Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

นิทานตลก ๆ ก่อนนอน เรื่อง “ยอดมนุษย์หิ่งห้อย” เป็นนิทานเกี่ยวกับยอดมนุษย์ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งลงในนิตยสารขวัญเรือน โดยแต่งเป็นชุดนิทานจำนวน 5 ตอน แบบจบในตอน ซึ่งเมื่อนำนิทานชุดนี้มาลงในเพจนิทานนำบุญ ปรากฏว่าเด็ก ๆ ชอบมาก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงนำนิทานทั้งหมดมาลงในเว็บไซต์นิทานนำบุญ โดยรวมเอาไว้เป็นชุดให้อ่านอย่างต่อเนื่อง หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ ชุดนี้นะครับ

นิทานเรื่อง ยอดมนุษย์สุดกิ๊กก๊อก

‘ศาสตราจารย์เยลลี่’ เป็นนักวิทยาศาสตร์รูปหล่อที่ใฝ่ฝันอยากจะมีพลังพิเศษเช่นเดียวกับยอดมนุษย์ทั้งหลายซึ่งเขาหลงใหลมาตั้งแต่ยังเด็ก    วันทั้งวัน…ศาสตราจารย์เยลลี่จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องทดลอง  แล้วพยายามผสมสารเคมีต่าง ๆ  เพื่อค้นหาสูตรยามหัศจรรย์ ที่จะทำให้เขาสามารถแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์ได้ดังใจปรารถนา

จนกระทั่งวันหนึ่ง  ศาสตราจารย์เยลลี่ก็คิดค้นสูตรยาแปลงกายได้สำเร็จ   ยาดังกล่าวเป็นสารเคมีที่สังเคราะห์มาจากแมลงชนิดหนึ่งซึ่งหากินในเวลากลางคืน   เมื่อศาสตราจารย์เยลลี่อยากแปลงร่าง  เขาก็เพียงแต่ดื่มยานี้เข้าไป แล้วทำท่าพร้อมกับส่งเสียงร้องตามแบบในหนังโทรทัศน์ที่ว่า  “ขอถูก้นให้ร้อนสุด ๆ เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย”   เพียงเท่านี้…ร่างกายของเขาก็จะกลายสภาพเป็น ’หิ่งห้อยแมน’  ยอดมนุษย์ในตระกูลเดียวกับพวกมดเขียวมดแดงที่ใคร ๆ ต่างก็นิยมชมชอบ

เมื่อผู้คนรู้ว่าศาสตราจารย์เยลลี่สามารถแปลงกายเป็นยอดมนุษย์ได้   ใครต่อใครในหมู่บ้านจึงพากันฝากความหวังที่จะให้หิ่งห้อยแมนคนนี้ ช่วยปกป้องพวกเขาจากภยันตรายต่าง ๆ   

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าศาสตราจารย์เยลลี่จะกลายเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อยได้อย่างที่ฝันเอาไว้  แต่เขากลับเป็นยอดมนุษย์ที่แทบจะไม่มีพลังพิเศษใด ๆ เลยแม้สักนิด  เขาบินไม่ได้เหมือนซูเปอร์แมน   วิ่งเร็วไม่เท่ากับมนุษย์สายฟ้า   สื่อสารกับสัตว์น้ำไม่ได้เหมือนกับเจ้าสมุทร  ไม่มีลูกเตะพิฆาตเช่นเดียวกับมดแดงทั้งหลาย  แต่พลังพิเศษเพียงอย่างเดียวที่เขามีก็คือ พลังในการเปล่งแสงวิบ ๆ วับ ๆ ออกมาจากก้นของเขาเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้เขากลายเป็นยอดมนุษย์ที่ดูกิ๊กก๊อกที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับยอดมนุษย์คนอื่น ๆ ที่คอยช่วยเหลือผู้คนอยู่ในโลกใบนี้

วันหนึ่ง  เกิดเหตุร้ายขึ้นในหมู่บ้านของศาสตราจารย์เยลลี่    เมื่อตำรวจและชาวบ้านทราบข่าวว่ากองโจรที่โหดร้ายที่สุดวางแผนจะบุกเข้ามาปล้นทรัพย์สินเงินทองของชาวบ้าน   ซึ่งหลังจากที่กรมตำรวจได้ประเมินสถานการณ์แล้ว  ทุก ๆ คนจึงลงความเห็นว่า เหตุร้ายในครั้งนี้หนักหนาเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถรับมือเอาไว้ได้   ดังนั้น  พวกเขาจึงพร้อมใจกันเดินทางมาขอความช่วยเหลือจากยอดมนุษย์เพียงคนเดียวที่พวกเขารู้จัก  ซึ่งก็คือศาสตราจารย์เยลลี่หรือหิ่งห้อยแมนนั่นเอง

แม้ว่าศาสตราจารย์เยลลี่ไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถปกป้องชาวบ้านได้หรือไม่  แต่ด้วยหัวใจของผู้พิทักษ์ความถูกต้อง   ศาสตราจารย์เยลลี่จึงรับปากที่จะจัดการกับพวกโจรป่าเหล่านั้น ด้วยพลังยอดมนุษย์เท่าที่เขามีอยู่

