Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

วิกฤตอุกกาบาต

    นิทานเรื่อง วิกฤตอุกกาบาต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเกาะเล็ก ๆ ซึ่งแทบไม่มีใครรู้จักเกาะหนึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรที่แสนห่างไกล ในเกาะมีผู้คนอาศัยอยู่ราว 100 คน ครึ่งหนึ่งศรัทธาในพลังสื่อสารกับทวยเทพของแม่หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์, ไสยศาสตร์และเวทมนตร์ลึกลับ อีกครึ่งหนึ่งเชื่อมั่นในสติปัญญาของผู้เฒ่านักคำนวณซึ่งมีความรู้วิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างหาตัวจับได้ยาก

การที่ชาวเกาะมีความเชื่อต่างกัน ทำให้พวกเขามักทะเลาะกันเป็นประจำ ฝ่ายหนึ่งหาว่าอีกฝ่ายงมงายไร้สาระ ส่วนอีกฝ่ายหาว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เคารพเทวดาฟ้าดิน ไป ๆ มา ๆ ชาวเกาะจึงกินแหนงแคลงใจจนต้องแยกกันอยู่คนละฟากของเกาะ

วันหนึ่ง แม่หมอเพ่งมองลูกแก้วหยั่งรู้ แล้วทำนายว่าในอนาคตจะมีอุกกาบาตยักษ์นับร้อย ๆ ลูกพุ่งลงมายังบริเวณท้องทะเลซึ่งเป็นที่ตั้งของเกาะ

ครั้นเมื่อชาวเกาะที่เชื่อถือแม่หมอได้ฟังคำทำนาย พวกเขาก็พากันหวาดกลัวจนต้องรวมตัวสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทวดาฟ้าดินกันตลอดทุกค่ำคืน

เมื่อชาวเกาะอีกฝ่ายเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็หัวเราะเยาะ แล้วนำเรื่องไปเล่าให้พวกของตนฟัง จนเรื่องราวไปเข้าหูผู้เฒ่านักคำนวณ

ผู้เฒ่าไม่เคยปล่อยเรื่องราวใด ๆ ให้ผ่านไปง่าย ๆ  เมื่อผู้เฒ่าได้ฟังข่าว  ผู้เฒ่าจึงใช้กล้องส่องมองวิถีการโคจรของดวงดาว ซึ่งหลังจากเฝ้าดูอยู่หลายคืน ผู้เฒ่าก็เริ่มคำนวณ แล้วค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้เฒ่าก็แจ้งให้ชาวเกาะทั้งหมดได้ทราบว่า คำทำนายของแม่หมอเป็นคำทำนายที่ถูกต้อง โดยอุกกาบาตจะพุ่งชนเกาะในอีก 30 วันข้างหน้า!

ทันทีที่ชาวเกาะได้ฟัง เกาะทั้งเกาะก็ดูโกลาหลไปหมด  ชาวเกาะที่เคยสวดอ้อนวอนฟ้าดินเฉพาะเวลากลางคืน ก็เปลี่ยนมาสวดมนต์กันทั้งวันทั้งคืน ส่วนชาวเกาะที่เชื่อในหลักเหตุผล ก็วางแผนตัดต้นไม้มาสร้างเรือสำเภาขนาดใหญ่เพื่อขนของอพยพออกจากเกาะ

ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งผู้เฒ่าและแม่หมอรู้สึกหดหู่  เกาะบ้านเกิดของผู้เฒ่าและแม่หมอ (รวมทั้งชาวเกาะทุกคน) เป็นที่อยู่อาศัยของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาช้านาน ผู้เฒ่าและแม่หมอไม่อยากให้เกาะบ้านเกิดต้องสูญสลาย รวมทั้งไม่อยากให้ชาวเกาะทอดทิ้งบ้านเกิดที่มีความทรงจำอันงดงามไปอยู่ที่อื่น ทั้งคู่จึงปรึกษาหารือกัน เพื่อคิดวิธีปกป้องเกาะจากอุกกาบาต

ผู้เฒ่ากับแม่หมอนั่งหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่นาน…นานจนชาวเกาะสังเกตเห็น เมื่อชาวเกาะรู้ว่าผู้เฒ่ากับแม่หมอพยายามคิดวิธีปกป้องบ้านเกิด พวกเขาจึงได้สติและไม่อยากทิ้งภาระให้ผู้เฒ่าและแม่หมอต้องแบกรับ ทุกคนจึงตัดสินใจขอคิดหาวิธีปกป้องเกาะบ้านเกิดร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ชาวเกาะทุกคนจะพยายามคิดหาวิธีต่าง ๆ นานา แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังคิดหาวิธีดี ๆ ไม่ได้

