เรื่อง เจ้าชายชิลชิล (The Simple Prince) เป็นนิทานพื้นบ้านฮังการี ที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แปลและเรียบเรียงมาฝากเด็ก ๆ ที่รออ่านนิทานนำบุญเรื่องใหม่ ๆ (แต่ไม่ค่อยมีนิทานเรื่องใหม่ให้อ่านบ่อยนัก) คำว่าชิลชิลในเรื่อง เป็นคำแสลง หรือเป็นภาษาวัยรุ่น ที่หมายถึง “สบายสบาย ไม่คิดอะไรมาก” ซึ่งการเลือกใช้คำนี้ในชื่อเรื่อง เพราะผมเห็นว่าตัวละครหลักของเรื่องมีนิสัยใกล้เคียงกับความหมายของคำนี้ (ตอนแรกจะใช้ชื่อว่า เจ้าชายสบายสบาย แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ตรงเสียทีเดียว) ส่วนการเรียบเรียงเนื้อหาของนิทานเรื่องนี้ ผมพยายามคงเรื่องราวตามนิทานดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่มีการเพิ่มเหตุผลในบางส่วนเข้าไปให้นิทานมีความกลมกล่อมมากขึ้น ซึ่งหวังว่าผู้อ่านจะได้อรรถรสจากการอ่านนิทานเรื่องนี้ ความดีของนิทานเรื่องนี้ขอ มอบให้แก่ผู้แต่งดั้งเดิมซึ่งไม่ปรากฏนาม ขอให้มีความสุขในการอ่านนิทานนะครับ
นิทานเรื่อง เจ้าชายชิลชิล
กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาคนหนึ่ง มีลูกชายสามคน
ลูกชายคนเล็กของชาวนามีชื่อว่า “จอห์น” จอห์นเป็นหนุ่มน้อยที่ชอบใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ ไม่คิดอะไรให้หนักสมอง ยามว่าง เขามักนอนเล่นเรื่อยเปื่อยจนดูเหมือนเป็นคนที่มีชีวิตว่างเปล่า ไร้แก่นสาร พี่ชายทั้งสองของจอห์นพยายามผลักดันให้น้องชายคิดถึงอนาคตให้มากขึ้น แต่ดูเหมือนจอห์นจะชอบนอนเล่นอยู่กับปัจจุบันมากกว่า เรียกว่ามีงานก็ทำไป ทำงานเสร็จก็พักผ่อนสบายใจ พี่ชายของจอห์นจึงมักมองน้องชายว่าเป็นคนซื่อบื้อไร้ความคิด
วันหนึ่ง ชาวนาและลูกทั้งสามเดินไปที่ท้องนาและพบว่ากองฟางที่พวกเขาก่อไว้กระจัดกระจายเละเทะไปหมด พวกเขาจึงต้องช่วยกันก่อกองฟางให้กลับคืนสู่สภาพเดิม จากนั้น ชาวนาจึงให้ลูกชาวคนโตนอนเฝ้ากองฟางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำให้กองฟางกระจุยกระจายอีก
คืนนั้น มีหนูตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้วมองไปที่ลูกชายคนโตของชาวนาซึ่งนั่งเฝ้ากองฟางอยู่ เมื่อลูกชายคนโตเห็นหนู เขาจึงเอาหมวกครอบตัวหนูเอาไว้ แต่เมื่อเปิดหมวกออก เขากลับไม่เห็นว่ามีหนูอยู่ในนั้น ลูกชายของชาวนาแปลกใจนิดหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วเผลอหลับไปในที่สุด
ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า ลูกชายของชาวนาตื่นขึ้นมาและพบว่า กองฟางกระจุยกระจายเละเทะอีกแล้ว เขาจึงต้องเสียทั้งแรง เสียทั้งเวลา ในการก่อกองฟางให้กลับคืนสู่สภาพเดิมตามลำพัง เย็นวันนั้น ชาวนาสั่งให้ลูกชายคนรองไปนอนเฝ้ากองฟางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำลายกองฟางอีก
คืนนั้น เจ้าหนูตัวเล็ก ๆ ก็ปรากฏตัวและจ้องมองลูกชายชาวนาซึ่งนั่งเฝ้ากองฟางอยู่ เมื่อลูกชายคนรองเห็นหนู เขาจึงเอาหมวกครอบตัวหนูเอาไว้ แต่เมื่อเปิดหมวกออก เขากลับไม่เห็นว่ามีหนูอยู่ในนั้น ลูกชายของชาวนาแปลกใจนิดหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ลืม แล้วเผลอหลับไปในที่สุด
ครั้นเมื่อถึงเวลาเช้า ลูกชายของชาวนาตื่นขึ้นมาและพบว่า กองฟางกระจุยกระจายเละเทะอีกแล้ว เขาจึงต้องเสียทั้งแรง เสียทั้งเวลา ในการก่อกองฟางให้กลับคืนสู่สภาพเดิมตามลำพัง เย็นวันนั้น ชาวนาจึงสั่งให้ลูกชายคนเล็กไปนอนเฝ้ากองฟางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำลายกองฟางอีก
เมื่อพี่ชายทั้งสองได้ฟัง พวกเขาก็พากันเย้นหยันว่า น้องชายจอมซื่อบื้อของพวกเขา คงเอาแต่นอนเล่นสบาย ๆ แบบคนไร้หัวคิด แล้วกองฟางก็คงเละเทะเหมือนเดิม
คืนนั้น เมื่อจอห์นไปนั่งเฝ้ากองฟางตามคำสั่งของพ่อ จู่ ๆ เจ้าหนูก็ปรากฏตัวขึ้นและมองไปที่หน้าของเขา จอห์นเป็นคนสบาย ๆ ไม่คิดอะไรมาก เมื่อเขาเห็นหนู เขาจึงส่งยิ้มให้ จากนั้น เขาก็แบ่งเนยแข็งที่เตรียมมาให้หนูกินเล็กน้อย
เมื่อหนูได้กินเนยแข็ง มันก็ยิ้มแก้มตุ่ย จากนั้น มันก็รู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณของจอห์น มันจึงบอกความลับให้จอห์นรู้ว่า “เธอรู้ไหมว่าทำไมกองฟางของเธอจึงเละเทะทุกวัน” หนูเกริ่น “ตอนดึก ๆ มีม้าตัวหนึ่ง มันชอบมาแผลงฤทธิ์ในทุ่งนา แล้วเตะฟางให้กระจุยกระจาย แต่เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันจะเสกบังเหียนในการบังคับม้าให้ เมื่อม้าปรากฏตัว เธอจะต้องเอาบังเหียนไปที่ม้า แล้วกระโดดขึ้นไปขี่หลังของมันให้ได้ ถ้าเธอบังคับม้าได้ กองฟางจะไม่กระจุยกระจายอีกต่อไป”
คืนนั้น จอห์นจึงเตรียมตัวทำตามที่หนูบอกโดยถือบังเหียนเอาไว้ในมือ แล้วนอนเล่นอยู่เงียบ ๆ ในเงามืดแบบชิลชิลอย่างที่เขาถนัด เมื่อม้าปรากฏตัวและเผลอไผล จอห์นก็ดีดตัวขึ้นมาจากเงามืดแล้วเหวี่ยงบังเหียนไปที่เจ้าม้า จากนั้น เขาก็กระโจนขึ้นขี่ม้าทันที
ม้าพยายามเหวี่ยงตัวจอห์นให้ตกลงพื้น พร้อมกับวิ่งเข้าชนกองฟาง แต่จอห์นขืนตัวดึงบังเหียนไว้อย่างสุดกำลัง ไม่นานนัก ม้าก็รู้ตัวว่า หนุ่มน้อยชิลชิลที่เอาแต่นอนเล่นสะสมพลังมีความแข็งแกร่งกว่ามันหลายเท่านัก ในที่สุด ม้าจึงเลิกพยศแล้วพูดกับจอห์นว่า “ฉันยอมแพ้แล้วเจ้านาย ฉันขอมอบนกหวีดให้เจ้านาย 3 ตัว ถ้าเจ้านายเป่านกหวีดตัวใดตัวหนึ่ง ม้าประจำนกหวีดนั้นจะมาปรากฏตัวให้เห็น พร้อมกับนำชุดเจ้าชายมาให้เจ้านายใส่เพื่อขี่ม้าด้วย” เมื่อพูดจบ ม้าก็มอบนกหวีดสีทองแดง นกหวีดสีเงิน และนกหวัดสีทองให้แก่จอห์น
เมื่อจอห์นกลับถึงบ้าน เขาจึงบอกกับพ่อว่า “พ่อครับ วันนี้ กองฟางเป็นปกติดี ไม่ได้กระจุยกระจายเละเทะแบบทุก ๆ วัน ถ้าคุณพ่อมีอะไรให้จอห์นทำก็เรียกใช้ได้นะครับ แต่ถ้าไม่มีอะไร จอห์นขอไปนอนเล่นก่อนนะครับ”