หลังจากที่ตำรวจและชาวบ้านเดินทางกลับไปแล้ว   ศาสตราจารย์เยลลี่จึงนั่งลงรวบรวมสมาธิ  พลางคิดประเมินความสามารถของตนเองว่า เมื่อหิ่งห้อยแมนเป็นยอดมนุษย์ที่ไม่มีพลังพิเศษเหมือนกับยอดมนุษย์คนอื่น ๆ   หนทางเดียวที่เขาจะเอาชนะพวกโจรได้  ก็คือการใช้สมองจัดการกับกองโจรที่แสนร้ายกาจ

ศาสตราจารย์เยลลี่พยายามคิด…คิด…แล้วก็คิด    ในที่สุด  เขาก็ค้นพบวิธีแปลก ๆ ที่น่าจะใช้หยุดยั้งพวกโจรร้ายได้สำเร็จ

คืนวันนั้น    ศาสตราจารย์เยลลี่รีบดื่มยาแปลงกาย  แล้วทำท่าพร้อมกับส่งเสียงร้องว่า “ขอถูก้นให้ร้อนสุด ๆ เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย”   ซึ่งเมื่อเขากลายร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อยแล้ว เขาก็จัดการปีนต้นไม้ไปดักรอกองโจรอยู่ที่ปากทางเข้าของหมู่บ้าน   

ท่ามกลางความเงียบสงัดในคืนเดือนมืด  บรรยากาศบริเวณนั้นดูวังเวงจนชวนให้รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน    หลังจากที่ยอดมนุษย์หิ่งห้อยเฝ้ารอพวกโจรอยู่นานถึง 5 ชั่วโมง  ในที่สุด  เหล่ากองโจรที่แสนโหดเหี้ยมก็ปรากฏตัวขึ้น และพากันเดินตรงเข้ามายังหมู่บ้านอย่างเงียบกริบ

ทันทีที่หิ่งห้อยแมนเห็นพวกโจรเดินตรงเข้ามา  เขาก็จัดการเปล่งแสงไฟกระพริบวิบวับออกมาจากก้นของเขาตามแผนที่วางเอาไว้   จากนั้น  เขาก็แกล้งดัดเสียงเป็นผู้หญิง  แล้วร้องโหยหวนว่า  ”อยากกินเลือด…อยากกินเลือด”  ไม่ยอมหยุด   

แสงไฟกระพริบวิบวับ  ประกอบกับเสียงร้องที่โจรได้ยิน  ทำให้พวกโจรเกิดการเข้าใจผิดคิดว่ายอดมนุษย์หิ่งห้อยเป็นผีกระสือที่มาดักรอกินเลือดของพวกโจรทั้งหลาย

โจรร้ายตัวสั่นเป็นจ้าวเข้า  บางคนถึงกับฉี่ราดเลอะเทอะไปหมด   และทันทีที่พวกโจรตั้งสติได้  พวกโจรก็พากันเผ่นแน่บและไม่คิดที่จะเฉียดกรายเข้าใกล้หมู่บ้านแห่งนั้นอีกเลย

ในที่สุด  ยอดมนุษย์หิ่งห้อยก็สามารถปกป้องหมู่บ้านได้เป็นผลสำเร็จ  แม้ยอดมนุษย์หิ่งห้อยอาจจะไม่มีพลังพิเศษเช่นเดียวกับยอดมนุษย์คนอื่น ๆ   แต่พลังแห่งสติปัญญาของเขานั้นนับได้ว่าไม่เป็นสองรองใครแน่ ๆ 

และนี่คือเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นยอดมนุษย์   แม้เขาจะได้เป็นยอดมนุษย์สมดังความมุ่งหวังแล้วก็ตาม  แต่ภารกิจในการช่วยเหลือผู้คนยังมีอีกมาก   พวกเราคงต้องคอยให้กำลังใจยอดมนุษย์ซึ่งมีพลังพิเศษเพียงน้อยนิดคนนี้กันต่อไป

สู้ต่อไปเถอะนะ….ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

นิทานเรื่อง  ปัญญาคืออาวุธ

‘ศาสตราจารย์เยลลี่’ เป็นนักวิทยาศาสตร์รูปหล่อที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักเขาดีในนามของ ‘หิ่งห้อยแมน’ หรือ ‘ยอดมนุษย์หิ่งห้อย”    

แม้ว่าหิ่งห้อยแมนจะเป็นยอดมนุษย์ที่แทบจะไม่มีพลังพิเศษใด ๆ เช่นเดียวกับยอดมนุษย์คนอื่น ๆ    แต่ด้วยความเฉียบคมในการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาต่าง ๆ    หิ่งห้อยแมนจึงกลายเป็นพระเอกขวัญใจของเด็ก ๆ และผู้คนทั้งหลายได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

วันหนึ่ง  ศาสตราจารย์เยลลี่ได้รับจดหมายจากเหล่าภูตน้ำจอมเกเร ที่มีเวลาว่างมากเกินไปจึงคิดจะแกล้งให้ยอดมนุษย์เจ้าปัญญาเสียหน้าเล่น  จดหมายดังกล่าวแจ้งไว้ว่า  เหล่าภูตน้ำได้ทำการจับเด็ก ๆ เอาไว้เป็นตัวประกัน  ซึ่งหากยอดมนุษย์หิ่งห้อยอยากจะให้พวกมันปล่อยเด็ก ๆ   ยอดมนุษย์หิ่งห้อยจะต้องหาวิธีต้มน้ำให้แข็งให้ได้!

