ตอนที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งนิทานก่อนนอนเรื่องนี้ เป็นช่วงที่ผมเข้าวัดปฏิบัติธรรมที่จังหวัดขอนแก่น นิทานเลยเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัด แถมยังได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิดที่พระอาจารย์ (เอนก เตชะวโร) เคยเปรยให้ฟังว่า “วันอาทิตย์ อยากให้พ่อแม่ลูกพากันมาที่วัด มากินข้าวกัน มาใช้เวลาร่วมกัน เพราะอยากให้เด็กรู้สึกคุ้นเคยกับวัด รู้สึกว่าวัดคือที่พึ่ง คือที่สงบ หากวันใดมีปัญหา เด็กจะได้รู้ว่า ยังมีวัดอีกที่ ที่พวกเขาสามารถมาปรึกษาปัญหาได้” คำพูดของพระอาจารย์ทำให้ผมเกิดความคิดบางอย่าง จนพัฒนากลายมาเป็นนิทานเรื่องต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หวังว่าจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ และถ้าใครได้แรงบันดาลใจจากนิทานเรื่องนี้ ก็ลองนำแนวคิดไปทำกันดูนะครับ
นิทานเรื่อง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง เป็นครอบครัวที่ทั้งคุณพ่อ, คุณแม่และลูกชายตัวน้อยต่างไม่มีความสุขสักเท่าไรนัก ทั้งนี้เพราะคุณพ่อต้องคร่ำเคร่งกับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินมาดูแลครอบครัว, คุณแม่ต้องจัดการงานบ้านให้เรียบร้อย…จนสติแทบแตก ส่วนลูกชายก็ต้องทนทำแบบฝึกหัดเล่มหนาปึ้กเพื่อเตรียมสอบเข้าชั้นป. 1 ทุกคนจึงวุ่นวายอยู่กับภาระถึงขั้นไม่มีเวลาให้กันและกัน จนคุณพ่อเริ่มตระหนักว่า มีบางสิ่งในครอบครัวที่เขาต้องหาทางแก้ไขโดยด่วน
วันหนึ่ง คุณพ่ออ่านหนังสือและพบว่า มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านที่พ่อ, แม่, ลูก มักจูงมือกันไปที่วัด ซึ่งไม่ว่าผู้คนจะเข้าไปในวัดด้วยหน้าตาหม่นหมองสักเพียงไร พวกเขาก็จะออกมาจากวัดด้วยรอบยิ้มที่แจ่มใสราวกับว่าในวัดมีสิ่งสักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปัดเป่าความทุกข์ใจของทุกคนให้หมดไปได้ เมื่อคุณพ่อเล่าเรื่องที่อ่านให้คุณแม่และลูกชายฟัง พวกเขาจึงตัดสินใจออกเดินทางไปยังวัดแห่งนั้นทันที
ครั้นเมื่อทุกคนไปถึงวัด แต่ละคนก็มองหาสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่พวกตนคิด
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ชีวิตสุขสงบอยู่ที่ไหนกันนะ” คุณพ่อคิด
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เรามีสติไม่ปวดหัวอยู่ที่ไหนกันนะ” คุณแม่บ่นเบา ๆ
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปัดเป่าข้อสอบออกไปและทำให้ฉันสนุกจนยิ้มได้อยู่ที่ไหนกันนะ” ลูกชายรำพึง
ในขณะนั้นเอง มีชาวบ้านครอบครัวหนึ่งเดินจูงมือกันเข้ามาในวัดพอดี คุณพ่อจึงรีบถามถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดที่ช่วยบันดาลความสุขมาให้ ซึ่งเมื่อชาวบ้านได้ฟัง พวกเขาก็ยิ้มแล้วบอกว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สุขสงบ, มีสติและสนุกสนานน่าจะเป็นต้นไม้วิเศษที่ลานด้านโน้นกระมัง”
เมื่อคุณพ่อ, คุณแม่และลูกชายมองตามที่ชาวบ้านชี้ พวกเขาก็เห็นเพียงลานหญ้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่แลดูเหมือนป่าขนาดย่อม ซึ่งดูอย่างไรก็ไม่แตกต่างไปจากต้นไม้ในวัดป่าอื่น ๆ
เมื่อชาวบ้านเห็นสีหน้าของพ่อ, แม่และลูกชายที่ดูสงสัย ชาวบ้านจึงชวนแขกทั้งสามให้เดินตามไปที่ต้นไม้ แล้วเล่าว่า “ต้นไม้ทุกต้นในวัดมีป้ายชื่อครอบครัวผู้ปลูกปักอยู่ที่โคนต้น ต้นไม้ของบางครอบครัวปลูกมาตั้งแต่สมัยที่ปู่ย่าตายายยังมีชีวิตอยู่ พวกเราจึงผูกพันกับต้นไม้ที่ครอบครัวของเราดูแลมาก”
