Posted in นิทานธรรมะ, นิทานสอนใจ, นิทานไทย

ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง: ตำนานพระธาตุพนม พญานาค และเรื่องเล่าธรรมะจากอุรังคธาตุ

นิทานเรื่อง “ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง” ที่คุณกำลังจะได้อ่านนี้ เป็นการเรียบเรียงใหม่จาก “อุรังคนิทาน” ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันในดินแดนลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะบริเวณพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม

นิทานเรื่อง “ศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง” ฉบับเรียบเรียงใหม่นี้ มีการแต่งเติมองค์ประกอบบางส่วนจากต้นฉบับ “อุรังคนิทาน” เพื่อให้เนื้อเรื่องเข้าถึงผู้อ่านร่วมสมัยมากขึ้น เช่น การสร้างตัวละคร “แลนคำ” ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานสีทองที่ไม่แลบลิ้น ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสงบและการเฝ้ารอธรรมะ, การตั้งชื่อพญานาคว่า “สุขหัตถีนาค” เพื่อสื่อถึงพญานาคผู้มีจิตใจมั่นคงดุจช้าง แม้ในต้นฉบับจะไม่ได้ระบุชื่อชัดเจน, และการแต่งเติมตัวละคร “ชมพู” เด็กชายผู้เติบโตเป็นพระยาศรีไชยชมพู เพื่อเป็นตัวแทนของผู้สืบทอดธรรมะจากรุ่นสู่รุ่น หากผู้อ่านต้องการศึกษาเนื้อเรื่องดั้งเดิมอย่างลึกซึ้ง แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจาก “ตำนานอุรังคธาตุ” ซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่บันทึกเรื่องราวการเสด็จมาของพระพุทธเจ้า การประทับรอยพระบาท และการสร้างพระธาตุพนมโดยกษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีโคตรบอง

นานมาแล้ว ณ หนองน้ำใหญ่ชื่อ “หนองคันแทเสื้อน้ำ” ที่โอบล้อมด้วยป่าเขียวชอุ่ม มีสัตว์ต่าง ๆ อาศัยอยู่อย่างสงบ ทั้งปลาเล็กปลาน้อยที่ว่ายวนอยู่ในหนองน้ำ นกตัวเล็ก ๆ ที่ร้องเพลงรับแสงอรุณ และสัตว์สารพัดชนิดที่อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก

ในหมู่สัตว์ทั้งหลาย มี”แลนคำ” ตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ใต้ร่มไม้ แลนคำตัวนี้แปลกกว่าสัตว์อื่นตรงที่ มันไม่เคยแลบลิ้นเลยสักครั้ง ผู้เฒ่าผู้แก่จึงเล่าให้ลูกหลานฟังว่า ตัวแลนทั้งหลายนั้นมักแลบลิ้นเป็นวิสัยธรรมชาติ แต่แลนคำหรือแลนสีทองตัวนี้มันดูสงบสำรวมดุจผู้ภาวนา ผู้เฒ่าคนหนึ่งกล่าวว่า “บางที ในกาลข้างหน้า มันจักเป็นนิมิตหมายแห่งบุญญาธิการ หากเมื่อใดแลนคำนี้แลบลิ้น เมื่อนั้นจักมีเหตุใหญ่หลวงอุบัติขึ้นในโลก”

วันหนึ่งท้องฟ้าสว่างใสเกินปกติ แสงทองทาบผิวน้ำจนระยิบระยับ แลนคำผู้เงียบงันมายาวนาน พลันแลบลิ้นออกมาเป็นครั้งแรก! เหล่าสัตว์ต่างตกตะลึงและบอกกันไปทั่วป่า ผู้เฒ่าผู้แก่จึงพากันพนมมือแล้วกล่าวว่า “นิมิตมาถึงแล้ว พระศาสดาจักเสด็จมาที่หนองนี้แน่แท้”

ไม่นานนัก พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาจริงดังคำทำนาย พระพักตร์ของพระองค์เปี่ยมเมตตาดุจจันทราส่องแสงในยามกลางคืน สัตว์ทั้งหลายต่างหมอบกราบดุจดอกบัวหุบรับแสงอรุณ แลนคำก็น้อมกายลง กราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ใต้บาดาล ณ ดินแดนใกล้เคียง มีพญานาคนาม “สุขหัตถีนาค” ผู้เคยบวชเป็นพระภิกษุแต่ยังไม่บรรลุธรรม ได้เฝ้ารอพระพุทธองค์มาอย่างช้านาน เมื่อพญานาคเห็นแสงแห่งศาสดาส่องมาถึงบาดาล หัวใจของพญานาคก็พลันพองโต เพราะเต็มไปด้วยศรัทธา

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง สุขหัตถีนาคจึงโผล่ขึ้นจากน้ำ เผยกายอันโอฬาร กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ยังติดอยู่ในบ่วงกิเลส แต่ปรารถนาให้แผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งแห่งธรรม ขอพระองค์โปรดประทับรอยพระบาทไว้ เพื่อเป็นนิมิตแก่อนุชนภายหน้า”

พระพุทธองค์ทรงเมตตาจึงประทับรอยพระบาท ณ เวินปลา พร้อมตรัสพยากรณ์ว่า “สถานที่นี้จักกลายเป็นเมืองแห่งธรรม เป็นที่ชุมนุมแห่งศรัทธาในกาลภายหน้า” สุขหัตถีนาคและสัตว์ทั้งหลายพากันโสมนัส น้ำตาแห่งศรัทธาไหลรินดุจสายฝน

