นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายองค์สุดท้อง” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ
นิทานเรื่อง เจ้าชายองค์สุดท้อง
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงเป็นพระราชาแห่งอาณาจักรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการรบ เมื่อพระราชาทรงมีอายุมากขึ้นจนสุขภาพเริ่มถดถอย พระองค์จึงคิดคัดเลือกพระราชาองค์ใหม่ด้วยการมอบหมายให้โอรสทั้งห้าแข่งขันกันยกกองทัพออกไปยึดเมืองที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งพระราชาจะตัดสินผู้ชนะโดยดูจากวิธีการรบหรืออาวุธที่เจ้าชายแต่พระองค์เลือกใช้
เจ้าชายองค์โตผู้ภาคภูมิในสายเลือดนักรบทรงเลือกดาบเป็นอาวุธในการต่อสู้ ซึ่งเมื่อเจ้าชายยกทัพไปถึงเมืองเป้าหมาย ชาวเมืองที่ถูกรุกรานก็นำดาบออกมาต่อต้านกองทัพของเจ้าชายอย่างสุดกำลัง และหลังจากการเผชิญหน้าฟาดฟันกันจนผู้คนทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในที่สุด กองทัพของเจ้าชายองค์โตก็สามารถยึดครองเมืองแห่งนั้นได้สำเร็จ
เจ้าชายองค์รองผู้ไม่ชอบการปะทะกันโดยตรงทรงเลือกใช้ธนูเป็นอาวุธในการต่อสู้ เมื่อกองทัพของเจ้าชายปิดล้อมเมืองเป้าหมายแล้วยิงธนูเข้าไปในเมือง ชาวเมืองก็ยิงธนูออกมาโต้ตอบจนกลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ เจ้าชายองค์รองทรงโกรธที่ถูกต่อต้าน พระองค์จึงสั่งให้ทหารยิงธนูไฟเข้าไปในเมือง ซึ่งหลังจากธนูไฟเผาทำลายบ้านเรือนไปเป็นจำนวนมาก กองทัพของเจ้าชายองค์รองก็ครอบครองเมืองแห่งนั้นได้ดังใจปรารถนา
เจ้าชายองค์กลางผู้ทันสมัยทรงเลือกใช้ปืนไฟเป็นอาวุธในการต่อสู้ เมื่อกองทัพของเจ้าชายถือปืนมุ่งหน้าไปยังเมืองเป้าหมาย ชาวเมืองซึ่งไม่คุ้นกับปืนไฟเพราะเป็นอาวุธสมัยใหม่จึงนำอาวุธเท่าที่มีอยู่ออกมาสู้รบ แต่อนิจจา…ด้วยพลังทำลายล้างของปืนไฟอันร้ายกาจ เพียงชั่วพริบตาเดียว ชาวเมืองทั้งหลายก็ถูกสะเก็ดกระสุนปืนจนบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน และแล้ว…เจ้าชายองค์กลางก็สามารถยึดเมืองเอาไว้ได้โดยแทบไม่ได้ออกแรงเลยแม้สักนิด
เจ้าชายองค์ที่สี่ผู้ใจร้อนทรงเลือกใช้ดินระเบิดเป็นอาวุธในการต่อสู้ ทันทีที่พระองค์ยกกองทัพไปถึงเมืองเป้าหมาย พระองค์ก็ให้ทหารขว้างระเบิดข้ามกำแพงไปอย่างไม่รอช้า แรงระเบิดทำให้กำแพงพังและอาคารสั่นไหว ส่วนชาวเมืองต่างก็เสียขวัญและยอมพ่ายแพ้ต่อกองทัพของเจ้าชายองค์ที่สี่อย่างไม่มีเงื่อนไข
พระราชาทรงยินดีที่เจ้าชายทุกพระองค์สามารถยึดเมืองที่อยู่รอบข้างได้เป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน พระราชาก็ทรงไม่แน่ใจว่าการเลือกใช้อาวุธและวิธีการสู้รบของเจ้าชายองค์ใดเป็นการเลือกที่เฉลียวฉลาดและเหมาะสมมากที่สุด ในขณะที่พระราชาทรงครุ่นคิดพิจารณาอยู่นั้น เจ้าชายองค์สุดท้องที่พระราชาลืมนึกถึงก็กลับมาและขออนุญาตเข้าเฝ้า
เจ้าชายองค์สุดท้องผู้อ่อนน้อมทรงเลือกใช้วิธีเจรจาผูกมิตรเป็นอาวุธในการต่อสู้ ซึ่งเมื่อกองทัพของเจ้าชายเดินทางไปถึงเมืองเป้าหมาย พระองค์ก็เริ่มภารกิจด้วยการนำของกำนัลไปมอบให้แก่ท่านเจ้าเมือง จากนั้น เจ้าชายก็เจรจาด้วยความสุภาพนอบน้อมแล้วขอร้องให้มอบเมืองให้ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องของกันและกัน
การได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองที่เชี่ยวชาญในการรบเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับเมืองขนาดเล็ก เพราะหากมีใครมารุกราน เมืองที่แข็งแกร่งกว่าก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และด้วยเหตุนี้เอง ข้อเสนอและวิธีการเจรจาอย่างเป็นมิตรของเจ้าชายจึงทำให้เจ้าเมืองดังกล่าวยอมยกเมืองให้โดยสันติ
พระราชาทรงชื่นชมวิธีการของเจ้าชายองค์สุดท้องมากเป็นพิเศษ เพราะการใช้อาวุธสู้รบกันทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับชีวิตและบ้านเมืองที่ยึดมาได้ แต่การเจรจาผูกมิตรนั้น นอกจากจะสามารถยึดเมืองมาได้ตามต้องการแล้ว วิธีการนี้ยังไม่ทำให้ได้เกิดความเสียหายหรือความเคืองแค้นซึ่งกันและกันอีกด้วย ดังนั้น เมื่อพระราชาทรงใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน พระองค์จึงตัดสินใจเลือกเจ้าชายองค์สุดท้องให้เป็นพระราชาสืบต่อจากพระองค์
การเจรจาผูกมิตรทำให้เจ้าชายองค์สุดท้องผู้ดำรงฐานะเป็นพระราชาองค์ใหม่สามารถขยายอาณาเขตไปได้อย่างกว้างใหญ่ไพศาล ทุก ๆ ครั้งที่มีอาณาจักรอื่นเข้ามารุกราน บ้านพี่เมืองน้องทั้งหลายก็จะร่วมมือกันต่อต้านหรือช่วยกันเจรจาจนศัตรูกลับใจยอมมาเป็นมิตรด้วย
วิธีการรบอันแหวกแนวของเจ้าชายองค์สุดท้องแสดงให้ทุกคนเห็นถึงพลังของการเจรจากันโดยสันติ ในที่สุด อาณาจักรที่เคยมีชื่อเสียงในด้านการรบก็กลับกลายเป็นกลุ่มอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีต่อกัน ซึ่งทำให้ประชาชนทั้งหลายต่างก็มีความสุขกันโดยถ้วนหน้า
#นิทานนำบุญ
……………………..
