นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายเอื่อยเฉื่อย” พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารขวัญเรือนในชื่อเรื่อง “เจ้าชายเบ็งเก้” ซึ่งเป็นชื่อสมมติที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ใช้เป็นจุดสร้างแรงบันดาลใจในการแต่งเรื่อง (บางครั้ง ผมจะคิดชื่อตัวละครแปลก ๆ แล้วสร้างภาพในใจ ก่อนที่จะแต่งเรื่องราวออกมา) นิทานเรื่องนี้ มีที่มาจากพฤติกรรมของตัวผมเอง คือ ในช่วงวัยรุ่น ผมเป็นคนช่างคิดช่างฝัน มีโครงการในหัวเต็มไปหมด แต่แทบจะไม่ได้ลงมือทำ จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ ในนิทานเรื่องนี้ ทำให้ผมตระหนักถึงความจริงบางอย่างของชีวิต และทำให้พฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนไป ดังนั้น ผมจึงหวังว่านิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายเอื่อยเฉื่อย” น่าจะเป็นนิทานที่มีประโยชน์และเป็นที่ถูกใจของทุก ๆ คนนะครับ
นิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าชายเอื่อยเฉื่อย
เจ้าชายเบ็งเก้เป็นมกุฏราชกุมารแห่งอาณาจักรไคซัสซึ่งเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือใกล้กับเขตขั้วโลก เจ้าชายเบ็งเก้ทรงเป็นเจ้าชายรูปงามที่ถึงพร้อมไปด้วยความสามารถ ความเมตตา และสติปัญญาอันเฉียบแหลม แม้เจ้าชายเบ็งเก้จะมีคุณสมบัติที่เหมาะสมแก่การเป็นองค์รัชทายาทแห่งพระราชอาณาจักร และพระราชาและพระราชินีกลับรู้สึกอิดหนาระอาใจต่อนิสัยที่แสนเอื่อยเฉือยของเจ้าชาย ที่มักจะผัดวันประกันพรุ่ง ชอบเลื่อนเวลาออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่ยอมลงมือลงแรงทำสื่งที่ตนคิดให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเสียที
ทุก ๆ ครั้งที่พระราชาและพระราชินีเรียกเจ้าชายมาตักเตือน เจ้าชายมักจะแก้ตัวด้วยถ้อยคำซ้ำ ๆ ว่า “เอาไว้ก่อนเถิด กระหม่อมยังมีเวลาอีกมาก” เจ้าชายทรงมองไม่เห็นคุณค่าของเวลาเอาเสียจริง ๆ เพราะพระองค์ทรงคิดว่า ชีวิตของมนุษย์ยืนยาวได้ถึงเกือบ 100 ปี ดังนั้น พระองค์จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบ
เจ้าชายเบ็งเก้ทรงเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตแบบเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจคำเตือนของพระบิดาและพระมารดาเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายผู้ดื้อรั้นเกิดล้มป่วยลงด้วยอาการประหลาดที่พระองค์ไม่เคยประสบมาก่อนเลย เจ้าชายทรงรู้สึกอึดอัด หายใจติดขัด อยากอาเจียร แถมยังเกิดอาการหนาวสั่นเหมือนคนจับไข้ เจ้าชายเริ่มตระหนักว่าการเจ็บป่วยครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ ดังนั้น เจ้าชายจึงสั่งให้ทหารรีบไปเชิญหมอหลวงมาตรวจพระอาการโดยด่วน
หมอหลวงซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ตรวจอาการของเจ้าชายด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด เจ้าชายเบ็งเก้ไม่เคยเห็นหมอหลวงผู้อาวุโสแสดงความวิตกกังวลมากเช่นนี้มาก่อน และหลังจากที่หมอหลวงตรวจพระอาการของเจ้าชายอยู่นานสองนาน ในที่สุด หมอหลวงก็แจ้งให้เจ้าชายทราบว่า หลังจากที่เจ้าชายรับประทานยาแล้ว เจ้าชายก็จะมีอาการที่ดีขึ้น แต่โรคร้ายนี้มิอาจเยียวยารักษาได้ พระองค์จะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 30 วันเท่านั้น!