ศาสตราจารย์เยลลี่ถึงกับต้องนั่งกุมขมับเมื่ออ่านข้อความจบ  เพราะตามปกติแล้ว…โลกของเราจะมีน้ำอยู่ 3 แบบ คือน้ำธรรมดา, น้ำแข็งและไอน้ำ   เมื่อเรานำน้ำธรรมดาไปไว้ในที่ที่เย็นจัด  น้ำธรรมดาก็จะกลายสภาพเป็นน้ำแข็ง   แต่เมื่อเราเอาน้ำธรรมดามาต้ม   น้ำก็เดือดปุด ๆ แล้วกลายสภาพเป็นไอน้ำสีขาว ๆ ก่อนที่จะลอยขึ้นไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆอยู่บนฟากฟ้า   ดังนั้น  การต้มน้ำให้แข็งจึงเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม  ด้วยหัวใจของผู้พิทักษ์ความถูกต้อง  หิ่งห้อยแมนจึงไม่อาจดูดายและปล่อยให้เด็ก ๆ ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเหล่าภูตน้ำจอมเกเรต่อไปได้   ด้วยเหตุนี้   ศาสตราจารย์เยลลี่จึงตัดสินใจดื่มยาแปลงกาย  แล้วส่งเสียงร้องว่า “ขอถูก้นให้ร้องสุด ๆ  เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย” ซึ่งหลังจากที่ศาสตราจารย์เยลลี่แปลงกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เขาก็เริ่มต้นออกเดินทาง ไปยังดินแดนของภูตน้ำจอมเกเรทันที

ยอดมนุษย์หิ่งห้อยค่อย ๆ บินเรี่ยไปกับพื้นเท่าที่พลังของเขามีอยู่   แสงไฟกระพริบที่ก้นของยอดมนุษย์หิ่งห้อยบ่งบอกว่าเขากำลังใช้สมองคิดหาวิธีช่วยเหลือเด็ก ๆ อย่างสุดความสามารถ   หิ่งห้อยแมนพยายามคิด…คิด…แล้วก็คิด   แต่การคิดทำเรื่องฝืนธรรมชาติอย่างการต้มน้ำให้แข็งนี้  ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียจริง ๆ   แต่อย่างไรก็ตาม  ยอดมนุษย์ผู้เป็นที่รักของทุก ๆ คนก็ยังไม่ยอมละความพยายาม   เขายังคงครุ่นคิดต่อไปจนกระทั่งแสงสว่างเข้ามาแทนที่ราตรีอันมืดมิด

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น  พวกไก่กุ๊ก ๆ ก็พากันส่งเสียงร้องทักทายยามเช้าจนดังสนั่นหวั่นไหวไปทั้งป่า   และในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง   ความคิดที่แสนวิเศษก็สว่างวาบขึ้นในสมองของยอดมนุษย์หิ่งห้อยโดยที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

ในที่สุด…ยอดมนุษย์หิ่งห้อยก็ค้นพบวิธีที่จะทำให้เขาสามารถต้มน้ำให้แข็งได้สำเร็จ   เขารีบแวะเข้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเตรียมข้าวของในการต้มน้ำ  จากนั้น  เขาก็มุ่งหน้าไปยังดินแดนของเหล่าภูตน้ำจอมเกเรอย่างไม่รอช้า

เมื่อเด็ก ๆ เห็นหิ่งห้อยแมนเดินทางมาช่วยพวกเขา  เด็ก ๆ ก็พากันส่งเสียงร้องเรียกพระเอกของตนจนภูตน้ำทั้งหลายเริ่มหมั่นไส้    พวกภูตน้ำยังไม่รู้ว่ายอดมนุษย์หิ่งห้อยสามารถคิดวิธีต้มน้ำให้แข็งได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พวกมันจึงพูดจาถากถางให้ยอดมนุษย์ผู้มีปัญญาเฉียบแหลมรีบแสดงการต้มน้ำให้พวกมันดู    

เมื่อยอดมนุษย์หิ่งห้อยได้ฟังถ้อยคำของเหล่าภูตจอมเกเร   เขาจึงจัดการรินน้ำที่เตรียมมา ใส่ลงในขวดแก้วที่ใช้ในห้องวิทยาศาสตร์  จากนั้น  เขาก็นำขวดแก้วขึ้นตั้งไฟแล้วบอกให้พวกภูตน้ำจ้องมองน้ำในขวดเอาไว้ให้ดี  

