นิทานเรื่อง “เม่นน้อยกับโยคี” เป็นนิทานทดลอง ซึ่งผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้แรงบันดาลใจในการแต่งมาจากหนังสือชื่อ “จินตนาการไม่รู้จบ” หรือ “The Neverending Story” ซึ่งในฉบับแปลเป็นภาษาไทยมีการกล่าวถึงการใช้ “หมึกสองสี” ในการพิมพ์หนังสือ ความคิดเรื่องการใช้หมึกสองสีในการพิมพ์หนังสือ ทำให้ผมนึกสนุก อยากแต่งนิทานที่ใช้หมึกสองสีบ้าง จึงเริ่มแต่งนิทานเรื่องใหม่ จนได้นิทานก่อนนอนเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์เรื่อง “เม่นน้อยกับโยคี” ขึ้นมา นิทานเรื่องนี้ใช้หมึกสีแดงเล่าเรื่องในส่วนของเม่น ใช้หมึกสีน้ำเงินเล่าเรื่องในส่วนของโยคี แต่เมื่อเรื่องราวมาบรรจบกัน สีของหมึกก็เปลี่ยนเป็นสีผสมระหว่างแดงกับน้ำเงิน กลายเป็นสีม่วง หวังว่านิทานเรื่องนี่้จะเป็นนิทานจะทำให้หลาย ๆ คนยิ้มกับความซนของนักเขียนนิทานคนนี้นะครับ ขอให้มีความสุขในการอ่านครับ
นิทานเรื่อง เม่นน้อยกับโยคี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเม่นน้อยตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่าตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากจะไปข้องเกี่ยวกับสัตว์ที่มีขนแหลม ๆ อย่างเม่นน้อยมากสักเท่าไหร่ ดังนั้น เม่นน้อยจึงมักจะถูกปล่อยให้เหงาหงอยเสียจนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เสมอ
ในกาลครั้งเดียวกัน มีโยคีตนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึกตามลำพังอย่างสันโดษ ไม่มีใครอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่ชอบเล่นกับตะปูและของแหลม ๆ อย่างโยคีมากนัก ด้วยเหตุนี้ โยคีจึงมักถูกปล่อยให้เหงาหงอยเสียจนน้ำตาไหลอาบแก้มอยู่เป็นนิตย์
อยู่มาวันหนึ่ง เม่นน้อยเกิดความคิดว่า มันควรจะมีใครสักคนหนึ่งที่พร้อมจะเป็นเพื่อนและคอยกอดประคองมันในยามที่มันท้อแท้และถดถอย
อยู่มาในวันเดียวกัน โยคีขี้เหงาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เขาควรจะมีใครสักคนหนึ่งที่พร้อมจะเป็นเพื่อนและยอมให้เขาได้กอดในยามที่เขารู้สึกว้าเหว่และเซื่องซึมไม่ซู่ซ่า
เม่นน้อยออกเดินทางเพื่อหาเพื่อนโดยมันตั้งใจที่จะถามทุก ๆ คนที่มันได้พบว่า “ขอกอดหน่อยได้ไหม?”
โยคีเองก็ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อค้นหาเพื่อน โดยเขาจะคอยามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “นี่คือเพื่อนที่เรากำลังตามหาอยู่ใช่ไหม?”
และเมื่อเม่นน้อยเดินทางไปพบกับกระต่ายขาวขนปุยตัวหนึ่งเข้า เม่นน้อยจึงเอ่ยปากถามเจ้ากระต่ายว่า “ขอกอดหน่อยได้ไหม?” กระต่ายน้อยได้แต่ส่ายหัว เพราะมันกลัวว่าขนแหลม ๆ ของเจ้าเม่นอาจทิ่มแทงจนเนื้อตัวของมันกลายเป็นรูพรุนเต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้ เม่นน้อยจึงต้องออกเดินทางเพื่อหาคนที่ยอมให้มันกอดต่อไป
ส่วนโยคีเองเมื่อออกเดินทางไป เขาก็ได้พบกับกระต่ายป่าตัวหนึ่งเข้าเช่นกัน โยคีลองกอดกระต่ายป่าดูแล้วจึงถามตัวองว่า “นี่คือเพื่อนที่เรากำลังตามหาอยู่ใช่ไหม?” โยคีคิดแล้วก็ส่ายหัว ด้วยเขารู้สึกว่าเนื้อตัวของเจากระต่ายช่างอ่อนนุ่มตุ้มเป๊ะ ไม่น่าสัมผัสเหมือนของแหลม ๆ อย่างที่เขาคุ้นเคยมาก่อน ด้วยเหตุนี้ โยคีจึงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาคนที่กอดแล้วจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่พิเศษสุดต่อไป