ภรรยาของชาวบ้านคนนั้นเล่าเสริมว่า “การดูแลต้นไม้สักต้นให้เติบโตไม่ใช่เรื่องง่าย มีปัญหาที่เราต้องช่วยกันแก้หลายต่อหลายอย่าง ซึ่งเมื่อเราเรียนรู้ความจริงจากการดูแลต้นไม้ เราก็เอาสิ่งที่เรียนรู้ไปดูแลครอบครัวและช่วยกันแก้ปัญหาที่ได้พบ”
เด็กน้อยลูกของชาวบ้านทั้งสองเล่าเพิ่มเติมว่า “ต้นไม้ที่คุณปู่ปลูกต้นนี้ ทำให้พวกเรานึกถึงท่านเสมอแม้ว่าท่านจะจากไปแล้ว บางครั้งคุณพ่อจะมานั่งสมาธิที่ใต้ต้นไม้ทำให้ได้ความสงบ บางคราวคุณแม่จะมาเดินจงกรมทำให้ได้เจริญสติ ส่วนหนูชอบวิ่งเล่นดูนู่นดูนี่ ซึ่งทำให้ได้ความรู้ที่ไม่มีในตำรา ต้นไม้ของครอบครัวจึงเป็นต้นไม้ที่แสนวิเศษที่ทำให้พวกเราได้พักและมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาวัด”
คำบอกเล่าของชาวบ้านทำให้คุณพ่อ, คุณแม่และลูกชายหันมาพิจารณาชีวิตของตัวเองอีกครั้ง เงินทอง, งานบ้านหรือการสอบ (ที่ต่างคนต่างทำ) ไม่สำคัญเท่ากับการที่ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกัน, แก้ปัญหาต่าง ๆ ร่วมกัน และเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การจัดสรรเวลาในการทำงาน, การใช้ชีวิตและการดูแลครอบครัวอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างมีความสุขได้อย่างแท้จริง
เมื่อคุณพ่อ, คุณแม่และลูกชายค้นพบสิ่งวิเศษที่ทำให้หัวใจเบิกบานเช่นนี้ พวกเขาจึงกล่าวคำขอบคุณชาวบ้านและขออนุญาตเจ้าอาวาสปลูกต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวในเขตวัดอีกสักต้น โดยพวกเขาสัญญาว่าจะหมั่นมาดูแลต้นไม้ต้นน้อยของครอบครัวให้เติบโตอย่างแข็งแรงมั่นคง พร้อม ๆ กับใช้สมาธิ, สติและปัญญาดูแลครอบครัวน้อย ๆ ของพวกเขาให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้น
นับจากนั้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้ครอบครัวน้อย ๆ ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างมีความสุขในทุกช่วงจังหวะของชีวิต.
#นิทานนำบุญ

ขอบคุณสำหรับนิทานดีๆครับ❤
LikeLike
ตอนที่แต่ง ผมกลัวคนอ่านไม่เข้าใจ พอได้รับความคิดเห็นนี้ ทำให้ดีใจมาก ๆ ขอบพระคุณมาก ๆ นะครับ
LikeLike
อ่านแล้วทำให้อยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้นค่ะ ❤
LikeLike
ขอบคุณมาก ๆ นะครับที่ทักทายมา ดีใจที่ได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ จากนิทานนะครับ
LikeLike
รักเลยครับ ❤️ ผมอ่านนิทานของน้าให้สาวคนนึงฟังทุกคืนเลยครับ คือเขาชอบฟังนิทานก่อนนอน และเจาก็ชอบฟังนิทานของน้ามากเลยครับ ขอบคุณครับ
LikeLike
ดีใจจังครับ ที่นิทานของผมทำให้สาวคนสำคัญของคุณณัฐนนท์มีความสุข ขอให้รักกันยืนยาว จะรอฟังข่าววันที่ทั้งสองคน อ่านนิทานของผม ให้ลูก ๆ ฟังนะครับ 🙂 คงเป็นเรื่องที่วิเศษมากเลยครับ
LikeLike
รักเลยครับ ❤️ ผมอ่านนิทานของน้าให้สาวคนนึงฟังทุกคืนเลยครับ คือเขาชอบฟังนิทานก่อนนอน และเจาก็ชอบฟังนิทานของน้ามากเลยครับ ขอบคุณครับ
LikeLike
อ่านเเล้วรู้สึกอบอุ่นครับชอบมากครับ
ผมเล่านิทานของคุณไห้เเฟนฟังมา3ปีละครับวนไปซ้ำเเล้วซ้ำอีกเขียนมาอีกเยอะๆนะครับสักวันผมอาจจะได้เล่าไห้ลูกผมฟังครับ
LikeLike
คุณตุ้ยเป็นคนที่อบอุ่นมากเลยครับ อยากเห็นวันที่ลูกของคุณตุ้ยได้มาฟังพ่อเล่านิทานจังครับ นิทานที่พ่อเล่าแล้วแม่ฟัง แล้ววันนึงก็เล่าให้ลูกฟัง ผมขอขอบคุณจากใจที่ให้เกียรติเลือกอ่านนิทานนำบุญให้คนที่คุณตุ้ยรักได้ฟังนะครับ (นิทานที่ผมแต่งไว้ยังมีอีกเกือบ 200 เรื่องครับ แต่อาจจะโพสต์เรื่องใหม่น้อยลง เพราะต้องเริ่มทำสื่ออื่นเพื่อหารายได้ให้ตัวเองบ้าง ยังไง ติดตามไปเรื่อย ๆ นะครับ ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ)
LikeLike
ขอบคุณมากค่ะ ที่แต่งนิทานที่รู้สึกอบอุ่น อ่านให้ลูกๆฟังทุกวันเลยค่ะ
LikeLike
ขอบคุณเช่นกันนะครับ
LikeLike