นิทานเรื่อง อนุบาลไม่เอาไม่เอา
กาลครั้งหนึ่ง ณ โรงเรียนอนุบาลลูกสัตว์ที่เพิ่งเปิดใหม่ มีห้องเรียนเด็กเล็กห้องหนึ่งเป็นห้องที่เต็มไปด้วยลูกแมวแสนซน ที่ไม่เพียงแต่ซนเท่านั้น ยังดื้อจนครูทุกคนต่างปฏิเสธที่จะสอน
เมื่อคุณครูใหญ่ทราบถึงปัญหา ครูใหญ่กับครูทั้งหมดซึ่งมีความรู้ในระดับปริญญาโทและเอก จึงปรึกษากันจนได้ข้อสรุปว่า ทางโรงเรียนจำเป็นต้องหาครูคนใหม่มาปราบเด็กดื้อ หรือไม่ก็ต้องไล่เด็กดื้อให้ไปเรียนหนังสือที่อื่น
แม้ครูใหญ่จะไม่เก่งเรื่องการจัดการกับเด็กดื้อ แต่ครูใหญ่มั่นใจว่า การไล่เด็กดื้อออกจากโรงเรียนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ครูใหญ่จึงรีบประกาศรับครูใหม่ให้มาช่วยจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา “คุณครูกระต่ายขาว” ซึ่งเป็นคุณครูที่แสนใจดีก็เดินทางจากต่างจังหวัดมาสมัครเป็นคุณครูคนใหม่ แม้คุณครูกระต่ายขาวจะไม่ได้จบสูงแบบคุณครูคนอื่น ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ครูใหญ่จึงอนุญาตให้ครูจากบ้านนอกคนนี้ได้ทดลองดูแลเด็ก ๆ ที่ครูคนอื่นบอกว่าดื้อจนสอนไม่ไหว
ก่อนเริ่มสอน คุณครูกระต่ายขาวสอบถามคุณครูคนอื่น ๆ ว่า เด็ก ๆ ในห้องดื้ออย่างไร?
ครูหมูอู๊ดเล่าประสบการณ์ที่พบให้ครูกระต่ายขาวฟังว่า “ตอนนั้น พี่ชวนให้เด็ก ๆ กินผัก เด็กทั้งห้องก็ตอบพร้อมกันว่า ไม่เอา ไม่เอา ดูสิคะ ดื้อจริง ๆ เลย”
ครูกวางดาวเล่าให้คุณครูกระต่ายขาวฟังว่า “ตอนนั้น น้องบอกให้เด็ก ๆ นอนกลางวัน พอน้องบอกปุ๊บ เด็กทั้งห้องก็ตอบพร้อม ๆ กันว่า ไม่เอา ไม่เอา ดูสิคะ ดื้อที่สุดเลย”
คุณครูแพนด้าเล่าให้คุณครูกระต่ายขาวฟังว่า “ตอนนั้น หนูบอกให้เด็ก ๆ เก็บของเพื่อเตรียมกลับบ้าน พอหนูพูดจบ เด็กทั้งห้องก็ตอบพร้อม ๆ กันว่า ไม่เอา ไม่เอา ดูสิคะ ดื้อไปเสียทุกเรื่องจริง ๆ”
เมื่อคุณครูกระต่ายขาวได้ฟัง คุณครูกระต่ายขาวก็มองไปที่คุณครูแต่ละคนด้วยความแปลกใจ จากนั้น คุณครูกระต่ายขาวก็ขอตัวเข้าไปสอนลูกแมวน้อยทั้งหลายที่เฝ้ารอคุณครูคนใหม่ที่พร้อมจะเปิดหัวใจทำความรู้จักกับเด็ก ๆ ในชั้นเรียน ตามธรรมชาติที่เด็กเหล่านั้นเป็นจริง ๆ
คุณครูกระต่ายขาวเริ่มต้นการเรียนการสอนด้วยการแนะนำตัว แล้วจึงถามลูกแมวทั้งหมดในชั้นเรียนว่า “เด็ก ๆ มาเป็นลูกศิษย์ของครูกันนะคะ” ซึ่งลูกแมวทั้งหมดก็พร้อมใจกันตอบว่า “ไม่เอา ไม่เอา”