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ  เช่นเดียวกับความร้อนที่ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ    แต่แทนที่น้ำในขวดจะกลายสภาพเป็นไอน้ำดังเช่นที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ   น้ำในขวดของหิ่งห้อยแมนกลับเปลี่ยนสภาพกลายเป็นของแข็งสีขาว จนทำให้เหล่าภูตที่มีเวลาว่างมากเกินไปตกใจถึงกับหงายหลัง

ยอดมนุษย์หิ่งห้อยไม่ยอมเปิดเผยให้เหล่าภูตน้ำจอมเกเรได้ล่วงรู้ถึงวิธีที่เขาใช้ในการต้มน้ำให้กลายเป็นของแข็ง  เพราะยอดมนุษย์ของเราอยากจะทิ้งปริศนานี้ไว้ให้เหล่าภูตทั้งหลายได้ขบคิด เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะหาเรื่องกับใคร ๆ ได้อีก 

เมื่อพระเอกของเราสามารถใช้สมองเอาชนะคำท้าทายของเหล่าภูตได้แล้ว  เขาจึงพาเด็ก ๆ กลับไปส่งบ้านทีละคน ๆ  จนเหลือเด็กเพียงสองคนสุดท้ายที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเขา

แน่นอน..เด็กชายหญิงทั้งสองต่างก็อยากรู้ความลับที่พระเอกของพวกเขาใช้ในการต้มน้ำให้แข็ง   และหิ่งห้อยแมนเองก็ใจดีกับเด็ก ๆ เสมอ    ด้วยเหตุนี้   หิ่งห้อยแมนจึงแอบเปิดเผยให้เด็กน้อยทั้งสองทราบว่า  แท้จริงแล้วน้ำที่อยู่ในขวดนั้นไม่ใช่น้ำธรรมดา  แต่มันเป็นน้ำจากไข่ของไก่กุ๊ก ๆ ที่เราเรียกมันว่าไข่ขาว!   ซึ่งเมื่อไข่ขาวได้รับความร้อน  ไข่ขาวก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นของแข็งอย่างที่เด็ก ๆ เห็นนั่นเอง

เด็กทั้งสองดีใจมากที่ได้รู้ความลับในการการปราบภูตน้ำ  พวกเขาสัญญาว่าจะเก็บความลับนี้ไว้ไม่ให้เหล่าภูตล่วงรู้โดยเด็ดขาด   

และนี่คือเรื่องราวของยอดมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเพียงน้อยนิดแต่มีความคิดที่แสนวิเศษ    แม้ว่าเขาจะสามารถปกป้องเด็กๆ จากภูตน้ำจอมเกเรได้สำเร็จ  แต่ภารกิจในการช่วยเหลือผู้คนยังมีอีกมาก   พวกเราคงต้องคอยให้กำลังพระเอกของเรากันต่อไป

สู้ต่อไปเถอะนะ….ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

นิทานเรื่อง ปิศาจมือกรรไกร

นานมาแล้ว มีปิศาจตนหนึ่งชื่อว่า ‘ชับชับ’   ชับชับเป็นปิศาจที่มีมือทั้งสองข้างเป็นกรรไกรขนาดใหญ่   มือของเขาสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ขาดได้แม้กระทั่งก้อนหินหรือเหล็กกล้า และด้วยอานุภาพของมือกรรไกรอันคมกริบ   ชับชับจึงมักจะที่ยวท้าประลองฝีมือกับยอดมนุษย์ทั้งหลายโดยไม่เกรงกลัวใคร ๆ ทั้งสิ้น

ยอดมนุษย์จอมพลัง, ยอดมนุษย์สายฟ้า และเหล่ายอดมนุษย์ที่มีชื่อเสียงต่างเพลียงพล้ำพ่ายแพ้ชับชับทีละคนสองคน ทุกครั้งที่ชับชับตวัดกรรไกรตวัดกรรไกรต่อสู้กับเหล่ายอดมนุษย์ คมกรรไกรของเขาจะเฉือนเสื้อผ้าและผมเผ้าของยอดมนุษย์เหล่านั้นจนขาดวิ่นแหว่งเว้ากันไปหมด นับวัน,,,เจ้าปิศาจมือกรรไกรก็ยิ่งมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ชับชับก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะใช้ความสามารถที่แสนร้ายกาจของตนเองในการทำเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ    

เมื่อผีเสื้อนารีซึ่งเป็นยอดมนุษย์สุภาพสตรีที่มีหูตากว้างไกลล่วงรู้ถึงความคิดของชับชับ   เธอจึงไหว้วานให้ผีเสื้อตัวน้อยรีบบินไปขอความช่วยเหลือจากยอดมนุษย์ที่เธอยกย่อง

แม้ยอดมนุษย์ที่ผีเสื้อนารีหวังพึ่งจะไม่พลังพิเศษเพียงพอในการต่อกรกับเจ้าปิศาจที่แสนร้ายกาจ  แต่ด้วยหัวใจของผู้พิทักษ์ความถูกต้องและพลังแห่งสติปัญญาที่ยากจะหาใครเทียบได้   ผีเสื้อนารีจึงมั่นใจว่า  ‘ยอดมนุษย์หิ่งห้อย’ จะสามารถหยุดยั้งความคิดของปิศาจมือกรรไกรได้สำเร็จ

