นิทานก่อนนอนเรื่อง “เด็กน้อยส.ค.ส.” เป็นนิทานก่อนนอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบัตรอวยพรปีใหม่ (ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า ส.ค.ส. หรือ บัตรส่งความสุข) ซึ่งนิทานเรื่องนี้ ผมเลือกมานำเสนอเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ อ้อ! เมื่ออ่านนิทานจบแล้ว ลองหาภาพของเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว มาดูประกอบนะครับ เพราะนิทานเรื่องนี้ ผมได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเที่ยวที่เมืองหลวงพระบางครับ
นิทานเรื่อง เด็กน้อย ส.ค.ส.
กาลครั้งหนึ่ง มีเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งแฝงตัวอยู่บนเทือกเขาสูงที่สลับซับซ้อนและห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าที่มีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองถึงสองสาย, มีผู้คนที่เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรีและมีวัดวาอารามที่งดงามอยู่ทั่วทั้งเมือง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงดั้นด้นมาสัมผัสความสงบงามของเมืองแห่งนี้กันเกือบตลอดทั้งปี
แม้เมืองแห่งนี้จะดูเหมือนเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่จริง ๆ แล้ว ชาวเมืองก็ไม่ได้มีความสุขไปเสียทั้งหมด เพราะชาวเมืองล้วนแล้วแต่มีฐานะยากจน ทำงานหาเงินเหลือแค่เพียงพอกิน…แต่ไม่เคยพอใช้ เด็กหลายคนที่รักการเล่าเรียนเขียนอ่านจึงไม่มีโอกาสเรียนหนังสือในระดับสูง ๆ ดังที่ตั้งใจเอาไว้
“จ่อย” เป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่เกิดในเมืองแห่งนี้และปรารถนาจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด เพราะการได้เรียนสูง ๆ จะทำให้เขามีโอกาสได้ทำงานที่ดี, มีรายได้มากพอที่จะใช้ดูแลพ่อแม่และทำให้ครอบครัวของเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่เพราะพ่อกับแม่ของจ่อยมีฐานะยากจนไม่ต่างจากชาวเมืองทั่วไป โอกาสที่จ่อยจะได้เรียนหนังสือสูง ๆ จึงเป็นได้เพียงแค่ความฝัน
อย่างไรก็ตาม แม้ความปรารถนาของจ่อยจะแทบเป็นไปไม่ได้ แต่เด็กผู้ชายอย่างจ่อยก็ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา จ่อยรู้ดีว่าปัญหาหลักที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เรียนสูง ๆ คือเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ จ่อยจึงคิดหาเงินเพื่อสะสมเป็นทุนการศึกษาของตนเอง
จ่อยเริ่มหาเงินด้วยการขอทำงานต่าง ๆ ตามกำลังที่เขามีอยู่ แต่เนื่องจากชาวเมืองทุกคนต่างยากจนด้วยกันทั้งนั้น จ่อยจึงแทบไม่ได้ค่าจ้างเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น จ่อยก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพยายามคิดหางานที่เด็กอย่างเขาพอจะทำได้ งานอะไรสักอย่างที่จะทำให้เขามีทุนการ ศึกษา จ่อยคิด…คิด…แล้วก็คิด แต่จนแล้วจนรอด จ่อยก็คิดไม่ออก
ในยามที่จนปัญญา จ่อยจึงหันหน้าเข้าวัดเพื่อไหว้พระทำสมาธิ จ่อยเชื่อว่าเมื่อมีสติและสมาธิ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น หลังจากที่จ่อยไหว้พระขอพรเสร็จ เขาก็ออกมาเดินรอบ ๆ วัดที่เขาคุ้นเคย วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งมีวิหารน้อย ๆ สองหลัง รอบวิหารทั้งสองหลังตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นภาพนิทานและวิถีชีวิตของชาวบ้านดูงดงามอย่างวิเศษ จ่อยเห็นนักท่องเที่ยวจ้องมองภาพเหล่านั้นราวกับต้องมนตร์สะกด ทันใดนั้นเอง จ่อยก็เกิดความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในใจ!
