นิทานจีนก่อนนอนเรื่อง “เศรษฐีเจ้าเล่ห์” เป็นนิทานที่สนุกมาก ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งนิทานเรื่องนี้ไว้นานแล้ว นานจนลืมเนื้อเรื่องรวมถึงที่มาที่ไปของนิทานเรื่องนี้จนหมด (ช่วงที่แต่งนิทานให้นิตยสารขวัญเรือนหลังจากปีที่ 10 พอพิมพ์นิทานและส่งต้นฉบับเสร็จ ผมมักลืมเนื้อเรื่องของนิทานเรื่องนั้นไปทันที แต่จะไปจดจ่อกับการคิดนิทานเรื่องใหม่ต่อไป ยกเว้นนิทานเรื่องนั้น ๆ จะมีที่มาที่พิเศษมาก ๆ ผมจึงจะจำได้) นิทานจีนก่อนนอนเรื่อง “เศรษฐีเจ้าเล่ห์” เป็นนิทานที่มีจุดเด่นเรื่อง “การเล่นคำ” ในการแต่งหากใช้คำที่ไม่เหมาะสม ความน่าเชื่อถือของเรื่องราวก็จะหายไปจนหมด นิทานเรื่องนี้จึงมีความท้าทายผู้แต่งอยู่ไม่น้อย (นิทานจีนโบราณหลายเรื่องก็มักมีลูกเล่นในลักษณะนี้ แต่เมื่อแปลเป็นไทยแล้ว นิทานหลายเรื่องอาจเสียอรรถรสไป เพราะมีการเลือกใช้คำที่ไม่ลงตัวนัก) เมื่อผมได้กลับมาอ่านนิทานเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อเลือกนิทานลงในเว็บไซต์ ผมรู้สึกว่านิทานจีนก่อนนอนเรื่องนี้เป็นนิทานอีกเรื่องที่สนุกมาก ดังนั้น ผมจึงภูมิใจและอยากเชิญชวนทุกท่านให้ลองอ่านกันครับ
นิทานเรื่อง เศรษฐีเจ้าเล่ห์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ กับม้า ลาและล่อที่พ่อแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดก แม้เด็กน้อยจะยากจนและเป็นเด็กกำพร้า แต่เขากลับไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตาของตน ทุก ๆ วัน เด็กน้อยจะเก็บดอกไม้จากสวนหลังบ้าน แล้วนำมันขึ้นหลังม้าออกเร่ขายไม่เคยขาด
วันหนึ่ง มีเศรษฐีเจ้าเล่ห์เห็นเด็กน้อยจูงม้าผ่านหน้าบ้าน ด้วยความโลภ…เศรษฐีจึงออกอุบายโดยแกล้งชี้ไปที่ดอกไม้บนหลังม้า แล้วถามเด็กน้อยว่า “ทั้งหมดนั่นราคาเท่าไหร่?”
เด็กน้อยคิดว่าเศรษฐีต้องการเหมาดอกไม้ของตน จึงรีบตอบเศรษฐีด้วยความดีใจว่า “ทั้งหมดราคาแค่ 10 ชั่งขอรับ” เมื่อเศรษฐีเจ้าเล่ห์ได้ฟัง เขาก็จัดแจงควักเงิน 10 ชั่งส่งให้เด็กน้อย แล้วจูงม้าพร้อมกับดอกไม้ทั้งหมดเข้าบ้านของตนอย่างหน้าตาเฉย
เด็กน้อยยืนงงอยู่พักใหญ่ และเมื่อเด็กน้อยนำเรื่องไปฟ้องเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้ทรงความยุติธรรมก็บอกกับเด็กน้อยว่า “ข้าคงเอาผิดกับเศรษฐีไม่ได้หรอก เพราะเจ้าเองเป็นคนบอกเศรษฐีว่าทั้งหมดราคาแค่ 10 ชั่งมิใช่หรือ?”
เด็กน้อยเดินคอตกกลับบ้านอย่างเศร้าสร้อย ถ้าเขารู้จักคิดไตร่ตรองและระมัดระวังคำพูดของตัวเองอีกสักนิด เขาก็คงจะไม่สูญเสียม้าและดอกไม้ให้แก่เศรษฐีจอมเจ้าเล่ห์เช่นนี้เป็นแน่ เด็กน้อยใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน ในที่สุด เขาก็ตัดใจและลงมือเก็บดอกไม้อีกครั้ง แล้วนำมันออกเร่ขายโดยใช้ลาเป็นพาหนะ
เมื่อเศรษฐีเจ้าเล่ห์เห็นเด็กน้อยจูงลาผ่านหน้าบ้าน เศรษฐีจึงนึกสนุกอยากหลอกเด็กน้อยอีก คราวนี้..เศรษฐีให้ภรรยาทำทีเป็นชี้ไปที่ดอกไม้บนหลังลา แล้วแกล้งถามเด็กน้อยว่า “ทั้งหมดนั่นราคาเท่าไหร่จ๊ะ?”
เด็กน้อยไม่เคยเห็นหน้าภรรยาเศรษฐีมาก่อนจึงตอบไปว่า “ทั้งหมดราคาแค่ 10 ชั่งขอรับ” เมื่อภรรยาเศรษฐีได้ฟัง นางก็รีบควักเงิน 10 ชั่งส่งให้เด็กน้อย แล้วจูงลาพร้อมกับดอกไม้ทั้งหมดเข้าบ้านของเศรษฐีทันที
เด็กน้อยเพิ่งรู้ตัวว่าตนถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง และเมื่อเด็กน้อยนำเรื่องไปฟ้องเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้ทรงความยุติธรรมก็บอกเด็กน้อยเช่นเดิมว่า “ข้าคงเอาผิดกับภรรยาเศรษฐีไม่ได้หรอก เพราะเจ้าเองเป็นคนบอกนางว่าทั้งหมดราคาแค่ 10 ชั่งมิใช่หรือ?”