เมื่อพี่ชายทั้งสองคนได้ฟัง พวกเขาก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อชาวนาและพี่ชายทั้งสองออกไปดูที่ท้องนา พวกเขาก็เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนดังที่จอห์นบอก ชาวนาจึงพูดกับลูกชายอีกสองคนว่า “พวกเจ้าอย่าดูถูกน้องของตัวเองมากเกินไป ถึงจะเป็นการพูดเล่นด้วยความเป็นห่วง แต่คนที่พวกเจ้าหาว่าซื่อบื้อไร้หัวคิด เป็นคนเดียวที่ดูแลกองฟางได้สำเร็จนะ”
เมื่อเวลาผ่านไป จอห์นก็ยังคงใช้ชีวิตชิลชิลอยู่ดังเดิม ส่วนพี่ชายทั้งสองก็ยังคงเหน็บแนมเขา (ด้วยความเป็นห่วงไม่เคยเปลี่ยน) จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าหญิงลูกสาวของพระราชาทรงตัดสินใจที่จะแต่งงาน พระองค์จึงจัดพิธีเลือกคู่ โดยกำหนดให้คนที่ต้องการแต่งงานกับพระองค์ ขึ้นไปบนภูเขาแก้วอันสูงชัน แล้วปีนขึ้นไปบนยอดของต้นสนเพื่อนำรองเท้าทองคำลงมามอบให้แก่เจ้าหญิงให้ได้ ถ้าใครทำได้สำเร็จ คนนั้นก็จะได้แต่งงานกับเจ้าหญิง
ชายหนุ่มจากทั่วทุกสารทิศพากันเข้าร่วมชิงชัยเพื่อคว้าโอกาสแต่งงานกับเจ้าหญิงแสนสวย พี่ ๆ ของจอห์น อยากรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ พวกเขาจึงพากันไปดูงานเลือกคู่ที่พระราชวัง แต่จอห์นไม่อยากไปเบียดเสียดกับใคร เขาพอใจที่จะนอนเล่นชิลชิลอยู่ที่บ้านมากกว่า ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ตามพี่ ๆ ไปด้วย จนพี่ ๆ ถึงกับโพล่งออกมาว่า “ถ้าวัน ๆ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วชีวิตมันจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร”
เมื่อพี่ ๆ ออกจากบ้านไปแล้ว จอห์นซึ่งรู้ดีว่าพี่ ๆ เป็นห่วง ก็มีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
จอห์นจัดแจงหยิบนกหวีดสีทองแดงออกมาจากถุงย่ามประจำตัวของเขา จากนั้น เขาก็เป่านกหวีด ซึ่งมันทำให้ม้าสีทองแดงปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชุดเจ้าชายสีทองแดงที่เท่อย่างไร้ที่ติ จอห์นค่อย ๆ สวมชุดเจ้าชายอย่างสบายอารมณ์ เขาคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ในใจ เมื่อทุกอย่างพร้อม จอห์นก็กระโจนขึ้นม้า แล้วควบม้าสนุก ๆ มุ่งหน้าไปยังภูเขาแก้วอันสูงชันอย่างสบายใจ
ในช่วงที่จอห์นขี่ม้าผ่านปราสาท เจ้าหญิงมองเห็นเจ้าชายหนุ่มสุดเท่ในชุดสีทองแดงขี่ม้าผ่านหน้าพระองค์ไปอย่างสบายสบาย เจ้าหญิงก็ทรงแอบคิดในใจว่า “ฉันหวังว่าเจ้าชายองค์นี้จะนำรองเท้าทองคำลงมาได้และเป็นผู้ชนะ”
แต่เมื่อจอห์นขี่ม้าขึ้นไปบนภูเขาผ่านคู่ต่อสู้ไปทีละคนสองคนจนทิ้งห่างจากคู่แข่งไปจนถึงกึ่งกลางของระยะทาง (ซึ่งคู่แข่งต่างหมดแรงไปต่อไม่ไหว) จู่ ๆ จอห์นก็ขี่ม้าย้อนกลับลงมาที่ตีนเขาโดยปล่อยให้คนที่เฝ้ามองอยู่งงเป็นไก่ตาแตก