ทันทีที่จ่อยคิดได้ เขาก็ตรงกลับบ้านแล้วนำเงินเก็บที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปซื้อสีไม้ราคาถูกมาหนึ่งกล่องพร้อมกับกระดาษวาดเขียนอีกสองสามแผ่น จากนั้น เขาก็นำมันมาตัดให้ได้ขนาดพอ ๆ กับไปรษณียบัตร แล้วเริ่มลงมือทำ“บัตรส่งความสุข”ให้นักท่องเที่ยวใช้บันทึกความประทับใจในการมาเยี่ยมเยือนเมืองของเขา เพื่อส่งผ่านไปรษณีย์ไปบอกเล่าให้คนรักที่อยู่ทางบ้านได้รับรู้
จ่อยค่อย ๆ วาดภาพลงบนบัตรส่งความสุขอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาวาดภาพวัดแสนงาม, ภาพการตักบาตรในยามเช้า, ภาพกระจกสีที่ประดับวิหาร, ภาพแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน และภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ แล้วนำบัตรส่งความสุขไปเดินขายในตลาดกลางคืนซึ่งมีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก
เมื่อนักท่องเที่ยวเห็นบัตรส่งความสุขที่เด็กน้อยบรรจงวาด รวมทั้งรู้ว่าเด็กน้อยต้องการหาเงินเอาไว้ใช้เรียนหนังสือ นักท่องเที่ยวที่มีความสุขในการได้มาเยี่ยมชมเมืองและหลงใหลในมิตรไมตรีของชาวเมืองจึงอยากมอบความสุขให้แก่เด็กน้อยบ้าง พวกเขาจึงช่วยกันอุดหนุนจนจ่อยมีบัตรส่งความสุขไม่พอขาย
จ่อยดีใจมากที่เขาขายบัตรส่งความสุขได้ทั้งหมด เขาแบ่งเงินที่ได้ออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเก็บไว้เป็นทุนการศึกษา และส่วนที่เหลือเอาไปซื้อสีกับกระดาษวาดเขียนมาทำบัตรส่งความสุขเพิ่มเติมอีก แต่จ่อยไม่ได้ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อตัวเองเท่านั้น เขายังซื้อเผื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ที่มีความใฝ่ฝันเหมือนกับเขาอีกด้วย
ไม่นานนัก เด็ก ๆ ที่อยากเรียนหนังสือก็หันมาทำบัตรส่งความสุขกันมากขึ้น เมื่อเด็ก ๆ ได้เงินมา พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งเงินออกเป็นสองส่วนเหมือนที่จ่อยได้ทำเป็นตัวอย่าง เด็ก ๆ ค่อย ๆ ออมเงินทีละเล็กละน้อย จนเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็มีทุนการศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดอันเฉียบแหลมของจ่อยทำให้เขาออมเงินไว้ได้มากพอสำหรับการเรียนต่อดังที่เขาวาดหวังเอาไว้ นอกจากนี้ เขายังช่วยให้เด็กรักเรียนคนอื่น ๆ มีโอกาสได้เล่าเรียนเช่นเดียวกับเขา
เมื่อบัตรส่งความสุขที่ทำจากฝีมือของเด็ก ๆ กระจายไปยังทั่วทุกมุมโลก ผู้คนที่ได้เห็นภาพวาดและได้อ่านเรื่องราวของเมืองที่แสนวิเศษนี้จึงพากันเดินทางมาชื่นชมความงดงามของเมืองมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
ผู้คนทั้งหลายต่างอิ่มใจที่ได้มาเยือนดินแดนซึ่งงดงามทั้งสภาพแวดล้อมและมิตรไมตรีของผู้คน ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ลืมที่จะซื้อบัตรส่งความสุขเพื่อเขียนไปบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้พบเห็น
บัตรส่งความสุขจากฝีมือของเด็ก ๆ จึงกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองแห่งนี้ ทำให้ “เด็กน้อย ส.ค.ส.” ผู้ใฝ่เรียนทั้งหลายสามารถทำบัตรส่งความสุขออกขายเพื่อหาทุนการศึกษาต่อไปได้…จากรุ่นสู่รุ่น
#นิทานนำบุญ
……………………………..
