“เด็กเลี้ยงแกะ” เป็นหนึ่งในนิทานที่เด็ก ๆ รู้จักกันทั่วโลก แต่หลังจากนิทานจบไปแล้ว เรื่องราวต่อจากนั้นในรุ่นลูกรุ่นหลานจะเป็นอย่างไร? เรามาอ่านภาคต่อ ของนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะกันเถอะ
นิทานเรื่อง พรสวรรค์ของเด็กเลี้ยงแกะ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กผู้ชายนิสัยดีคนหนึ่งชื่อว่า “ชีต้าร์” ชีต้าร์เป็นลูกหลานของ ‘เด็กเลี้ยงแกะ’ ในนิทานเก่าแก่ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีพรสวรรค์ในการแต่งเรื่องโกหกเช่นเดียวกับปู่ของปู่ของปู่ของเขา
แม้ชีต้าร์จะมีความสามารถพิเศษติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เพราะเขารู้ว่าการโกหกเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้น เขาจึงรู้สึกชิงชังพรสวรรค์ของตัวเองและไม่เคยคิดที่จะพูดปดกับใครเลยแม้สักครั้ง
อย่างไรก็ตาม…ด้วยความที่ชีต้าร์สืบเชื้อสายเกิดในครอบครัวคนเลี้ยงแกะ ผู้คนจึงมักจะคิดว่าชีต้าร์คงจะมีนิสัยชอบโกหกเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา ผลที่ตามมาก็คือ ชาวบ้านทั้งหลายจึงไม่อยากให้ลูก ๆ ยุ่งเกี่ยวกับเด็กเลี้ยงแกะอย่างชีต้าร์ ส่วนครูบาอาจารย์ก็พากันไม่ไว้ใจในคำพูดของเขา และคนในเมืองก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับให้ชีต้าร์ทำงานด้วยในยามที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่
เมื่อทุก ๆ คนเข้าใจว่าชีต้าร์เป็นเด็กที่มีนิสัยชอบปั้นน้ำเป็นตัว ชีต้าร์จึงจำเป็นต้องพยายามหาโอกาสชี้แจงความจริงให้ทุกคนได้ทราบ แต่อนิจจา! ไม่ว่าชีต้าร์จะพูดอะไร ชาวบ้านต่างก็คิดว่ามันคือคำแก้ตัวของจอมโกหกที่ไม่อาจเชื่อถือได้
ชีต้าร์รู้สึกท้อแท้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขามักจะหลบไปนั่งอยู่ตามลำพังและแอบร้องไห้โดยไม่ให้ใครเห็น เหล่านางฟ้าต่างเวทนาชีต้าร์ยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ พวกเธอจึงปรึกษากันเพื่อหาหนทางช่วยเหลือเด็กเลี้ยงแกะผู้น่าสงสาร
นางฟ้าองค์แรกกล่าวกับนางฟ้าองค์อื่น ๆ ว่า “ชีต้าร์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เพียงแค่เขาเกิดมาในครอบครัวของคนเลี้ยงแกะ ผู้คนก็ตั้งแง่รังเกียจเขาเสียแล้ว”
นางฟ้าอีกองค์จึงเสนอความคิดว่า “เราน่าจะชี้ทางให้ชีต้าร์ใช้พรสวรรค์ในการแต่งเรื่องโกหกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ดูดีไหม เผื่อคนที่มีอคติจะได้รู้ว่า แม้เด็กเลี้ยงแกะคนนี้จะมีพรสวรรค์ในการแต่งเรื่องโกหก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจอย่างที่ทุก ๆ คนกล่าวหา”
เมื่อนางฟ้าทุกองค์เห็นพ้องต้องกัน การช่วยเหลือเด็กเลี้ยงแกะอย่างชีต้าร์จึงเริ่มต้นขึ้น
เหล่านางฟ้าร่ายเวทมนตร์ให้สายลมนำเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ล่องลอยมายังบ้านของเด็กเลี้ยงแกะผู้มีพรสวรรค์ เมื่อชีต้าร์ได้ยินเสียงดังกล่าว เขาก็รีบเดินตามเสียงไปจนได้พบกับเด็กกำพร้ามากหน้าหลายตาที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ในบ้านพักเด็กกำพร้าซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา
ชีต้าร์ทราบจากเด็ก ๆ ว่า คุณครูของเด็ก ๆ ออกไปประชุมในตัวเมือง ทำให้ไม่มีใครอยู่ดูแลพวกเขา ชีต้าร์ไม่อยากเห็นน้ำตาของเด็ก ๆ ดังนั้น เขาจึงคิดที่จะช่วยเหลือ
ชีต้าร์พยายามคิดหาวิธีปลอบเด็ก ๆ ให้คลายความเศร้าลงไปบ้าง ซึ่งหลังจากที่ซีต้าร์ขบคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจใช้พรสวรรค์ของเขา คิดสร้างเรื่องราวและเล่าเป็นนิทานให้เด็ก ๆ ฟังอย่างสุดความสามารถ
ทันทีที่เด็ก ๆ ได้ฟังนิทานของชีต้าร์ ทุก ๆ คนก็พากันปาดน้ำตา แล้วล้อมวงเข้ามาฟังเรื่องเล่าของชีต้าร์ด้วยใจจดจ่อ นิทานของชีต้าร์เป็นนิทานที่เด็ก ๆ ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน น้ำเสียงและสีหน้าของเด็กเลี้ยงแกะผู้มีพรสวรรค์ทำให้ทุก ๆ คนนิ่งฟังเขาราวกับต้องมนตร์สะกด ความสามารถในการแต่งเรื่องโกหกกลับกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างความสุขให้แก่เด็ก ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแล้ว ชีต้าร์ก็ค้นพบแง่มุมที่ดีงามในพรสวรรค์ที่เขาเคยรังเกียจ
เหล่านางฟ้าต่างดีใจที่แผนของพวกตนประสบความสำเร็จ พวกนางเชื่อว่า ถ้าชีต้าร์อดทนใช้พรสวรรค์ของตนสร้างสรรค์นิทานและเล่าให้เด็ก ๆ ฟังต่อไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่ง…ผลแห่งความตั้งใจดีก็จะย้อนกลับมาเป็นรางวัลตอบแทนตัวเขา
และก็เป็นจริงดังว่า เพราะนับจากวันนั้น ชีต้าร์ก็เที่ยวตระเวนเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟังโดยไม่มีวันหยุดพัก เด็ก ๆ ต่างมีความสุขที่ได้ฟังนิทานของชีต้าร์ ส่วนชีต้าร์ก็เริ่มตระหนักถึงคุณค่าแห่งพรสวรรค์ที่เขาได้รับมาจากบรรพบุรุษ
ไม่ช้าไม่นานนัก ผู้คนที่เคยมีอคติต่อชีต้าร์ก็เริ่มหันมามองเด็กเลี้ยงแกะผู้มีพรสวรรค์ในการแต่งเรื่องโกหกคนนี้เสียใหม่ ชาวบ้านเริ่มคิดได้แล้วว่า คนที่มีความสามารถในการโกหกไม่จำเป็นต้องเป็นที่เลวร้ายเสมอไป เพราะหากเขารู้จักควบคุมตัวเองและนำพรสวรรค์นั้นมาใช้อย่างถูกต้อง สิ่งที่ดูร้ายกาจก็อาจสร้างคุณประโยชน์ได้อย่างมหาศาล
ในที่สุด เด็กเลี้ยงแกะอย่างชีต้าร์ก็ได้รับการยอมรับจากทุก ๆ คน
#นิทานนำบุญ
………………