เมื่อพี่ชายของจอห์นกลับถึงบ้าน พวกเขาก็เล่าเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นให้น้องชายที่นอนเล่นสบาย ๆ อยู่ที่บ้านฟัง จอห์นจึงหยอกพี่ชายว่า เขารู้เรื่องหมดแล้วโดยไม่ต้องไปเบียดกับใคร ๆ ที่พระราชวัง เพราะเขามองเหตุการณ์ทั้งหมดได้จากกาารปีนขึ้นไปนั่งเล่นที่รั้วบ้าน พี่ชายทั้งสองเสียหน้าที่ดูเหมือนว่าน้องชายจะฉลาดและสบายกว่าพวกเขา พี่ชายโมโหจึงพากันบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง และไม่วายว่าจอห์นว่าถึงอย่างไรคนซื่อบื้อ อย่างจอห์นก็คงมีอนาคตที่สดใสไปไม่ได้
วันรุ่งขึ้น พี่ชายทั้งสองของจอห์นยังคงแวะไปดูงานเลือกคู่ที่พระราชวังอีก เมื่อพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว จอห์นจึงหยิบนกหวีดสีเงินออกมาเป่า ซึ่งหลังจากที่เขาเป่านกหวีดสีเงิน ม้าสีเงินก็ปรากฏตัวพร้อม ๆ กับชุดเจ้าชายสีเงินที่เท่กว่าชุดสีทองแดงหลายเท่า จอห์นค่อย ๆ แต่งชุดเจ้าชายอย่างสบายอารมณ์ เมื่อทุกอย่างพร้อม จอห์นก็ขี่ม้าตรงไปยังภูเขาแก้วเหมือนกำลังจะไปเที่ยวเล่นที่สวนสนุก
เมื่อเจ้าหญิงเห็นเจ้าชายในชุดสีเงินขี่ม้าผ่านหน้าพระองค์อย่างมีความสุข เจ้าหญิงก็แอบคิดในใจว่า “ฉันหวังว่าเจ้าชายที่หล่อขึ้นกว่าเมื่อวานจะนำรองเท้าทองคำลงมาได้และเป็นผู้ชนะ” แต่เมื่อจอห์นขี่ม้าขึ้นภูเขาผ่านคู่แข่งที่นอนหมดแรงทั้งคนทั้งม้าไปจนเกือบถึงยอดเขา จอห์นก็บังคับม้าให้ย้อนกลับลงจากยอดเขาโดยปล่อยให้คนที่เฝ้ามองอยู่งงเป็นเป็ดตาแตก
เมื่อพี่ชายของจอห์นกลับถึงบ้าน พวกเขาก็เล่าเรื่องให้น้องชายที่นอนเล่นสบาย ๆ อยู่ที่บ้านฟัง จอห์นจึงหยอกพี่ชายว่า เขารู้เรื่องหมดแล้วโดยไม่ต้องไปเบียดกับใคร ๆ ที่พระราชวัง เพราะเขามองเหตุการณ์ทั้งหมดได้จากการปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนหลังคายุ้งข้าว
พี่ชายทั้งสองเสียหน้าที่ดูเหมือนว่าน้องชายจะฉลาดและสบายกว่าพวกเขา พี่ชายโมโหจึงพากันบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง และไม่วายต่อว่าจอห์นว่าถึงอย่างไรคนซื่อบื้ออย่างจอห์นก็คงมีอนาคตที่สดใสไปไม่ได้
วันต่อมา งานเลือกคู่ยังคงดำเนินไปเป็นวันสุดท้าย แน่นอนว่า..พี่ชายทั้งสองของจอห์นก็ยังคงแวะเข้าไปดูงานอีก เมื่อพี่ชายออกจากบ้านไปแล้ว จอห์นจึงหยิบนกหวีดสีทองออกมาเป่า ซึ่งหลังจากเป่านกหวีดสีทอง ม้าสีทองก็ปรากฏตัวพร้อม ๆ กับชุดเจ้าชายสีทองที่ดูสง่างามมากที่สุดเมื่อเทียบกับสองชุดที่ผ่านมา จอห์นค่อย ๆ ใส่ชุดสีทองอย่างสบายอารมณ์ เมื่อทุกอย่างพร้อม จอห์นก็ขี่ม้าตรงไปยังภูเขาแก้วเหมือนไปเที่ยวเล่น