ทันทีที่ยอดมนุษย์หิ่งห้อยในร่างของนักวิทยาศาสตร์รูปหล่อได้รับการแจ้งข่าวจากเจ้าผีเสื้อตัวน้อยพระเอกขวัญใจของเด็ก ๆ ก็รีบดื่มยาแปลงกาย แล้วส่งเสียงร้องว่า  “ขอถูก้นให้ร้อนสุด ๆ  เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย”  ซึ่งเมื่อเขาแปลงกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ยอดมนุษย์ผู้ชาญฉลาดจึงเริ่มต้นวิเคราะห์ข้อมูลของปิศาจมือกรรไกรเพื่อหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้

ยอดมนุษย์หิ่งห้อยพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและคิดหาวิธีจัดการกับปิศาจอย่างรอบคอบที่สุด เขาใช้เวลาใคร่ครวญอยู่พักใหญ่จนเกิดแสงไฟกระพริบวิบวับที่ก้นของเขา  และแล้ว…ยอดมนุษย์หิ่งห้อยก็ตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือจากเด็ก ๆ  เพื่อช่วยให้แผนการของเขาสัมฤทธิผล

เมื่อยอดมนุษย์หิ่งห้อยและกลุ่มเด็ก ๆ เดินทางไปพบกับชับชับ  ยอดมนุษย์หิ่งห้อยก็แกล้งยั่วโมโหปิศาจยอดเก่งด้วยการกล่าวหาว่า ชับชับเป็นปิศาจด้อยฝีมือที่ไม่มีทางเอาชนะได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ  

ชับชับโกรธมากจึงเผลอท้าทายให้ยอดมนุษย์หิ่งห้อยทำการพิสูจน์   และเมื่อชับชับหลงกลติดกับที่ยอดมนุษย์หิ่งห้อยวางเอาไว้  ยอดมนุษย์หิ่งห้อยผู้ชาญฉลาดจึงบอกให้ชับชับเลือกคู่ต่อสู้ได้ด้วยตนเอง แต่เด็กที่ถูกเลือกมีสิทธิ์เป็นคนกำหนดวิธีในการแข่งขัน โดยผู้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ จะต้องยอมทำตามคำสั่งของผู้ชนะทุก ๆ อย่าง

ชับชับยอมรับกติกาทั้งหมดด้วยความโมโห  เขาเลือกเด็กออกมาคนหนึ่งอย่างเสียไม่ได้  ส่วนเด็กที่เป็นตัวแทนก็เลือกวิธีการแข่งขันที่ดูธรรมดาที่สุด  นั่นก็คือการแข่งขันเป่ายิ้งฉุบตามแบบที่เด็ก ๆ ชอบ

กติกาในการแข่งขันมีอยู่ว่า  ผู้ที่เป่ายิ้งฉุบชนะฝ่ายตรงข้ามครบสามครั้งก่อนจะถือว่าเป็นผู้ชนะ  ซึ่งเมื่อชับชับเป่ายิงฉุบแข่งกับเด็ก    ตัวแทนของเด็ก ๆ ก็สามารถเอาชนะชับชับได้อย่างง่ายดายด้วยการออก ค้อน..ค้อน…แล้วก็ค้อน  

เจ้าปิศาจมือกรรไกรที่ออกได้แต่กรรไกรเพิ่งรู้ว่า ตนเองได้หลงกลของยอดมนุษย์หิ่งห้อยและเด็ก ๆ เข้าให้เสียแล้ว  แต่เมื่อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้  ชับชับจึงทำตามคำสัญญาโดยให้ผู้ชนะสั่งให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา

สิ่งที่ตัวแทนของเด็ก ๆ ต้องการก็คือ  เขาอยากให้ชับชับเลิกคิดที่จะใช้ความสามารถไปทำในสิ่งที่เลวร้าย   แต่ในทางกลับกัน  เด็กน้อยอยากให้ชับชับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มยอดมนุษย์และใช้ฝีมือของตนเองช่วยทำให้ทุก ๆ คนมีความสุข

ปิศาจมือกรรไกรอย่างชับชับยอมทำตามคำของร้องของเด็ก ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข   นับจากวันนั้น  โลกของยอดมนุษย์ก็มีพระเอกคนใหม่ ที่คอยใช้มือกรรไกรของเขาตัดแต่งต้นไม้, ตัดกระดาษเป็นของเล่นให้เด็ก ๆ และทำความดีช่วยเหลือผู้คนทั้งหลายอีกสารพัด

ยอดมนุษย์หิ่งห้อยดีใจที่ตนสามารถทำให้ปิศาจที่มีฝีมือร้ายกาจกลับกลายมาเป็นยอดมนุษย์คนใหม่ได้สำเร็จ    และนี่คือเรื่องราวของยอดมนุษย์ที่มีพลังพิเศษเพียงน้อยนิดแต่มีความคิดที่แสนวิเศษ  แต่ภารกิจในการช่วยเหลือผู้คนยังมีอีกมาก   พวกเราคงต้องคอยให้กำลังพระเอกของเรากันต่อไป

