นิทานเรื่อง “เจ้าชายในแดนธรรม” เป็นนิทานพื้นบ้านแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่มีลักษณะเป็นเรื่องราวผจญภัยของเจ้าชายองค์น้อย ที่ต้องพบเจอกับเหล่าร้ายและต้องฝ่าฟันอุปสรรคโดยอาศัยธรรมะเป็นที่ตั้ง นิทานเรื่องนี้จึงเป็นนิทานธรรมะก่อนนอนในแบบไทย ๆ ที่น่าจะทำให้เด็ก ๆ เข้าใจเรื่อง “อุเบกขา” ในชั้นต้นได้เป็นอย่างดี
นิทานเรื่อง เจ้าชายในแดนธรรม
กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่งทรงดูแลบ้านเมืองโดยยึดมั่นในศีลในธรรม ประชาชนจึงมีความสุขจนเมืองอื่น ๆ อยากเจริญรอยตามแนวทางแห่งธรรมกันโดยถ้วนหน้า
ครั้นเมื่อเหล่าปิศาจทราบข่าว พวกมันจึงหาทางทำลายเมืองต้นแบบแห่งนี้ด้วยการปลอมตัวเข้ามาในเมือง แล้วนำสิ่งมอมเมาอันได้แก่สุรา, การพนัน รวมทั้งล่อหลอกผู้คนให้หลงทำในสิ่งผิดจนเมืองแห่งธรรมหมองมัวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ร้อนถึงเหล่าเทวดาบนชั้นฟ้าที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ เหล่าทวยเทพไม่อยากให้เมืองแห่งธรรมต้องล่มสลาย ทวยเทพจึงส่งเทวดาองค์น้อยให้มาเกิดเป็นโอรสของพระราชา
เมื่อพระราชินีให้กำเนิดพระโอรส ชาวเมืองต่างก็ยินดีที่พระราชาทรงมีรัชทายาท แต่เนื่องจากเจ้าชายองค์น้อยมีปานสีดำที่รอบเบ้าตาทั้งสองข้าง เหล่าปิศาจจึงปล่อยข่าวลือว่าเจ้าชายจะนำภัยพิบัติมาสู่ชาวเมืองถึงขั้นต้องร้องไห้จนขอบตาดำคล้ำ!
ชาวเมืองส่วนหนึ่งมีสติจึงไม่เชื่อ แต่ชาวเมืองอีกส่วนหนึ่งที่หลงไปกับการมอมเมาของเหล่าปิศาจพากันตกใจ พวกเขาจึงรวมตัวขอให้พระราชาไล่พระโอรสออกไปจากเมืองโดยเร็วที่สุด พระราชินีผู้มีสติปัญญาหลักแหลมไม่อยากให้พระราชาต้องกลุ้มพระทัย พระองค์จึงอาสาพาพระโอรสออกจากเมือง โดยภาวนาขอให้ทวยเทพส่งหงษ์ทองมารับ แล้วนั่งบนหลังหงษ์เดินทางข้ามป่าวิญญาณไปยังอาศรมของนักบวชผู้เคร่งครัดในศีลในธรรม ซึ่งหลังจากที่พระราชินีทรงฝากให้นักบวชช่วยดูแลพระโอรสแล้ว พระองค์ก็นั่งหงส์กลับไปยังพระราชวังดังเดิม
สิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ในขณะที่เหล่าปิศาจหลอกให้ชาวเมืองหลงมัวเมาในการทำสิ่งเลวร้ายสารพัด นักบวชก็สอนเจ้าชายองค์น้อยให้เข้าใจหลักธรรมสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวชผู้เป็นพระอาจารย์จับยามสามตาพบว่า เหล่าปิศาจวางแผนจะนำเรื่องที่พระราชินีให้กำเนิดพระโอรสผู้มีปานสีดำที่รอบเบ้าตามาสร้างข่าวลือหลอกลวงผู้คนอีก พระอาจารย์จึงคิดว่าเจ้าชายควรกลับไปยังบ้านเมืองเพื่อปัดเป่าความเสื่อมให้หมดสิ้นไปเสียที
ก่อนการเดินทาง นักบวชเตือนเจ้าชายให้ยึดมั่นในศีลในธรรม เพราะคุณธรรมจะคุ้มครองเจ้าชายให้กลับไปยังบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัยและมีชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐ นอกจากนี้ พระอาจารย์ยังมอบข้าวสารวิเศษให้เจ้าชายใช้อธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการในยามคับขัน
ระหว่างทาง เจ้าชายเดินผ่านป่าซึ่งมีสัตว์ร้ายอสรพิษซ่อนตัวอยู่ ตอนแรกเจ้าชายกลัวมาก แต่เมื่อพระองค์นึกถึงคำของพระอาจารย์ที่ให้ยึดมั่นในศีลในธรรม พระองค์จึงยิ้มแล้วสวดมนต์แผ่เมตตาให้สัตว์ป่าทั้งหลายได้มีความสุขกายสบายใจ ซึ่งเมื่อเจ้าชายแผ่เมตตาให้สัตว์ สัตว์ทั้งหมดจึงนอนนิ่งแล้วปล่อยให้เจ้าชายเดินผ่านไปแต่โดยดี