ในขณะที่ทุกคนกำลังจนแต้ม มีเด็กน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าเราบังคับให้อุกกาบาตไปตกที่อื่นไม่ได้ และเราไม่อยากหนีออกจากเกาะ เราย้ายเกาะไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยจากอุกกาบาตดีไหมครับ”

คำพูดของเด็กน้อยอาจฟังดูน่าขำ แต่ผู้เฒ่าฉุกคิดขึ้นมาว่า ตนเองสามารถคำนวณพิกัดของน่านน้ำที่ปลอดภัยจากอุกกาบาตได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าชาวเกาะคิดจะสร้างเรือที่มีใบเรือขนาดใหญ่อยู่แล้ว หากเปลี่ยนแผนเอาเรี่ยวแรงมาสร้างเสากระโดงและใบเรือที่กลางเกาะ โดยให้ชาวเกาะที่เหลือไปสร้างหางเสือขนาดใหญ่ที่ท้ายเกาะ จากนั้น ให้แม่หมอสื่อสารกับเทวดาฟ้าดินขอให้บันดาลลมพายุและคลื่นน้ำช่วยกระหน่ำซัดเกาะอย่างต่อเนื่อง เกาะทั้งเกาะอาจเคลื่อนที่พ้นจากวิถีการตกของอุกกาบาตนับร้อย ๆ ลูกก็เป็นได้

 ครั้นเมื่อผู้เฒ่าเสนอความคิด ทุกคนในเกาะก็พร้อมใจลงมือทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครอิดออด จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ เสากระโดงขนาดยักษ์, ใบเรือและหางเสือของเกาะก็เสร็จสมบูรณ์

เมื่ออุปกรณ์พร้อม ผู้เฒ่าจึงใช้ความรู้ด้านการคำนวณกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่, มุมในการกางใบและองศาของหางเสือ

ส่วนแม่หมอก็ใช้พลังวิเศษขอคลื่นลมจากทวยเทพ ให้ช่วยโหมกระหน่ำซัดเกาะอย่างสุดแรงเกิด จนกระทั่ง 2 สัปดาห์ต่อมา เกาะก็เคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิมไปยังจุดที่ปลอดภัยกลางมหาสมุทรได้อย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากเกาะเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่กำหนดได้แค่เพียงคืนเดียว  อุกกาบาตก็เริ่มตกจากฟากฟ้าตามที่ผู้เฒ่าและแม่หมอได้ทำนายเอาไว้ อุกกาบาตนับร้อย ๆ ลูกตกจากฟ้าดูสวยแต่ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น 

หากชาวเกาะทั้งหมดไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเขาอาจต้องทิ้งเกาะบ้านเกิด โดยปล่อยให้เกาะถูกอุกกาบาตทำลายจนสูญหายไปจากโลก แต่เมื่อทุกคนสามัคคีกัน พวกเขาก็รักษาเกาะบ้านเกิดเอาไว้ได้สำเร็จ

ผู้เฒ่า, แม่หมอ รวมทั้งชาวเกาะทุกคนต่างมีความสุขที่พวกเขาปกป้องเกาะบ้านเกิดเอาไว้ได้ และแล้ว…หัวใจของชาวเกาะทั้งหมดก็กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

#นิทานนำบุญ

…………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เปลือกกับเมล็ด

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เปลือกกับเมล็ด” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจแต่งเป็นนิทานภาคต่อ ของนิทานไทยพื้นบ้านที่ชื่อ “ตาอินกับตานา” แต่การแต่งนิทานภาคต่อจากนิทานไทยพื้นบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หวังว่านิทานเรื่องนี้คงถูกใจคุณผู้อ่านบ้างนะครับ

นิทานเรื่อง เปลือกกับเมล็ด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยคู่หนึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะ พวกเขาเกิดในวันเดียวกัน เดือนเดียวกันและปีเดียวกัน  มิหนำซ้ำ คุณตาของพวกเขายังเป็นสหายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเสียอีก  ด้วยเหตุนี้  เจ้าหนูทั้งสองคนจึงสนิทสนมกลมเกลียวกันจนใคร ๆ ต่างก็รู้กันไปทั่ว