ครั้นเมื่อคุณครูกระต่ายขาวได้ฟังคำตอบ แทนที่คุณครูกระต่ายขาวจะโกรธและหาว่าเด็ก ๆ ดื้อ คุณครูกลับยิ้ม แล้วบอกเด็ก ๆ ว่า “ถ้างั้นครูจะขอมาเป็นครูประจำชั้นของห้องนี้…ดีไหมคะ” ซึ่งทันทีที่ลูกแมวทั้งหมดได้ฟัง ลูกแมวก็พร้อมใจกันตอบว่า “ไม่เอา ไม่เอา”
คุณครูกระต่ายขาวฟังคำตอบพร้อม ๆ กับมองแววตาของลูกแมวทั้งหมด แม้คำตอบที่ได้ยินจะมีเสียงว่า “ไม่เอา ไม่เอา” แต่สายตาของลูกแมวทุกตัวเสมือนกำลังวิงวอนว่า “ได้โปรดมาเป็นครูให้พวกเราเถอะนะ”
เมื่อคุณครูกระต่ายขาวเห็นในสิ่งนั้น คุณครูกระต่ายขาวจึงกางอ้อมแขนออกพร้อมกับบอกกับลูกแมวทุกตัวว่า “ถ้าอย่างนั้น ครูสัญญาว่าจะเป็นคุณครูประจำชั้นที่เปิดหัวใจรับฟังและรักเด็ก ๆ ของครูทุกคน มามะ มากอดรับขวัญกันสักหน่อยดีไหม” เมื่อสิ้นเสียงของครู ลูกแมวทั้งหมดก็พร้อมใจกันตอบว่า “ไม่เอา ไม่เอา” จากนั้น ลูกแมวทั้งหมดก็พากันโผเข้ากอดคุณครูกระต่ายขาวด้วยความรัก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ครูใหญ่และคุณครูคนอื่น ๆ ที่แอบดูอยู่นอกห้องต่างประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะในขณะที่เด็ก ๆ ตอบคุณครูว่า “ไม่เอา ไม่เอา” แต่พวกเขากลับโผเข้ากอดคุณครูซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำตอบ
เย็นวันนั้น เมื่อเด็ก ๆ กลับบ้านกันหมดแล้ว ครูใหญ่และครูคนอื่น ๆ จึงขอให้คุณครูกระต่ายขาวอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง คุณครูกระต่ายขาวจึงบอกว่า “ลูกแมวทั้งหมดไม่ได้ดื้อดึงเลย แต่เพราะแมวก็คือแมว ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร แมวก็ร้องว่าเมี๊ยวเมี๊ยวเสมอ ถ้าเราฟังแบบไม่ใส่ใจ เราอาจได้ยินคล้ายกับเสียงปฏิเสธว่าไม่เอาไม่เอา แต่ถ้าเราเปิดหัวใจฟังเด็กจริง ๆ มองคำตอบที่ซ่อนอยู่ในแววตาของเขาจริง ๆ เราก็จะรู้ได้ว่า แท้จริงแล้ว เด็ก ๆ ของเรารู้สึกนึกคิดอะไรอยู่”
คำตอบของคุณครูกระต่ายขาวทำให้ครูใหญ่และครูคนอื่น ๆ ได้สติ แม้พวกเขาจะมีความรู้สูงจนได้มาเป็นครูใหญ่และคุณครูในโรงเรียน แต่หากพวกเขาลืมใช้หัวใจในการดูแลเด็ก ความรู้ที่มีก็คงเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์
ในที่สุด ครูทุกคนก็ได้บทเรียนในการก้าวไปสู่การเป็นครูที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ส่วนคุณครูกระต่ายขาวก็ได้เป็นคุณครูประจำชั้นผู้เป็นที่รักของเด็ก ๆ ทุกคนตามที่ตั้งใจเอาไว้
#นิทานนำบุญ
………………