และแล้วเม่นน้อยก็ไปพบกับเจ้าแรดหนังหนา เม่นน้อยดีใจมาก เพราะมันเชื่อว่าแรดคงไม่กลัวหนามแหลม ๆ ของมันแน่ ๆ แต่เมื่อเม่นน้อยเอ่ยปากถามเจ้าแรดว่า “ขอกอดหน่อยได้ไหม?” เจ้าแรดกลับรีบปฏิเสธ โดยมันให้เหตุผลกับเม่นน้อยว่า มันเป็นแรดบ้าจี้ ดังนั้น ขนแหลม ๆ นับพัน ๆ เส้นของเม่นน้อย คงทำให้มันรู้สึกจั๊กจี๋จนทนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้เป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ เม่นน้อยจึงต้องออกเดินทางเพื่อหาคนที่จะยอมให้มันกอดต่อไป
ส่วนโยคีเองก็เดินทางไปพบเจ้าแรดหนังหนาอีกตัวหนึ่งเช่นกัน โยคีดีใจมากเมื่อเห็นนอแหลม ๆ ที่งอกอยู่เหนือจมูกของเจ้าแรด หนังหนา ๆ กับนอแหลม ๆ คงให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม ในยามที่ได้สัมผัสแน่ ๆ แต่เมื่อโยคีลองกอดเจ้าแรดเข้าจริง ๆ นอแหลม ๆ เพียงนอเดียวกลับไม่เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกซู่ซ่าเหมือนเวลาที่เขานั่งอยู่บนแท่นตะปูซึ่งมีตะปูตอกติดอยู่เป็นพัน ๆ ตัว ด้วยเหตุนี้ โยคีจึงต้องออกเดินทางเพื่อค้นหาคนที่กอดแล้วจะทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่พิเศษสุดต่อไป
เม่นน้อยขอกอดกับคนนั้นคนนี้จนทั่วป่า แต่ไม่ว่ามันจะพยายามอ้อนวอนมากสักเพียงใด ใครต่อใครต่างก็ไม่พร้อมที่จะให้ขนแหลม ๆ ของเม่นน้อยสัมผัสกับผิวหนังของพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว เม่นน้อยรู้สึกท้อแท้และคิดว่า โลกใบนี้คงไม่มีใครยอมกอดกับมันแน่ ๆ เม่นน้อยนั่งลงพักเหนื่อยที่ขอนไม้ตรงชายป่า ในเวลานั้นเอง เม่นน้อยรู้สึกราวกับว่ามีพลังอะไรบางอย่างดึงดูดให้มันหันไปมองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของขอนไม้
โยคีลองกอดกับคนนั้นคนนี้จนทั่วป่า แต่ไม่ว่าเขาจะลองกอดใครดูก็ตาม ใครต่อใครต่างก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนที่เขากำลังตามหาตัวอยู่ จะมีใครบ้างไหมหนอที่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอบอุ่นและซู่ซ่าเวลาที่เขาได้กอด โยคีรู้สึกท้อแท้และคิดว่า คงไม่มีใครเกิดมาสำหรับเขาแน่ ๆ โยคีนั่งลงพักเหนื่อยที่ขอนไม้ตรงชายป่า ชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง โยคีก็รู้สึกเหมือนกับมีพลังอะไรบาง อย่างสะกดให้เขาต้องหันไปมองสิ่งที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของขอนไม้
เม่นน้อยมองเห็นโยคีกำลังหันมองมา ส่วนโยคีเองก็เห็นเม่นน้อยกำลังหันมามองเขาด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางความเงียบสงัด ทั้งโยคีและเม่นน้อยต่างจด ๆ จ้อง ๆ มองกันไปมองกันมาอยู่นาน จนกระทั่งในที่สุด เม่นน้อยก็เอ่ยปากถามโยคีว่า “ขอกอดหน่อยได้ไหม?”
ฝ่ายโยคีซึ่งจ้องมองขนแหลม ๆ อันแสนน่ารักของเม่นน้อยอยู่ก่อนแล้วจึงถือโอกาสเปิดอ้อมแขนแล้วกอดเม่นน้อยอย่างแนบแน่น ความอบอุ่นจากการกอดของโยคีทำให้เม่นน้อยมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ส่วนขนแหลม ๆ ของเม่นน้อยที่ทิ่มแทงเนื้อหนา ๆ ของโยคีก็ทำให้โยคีรู้สึกซู่ซ่ามีความสุข
เพื่อนรักคู่ใหม่สวมกอดกันอย่างนั้นอยู่นานแสนนาน เม่นน้อยไม่รู้สึกอ้างว้างหรือโดดเดี่ยวอีกต่อไป ส่วนโยคีก็รู้สึกไม่แตกต่างไปจากเพื่อนรักของเขา และแล้ว…มิตรภาพของเม่นน้อยและโยคีก็ค่อย ๆ งอกงามขึ้นนับแต่นั้น
#นิทานนำบุญ
…………………………

ชอบเว็บนี้จัง และชอบเรื่องนี้มากที่สุด ยาวพอที่จะอ่านให้แฟนหลับ และเนื้อเรื่องก็ดีมากด้วย
LikeLike
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่มีความพิเศษ ผมดีใจที่มีคนพิเศษ ๆ ชอบนิทานเรื่องนี้นะครับ
LikeLike