นิทานก่อนนอนพร้อมข้อคิดเรื่อง “เจ้าหนูบู๊ลิ้ม” เป็นนิทานแนวจีน ที่นักแต่งนิทานคนไทยเชื้อสายจีนอย่างพี่นำบุญ เป็นผู้แต่ง การแต่งนิทานแนวจีนทุกเรื่อง เป็นเหมือนการนำความสามารถที่พี่นำบุญมีอยู่มาใช้ในการแสดงความคารวะต่อบรรพบุรุษ (ตระกูลของพี่นำบุญ คุณพ่อแซ่ฉั่ว คุณแม่แซ่ลี่ อาม่าแซ่เฮ้า) นิทานแนวจีนทุกเรื่องที่แต่งจึงเป็นผลงานที่พี่นำบุญภูมิใจ และหวังว่าสักวันจะได้แปลเป็นภาษาจีนเพื่อเผยแพร่ให้พี่น้องเชื้อสายจีนได้อ่าน ส่วนพี่น้องคนไทยและคนจากทุก ๆ ประเทศที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านนิทานเรื่องนี้ พี่นำบุญก็หวังว่าจะได้รับความสุขและข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้นะครับ
นิทานเรื่อง เจ้าหนูบู๊ลิ้ม
“เสี่ยวปิง” เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งเกิดในสมัยที่ทั่วทั้งแผ่นดินจีนเต็มไปด้วยจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญ แม้เสี่ยวปิงจะอยากเก่งเหมือนกับจอมยุทธ์เหล่านั้น แต่ด้วยความที่เขาตัวเล็กกว่าใคร ๆ เสี่ยวปิงจึงไม่มีความมั่นใจว่าตัวเขาจะสามารถฝึกฝนวิชาใด ๆ ได้
อยู่มาวันหนึ่ง เสี่ยวปิงได้ยินข่าวเรื่องโจรใจร้ายที่เที่ยวจี้ปล้นและรังแกผู้คนตามหัวเมืองต่าง ๆ เสี่ยวปิงเห็นท่าไม่ดี เขาจึงตัดสินใจทำสิ่งที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง นั่นคือการเดินทางไปฝึกวิทยายุทธ์ที่สำนักเส้าตึ๊ง เพื่อนำความรู้มาปกป้องแม่และน้องสาวที่เขารัก
เมื่อเสี่ยวปิงไปถึงสำนักเส้าตึ๊งและเริ่มเรียนวิชาแรกคือวิชาลมปราณ เด็กน้อยตัวผอมกะหร่องก็ทำให้ทุกคนถึงกับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง เพราะแทนที่เขาจะผนึกลมปราณแล้วดันพลังออกมาทางฝ่ามืออย่างที่อาจารย์สั่ง เขากลับปล่อยลมปราณผิดพลาด โดยดันลมออกมาทางก้นตามด้วยกลิ่นที่เหม็นตลบอบอวนไปทั่วทั้งลานฝึก
ครั้นเมื่อถึงวิชาหมัดมวย แม้เสี่ยวปิงจะทุ่มพลังในการเตะต่อยอย่างสุดชีวิต แต่เรี่ยวแรงของเด็กตัวกะเปี๊ยกอย่างเขาก็ทำได้เพียงแค่สะกิดให้คู่ฝึกรู้สึกจั๊กกะจี๋ และเมื่อถึงคราวที่เขาต้องรับหมัดของคู่ฝึกบ้าง เพียงแค่คู่ฝึกปล่อยหมัดเบา ๆ ออกมา เสี่ยวปิงก็ปลิวไปชนกับกำแพง แถมหมดแรงที่จะลุกขึ้นมารับหมัดได้อีก
ในชั่วโมงการฝึกอาวุธ ด้วยความที่เสี่ยวปิงตัวเล็กกว่าใคร ๆ เสี่ยวปิงจึงไม่สามารถใช้อาวุธใหญ่ ๆ ยาว ๆ อย่างกระบี่ กระบองหรือทวนได้ อาวุธที่เขาพอจะฝึกไหวจึงมีเพียงอาวุธเล็ก ๆ เช่น เข็มหรือตะเกียบเท่านั้น
ส่วนในวิชาจี้จุด เสี่ยวปิงเรียนรู้และเข้าใจวิธีจี้จุดเป็นอย่างดี แต่เมื่อเขาต้องแข่งจี้จุดกับเพื่อน ๆ ช่วงแขนของเสี่ยวปิงที่สั้นกว่าคนอื่น ทำให้เขาจี้จุดเพื่อน ๆ ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากการเรียนวิชาได้เพียงไม่กี่วัน เสี่ยวปิงก็เริ่มท้อแท้และคิดว่าเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างเขาคงไม่มีทางฝึกวิชาใด ๆ ได้สำเร็จเป็นแน่ เสี่ยวปิงอยากเลิกฝึกแล้วลาอาจารย์กลับบ้าน แต่เมื่อเขานึกถึงแม่กับน้องสาวที่อาจถูกพวกโจรมารังแก เสี่ยวปิงจึงไม่สามารถทำตามที่ใจคิดได้