เจ้าชายเบ็งเก้ทรงนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยจากแพทย์หลวง พระองค์มีเรื่องมากมายที่อยากจะทำแต่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำเลยแม้สักเรื่อง เวลาที่เหลืออยู่เพียงเดือนเดียวคงไม่เพียงพอที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เจ้าชายทรงรู้สึกเคว้งคว้างและเริ่มเห็นความสำคัญของเวลาเป็นครั้งแรก
พระราชากับพระราชินีทรงสงสารพระโอรสยิ่งนัก ทั้งสองพระองค์ทรงให้กำลังใจเจ้าชายและบอกให้เจ้าชายเขียนสิ่งที่ต้องการจะทำลงในกระดาษ จากนั้น ท่านทั้งสองก็สัญญากับเจ้าชายว่า ในช่วงเวลา 30 วันที่เหลืออยู่ ท่านทั้งสองจะคอยสนับสนุนเพื่อทำให้ความตั้งใจของเจ้าชายสัมฤทธิ์ผลให้จงได้
เจ้าชายเบ็งเก้ทรงมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น พระองค์ทรงขบคิดถึงสิ่งที่พระองค์อยากจะทำเพื่อฝากเอาไว้ให้แก่พสกนิกรที่พระองค์รักแสนรัก เจ้าชายฝันที่จะสร้างห้องสมุดนิทานสำหรับเด็ก เล็ก ๆ พระองค์อยากจะทำศูนย์กีฬาให้คนหนุ่มคนสาว และเจ้าชายต้องการจะก่อตั้งสถานดูแลผู้สูงอายุที่เหงาและว้าเหว่ เจ้าชายทรงร่างโครงการทั้งหมดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น พระองค์ก็รีบนำโครงการไปถวายให้แก่พระบิดาและพระมารดาทันที
เมื่อพระราชากับพระราชินีได้พิจารณาโครงการทั้งสามของเจ้าชายแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็อนุญาตให้เจ้าชายเกณฑ์พลจากกองทัพไปช่วยงานได้ตามประสงค์ เจ้าชายทำงานหามรุ่งหามค่ำจนเกือบจะไม่มีเวลาพักผ่อน พระองค์ทรงปิติที่เห็นโครงการของพระองค์เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทีละน้อย และหลังจากการทำงานแข่งกับเวลา ในที่สุด โครงการในฝันทั้งหมดก็สำเร็จลุล่วงลงได้โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 สัปดาห์เท่านั้น!
เวลา 5 สัปดาห์เท่ากับ 35 วัน เจ้าชายเบ็งเก้ทรงแปลกใจที่พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปเกินกว่าที่หมอหลวงได้เคยแจ้งเอาไว้ เจ้าชายเบ็งเก้อยากทราบสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงสั่งทหารให้รีบไปตามหมอหลวงมาเข้าเฝ้าเพื่อไขข้อสงสัย
หมอหลวงผู้ชราภาพคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจ้าชาย แล้วเงยหน้ามองพระราชากับพระราชินีพลางหัวเราะแหะ ๆ พระราชากับพระราชินีทรงอมยิ้มแล้วปล่อยให้เจ้าชายฉงนสนเท่ห์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น ทั้งสองพระองค์ก็ช่วยกันเฉลยแผนการทั้งหมดให้เจ้าชายได้รับทราบ
เจ้าชายนึกขำที่ตนเองหลงกลของพระบิดาและพระมารดาที่มีหมอหลวงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดโดยมิได้คลางแคลงสงสัย อย่างไรก็ตาม เจ้าชายเบ็งเก้ก็ทรงยินดีที่ความเบาปัญญาของพระองค์ในครั้งนี้ ทำให้พระองค์ได้ตระหนักถึงคุณค่าของเวลาอย่างถ่องแท้
เจ้าชายเบ็งเก้ทรงเลิกนิสัยชอบผัดวันประกันพรุ่ง แล้วลงมือทำโครงการใหม่ ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เพื่อสร้างสรรค์ความสุขให้แก่ประชาชนชาวไคซัส และหลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายเบ็งเก้ก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระบิดา และกลายมาเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้รับความรักจากพสกนิกรอย่างท่วมท้น
#นิทานนำบุญ
…………………..