…………………

เมื่อกาลเวลาล่วงผ่าน ดินแดนแห่งนั้นและดินแดนใกล้เคียงค่อย ๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้น เพราะผู้คนเคารพในธรรมด้วยศรัทธาที่บริสุทธิ์ รอยพระบาทกลายเป็นที่สักการะซึ่งมีคุณค่าสูงสุด

แต่ไม่นานนัก เสียงสวดมนต์กลับค่อย ๆ แผ่วเบาลง ผู้คนหลงลืมคุณธรรม แล้วเพลินเข้าไปมัวเมาในลาภยศ สุขหัตถีนาคที่ยังคงเฝ้าดูแลรอยพระบาทมองภาพที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

หลายร้อยปีหลังพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รอยพระบาทยังคงอยู่ ณ ที่แห่งเดิม ซึ่งเป็นดินแดนศรีโคตรบอง แต่ผู้คนบางส่วนลืมเลือนความศักดิ์สิทธิ์และหมดสิ้นซึ่งศรัทธา

แต่ในกาลนั้น ณ ริมฝั่งโขง ยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ที่ผู้เฒ่ายังคงเล่าเรื่องราวเก่าแก่ให้ลูกหลานฟัง

เด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า “ชมพู” มักนั่งอยู่ข้างตักยาย เพื่อขอให้ยายเล่าเรื่องซ้ำ ๆ เกี่ยวกับแลนคำที่แลบลิ้น พระพุทธเจ้าที่ประทับรอยพระบาท และเรื่องพญาสุขหัตถีนาคผู้เฝ้ารอ โดยที่เขาฟังเรื่องเหล่านี้ได้ไม่เคยเบื่อ เด็กน้อยซึมซับเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ในใจ ดวงตาของเขากลมโตและเปล่งประกายด้วยแสงแห่งศรัทธา

เมื่อเด็กน้อยเติบใหญ่ เขากลายเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมเมตตา ยึดถือในความยุติธรรม และไม่เคยทอดทิ้งผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ชาวเมืองจึงรักและนับถือเขากว่าใคร

ครั้นเมื่อขุนนางผู้ครองเมืองริมโขงสิ้นชีพโดยไร้ทายาท ประชาชนจึงพร้อมใจกันอัญเชิญชายหนุ่มผู้มีจิตใจดีงามขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยมีพระนามว่า “พระยาศรีไชยชมพู”

หลังจากครองราชย์แล้ว พระราชาศรีไชยชมพูนึกถึงถ้อยคำจากนิทานที่ยายเคยเล่า พระองค์จึงนำเรื่องที่ได้ฟังมาเป็นประทีปนำทาง

พระราชาศรีไชยชมพูได้ตัดสินใจสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อรวบรวมศรัทธาของผู้คน โดยอาราธนาพระอรหันต์ห้ารูปจากศรีโคตรบอง มาร่วมสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือกระดูกของพระพุทธเจ้า

การสร้างพระธาตุนั้นมิใช่เรื่องที่ง่าย ชาวเมืองต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงานท่ามกลางสายฝน ลมพายุและความเหน็ดเหนื่อย แม้บ่อยครั้งที่ความพยายามมีทีท่าจะล้มเหลว แต่ดูเหมือนมีสิ่งอัศจรรย์ที่คอยปัดเป่าให้พายุหรืออุปสรรคต่าง ๆ สงบลง ซึ่งช่วยเสริมกำลังใจและทำให้ผู้คนทำงานตามศรัทธาได้โดยไม่ท้อถอย

พระยาศรีไชยชมพูรู้อยู่ในใจว่า เบื้องหลังของปาฏิหาริย์ต่าง ๆ คือ พญาสุขหัตถีนาคที่ยังคอยเกื้อหนุน แม้จะมิได้เผยกายให้ใคร ๆ ได้เห็นก็ตาม

หลังจากที่ชาวเมืองร่วมแรงร่วมศรัทธากันอย่างยาวนาน ในที่สุด พระธาตุพนมที่งดงามก็สร้างเสร็จ ผู้คนจากทั่วทุกทิศต่างพากันมากราบไหว้ ศรัทธาค่อย ๆ ไหลรวมกลับคืนมา โดยเรื่องราวการสร้างพระธาตุพนมได้ถูกจารึกลงในใบลาน และเล่าสืบต่อกันมาเป็น “ตำนานอุรังคธาตุ” ในสมัยพระไชยเชษฐาธิราช และยังคงเล่าขานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ทุกวันนี้ แม้ผู้คนอาจเริ่มลืมเลือนเรื่องราวต่าง ๆ ไป แต่รอยธรรมในใจของผู้คน โดยเฉพาะผู้คนในแถบลุ่มน้ำโขง ยังคงมีร่องรอยที่ฝังลึกมาจากอดีตชาติ เมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสม เสียงธรรมในใจจะพาทุกคนผู้มีศรัทธากลับเข้าสู่ร่มเงาแห่งธรรม แล้วความร่มเย็นเป็นสุขก็จะกลับคืนสู่ชีวิตอย่างยั่งยืน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ศรัทธาเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
  • ความดีงามไม่มีวันสูญหาย
  • ผู้นำที่ดีคือผู้มีเมตตาและยึดมั่นในคุณธรรม
ภาพประกอบนิทานศรัทธาธรรมลุ่มน้ำโขง แสดงพญานาคสุขหัตถี แลนคำ และพระพุทธเจ้าประทับรอยพระบาท ณ เวินปลา
ตำนานพระธาตุพนมจากนิทานอุรังคธาตุ