สู้ต่อไปเถอะนะ….ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

นิทานเรื่อง แผนปราบปิศาจไฟ

ศาสตราจารย์เยลลี่หรือที่รู้จักกันดีในนามของ‘ยอดมนุษย์หิ่งห้อย’ เป็นนักวิทยาศาสตร์รูปหล่อผู้ค้นพบสูตรยาแปลงกาย ซึ่งทำให้เขาสามารถแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์ได้เป็นผลสำเร็จ

แม้ยอดมนุษย์หิ่งห้อยจะไม่มีพลังพิเศษเช่นเดียวกับยอดมนุษย์คนอื่น ๆ  แต่ด้วยความสามารถในการใช้สติปัญญาเพื่อแก้ปัญหา  ใครต่อใครจึงยอมรับว่ายอดมนุษย์หิ่งห้อยเป็นยอดมนุษย์ที่เก่งกาจไม่แพ้ยอดมนุษย์คนใดในโลก

วันหนึ่ง  มีปิศาจซึ่งร่างกายลุกโชนไปด้วยเปลวไฟออกอาละวาดจนทำให้ผู้คนเสียขวัญกันไปทั่ว  ยอดมนุษย์ที่มีพลังพิเศษทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นยอดมนุษย์จอมพลัง ยอดมนุษย์สายฟ้าหรือแม้แต่ยอดมนุษย์มือกรรไกร (ซึ่งเป็นปิศาจกลับใจที่มีฝีมือเหนือกว่ายอดมนุษย์ทั่วไปหลายร้อยเท่า) ต่างก็พยายามหาวิธีจัดการกับเจ้าปิศาจไฟที่แสนร้ายกาจ  แต่พวกเขากลับไม่สามารถต้านทานพลังไฟอันร้อนระอุของเจ้าปิศาจไฟเอาไว้ได้   และก่อนที่เจ้าปิศาจจะทำสิ่งที่เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่  ผีเสื้อนารีซึ่งเป็นยอดมนุษย์สุภาพสตรีจึงตัดสินใจกางปีกแสนสวย แล้วรีบบินไปขอความช่วยเหลือจากยอดมนุษย์หิ่งห้อยผู้มีสติปัญญาอันเฉียบแหลม

เมื่อศาสตราจารย์เยลลี่ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น  เขาก็ดื่มยาแปลงกาย แล้วส่งเสียงร้องว่า “ขอถูก้นให้ร้อนสุด ๆ เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย”  ซึ่งหลังจากที่ศาสตราจารย์เยลลี่แปลงกายเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อยเรียบร้อยแล้ว  เขาก็ตั้งต้นขบคิดหาวิธีจัดการกับปิศาจไฟอย่างไม่รอช้า

การที่จะจัดการกับเจ้าปิศาจซึ่งมีร่างกายเป็นไฟนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะหากคิดจะดับไฟที่ตัวของเจ้าปิศาจด้วยการใช้น้ำ  เมื่อน้ำหมด  ปิศาจไฟก็คงจะสามารถสร้างไฟให้ลุกโชนขึ้นมาได้อีก  ยอดมนุษย์หิ่งห้อยจำเป็นต้องใช้สติปัญญาคิดหาหนทางอย่างรอบคอบที่สุด  และหลังจากการใช้ความคิดอยู่พักใหญ่  ในที่สุด เขาก็ค้นพบวิธีการที่น่าจะได้ผล

วิธีการของยอดมนุษย์หิ่งห้อยก็คือการให้ผีเสื้อราตรีไปท้าสู้กับเจ้าปิศาจไฟตัวร้าย  ถึงแม้ว่าฝีมือในเชิงหมัดมวยของผีเสื้อราตรีอาจจะเทียบไม่ได้กับพลังไฟของเจ้าปิศาจ  แต่ด้วยแผนการอันแยบยลของยอดมนุษย์ผู้ชาญฉลาด  ผีเสื้อราตรีจึงมั่นใจว่าสิ่งที่เธอจะทำต่อไปนี้น่าจะทำให้เธอเอาชนะปิศาจไฟได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ผีเสื้อราตรีเริ่มปฏิบัติการโดยมุ่งหน้าไปพบกับเจ้าปิศาจไฟตามแผน  จากนั้น  เธอก็แกล้งยั่วยุให้เจ้าปิศาจโมโห โดยเย้ยหยันว่ามันไม่มีทางเอาชนะผู้หญิงอย่างเธอได้  ซึ่งหลังจากที่ปิศาจไฟหลงกลติดกับ  ผีเสื้อนารีก็กางปีกทะยานขึ้นฟ้าเพื่อล่อให้เจ้าปิศาจไฟบินตามไปต่อสู้กับเธอในห้วงอวกาศอันไกลโพ้น

