สมัยที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นนักแต่งนิทานอยู่ที่นิตยสารขวัญเรือน ผมเคยแต่งนิทานเรื่องหนึ่งให้กับตัวเอง คือนิทานที่มีชื่อเรื่องว่า “ชายผู้ปลูกดอกไม้สีจาง” ต่อมา ก่อนที่นิตยสารขวัญเรือนจะปิดตัวได้ไม่นาน ทางนิตยสารมีการปรับเปลี่ยนคนแต่งนิทาน ทำให้ผมมีโอกาสได้แต่งนิทานเรื่องที่ 415 ซึ่งเป็นนิทานเรื่องสุดท้าย นิทานเรื่องนี้จึงเป็นนิทานเรื่องพิเศษอีกเรื่องที่ผมตั้งใจแต่งเป็นบทสรุปของการทำงานอันยาวนานในฐานะนักแต่งนิทานของผม ถ้าคุณ ๆ ที่ติดตามเวปนี้อยู่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้จนจบ ผมเชื่อว่า คุณ ๆ อาจยิ้มไปกับผม เพราะนิทานเรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว แต่บางสิ่งบางอย่างที่นิทานเรื่องนี้พูดถึง มันได้กลายเป็นจริง ณ วันนี้ ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามและให้กำลังใจมาโดยตลอดครับ
นิทานเรื่อง ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง
กาลครั้งหนึ่ง ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งฝันอยากปลูกต้นไม้หายากที่เขาเคยเห็นตอนเด็ก ๆ ต้นไม้ดังกล่าวเป็นต้นไม้ที่ออกดอกสีจาง ที่แม้ดอกจะไม่มีสีฉูดฉาดสะดุดตาหรือมีกลิ่นหอมฟุ้งแบบดอกไม้อื่น ๆ แต่มันเป็นดอกไม้ที่ดูอ่อนโยนและช่วยทำให้หัวใจเบิกบานทันทีที่ได้เห็น ชายหนุ่มคิดว่าต้นไม้ที่ออกดอกสีจางเป็นต้นไม้ที่วิเศษมาก แต่น่าเสียดาย…ที่ไม่มีใครได้พบต้นไม้ชนิดนี้มานานมากแล้ว ชายหนุ่มจึงอยากปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางให้งอกงามขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขาอยากทำให้ผู้คนมีความสุขเพิ่มขึ้นจากการได้เห็นดอกไม้ชนิดนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ชายหนุ่มจึงนำเงินสะสมที่มีอยู่ทั้งหมด ไปซื้อเมล็ดพันธุ์ชุดสุดท้ายจากธนาคารเมล็ดพันธุ์ แล้วนำเมล็ดพันธุ์ไปขอปลูกในเมือง 3 เมืองที่มีสภาพพื้นดินและอากาศเหมาะสมต่อการปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางมากที่สุด
เมื่อชายหนุ่มเดินทางไปยังเมือง ๆ แรกที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมและได้พูดคุยกับเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็บอกกับชายหนุ่มว่า “เราไม่ต้องการต้นไม้หรอก เพราะต้นไม้ไม่ทำให้เกิดเงินทองเหมือนกับเครื่องจักรในโรงงาน เพราะฉะนั้น เธอจงไปปลูกต้นไม้ที่อื่นเถอะนะ”
ชายหนุ่มผิดหวังที่ถูกปฏิเสธ แต่เขายังไม่ยอมทิ้งความฝัน ชายหนุ่มจึงเดินทางไปยังเมืองอีกเมืองหนึ่งซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีฉูดฉาด แล้วขอเข้าพบกับเจ้าเมืองอย่างไม่รอช้า
หลังจากที่ชายหนุ่มได้พูดคุยกับเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็บอกกับชายหนุ่มว่า “เมืองของเราชอบแต่ดอกไม้สีฉูดฉาดสดใส ไม่มีใครชอบดอกไม้สีจางหรอก เธอเอาต้นไม้ของเธอไปปลูกที่เมืองอื่นเถอะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อถูกปฏิเสธ แต่เขายังมีความหวัง เขาจึงเดินทางไปยังเมืองที่มีต้นไม้ดอกไม้เต็มไปหมด จากนั้น เขาก็ขอเข้าพบกับเจ้าเมืองทันที