วันหนึ่ง  เด็กทั้งสองพากันออกไปเที่ยวเล่นในป่าดังเช่นที่เคยเป็น  แต่เมื่อทั้งคู่วิ่งลัดเลาะไปใกล้ ๆ กับแม่น้ำ   พวกเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนร้องเรียกให้ช่วย  เมื่อเด็กน้อยมองไปยังแม่น้ำ  พวกเขาก็เห็นภูตตัวจิ๋วกำลังกระเสือกกระสนต่อสู้กับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก   เด็กทั้งสองรู้ดีว่า หากพวกเขาไม่ช่วยเจ้าภูตเอาไว้  ภูตตัวจิ๋วก็คงจะต้องจมลงไปนอนอยู่ที่ก้นของแม่น้ำเป็นแน่   ดังนั้น เด็กทั้งสองจึงพร้อมใจกันกระโดดลงไปช่วยภูตน้อยโดยไม่คิดถึงอันตรายที่รออยู่เบื้องหน้า

เมื่อเด็กทั้งสองช่วยชีวิตภูตตัวจิ๋วขึ้นมาจากน้ำได้สำเร็จ   ภูตตัวจิ๋วจึงมอบผลไม้สายรุ้งซึ่งเป็นผลไม้ของชาวภูตให้แก่เด็กน้อยทั้งสองเพื่อเป็นรางวัลแห่งความกล้าหาญ   ผลไม้สายรุ้งหนึ่งพวงจะประกอบไปด้วยผลสายรุ้งเจ็ดผล  โดยแต่ละผลจะมีรสชาติและสีสันแตกต่างกันไปตามสีของสายรุ้ง   เมื่อภูตตัวจิ๋วมอบผลไม้สายรุ้งให้แก่เด็กทั้งสองแล้ว  เจ้าภูตน้อยก็ขยับปีกบางใส แล้วบินหายลับไปสู่ดินแดนที่แสนลึกลับ

ทันทีที่ภูตน้อยบินจากไป  เด็กทั้งสองก็จัดแจงแบ่งผลไม้สายรุ้งกัน โดยทั้งคู่พยายามที่จะไม่ให้ใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ  เด็กทั้งสองจ้องมองผลไม้ตาไม่กระพริบ   ผลไม้สายรุ้งแต่ละสีล้วนแล้วแต่น่าลิ้มลองด้วยกันทั้งนั้น   มิหนำซ้ำ  มันยังไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะแบ่งผลไม้เจ็ดผลให้แก่คนสองคนโดยไม่เหลือเศษ  และด้วยความยากลำบากในการแบ่งสันปันส่วนนี้เอง   ในที่สุด   การทะเลาะเบาะแว้งของเพื่อนรักทั้งสองจึงเริ่มต้นขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป  ความขัดแย้งของเด็กทั้งสองก็มีทีท่าว่าจะบานปลายออกไปเรื่อยๆ   จวบจนเมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ   เด็กทั้งสองจึงตัดสินใจนำผลไม้สายรุ้งกลับไปให้คุณตาของพวกเขาช่วยจัดการแบ่งสันปันส่วนให้ 

คุณตาของเด็กคนแรกมีชื่อว่า ‘ตาอิน’   ส่วนคุณตาของเด็กอีกคนมีชื่อว่า ‘ตานา’   ตาอินกับตานาเป็นเพื่อนรักที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม แม้ว่าตาอินกับตานาจะเป็นเพื่อนรักที่มักจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ แต่ครั้งหนึ่ง ทั้งคู่ก็เคยขัดแย้งแย่งปลากัน จนทำให้ชายเจ้าเล่ห์สบโอกาสใช้อุบายแย่งปลาไปกินได้อย่างหน้าตาเฉย ตาอินกับตานาได้รับบทเรียนจากการทะเลาะเบาะแว้งของพวกตน ดังนั้น เมื่อหลานของพวกเขาเกิดการขัดแย้งกันเช่นนี้ ตาอินกับตานาจึงตั้งใจที่จะมอบบทเรียนให้แก่หลานทั้งสองเช่นเดียวกับที่พวกตนเคยประสบมาก่อน

หลังจากที่ตาอินกับตานาหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง   ในที่สุด ชายชราทั้งสองคนก็ตัดสินใจแบ่งผลไม้สายรุ้งออกเป็นสามส่วน  โดยทั้งคู่ปอกเปลือกผลไม้ส่งให้หลานของตาอิน แล้วแยกเมล็ดของผลไม้มอบให้หลานของตานา   จากนั้น  พวกเขาก็แกล้งเก็บเนื้อของผลไม้ใส่จานเอาไว้เอง โดยบอกกับหลาน ๆ ว่า  มันเป็นค่าตอบแทนของตาทั้งสองสำหรับการแบ่งสันปันส่วนในครั้งนี้