เด็กน้อยเดินคอตกกลับบ้านอย่างเศร้าสร้อย เขาโกรธตัวเองที่ไม่รู้จักคิดไตร่ตรองและระมัดระวังคำพูดจนต้องตกหลุมพรางของเศรษฐีเจ้าเล่ห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กน้อยใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน ในที่สุด เขาก็ตัดใจและลงมือเก็บดอกไม้อีกครั้ง แล้วนำมันออกเร่ขายโดยใช้ล่อเป็นพาหนะ
เมื่อเศรษฐีเห็นเด็กน้อยจูงล่อผ่านหน้าบ้าน เศรษฐีเจ้าเล่ห์ได้ใจจึงเสี้ยมสอนกลอุบายให้ลูกชายออกไปหลอกเด็กน้อยบ้าง โดยคราวนี้…เศรษฐีให้เงินลูกชายไปเพียง 9 ชั่งเท่านั้น เพราะเขาหวังที่จะเอาเปรียบเด็กน้อยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ลูกชายเศรษฐีกำเงิน 9 ชั่งแล้วชี้ไปที่ดอกไม้บนหลังล่อพร้อมกับถามเด็กน้อยตามที่พ่อสั่งว่า “ทั้งหมดนั่นราคาเท่าไหร่?”
เด็กน้อยระมัดระวังตัวมากขึ้นจึงตอบไปว่า “ดอกไม้ทั้งหมดราคาแค่ 10 ชั่งขอรับ”
เมื่อลูกชายของเศรษฐีเห็นว่าเด็กน้อยไม่หลงกล เขาจึงทำตามแผนสองที่พ่อสอนไว้ โดยเขาแกล้งแบมือเพื่อให้เด็กน้อยเห็นเงิน 9 ชั่งที่มีอยู่ แล้วทำทีเป็นพูดอย่างน่าสงสารว่า “ทั้งหมดแค่นี้ได้ไหม?”
เด็กน้อยเกือบตกหลุมพรางของเศรษฐี แต่โชคดีที่เขาสังเกตเห็นว่าหน้าตาของผู้ซื้อดูละม้ายคล้ายคลึงกับเศรษฐีและภรรยาเอาเสียมาก ๆ เมื่อเด็กน้อยรู้ทัน เขาจึงแกล้งออกอุบายดัดหลังตระกูลจอมโกงด้วยวิธีที่เหนือชั้น!
เด็กน้อยเริ่มแผนด้วยการชี้ไปที่มือของลูกชายเศรษฐีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูใจดีว่า “ถ้าท่านมีอยู่เท่านั้น…ก็เอาทั้งหมดที่ท่านมีนั่นก็ได้”
ลูกเศรษฐีดีใจเพราะคิดว่าตนหลอกเด็กน้อยได้สำเร็จ เขารีบยื่นเงินจ่ายให้เด็กน้อย แล้วตั้งท่าจะจูงล่อเข้าไปยังบ้านของเศรษฐี
ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยรีบคว้าข้อมือของลูกเศรษฐีเอาไว้แล้วกล่าวกับลูกเศรษฐีว่า “เดี๋ยวก่อน…ท่านยังไปไหนไม่ได้ เพราะท่านยังไม่ได้ให้ทั้งหมดที่ท่านมีแก่ฉันเลยนี่” ลูกชายเศรษฐีงงเป็นไก่ตาแตก และเขาก็ยิ่งตกใจขึ้นอีก เมื่อได้ยินเด็กน้อยขยายความว่า “ทั้งหมดที่ท่านมีก็คือเงิน 9 ชั่งกับมือที่ยื่นออกมาไม่ใช่เหรอ มามะ..มาให้ฉันตัดมือของท่านเสียดี ๆ”
ลูกเศรษฐีส่งเสียงร้องลั่นด้วยความกลัว และเมื่อเศรษฐีกับภรรยานำเรื่องไปฟ้องเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ผู้ทรงความยุติธรรมก็บอกกับพวกเศรษฐีว่า “ข้าคงเอาผิดกับเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้หรอก เพราะลูกของท่านเป็นคนยื่นมือพร้อมกับเสนอว่าจะให้ทั้งหมดที่มีแก่เขาเองมิใช่หรือ?”
เศรษฐีกับภรรยาพากันร้องไห้ดั่งคนเสียสติ แม้พวกเขาจะเป็นคนไม่ดี แต่พวกเขาก็รักลูกชายยิ่งชีวิต เมื่อเด็กน้อยเห็นดังนั้น เด็กน้อยจึงบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าตัวเขายอมที่จะไม่เอาเรื่อง หากเศรษฐียอมคืนม้า ลาและสัญญาว่าจะเลิกหลอกลวงผู้อื่นอีก
เศรษฐีกับภรรยารีบตกปากรับคำอย่างไม่รอช้า แต่เจ้าหน้าที่ผู้ทรงความยุติธรรมกล่าวว่า หากเศรษฐีอยากให้เรื่องยุติ เศรษฐีจะต้องมอบทองคำ 10 หีบให้แก่เด็กน้อยทดแทนสิ่งที่เศรษฐีได้กระทำลงไป
เศรษฐีกับภรรยาถึงกับตาค้าง แต่ทั้งคู่ก็ไม่กล้าต่อรองอะไรอีก ด้วยเหตุนี้ เด็กน้อยจึงได้ทอง 10 หีบไปอย่างไม่คาดฝัน
และแล้ว…ครอบครัวของเศรษฐีจอมเจ้าเล่ห์ก็ได้รับบทเรียนที่สาสม
#นิทานนำบุญ
……………