หลายคนอาจจะคิดว่า การที่ผีเสื้อราตรีหลอกล่อเจ้าปิศาจให้ไปสู้กับเธอที่นอกโลกเป็นเพราะเธอไม่อยากให้ผู้คนทั้งหลายต้องโดนลูกหลงจากการต่อสู้   แต่จริง ๆ แล้ว  สาเหตุสำคัญที่จำเป็น ต้องล่อให้เจ้าปิศาจไฟตามออกไปนั้น เป็นเพราะในห้วงอวกาศเป็นที่ที่ไม่มีอากาศ  แต่การลุกไหม้ของไฟจำเป็นต้องใช้อากาศหรือก๊าซออกซิเจน  ดังนั้น เมื่อเจ้าปิศาจไฟหลงกลตามผีเสื้อราตรีออกไปนอกโลก  เปลวไฟตามตัวของมันจึงค่อย ๆ หรี่ลงและดับไปในที่สุด 

ทันทีที่ไฟตามเนื้อตัวของเจ้าปิศาจมอดลง  ผีเสื้อราตรีก็ตรงเข้าจัดการกับเจ้าปิศาจด้วยการตีด้วยหมัด..ซัดด้วยศอก..ตอกด้วยเข่า  จนเจ้าปิศาจสะบักสะบอมไปทั้งตัว  จากนั้น  เธอก็นำเจ้าปิศาจไปขังคุก ณ ดวงดาวสุดขอบของจักรวาล ซึ่งเป็นคุกที่ปราศจากก๊าซออกซิเจนอย่างสิ้นเชิง

ในที่สุด  แผนการของยอดมนุษย์หิ่งห้อยและฝีมือของผีเสื้อราตรีก็นำสันติสุขกลับคืนสู่มวลมนุษยชาติได้เป็นผลสำเร็จ  แต่ภารกิจที่ท้าทายเหล่ายอดมนุษย์ผู้รักความยุติธรรมยังมีอีกมาก  พวกเราคงต้องคอยให้กำลังใจพวกเขากันต่อไป          

สู้ต่อไปเถอะนะ…ยอดมนุษย์ทั้งหลาย

นิทานเรื่อง ยอดมนุษย์ตัวจริง

นับตั้งแต่วันที่ศาสตราจารย์เยลลี่ค้นพบวิธีแปลงกายเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย   ชื่อเสียงของ เขาก็ขจรขจายจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว   แม้ว่าทั้งเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ต่างยอมรับในความสามารถของยอดมนุษย์หิ่งห้อยกันโดยถ้วนหน้า   แต่ในมุมมองของเหล่ายอดมนุษย์แล้วนั้น  ยอดมนุษย์หิ่งห้อยดูจะเป็นยอดมนุษย์ซึ่งมีพลังพิเศษน้อยเกินกว่าที่เหล่าพระเอกทั้งหลายจะยอมรับได้   และด้วยเหตุนี้เอง   ยอดมนุษย์รุ่นเก่าจึงพากันร้องเรียนไปยังศาลยอดมนุษย์ เพื่อให้สถาบันแห่งความยุติธรรมช่วยตัดสินว่า หิ่งห้อยแมนมีความเหมาะสมที่จะเป็นยอดมนุษย์เพียงพอหรือไม่

เมื่อผู้พิพากษาแห่งศาลยอดมนุษย์ได้รับคำร้องเรียนดังกล่าว  ผู้พิพากษาผู้มีใบหน้าสีคล้ำและมีรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่กลางหน้าผาก จึงหาวิธีทดสอบความเหมาะสมในการเป็นยอดมนุษย์ ของหิ่งห้อยแมน ด้วยการยกตัวอย่างเหตุการณ์ให้ยอดมนุษย์หิ่งห้อยลองคิดแก้ปัญหา

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า… ณ ดินแดนใต้ทะเลลึก  มีเหล่าเงือกกลุ่มสุดท้ายพำนักพักอาศัยโดยกินสาหร่ายสายรุ้งเป็นอาหาร    สาหร่ายสายรุ้งเป็นพืชหายากและเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวของเหล่าเงือกน้อยใหญ่   ซึ่งการที่สาหร่ายสายรุ้งจะเจริญงอกงามได้ จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยจากมูลของสัตว์ร้ายใต้สมุทร   แต่ปัญหาก็คือ อาหารของสัตว์ร้ายใต้สมุทรกลับเป็นบรรดาเงือกที่ไร้พิษสงเหล่านั้น!   จากปัญหาที่วนเวียนกันอยู่นี้   ผู้พิพากษาจึงถามยอดมนุษย์หิ่งห้อยว่า  “ในฐานะของยอดมนุษย์ผู้พิทักษ์ความถูกต้อง   ท่านคิดว่าวิธีการใดน่าจะเป็นหนทางช่วยเหลือเหล่าเงือกที่เหมาะสมที่สุด?”  

