วันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เป็นวันที่ผู้คนในบางประเทศกำหนดให้เป็นวันโกหก หรือ April Fool’s Day เพื่อใช้เป็นวันในการเล่นมุกตลกหยอกล้อกัน ซึ่งบางครั้งก็เกินเลยจนกลายเป็นเรื่องไม่ตลก ส่วนในปีนี้ ที่ผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของโควิด-19 การเล่นโกหกในวันโกหกถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และในบางประเทศถือเป็นเรื่องผิดกฏหมาย นอกจากนี้ ในทางพุทธศาสนายังสอนว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ควรงดเว้น เพราะเป็นการผิดศีลข้อ 4 ซึ่งเป็นต้นทางแห่งความเสื่อม นิทานเรื่อง “คำสัญญาของเด็กโกหก” จึงเป็นนิทานที่ผมคัดสรรมาให้อ่านกันในวันโกหก เพื่อใช้เป็นนิทานสอนลูกให้เป็นคนดี ไม่ผิดศีลข้อ 4 หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คนนะครับ
นิทานเรื่อง คำสัญญาของเด็กโกหก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนที่ชอบโกหกมาก เขาโกหกได้ทุกเรื่องทุกเวลา จนการโกหกกลายเป็นนิสัยประจำตัวของเขา
วันหนึ่ง เด็กน้อยบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเขาจะไปโรงเรียน แต่ระหว่างทาง เขากลับแอบหนีไปเที่ยวเล่นในป่า เด็กน้อยปีนต้นไม้ไล่จับกระรอก, แกล้งกระต่ายที่อยู่ในโพรงดิน แถมยังแอบเอาเรือของใครไม่รู้ไปพายเล่นในทะเลสาบอีก เด็กน้อยมีความสุขมากที่ได้เล่นสนุกซุกซน เขาไม่รู้สึกผิดเลยที่เขาพูดโกหกใครต่อใคร…รวมทั้งโกหกคุณพ่อคุณแม่ด้วย
หลังจากที่เด็กน้อยพายเรือออกไปในทะเลสาบได้ไม่นาน เด็กน้อยก็พบกับเรื่องที่เขาไม่คาดฝัน เพราะเรือที่เขาเอามาพายเล่นนั้นค่อย ๆ จมลงไปในน้ำ เนื่องจากมันเป็นเรือที่มีรูรั่ว ซึ่งเจ้าของเอามาพักไว้เพื่อรอการซ่อม เด็กน้อยตกใจจนแทบทำอะไรไม่ถูก เขารีบร้องเรียกให้คนช่วย ซึ่งกว่าจะมีคนมาช่วยเด็กชายจอมโกหกก็จมลงไปในน้ำเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม…เด็กน้อยก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เพราะมีพรายน้ำตนหนึ่งได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา เมื่อพรายน้ำได้ยิน มันจึงพาร่างที่ดูเหมือนกลุ่มควันทะยานขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ จากนั้น มันก็เอ่ยปากว่าจะช่วยเด็กน้อย แต่มีข้อแม้คือ…เด็กน้อยต้องสัญญาว่า เขาจะไม่โกหกใคร ๆ อีกเป็นอันขาด
เด็กน้อยรีบให้คำมั่นสัญญาเพราะเขาไม่อยากจมน้ำตาย แต่หลังจากที่พรายน้ำพาเด็กน้อยขึ้นฝั่งแล้วให้เด็กน้อยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เด็กน้อยก็เริ่มแต่งเรื่องโกหกโดยเล่าว่า ระหว่างทางที่เขาเดินไปโรงเรียน มีหมาบ้าตัวหนึ่งวิ่งไล่กัดเขา เขาจึงต้องหนีเข้ามาในป่า แต่วิ่งไปวิ่งมาเขาก็เกิดหลงทาง โชคดีที่มีเรือจอดอยู่ลำหนึ่ง เขาจึงขออนุญาตยืมเรือจากเจ้าของเรือและตั้งใจที่จะพายเรือกลับบ้านเพื่อไปหาคุณพ่อคุณแม่
เมื่อเด็กน้อยเริ่มพูดโกหก ตัวของเขาก็ค่อย ๆ จางลงโดยที่เขาไม่ทันสังเกต และเมื่อเด็กน้อยโกหกพรายน้ำไปได้สักพัก ตัวของเขาก็กลายเป็นควันบางเบาคล้ายกับเนื้อตัวของพรายน้ำนั่นเอง