ในขณะนั้นเอง เสี่ยวปิงมองเห็นลูกเต่าตัวหนึ่งพยายามคลานจากลานฝึกเพื่อมุ่งหน้าไปยังสระบัวที่อยู่ไกลลิบ แม้เจ้าลูกเต่าจะมีช่วงขาที่สั้น แถมยังต้องแบกกระดองอันหนักอึ้งเอาไว้บนหลัง แต่มันก็ไม่เคยท้อถอย มันยังคงมุมานะคลานต้วมเตี้ยมไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด มันก็คลานไปถึงสระบัวได้เป็นผลสำเร็จ
ภาพความพยายามของเจ้าเต่าน้อยทำให้เสี่ยวปิงได้คิด เขาไม่ควรปล่อยเวลาให้หมดไปกับการนั่งท้อแท้อยู่เช่นนี้ แต่เขาควรใช้มันฝึกฝนเพิ่มเติมเพื่อลบจุดบกพร่องเสียมากกว่า
นับจากวันนั้น เสี่ยวปิงจึงใช้เวลาว่างทบทวนความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เมื่อเจ้าสำนักเส้าตึ๊งเห็นถึงความตั้งใจจริงของเด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าใคร ๆ เจ้าสำนักผู้เมตตาจึงสละเวลาแนะนำเคล็ดลับต่าง ๆ ให้เสี่ยวปิงเป็นกรณีพิเศษ
“พลังลมปราณเกิดจากการฝึกสมาธิ ส่วนแรงในการปล่อยหมัดต้องเริ่มจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเสียก่อน สำหรับเรื่องอาวุธ…ความแม่นยำในการใช้ สำคัญกว่าขนาดของมันหลายเท่านัก และเรื่องการจี้จุด…ความคล่องแคล่วว่องไวจะช่วยให้คนตัวเล็กจี้จุดคนที่ตัวสูงใหญ่กว่าได้”
หลังจากที่เสี่ยวปิงได้ฟังคำแนะนำของท่านเจ้าสำนัก เด็กน้อยจึงวางแผนการฝึกใหม่ด้วยการวิ่งออกกำลังทุกเช้าโดยมัดถุงทรายเข้าที่ข้อเท้าและลำตัวเพื่อเพิ่มน้ำหนัก จากนั้น เขาก็จะใช้เวลาว่างฝึกขว้างตะเกียบให้เข้าเป้าวันละหนึ่งหมื่นครั้ง ทั้งยังหมั่นนั่งสมาธิเพื่อเพิ่มพลังลมปราณให้กล้าแข็ง นอกจากนี้ เสี่ยวปิงยังแบ่งเวลาไปอ่านตำราโบราณในห้องสมุด ซึ่งจากความขยันและใฝ่รู้นี้เอง ทำให้เขาค้นพบตำราค่ายกลซึ่งเป็นวิธีรับมือกับคู่ต่อสู้ที่บุกมาคราวละมาก ๆ อย่างได้ผล
หนึ่งปีผ่านไป ความพยายามของเสี่ยวปิงทำให้วิทยายุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำ เขายังมีความรู้ในการสร้างค่ายกลชนิดที่ยากจะหาใครเทียบได้ เมื่อเสี่ยวปิงเห็นว่าถึงเวลาอันควร เขาจึงลาอาจารย์ผู้มีพระคุณ แล้วเดินทางกลับไปหาแม่และน้องสาวผู้เป็นที่รักของเขา
ทันทีที่เสี่ยวปิงกลับไปถึงหมู่บ้าน เด็กน้อยก็รีบจัดการนำกองฟางมาสร้างค่ายกลเพื่อป้องกันโจรร้ายซึ่งอาจบุกมาได้ทุกขณะ
หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าโจรก็บุกมายังหมู่บ้านของเสี่ยวปิงดังคาด แต่เมื่อพวกโจรเผลอเดินเข้าไปในค่ายกล พวกมันก็หลงอยู่ในนั้นนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน จนในที่สุด พวกโจรก็ต้องประกาศยอมแพ้และสัญญาว่าจะเลิกเป็นโจรไปตลอดชั่วชีวิต
เสี่ยวปิงดีใจที่เขาปกป้องแม่และน้องสาวได้สำเร็จ หลังจากนั้น เด็กน้อยผู้มุมานะก็เปิดค่ายฝึกเล็ก ๆ เพื่อสอนวิทยายุทธ์ให้แก่ผู้คนที่สนใจทั้งหลาย
เสี่ยวปิงตั้งชื่อค่ายฝึกของเขาว่า “สำนักเต่าน้อย” เพื่อระลึกถึงลูกเต่าที่ทำให้เขามีกำลังใจในการฝึกฝน และเขาก็ไม่ลืมที่จะเขียนป้ายเตือนใจติดไว้ที่สำนักว่า
“การก้าวไปข้างหน้า แม้จะเชื่องช้าและเป็นเพียงก้าวสั้น ๆ แต่หากเราไม่ยอมท้อถอย เราก็ย่อมจะไปถึงจุดหมายได้ในที่สุด”
#นิทานนำบุญ
………………………………….
