Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานสั้นสอนใจ : รองเท้าของพ่อ

นิทานสั้นสอนใจเรื่องนี้มีที่มาแปลก ๆ ครับ   คือมีอยู่คืนหนึ่งผมนั่งดูโทรทัศน์รายการพิเศษรายการหนึ่ง  ในรายการมีคุณวัชระ ปานเอี่ยม มาแสดงละครเรื่องอะไรก็ไม่รู้ โดยแกสวมบทเป็นพ่อที่กำลังนั่งซ่อมเก้าอี้อยู่   ในขณะนั้น  ลูกชายก็ถามพ่อว่า “พ่อจะซ่อมเก้าอี้ไปทำไม  ไปซื้อใหม่ง่ายกว่า”   คุณวัชระก็ตอบลูกไปในทำนองที่ว่า  “ของจะมีค่ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าจะใช้มันให้มีประโยชน์ได้มากสักแค่ไหน  เก้าอี้ตัวนี้ยังพอซ่อมได้ พ่อจึงอยากซ่อมเพื่อให้มันใช้งานได้ต่อไป…เพื่อให้มันมีค่ามากที่สุด”  (ผมเรียบเรียงไม่ตรงกับที่เขาพูดสักเท่าไหร่  เพราะจำไม่ค่อยได้  แต่รู้ว่าคำที่คุณเจี๊ยบพูดโดนใจผมมาก ๆ )  คำว่าของมีค่าจึงผุดขึ้นมาในใจของผม และทำให้ผมอยากนำความคิดดี ๆ แบบนี้มาถ่ายทอดลงไปในนิทาน   ผมพยายามคิดplotเรื่องอยู่หลายรูปแบบ  พอดีนึกขึ้นได้ว่าฉบับนี้จะตรงกับช่วงวันพ่อ  ผมจึงพยายามคิดเรื่องที่เกี่ยวกับพ่อ ๆ ลูก ๆ ให้เข้ากับเทศกาล   และพยายามคิดว่าของอะไรนะที่ดูไม่มีค่า  แต่จริง ๆ แล้วมันมีค่ามาก ๆ เพราะเราใช้งานมันเยอะมาก  ในที่สุด ก็มาลงตัวที่รองเท้า   ผมจึงผูกเรื่องรองเท้าของพ่อขึ้นมา ซึ่งมีความหมายซ่อนอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะการเป็นสัญลักษณ์ของลูกที่พยายามเดินตามรอยเท้าพ่อ    หวังว่าคงชอบกันนะครับ     

นิทานเรื่อง รองเท้าของพ่อ

นานมาแล้ว  มีเศรษฐีผู้หนึ่งต้องการทดสอบว่าลูกคนใดเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำครอบครัว และมีความสามารถพอที่จะรักษาทรัพย์สมบัติที่เขาทุ่มเทสร้างขึ้นให้ตกทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้   ด้วยเหตุดังกล่าว  เศรษฐีจึงวางแผนให้ลูกชายทั้งสามของเขาแยกย้ายกันไปสร้างหลักปักฐาน โดยเศรษฐีผู้เป็นพ่อยินดีให้ลูก ๆ แต่ละคนขอของมีค่าเป็นทุนตั้งต้นได้คนละหนึ่งอย่าง 

ลูกชายคนเล็กผู้รักความสบายบอกกับพ่อโดยแทบไม่ต้องคิดว่า  เขาขอเลือกเงินทองของพ่อสักจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปใช้ทำทุนในการเริ่มต้นชีวิต  

ฝ่ายลูกชายคนกลางซึ่งเกิดมาในช่วงที่ครอบครัวเริ่มมีฐานะนั้น  แม้เขาจะเคยเห็นพ่อทำงานหนัก  แต่เขากลับไม่นึกอยากที่จะต้องทำงานหนักเหมือนกับพ่อ   ด้วยเหตุนี้  ลูกชายคนกลางจึงเลือกขอบ้านพักตากอากาศพร้อมกับคนงาน 2-3 คน  เพื่อเปิดบ้านเป็นที่พักชายทะเลสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว  

ส่วนลูกชายคนโตซึ่งเห็นพ่อสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความอุตสาหะมาโดยตลอด  เขาภูมิใจในตัวพ่อ และอยากเจริญรอยตามแนวทางที่พ่อได้กระทำไว้   ดังนั้น  ลูกชายคนโตจึงขอรองเท้าคู่เก่าของพ่อ เพื่อนำไปใช้เป็นสิ่งเตือนใจในการสู้ชีวิต

เศรษฐีผู้เป็นพ่อมอบของมีค่าให้แก่ลูกทั้งสามตามคำขอ  จากนั้น ท่านก็อวยพรและนัด-หมายให้ลูก ๆ สุดที่รักกลับมาเยี่ยมตนเองพร้อม ๆ กันในอีก 5 ปีข้างหน้า