เมื่อเด็ก ๆ ทราบวิธีการแบ่งผลไม้สายรุ้งของคุณตา  พวกเขาก็พากันโวยวายและหาว่าการแบ่งผลไม้ของตาอินกับตานาไม่มีความเป็นธรรมเลยสักนิด  แต่ตาอินกับตานาก็ยังคงยืนกรานว่ามันเป็นการจัดแบ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว  เพราะในขณะที่หลานของตาอินไม่อยากได้เปลือกผลไม้  หลานของตานาก็ไม่ต้องการเมล็ดผลไม้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้น  เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกับส่วนแบ่งที่ตนได้รับ  การแบ่งสรรปันส่วนในครั้งนี้จึงถือได้ว่ายุติธรรมมากที่สุด

เด็กทั้งสองต่างจนด้วยคำพูด    และหลังจากนั้น  ตาอินกับตานาก็เอ่ยปากสอนหลานทั้งสองคนว่า  แม้เปลือกกับเมล็ดของผลไม้ที่หลานทั้งสองได้รับไปอาจจะดูไม่มีค่า  แต่หากหลานทั้งสองลองใช้ความคิดร่วมกันและสมัครสมานสามัคคีกันดังเช่นในวันก่อน ๆ   อีกไม่นาน  หลานทั้งสองก็จะได้ลองลิ้มชิมรสชาติของผลไม้สายรุ้งนี้อย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้

เมื่อเด็กน้อยได้ฟังถ้อยคำของคุณตาสุดที่รัก  ทั้งคู่ก็หันหน้าเข้าหากันและช่วยกันคิดหาวิธีทำเปลือกและเมล็ดที่ได้รับให้กลายเป็นผลไม้สายรุ้งขึ้นมาอีกครั้ง   เด็กน้อยไตร่ตรองกันอยู่ครู่ใหญ่  และแล้ว…เด็กทั้งสองคนก็เข้าใจความหมายที่คุณตาตั้งใจจะบอกพวกเขา

เด็กทั้งสองคนก้มกราบคุณตาที่ท่านกรุณาให้บทเรียนอันล้ำค่า   จากนั้น  ทั้งคู่ก็นำเมล็ดของผลไม้สายรุ้งไปปลูกที่สวนหลังบ้าน  โดยใช้เปลือกผลไม้ที่ได้รับเป็นปุ๋ยในการบำรุงเมล็ดพันธุ์ให้งอกงามแข็งแรง  

เด็กทั้งสองเฝ้าดูแลต้นไม้ของพวกเขาทุก ๆ วัน   ในที่สุด  ต้นไม้แห่งมิตรภาพของพวกเขาก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้น  พร้อมกับผลิดอกออกผลให้เด็กทั้งสองได้ลิ้มลองรสชาติอันแสนวิเศษของมันอย่างเต็มอิ่ม   เด็กทั้งสองคนดีใจที่ได้ชิมรสชาติของผลไม้สายรุ้งทั้งเจ็ดสี แต่ที่เหนือไปกว่านั้น…. พวกเขามีความสุขมากที่ได้รับบทเรียนครั้งสำคัญ ซึ่งจะทำให้ความเป็นเพื่อนของพวกเขามั่นคงและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิมนับล้าน ๆ เท่า  

และนับจากเหตุการณ์ในคราวนั้นเป็นต้นมา  เพื่อนรักทั้งสองก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันอีกเลยแม้สักครั้ง

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายยอดนักปั้น

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายยอดนักปั้น” เป็นนิทานแนวผจญภัย ประเภทเดียวกับนิทานก่อนนอนเรื่อง “อัศวินกระดาษวิเศษ” หรือ “เจ้าหญิงในฝัน” ซึ่งปกติ ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) มักเรียกนิทานแนวนี้เล่น ๆ ว่า นิทานแนวบุกภูเขาเผากระท่อม คือ เป็นนิทานที่ตัวเอกต้องลุยฝ่าด่านที่อันตรายเพื่อไปช่วยใครสักคนซึ่งมักเป็นคนที่เขารัก นิทานเรื่อง “เจ้าชายยอดนักปั้น” เป็นนิทานที่มีเนื้อเรื่องสนุกสนาน และอาจใช้เป็นนิทานที่เล่าก่อนการทำกิจกรรมการปั้นดินน้ำมันหรือการปั้นในรูปแบบอื่น ๆ ผมหวังว่าทั้งเด็ก ๆ และคุณพ่อคุณแม่น่าจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