เมื่อเจ้าชายเดินทางเข้าใกล้เมือง พระองค์ต้องเดินข้ามสะพานผ่านบ่อโคลนขนาดใหญ่ซึ่งมีวิญญาณเร่ร่อนอาศัยอยู่ วิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ไปผุดไปเกิดมาช้านาน เมื่อเจ้าชายเดินข้ามสะพาน พวกมันก็พยายามจับขาเจ้าชายเพื่อดึงให้ตกลงไปในบ่อโคลน เจ้าชายมองวิญญาณที่มีหน้าตาอมทุกข์ พระองค์ก็เกิดความกรุณาคืออยากให้เหล่าวิญญาณพ้นจากความทุกข์ เจ้าชายจึงหยิบข้าวสารวิเศษ (ซึ่งน่าจะเก็บไว้ใช้ยามคับขัน) แล้วอธิษฐานขอให้วิญญาณพ้นจากความทุกข์ เมื่อเจ้าชายโปรยข้าวสารลงไปในบ่อโคลน เหล่าวิญญาณก็เลือนหายไปอย่างช้า ๆ เจ้าชายมองสีหน้าอันเปี่ยมสุขของวิญญาณที่ได้ไปผุดไปเกิด พระองค์ก็อิ่มใจ, สุขใจ เกิดเป็นมุทิตาจิตขึ้น
ก่อนเจ้าชายเดินทางต่อ พระองค์รู้ดีว่าในเมืองมีคนว่าร้ายพระองค์อยู่ การเข้าเมืองจึงอาจมีคนปองร้ายหรือรังเกียจ แต่เมื่อเจ้าชายนึกถึงถ้อยคำของพระอาจารย์ที่ให้ยึดมั่นในศีลในธรรม เจ้าชายจึงยึดอุเบกขาเป็นธรรมคุ้มใจ อุเบกขาคือการทำใจนิ่ง ๆ วางเฉยต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่รัก, ไม่เกลียด, ไม่โกรธ, ไม่กลัว เมื่อเจ้าชายทำใจกลาง ๆ พระองค์จึงไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด ๆ อีก
เมื่อเจ้าชายองค์น้อยก้าวเดินเข้าไปในเมือง ชาวเมืองต่างจับจ้องมองมาที่พระองค์ด้วยความแปลกใจ เหล่าปิศาจที่ปลอมเป็นคนรีบชักชวนชาวเมืองให้มาล้อมจับเจ้าชายไว้ แต่เจ้าชายก็ยังคงสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัวจนเกินเหตุ
ยิ่งหัวใจของเจ้าชายเข้าถึงความนิ่งและเป็นกลางมากเท่าไร พระองค์ก็ยิ่งดูสงบ, สุขุม, ประณีตและสง่างามมากขึ้นเท่านั้น ครั้นเมื่อปิศาจจะเข้าจับตัวพระองค์ แสงแห่งบารมีของเจ้าชายก็สาดส่องออกมาจนปิศาจแสบร้อนต้องกลายร่างกลับเป็นปิศาจแล้วเผ่นหนีออกจากเมืองไปทันที
ในขณะเดียวกัน เมื่อชาวเมืองที่หลงผิดได้เห็นแสงสว่างกระจ่างตา หัวใจของพวกเขาก็สงบเย็นและตื่นจากความหลง ชาวเมืองทุกคนได้ประจักษ์แจ้งแก่ตาตัวเองแล้วว่า เจ้าชายผู้มีปานสีดำรอบเบ้าตาทั้งสองข้าง มีใจมั่นคงในธรรมและสง่างามยิ่งใหญ่มากเพียงไหน
ในที่สุด เจ้าชายก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดกับพระราชาและพระราชินี ทั้งสามพระองค์ทรงสวมกอดกันด้วยความรัก จากนั้น ทั้งสามพระองค์ก็ตั้งใจที่จะฟื้นฟูเมืองด้วยศีลและธรรมอีกครั้ง
เหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์โปรยดอกไม้ทิพย์จากฟากฟ้าลงมายังเมืองแห่งธรรม ทั้งยังอวยพรให้ผู้คนที่ยึดมั่นในศีลในธรรมมีความสุขกายสบายใจตลอดชั่วกาลนาน
……………………………..
หมายเหตุ : นิทานเรื่องนี้ พี่นำบุญแต่งหลังจากที่ได้ดูการถ่ายทอดสด : ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคมพระราชวังดุสิต ในวันที่ 5 ธันวาคม ปีที่น้ำท่วมใหญ่ วันนั้น พี่นำบุญกับอาม่า นั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน อาม่ายกมือไหว้ในหลวง พี่นำบุญขนลุก จะร้องไห้ และเข้าใจความของคำว่า “พระมหากษัตริย์” และคำว่า “อุเบกขา” ได้ชัดเจนจากภาพที่เห็น
นิทานเรื่องนี้จึงเป็นนิทานอีกเรื่อง ที่พี่นำบุญทุ่มหัวใจแต่ง โดยตั้งใจแต่งในแบบนิทานพื้นบ้านแนวจักร ๆ วงศ์ ๆ (ตอนนั้น ยังไม่เคยเข้าวัด ความเข้าใจในสิ่งที่เขียน จึงมีในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ทำเต็มที่แล้วจริง ๆ)
นิทานเรื่องนี้ เคยพิมพ์เป็นหนังสือภาพโดยสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊กส์ เป็นหนึ่งในหนังสือชุดตามรอยพระราชาที่ได้รางวัลสำคัญ ๆ หลายรางวัล
#นิทานนำบุญ
………………………………….