เมื่อเจ้าหญิงเห็นเจ้าชายในชุดสีทองขี่ม้าผ่านหน้าพระองค์อย่างอารมณ์ดี เจ้าหญิงก็แอบคิดในใจว่า “ขอให้เจ้าชายที่เปลี่ยนชุดทุกวันพระองค์นี้ นำรองเท้าลงมาได้และเป็นผู้ชนะด้วยเถิด” แต่ในวันนี้ แม้จอห์นจะขี่ม้าขึ้นไปจนถึงยอดเขา และนำรองเท้าทองคำลงจากยอดต้นสนได้สำเร็จ แต่แทนที่เขาจะนำรองเท้ามาให้เจ้าหญิง เขากลับขี่ม้าลงไปอีกทางหนึ่งของภูเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เป็ดไก่และใครต่อใครต่างงุนงงจนตาเกือบแตก ส่วนเจ้าหญิงก็ร้องไห้เสียใจเพราะไม่รู้ว่าเจ้าชายสุดหล่อที่เปลี่ยนชุดทุกวันขี่ม้าหายไปไหน
เมื่อพี่ชายของจอห์นกลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้น้องชายที่นอนเล่นสบาย ๆ อยู่ที่บ้านฟัง จอห์นจึงหยอกพี่ชายว่า เขารู้เรื่องหมดแล้วโดยไม่ต้องไปเบียดกับใคร ๆ ที่พระราชวัง เพราะเขามองเหตุการณ์ทั้งหมดได้จากการปีนขึ้นไปนั่งมองสบาย ๆ ที่หลังคาบ้าน
พี่ชายทั้งสองเสียหน้าที่ดูเหมือนว่าน้องชายจะฉลาดและสบายกว่าพวกเขา พี่ชายโมโหจึงพากันบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง และไม่วายต่อว่าจอห์นว่า ถึงอย่างไรคนซื่อบื้ออย่างจอห์นก็คงมีอนาคตที่สดใสไปไม่ได้
ที่พระราชวัง พระราชาทรงป่าวประกาศให้ชายหนุ่มที่นำรองเท้าทองคำไปออกมาแสดงตัว แต่จนแล้วจดรอดก็ไม่มีใครออกมาปรากฏตัวให้เห็น ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงให้ทหารออกค้นบ้านของชาวบ้านทีละหลัง จนในที่สุด พวกทหารก็มาถึงบ้านของชาวนากับลูกชายทั้งสาม
เมื่อทหารค้นห้องของพ่อและพี่ชายทั้งสองคนเสร็จ พวกเขาก็ถามว่า “ในบ้านนี้ยังมีคนอยู่อีกไหม”
พี่ชายทั้งสองของจอห์นจึงบอกว่า “นอกจากพวกเรากับพ่อแล้ว ในบ้านยังมีน้องชายจอมซื่อบื้อที่วัน ๆ ก็ไม่เห็นทำอะไรอยู่อีกคนหนึ่ง” ทหารจึงขอพบตัวจอห์น และค้นจนเจอรองเท้าทองคำของเจ้าหญิงซ่อนอยู่ในย่ามประจำตัวของเขา
พี่ชายทั้งสองต่างตกตะลึงและไม่รู้ว่าน้องชายผู้ไม่มีอนาคตของพวกเขา มีรองเท้าทองคำอยู่ในย่ามได้อย่างไร ส่วนจอห์นได้แต่ยิ้ม ๆ เมื่อเห็นพี่ชายทั้งสองของเขางงเป็นหมูตาแตก หลังจากนั้น ทหารก็ให้จอห์นและทุกคนในครอบครัวเดินทางไปที่พระราชวัง เพื่อให้จอห์นเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าหญิง
เมื่อไปถึงพระราชวัง หลาย ๆ คนไม่เชื่อว่าจอห์นเป็นคนที่นำรองเท้าทองคำ ลงจากยอดต้นสนได้จริง ๆ พวกเขาจึงถามหาชุดสีทอง สีเงิน และสีทองแดงที่พวกเขาเคยเห็นเมื่อวันก่อน
เมื่อถูกคาดคั้น จอห์นจึงนำนกหวีดทั้งสามตัวออกมาเป่า ซึ่งหลังจากเป่านกหวีด ม้าทั้งสามก็ปรากฏตัวพร้อมกับชุดสุดเท่ทั้ง 3 สี จอห์นนำชุดสีทองทองมาสวมจนกลายเป็นเจ้าชายชิลชิลสุดเท่ จากนั้น เขาได้มอบชุดอีก 2 ชุดให้พี่ชายทั้งสองของเขา ที่กำลังยืนงงต่อสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
หลังจากนั้น จอห์นก็มอบรองเท้าทองคำให้แก่เจ้าหญิง และแล้ว…..เจ้าชายชิลชิลก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง และทั้งคู่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขสืบมา
#นิทานนำบุญ
