ถ้าอ่านผ่าน ๆ คุณผู้อ่านอาจรู้สึกว่า นิทานก่อนนอนเรื่อง “การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย” เป็นนิทานที่เรียบง่ายและน่ารัก แต่ในมุมของผู้แต่ง นิทานเรื่องนี้มีที่มาและมีเรื่องราวที่เศร้ามากซ่อนอยู่! ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งนิทานเรื่องนี้ ตอนนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ผมต้องพบกับเรื่องยากลำบากหลายอย่าง ปัญหาง่าย ๆ บางเรื่อง ก็ไม่มีเพื่อนที่พอจะปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือได้เลย ทุกเรื่องจึงต้องทำและแก้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะยากหรือเหนื่อยหนักขนาดไหนก็ต้องทำเองให้ได้ เพราะมันไม่มีทางอื่นเลย ในช่วงเวลานั้น น้ำใจไมตรีเล็ก ๆ น้อย ๆ จากใครก็ตาม จึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก เหมือนการได้ดื่มน้ำเย็น ๆ กลางทะเลทรายอะไรทำนองนั้น ซึ่งเมื่อผมต้องแต่งนิทานส่งให้นิตยสารขวัญเรือนในช่วงนั้น ผมจึงคิดคำว่า “การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย” ขึ้นมา ข้อความนี้จึงเป็นถ้อยคำที่มีความหมายมาก หวังว่านิทานที่อบอุ่นเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความสุขนะครับ
นิทานเรื่อง การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย
นานมาแล้ว มีเม่นตัวหนึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ในบ้านกลางป่าได้ไม่นาน เจ้าเม่นยังไม่มีเพื่อน มันจึงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามลำพังเสมอ
วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าเม่นเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาผักผลไม้มาทำอาหารเย็น จู่ ๆ เจ้าเม่นก็เห็นกระต่ายขนปุยตัวหนึ่งพยายามลากท่อนไม้เพื่อนำไปสร้างบ้าน ไม้แต่ละท่อนมีขนาดใหญ่, ยาวและหนักมาก เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้ มันจึงอาสาช่วยกระต่ายขนปุยด้วยการแบกปลายไม้คนละด้านแล้วนำไปสร้างบ้านจนเสร็จ กระต่ายขนปุยดีใจที่งานลุล่วงไปได้ง่ายกว่าที่คิด มันส่งยิ้มแล้วบอกกับเจ้าเม่นเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”
เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เป็นเพื่อนกับกระต่ายขนปุย มันแนะนำตัวให้กระต่ายรู้จักและบอกว่ามันเพิ่งย้ายมาอยู่ในป่าแห่งนี้ได้ไม่นานนัก จากนั้น เจ้าเม่นก็ขอไปหาผักผลไม้มาทำอาหารเย็นตามที่ตั้งใจไว้
ระหว่างทาง เจ้าเม่นพบลูกกระรอกตัวหนึ่งกำลังขยายแปลงผักที่สวนหลังบ้าน พื้นดินบริเวณนั้นมีแต่ดินแข็ง ๆ ซึ่งต้องออกแรงขุดไม่ใช่น้อย เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้ มันจึงอาสาช่วยลูกกระรอกขุดดินและทำให้ลูกกระรอกขยายแปลงผักรวมทั้งปลูกผักเพิ่มเติมได้เร็วกว่าที่คิดหลายเท่า เมื่องานเสร็จ ลูกกระรอกจึงหันมาส่งยิ้มให้เจ้าเม่นแล้วบอกกับเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”
เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เป็นเพื่อนกับลูกกระรอก มันเล่าให้ลูกกระรอกฟังว่าวันนี้มันโชคดีมากที่ได้เพื่อนใหม่ถึง 2 คน คือลูกกระรอกและกระต่ายขนปุย ลูกกระรอกรู้จักกระต่ายขนปุยเป็นอย่างดี มันดีใจที่ลูกกระต่ายเพื่อนของมันได้เป็นเพื่อนกับเจ้าเม่นผู้มีน้ำใจ และหลังจากเจ้าเม่นพูดคุยกับลูกกระรอกได้สักพัก มันก็ขอตัวไปหาผักผลไม้เพื่อนำมาทำอาหารเย็นตามที่ตั้งใจไว้
ระหว่างทาง เจ้าเม่นพบแพนด้าน้อยตัวหนึ่งหอบถุงใส่ผลไม้ขนาดใหญ่ท่วมหัวท่วมหูเดินมาตามลำพัง ถุงผลไม้มีขนาดใหญ่มากแถมปิดหน้าปิดตาจนแพนด้าน้อยมองทางแทบไม่เห็น เจ้าเม่นรู้ดีถึงความยากลำบากในการต้องทำอะไร ๆ คนเดียวเช่นนี้ มันจึงอาสาช่วยแพนด้าน้อยแบกถุงใส่ผลไม้ โดยแบ่งกันแบกคนละครึ่งถุง ทำให้แพนด้าน้อยเบาแรงและนำผลไม้ไปที่บ้านได้สะดวกมากขึ้น เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแพนด้าน้อยก็ส่งยิ้มให้เจ้าเม่นแล้วบอกกับเพื่อนใหม่ว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”
เจ้าเม่นดีใจที่มันได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง มันเล่าเรื่องกระต่ายขนปุยและลูกกระรอกให้แพนด้าฟัง ซึ่งแพนด้าน้อยก็รู้จักกับเพื่อนรักทั้งสองดีอยู่แล้ว และหลังจากเจ้าเม่นพูดคุยกับแพนด้าน้อยได้สักพัก มันก็รีบขอตัวไปหาผักผลไม้เพื่อนำมาทำอาหารเย็นโดยด่วน…ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินและทำให้ทุกอย่างรอบตัวมืดไปหมด
เมื่อเจ้าเม่นแยกตัวไปค้นหาของกินตามที่ตั้งใจไว้ได้ไม่นาน พระอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำ ซึ่งทำให้เจ้าเม่นต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะมองทางไม่เห็น
เจ้าเม่นเก็บผลไม้ซึ่งหล่นอยู่ตามพื้นมาได้แค่ผลสองผล มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า “ถึงวันนี้จะได้ของกินมาน้อยมาก แต่ก็ยังดีที่ได้พบเจอเพื่อนดี ๆ ตั้ง 3 คนเลยนะ”
ครั้นเมื่อเจ้าเม่นเดินทางกลับมาถึงบ้าน มันก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่า กระต่ายขนปุย, ลูกกระรอกและแพนด้าน้อยมารอมันอยู่ที่หน้าบ้าน เพื่อนทั้งสามตั้งใจมาชวนเจ้าเม่นไปกินอาหารเย็นด้วยกันที่บ้านของกระต่ายขนปุย เพราะแพนด้าน้อยคาดเดาว่า หลังจากเจ้าเม่นออกจากบ้านของมัน เจ้าเม่นคงหาของกินไม่ทันพระอาทิตย์ตกแน่ ๆ
เจ้าเม่นคิดไม่ถึงว่าเย็นวันนี้มันจะได้กินอาหารที่บ้านของกระต่ายขนปุย, ได้ลิ้มรสผักสด ๆ จากแปลงผักของลูกกระรอกและได้อิ่มอร่อยกับผลไม้หลากหลายชนิดที่แพนด้าน้อยเตรียมไว้ให้
เจ้าเม่นยิ้มแล้วเดินตามเพื่อน ๆ ไปอย่างมีความสุข พร้อมกับบอกเพื่อน ๆ ทั้งหมดว่า “ขอบใจนะ การได้เป็นเพื่อนกันนี่ดีจังเลย”
#นิทานนำบุญ
…………………………….