นับจากวันนั้น  ลูก ๆ ของเศรษฐีต่างแยกย้ายกันไปสร้างเนื้อสร้างตัวตามหนทางที่ตัวเองเลือก  ลูกชายคนเล็กนำเงินที่ได้รับไปซื้อบ้านและสร้างความสุขสบายส่วนตัวจนทรัพย์สินร่อยหรอลงเรื่อย ๆ    ส่วนลูกชายคนกลางซึ่งเปิดบ้านเป็นที่พักชายทะเลนั้น   กิจการของเขาดำเนินไปได้ด้วยดี  แต่เพราะเขาไม่อยากเหน็ดเหนื่อยจนเกินความจำเป็น   ด้วยเหตุนี้  กิจการของเขาจึงอยู่ในสภาพที่แค่พอเลี้ยงตัวได้เท่านั้น 

ฝ่ายลูกชายคนโตซึ่งขอรองเท้าที่พ่อเคยใส่ทำงานแทนของมีค่าอื่น ๆ   เมื่อเขาได้รับรองเท้าจากมือพ่อ  เขาก็บรรจงขัดรองเท้าคู่เก่าของพ่อจนเงาวับ   หลังจากนั้น  เขาก็สวมรองเท้าที่พ่อเคยใส่  แล้วเริ่มออกเดินทางเพื่อหางานทำ โดยเขาตั้งใจที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ  ดังเช่นที่พ่อของเขาเคยทำเป็นแบบอย่างให้เขาเห็น

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 5 ปี   ลูก ๆ ทั้งสามต่างเดินทางกลับมาหาเศรษฐีผู้เป็นพ่อตามที่ได้สัญญากันไว้   ลูกชายคนเล็กสารภาพกับพ่อตามตรงว่า เขาใช้เงินทองที่พ่อมอบให้จนหมด และคิดว่าคงไม่อาจที่จะดูแลตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว    ส่วนลูกชายคนรองรายงานให้พ่อทราบว่า  กิจ-การของเขาไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าใดนัก  มิหนำซ้ำ  คนงานก็ค่อย ๆ ลาออกไปทีละคนสองคนอีกด้วย

ฝ่ายลูกชายคนโตซึ่งมาถึงบ้านของพ่อเป็นคนสุดท้ายรีบตรงเข้ากราบที่ตักพ่อ  แล้วเล่าให้ทุก ๆ คนฟังว่า  หลังจากที่เขาสวมรองเท้าของพ่อออกเดินทาง  เขารู้สึกเสมอว่าพ่ออยู่เคียงข้างเขาซึ่งมันทำให้เขามีพลังและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด    ทุกสถานที่ที่เขาเดินทางไปถึง  ผู้คนต่างก็พากันจับจ้องรองเท้าคู่เก่าของพ่อที่เขาดูแลและใส่ใจขัดจนเงาวับ   มิหนำซ้ำ  เมื่อเขาเล่าว่านี่เป็นรองเท้าคู่เก่าที่พ่อใช้ใส่ทำงานเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว   ผู้คนต่างก็ชื่นชมพ่อ…และพลอยชมมาถึงตัวเขา   มีคนมากมายนำรองเท้ามาให้เขาขัด   ซึ่งแน่นอนว่า…เขายอมขัดรองเท้าให้แก่คนเหล่านั้นโดยไม่คิดว่ามันเป็นงานที่ต่ำต้อย   ชื่อเสียงในการขัดรองเท้าของเขาได้รับการบอกต่อกันไปปากต่อปาก  ลูกค้าที่เขาขัดรองเท้าให้มีตั้งแต่พระราชาจนถึงยาจก   และในทุกวันนี้  เขาได้กลายมาเป็นเจ้าของร้านรองเท้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของพ่อมากนัก

เศรษฐีผู้เป็นพ่อชื่นชมในความสำเร็จของลูกชายคนโตเอาเสียมาก ๆ   และแล้ว…เศรษฐีก็ทราบแน่ชัดว่า ลูกชายคนโตคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นผู้นำครอบครัวต่อไป   เมื่อเศรษฐีเอ่ยปากที่จะมอบสมบัติที่เหลืออยู่ให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแล   ลูกชายคนโตได้กล่าวกับพ่อของเขาว่า “แบบอย่างที่พ่อได้กระทำมาเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดซึ่งพ่อได้มอบให้แก่ลูกแล้ว   ลูกไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใดจากพ่ออีก  แต่ลูกสัญญาว่าจะเก็บสมบัติของพ่อเพื่อมอบให้แก่น้องทั้งสอง  โดยลูกจะสอนให้น้อง ๆ ได้เรียนรู้วิธีในการทำงานตามแบบของพ่อ เพื่อให้พวกเขาสามารถดูแลทรัพย์สมบัติของพ่อได้ดังที่พ่อตั้งใจหวัง”

เศรษฐีปลื้มปีติที่ได้ฟังคำกล่าวของลูกชายผู้เดินตามรอยเท้าของพ่อ   และหลังจากนั้นไม่นาน  ลูกชายคนกลางกับคนเล็กก็ได้เรียนรู้และฝึกฝนตนเอง จนสามารถทำให้พ่อของเขาชื่นใจได้ไม่แพ้พี่ชายของพวกเขา  

#นิทานนำบุญ

……………………….

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.