หลังจากที่เจ้าเมืองได้พูดคุยกับชายหนุ่ม เจ้าเมืองก็บอกชายหนุ่มว่า “จริง ๆ แล้ว เมืองของเราเป็นเมืองที่ทุก ๆ คนรักต้นไม้และดอกไม้มาก แต่พวกเรามีต้นไม้มากพอแล้ว เราคงไม่ต้องการต้นไม้มากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ”
เมื่อเจ้าเมืองทั้ง 3 เมืองพากันปฏิเสธ ชายหนุ่มจึงจำใจต้องนำเมล็ดพันธุ์กลับบ้านด้วยความสิ้นหวัง
ชายหนุ่มเก็บตัวอยู่ในบ้านและจมอยู่ในห้วงทุกข์นานหลายสัปดาห์ ความฝันของเขาที่อยากสร้างความสุขให้แก่ผู้คนด้วยดอกไม้สีจางจบลงทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ลงมือปลูกมันเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มเสียใจและท้อแท้จนไม่อยากสู้ต่อไปอีก แต่แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่ชายหนุ่มจมอยู่ห้วงทุกข์ จู่ ๆ ความทรงจำเมื่อครั้งที่ชายหนุ่มยังเป็นเด็กก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
ในห้วงความคิด ชายหนุ่มจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง ที่บ้านของเขาเคยปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางเอาไว้ และนั่นจึงทำให้เขาได้เห็นดอกไม้สีจางเป็นครั้งแรก
เมื่อชายหนุ่มระลึกได้ว่า สภาพดินและอากาศที่บ้านของเขาสามารถปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางให้เจริญเติบโตได้ ดังนั้น หากเขาปรับปรุงสภาพดินให้ดีขึ้น แล้วนำเมล็ดพันธุ์มาปลูกในสวนของตัวเองด้วยความเอาใจใส่ บางที…ต้นไม้ที่ออกดอกสีจางก็อาจงอกงามและออกดอกให้ผู้คนได้เห็นอีกครั้ง
เมื่อชายหนุ่มคิดเช่นนี้ เขาจึงฮึดสู้ แล้วลงมือปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางในสวนของตัวเองอย่างสุดความสามารถ
ไม่กี่ปีต่อมา ต้นไม้ที่ชายหนุ่มปลูกก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้น จนกระทั่งออกดอกสีจาง ที่แม้จะไม่ฉูดฉาดสะดุดตาหรือมีกลิ่นหอมฟุ้งชวนฝัน แต่มันก็เป็นดอกไม้ที่ดูอ่อนโยนและช่วยทำให้หัวใจเบิกบานได้จริง ๆ
ชายหนุ่มดีใจที่เขาทำสิ่งที่ฝันได้สำเร็จ (แม้มันจะเป็นการปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสีจางในสวนเล็ก ๆ ของเขาเพียงต้นเดียวเท่านั้น) แต่นอกจากชายหนุ่มจะทำความฝันให้กลายเป็นจริงได้แล้ว สิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยก็คือ เขาได้จุดประกายให้เด็ก ๆ ที่ได้เห็นดอกไม้สีจาง เกิดความฝันที่อยากจะปลูกดอกไม้สีจางเพื่อสร้างความสุขให้แก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
หลายปีต่อมา ต้นไม้ที่ออกดอกสีจางจึงค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละน้อย…ทีละน้อย จนเมืองทุกเมืองต่างมีต้นไม้ที่ออกดอกสีจางอย่างน้อยเมืองละหนึ่งต้น และมันก็ทำให้ผู้คนที่ได้พบเห็นมีความสุขเพิ่มขึ้นได้จริง ๆ
ในที่สุด ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจางก็กลายเป็น…ความจริง
#นิทานนำบุญ
………………………………….