ยอดมนุษย์หลายคนที่อยู่ในศาลยอดมนุษย์ต่างพากันประท้วงเมื่อได้ฟังแบบทดสอบที่ง่ายแสนง่ายของท่านผู้พิพากษา 

ยอดมนุษย์จอมพลังตะโกนออกมาว่า  “เพียงแค่กำจัดสัตว์ร้ายให้สิ้นซาก  พวกเงือกก็จะปลอดภัยไร้ปัญหา  คำถามแบบนี้ไม่เห็นจะต้องมาถามกันเลยนะท่าน”

ฝ่ายยอดมนุษย์ผู้รักสันติร้องเปรยออกมาบ้างว่า “หรือถ้าไม่อยากให้มีการฆ่าแกงกัน เราก็ย้ายสาหร่ายสายรุ้งไปปลูกเสียที่อื่น  แล้วก็พาเงือกน้อยที่แสนน่ารักตามไปด้วย  แค่นี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่ายอดมนุษย์   ผู้พิพากษาและหิ่งห้อยแมนต่างนิ่งสงบและไม่ยอมโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น   ผู้พิพากษาสังเกตเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับที่ก้นของยอดมนุษย์หิ่งห้อย ซึ่งบ่งบอกว่าเขากำลังครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหล่าเงือกอย่างสุดความสามารถ 

เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่มีใครทราบ   และแล้ว…หิ่งห้อยแมนก็ร้องตอบผู้พิพากษาไปว่า “วิธีการช่วยเหลือที่น่าจะดีที่สุด  ก็คือการอยู่เฉย ๆ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามเดิม”

ยอดมนุษย์ที่อยู่ในศาลแห่งนั้นพากันส่งเสียงโห่และพูดจาเหยียดหยามหิ่งห้อยแมนว่าเป็นยอดมนุษย์ที่ไร้ซึ่งความสามารถ   ส่วนผู้พิพากษาเองก็รู้สึกแปลกใจในคำตอบของยอดมนุษย์หิ่งห้อยอยู่ไม่น้อย   ด้วยเหตุนี้  ผู้พิพากษาจึงขอให้หิ่งห้อยแมนช่วยอธิบายเหตุผลที่เขาเลือกช่วยเหลือเหล่าเงือกทั้งหลายด้วยวิธีการดังกล่าว

หิ่งห้อยแมนอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “การที่เหล่าเงือกมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพวกเขามีสาหร่ายสายรุ้งเป็นอาหาร  ส่วนการที่สาหร่ายสายรุ้งงอกงามขึ้นมาได้นั้น  ก็ต้องพึ่งปุ๋ยจากมูลของสัตว์ร้ายใต้สมุทร  หากไม่มีสัตว์ร้ายใต้สมุทร   สาหร่ายสายรุ้งก็จะล้มหายตายจากไปจนหมด   และเมื่อสาหร่ายสายรุ้งสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว  เหล่าเงือกก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้   ดังนั้น  การปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติจึงน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

ยอดมนุษย์จอมพลังกับยอดมนุษย์ผู้รักสันติ  รวมทั้งยอดมนุษย์คนอื่น ๆ ต่างตกใจและเพิ่งตระหนักว่า  ความคิดตื้น ๆ ของพวกตนเกือบจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายเหล่าเงือกให้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เสียแล้ว

ความเฉียบแหลมในการใช้สติปัญญาแก้ปัญหาของหิ่งห้อยแมน กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญของยอดมนุษย์ตัวจริง ซึ่งทุก ๆ คนจำเป็นต้องยอมรับ    ท่ามกลางความเงียบที่เกิดขึ้นในศาลยอดมนุษย์    ผีเสื้อนารีซึ่งเป็นยอดมนุษย์สตรีเพียงคนเดียวในที่แห่งนั้นก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนและปรบมือให้แก่ยอดมนุษย์ที่เธอเลื่อมใส      

ในที่สุด  หิ่งห้อยแมนก็ได้รับการยอมรับจากเพื่อนยอดมนุษย์ทุก ๆ คน   และนี่คือเรื่องราวของยอดมนุษย์เจ้าของท่าแปลงกายที่ว่า  “ขอถูก้นให้ร้อนสุด ๆ เพื่อแปลงร่างเป็นยอดมนุษย์หิ่งห้อย”   แม้วันนี้เขาจะได้รับการยอมรับจากทุก ๆ คนแล้วก็ตาม  แต่ภารกิจที่จะพิสูจน์ความเป็นยอดมนุษย์ผู้พิทักษ์ความถูกต้องของเขายังมีอีกมาก   พวกเราคงต้องคอยให้กำลังใจพระเอกของเรากันต่อไป

สู้ต่อไปเถอะนะ…ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

#นิทานนำบุญ

………………………………

2 thoughts on “นิทานเรื่อง ยอดมนุษย์หิ่งห้อย

  1. ขอบคุณนิทานดีๆมากๆครับนานาและนะนนชอบมากครับ

    Like

    1. เด็ก ๆ ชือน่ารักจังเลยครับ ถ้าผมได้ยินชื่อของทั้งสองคนในสมัยที่ผมยังแต่งนิทาน ผมคงขอยืมชื่อมาเป็นตัวละครในนิทานแน่ ๆ ขอบคุณที่คุณพ่อส่งกำลังใจมานะครับ ขอให้ทุก ๆ คนมีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคภัยทั้งปวงครับ

      Like

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.