เด็กน้อยไม่รู้มาก่อนเลยว่า คำพูดของคนโกหกเป็นคำพูดที่ไม่มีค่า คนที่ชอบพูดโกหกจึงเป็นคนไร้ค่าไร้ความหมาย การจะมีตัวตนอยู่หรือไม่มีนั้นจึงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ ท้ายที่สุด เด็กที่ชอบโกหกจึงต้องกลายสภาพเป็นพรายน้ำและอาศัยอยู่ใต้น้ำโดยไม่มีโอกาสกลับไปอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่พวกเขารักด้วย
ทันทีที่เด็กน้อยรู้ว่าตนเองกำลังจะกลายเป็นพรายน้ำ เด็กน้อยก็ตกใจและร้องไห้ไม่ยอมหยุด พรายน้ำจึงกล่าวว่า ตัวของมันก็เคยเป็นเด็กที่ชอบโกหกมาก่อน มันจึงเตือนไม่ให้เด็กน้อยโกหกใคร ๆ อีก แต่เมื่อเด็กน้อยไม่รักษาคำพูด เด็กน้อยจึงควรทำใจรับผลแห่งการกระทำของตนเองเสีย
เมื่อพรายน้ำพูดจบ เด็กน้อยที่เพิ่งกลายสภาพเป็นพรายน้ำก็เอาแต่ร้องไห้ ๆ และร้องไห้เขาร้องไห้อยู่นานมาก ในที่สุด เขาก็ร้องไห้จนหมดสติ
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครรู้ แต่เมื่อเด็กน้อยค่อย ๆ ลืมตาตื่น เขาก็พบกับสิ่งที่คาดไม่ถึง เพราะบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขา…ไม่ใช่พรายน้ำ แต่กลับเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ร้องไห้และคอยเรียกให้เขาฟื้นคืนสติ
จริง ๆ แล้ว พรายน้ำไม่ได้เป็นคนช่วยเด็กน้อย แต่ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของเรือต่างหากที่กระโดดลงไปในทะเลสาบแล้วช่วยให้เด็กน้อยรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
เด็กน้อยไม่รู้เลยว่า ตัวของเขาหมดสติไปตั้งแต่ตอนที่เรือจมลงไปในน้ำ ซึ่งตลอดเวลาที่เขาหมดสติ เขาก็ฝันเป็นตุเป็นตะว่ามีพรายน้ำมาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
แม้เรื่องทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มันก็เหมือนจริงและน่ากลัวเสียจนเด็กน้อยปล่อยให้มันผ่านเลยไปเฉย ๆ ไม่ได้
เด็กน้อยหวนคิดถึงคำพูดที่ว่า “คำพูดของคนโกหกเป็นคำพูดที่ไม่มีค่า คนที่ชอบพูดโกหกจึงเป็นคนไร้ค่าไร้ความหมาย” เด็กน้อยไม่อยากเป็นคนไร้ค่าและอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่เขารักตลอดไป ด้วยเหตุนี้ เมื่อเด็กน้อยได้สติ เขาจึงโผเข้ากอดคุณพ่อคุณแม่ที่เขารัก จากนั้น เขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง พร้อมกับสัญญาว่า เขาจะไม่มีวันพูดโกหกอีกเป็นอันขาด
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เด็กน้อยก็รักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่ เขาเลิกเป็นเด็กดื้อเด็กซนและไม่เคยทำให้ตัวเองไร้ค่าไร้ความหมายด้วยการพูดโกหกใคร ๆ อีกเลย
ดีจังเลยค่ะ การสอนด้วยนิทานเป็นการสอนที่เด็กๆจะจดจำได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องบังคับ พอเล่าจบเค้าบอกเองเลยค่ะว่า เค้าจะไม่โกหกเหมือนในนิทาน ^^ ปลื้มจังค่ะ
LikeLike
คนแต่งนิทานอ่านแล้ว ชื่นใจที่สุด ขอบคุณมาก ๆ นะครับ
LikeLike