“เห็น…แต่อย่าเข้าไปเป็น” เป็นถ้อยคำที่พี่นำบุญเคยได้ยินผ่านหู ในช่วงที่เข้าวัดฝึกการเจริญสติภาวนา ช่วงนั้น พี่นำบุญได้ยินว่า ถ้อยคำนี้เป็นคำพูดของหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ แห่งวัดป่าสุคะโต (พี่นำบุญขอไม่ยืนยันข้อมูลนี้ เพราะไม่ได้ฟังด้วยตนเอง) พี่นำบุญคิดว่า เป็นถ้อยคำที่น่าสนใจมาก เพราะในการเจริญสติ เรามีหน้าที่แค่ “รู้เฉยๆ” ไม่ใช่รู้เห็นอะไรก็เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันจนชีวิตจิตใจวุ่นวายไปหมด และจากถ้อยคำนี้เอง พี่นำบุญจึงนำมาเขียนเป็นนิทานเรื่องนี้ ซึ่งส่วนตัวมองว่า “น่ารักมาก” อยากให้ได้อ่านกันครับ
นิทานธรรมะก่อนนอน : ธรรมะธรรมแมว
กาลครั้งหนึ่ง มีแมวเหมียวตัวหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ อย่างเงียบ ๆ เรียบง่ายและไม่วุ่นวายกับใคร
วันทั้งวัน เจ้าแมวมักนอนเล่นอยู่ในบ้านบ้าง, ออกไปหาที่นั่งตากแดดอุ่น ๆ นอกบ้านบ้าง หรือไปเดินเล่นตามท้องทุ่งบ้างตามแต่ใจของมันจะปรารถนา เจ้าแมวเหมียวมีชีวิตอิสระแต่สงบสุข ผิดกับเจ้านายผู้เลี้ยงมันที่มีเรื่องวุ่นวายรบกวนทั้งกายและใจได้ทุกวันไม่เคยหยุด
เจ้านายของแมวเหมียวเป็นแม่มดสาวโสดวัยสามสิบเศษที่ชอบทำนู่นทำนี่ไม่เคยอยู่นิ่ง ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในละแวกบ้าน เจ้านายของแมวเหมียวก็มักจะขี่ไม้กวาดขอเข้าไปมีส่วนร่วมรู้เห็นกับทุกคนเสมอ
เจ้าแมวเหมียวเคยลุกขึ้นมานั่งมองเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นอยู่เหมือนกัน แต่มันได้แต่นั่งดูเฉย ๆ ไม่เข้าไปร่วมรู้สึกนึกคิดหรือเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดกับเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้น ดูเสร็จก็นอนหลับต่อแบบสบายใจไร้ปัญหา
ผิดกับนายของเจ้าแมวเหมียว ที่พอเข้าไปร่วมรู้ร่วมเห็นเหตุการณ์อะไรก็ตาม เธอก็มักจะเก็บกลับมาคิดเป็นตุเป็นตะประหนึ่งว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเองด้วย ทำให้แม่มดวุ่นวายใจและทุกข์ใจจนถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับจนต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาทำการรักษา
