเติมเต็มความเหงาให้อาม่า ด้วยการโทรหา…เพื่อถามคำถามเดิม ๆ ทุกวันว่า “กินข้าวหรือยัง” บทสนทนานี้ไม่ได้แปลตามตัวของมัน แต่มันแสดงให้รู้ว่า “เรายังมีกันและกันนะ”
หลังจากแม่จากไป อาม่าก็เสียใจมาก ความรู้สึกของการที่ต้องอยู่คนเดียวในโลกเป็นยังไง ผมเข้าใจแล้ว แม่เก่งมาก อาม่าเก่งกว่า
รักและคิดถึง
#ครบรอบ 25 ปีที่แม่จากไป