ผู้เชี่ยวชาญคนแรกเป็นคุณหมอยอดเก่ง คุณหมอตรวจอาการแม่มด วัดไข้ แล้วจ่ายยาที่มีชื่อแปลก ๆ ให้แม่มด ยาที่คุณหมอออกให้ชื่อว่า “พาราเซตตา-ม่องเท่ง-เจ๋งจุงเบย” แม่มดเห็นชื่อยาแล้วก็อดคิดทบทวนชื่อยาในใจซ้ำไปซ้ำมาไม่ได้ “พาราเซตตา-ม่องเท่ง-เจ๋งจุงเบย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” ยิ่งเข้าไปคิดก็ยิ่งปวดหัว แถมพอแม่มดกินยาเสร็จ อาการปวดหัวก็ยังไม่ยอมหาย ผิดกับแมวเหมียวที่ฟังชื่อยาผ่าน ๆ แต่ไม่เข้าไปใส่ใจกับชื่อยา ฟังแล้วก็แล้วไป มันเลยนอนหลับสบายไม่ปวดหัว เมื่อแม่มดกินยาแต่ไม่หาย แม่มดจึงต้องขอให้ผู้เชี่ยวชาญคนที่สองเข้ามาช่วย
ผู้เชี่ยวชาญคนที่สองเป็นพ่อมดจอมเวทมนตร์ พ่อมดตรวจอาการของแม่มด แล้วร่ายคาถาเสกให้แม่มดหายปวดหัว พอพ่อมดร่ายคาถา “กะยุมกะยัมมะงุมมะงัมอะคิกุอิคิกะกุปัมปัมปัม” แม่มดฟังแล้วก็อดใจเข้าไปคิดร่ายคาถาตามไม่ได้ “กะยุมกะยัมมะงุมมะงัมอะคิกุอิคิกะกุปัมปัมปัม ๆ ๆ ๆ ๆ ” ยิ่งร่ายก็ยิ่งปวดหัวยุ่งเหยิงไปหมด ผิดกับเจ้าแมวเมียวที่ฟังคาถาแต่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วม ฟังเสร็จมันก็หลับปุ๋ยไม่มีอาการปวดหัวเลยแม้สักนิด เมื่อการร่ายคาถาของพ่อมดไม่ช่วยให้แม่มดดีขึ้น แม่มดจึงต้องหาผู้เชี่ยวชาญคนใหม่มาช่วยรักษา
แม่มดประกาศหาผู้เชี่ยวชาญอยู่นาน แต่ไม่มีใครสามารถช่วยแม่มดได้เลย ท้ายสุด เจ้าแมวเหมียวจึงเปรยขึ้นมาเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังนอนหลับตาอยู่ว่า “นายจ๊ะนายจ๋า เวลามีอะไรเกิดขึ้น นายก็แค่รู้อยู่ห่าง ๆ รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น…แต่อย่าเข้าไปเป็น เรื่องวุ่นวายมีอยู่ก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องวุ่น ๆ แค่นี้ก็จะหลับสบายแล้วล่ะจ้ะ”
“รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น…แต่อย่าเข้าไปเป็น” นี่มันธรรมะแท้ ๆ แม่มดมองแมวเหมียวอย่างทึ่ง ๆ หลังจากนั้น แม่มดจึงลองทำตามเคล็ดลับของเจ้าแมวเหมียว จนกระทั่งหลับไปในที่สุด
นับจากวันที่แม่มดรู้จัก “ธรรมะธรรมแมว”ของเจ้าแมวเหมียวยอดนักหลับ แม่มดก็สบายใจขึ้น ปลอดโปร่งขึ้น และไม่เคยทุกข์ใจจนนอนไม่หลับอีกเลย
#นิทานนำบุญ
…………………………

อ่านเรื่องนี้แล้วลูกๆแล้วขำกันใหญ่ ตรงชื่อยาของคุณหมอกับคาถาของพ่อมด
ขอบคุณนิทานดีๆค่ะ^_^
LikeLike
ดีใจที่ได้รู้่ว่าเด็ก ๆ ชอบมุกตลกที่แทรกอยู่ในนิทานนะครับ ขอบคุณที่เลือกนิทานนำบุญให้เป็นส่วนหนึงในช่วงเวลาแห่งความสุขกับลูก ๆ ครับ
LikeLike
เป็นกำลังใจให้เขียนเรื่องดีๆต่อๆไปนะคะ😊
LikeLike
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ 🙂
LikeLike
เข้ามาอ่านบ่อยๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ ดูแลสุภาพด้วยนะคะ 💕
LikeLike
ขอบคุณนะครับ ดูแลสุขภาพเช่นกันนะครับ
LikeLike