นิทานเรื่อง เจ้าชายยอดนักปั้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มียักษ์เกเรตนหนึ่งบุกเข้าไปในเมืองของพระราชา แล้วจับเจ้าหญิงผู้แสนน่ารักไปขังเอาไว้ในถ้ำของมันที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลลึก

พระราชาทรงตกใจและเป็นห่วงเจ้าหญิงมาก เพราะเจ้ายักษ์เกเรมีเรี่ยวแรงมหาศาล  แถมยังมีผิวหนังที่หนาจนฟันแทงไม่เข้า รวมทั้งมันยังรู้จักวิชาเวทมนตร์ต่าง ๆ เสียอีก  ด้วยเหตุนี้เอง  พระราชาจึงรีบส่งจดหมายไปหาเจ้าชายแห่งเมืองต่าง ๆ ให้มาช่วยเหลือเป็นการด่วน

แม้เจ้าชายทั้งหลายจะอยากช่วยเจ้าหญิงให้พ้นจากอันตราย แต่เนื่องจากยักษ์เกเรร้าย-กาจเกินกว่าจะปราบให้อยู่หมัดได้ง่าย ๆ  เจ้าชายเกือบทุกพระองค์จึงไม่อยากเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เว้นก็แต่เจ้าชายมโนแห่งอาณาจักรดินเหนียวเพียงองค์เดียว ที่พระองค์ทรงเป็นห่วงเจ้าหญิงมาก  เจ้าชายมโนจึงตัดสินใจไปช่วยเจ้าหญิงโดยไม่เกรงกลัวต่อภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น

เจ้าชายมโนทรงมีความสามารถพิเศษในการปั้นดินแล้วร่ายคาถาทำให้มันมีชีวิต!  เมื่อเจ้าชายต้องการไปช่วยเจ้าหญิง  เจ้าชายจึงปั้นดินเหนียวเป็นม้ามีปีกตัวเล็ก ๆ  จากนั้น พระองค์ก็ร่ายเวทมนตร์จนม้าขยายขนาดและมีชีวิตขึ้น  ครั้นเมื่อพาหนะพร้อม  เจ้าชายก็กระโดดขึ้นขี่หลังม้า แล้วให้ม้าพาพระองค์บินข้ามทะเลไปยังเกาะของเจ้ายักษ์ทันที

เมื่อเจ้าชายไปถึงเกาะของยักษ์  เจ้าชายพบว่ายักษ์เกเรได้ใช้เวทมนตร์เสกทรายเป็นกองทหารเพื่อตรวจตราและจัดการกับผู้ที่บุกรุก  เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้น พระองค์จึงบังคับให้ม้าบินร่อนลงยังหลังโขดหินที่ลับตาคน  จากนั้น  พระองค์ก็ปั้นดินเป็นกองทหารดินเหนียวที่มีฝีมือในการต่อสู้  แล้วปล่อยให้ทหารดินออกไปจัดการกับเหล่าทหารทรายทั้งหลาย

เวลาผ่านไปไม่นานนัก กองทหารดินที่มีเนื้อตัวแข็งแรงกว่าและมีฝีมือในการต่อสู้ที่เหนือ กว่าก็จัดการเหล่าทหารทรายทั้งหลายได้จนสิ้นซาก ครั้นเมื่อยักษ์เกเรเห็นสมุนของมันพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า มันจึงออกมาจากถ้ำ แล้วตรงเข้าต่อสู้กับกองทหารดินทันที

เมื่อเจ้าชายทรงเห็นว่ายักษ์เกเรออกโรงมาสู้ด้วยตัวเอง  เจ้าชายจึงปั้นดินเป็นอาวุธวิเศษทั้งหอกและดาบ เพื่อให้ทหารใช้ต่อสู้กับเจ้ายักษ์ที่มีฝีมือร้ายกาจ 

แม้หอกและดาบที่เจ้าชายเสกขึ้นจะมีความแหลมคมเป็นพิเศษ  แต่มันก็ไม่อาจทำให้ ยักษ์เกเรเกิดริ้วรอยได้เลยแม้แต่น้อย  และเพียงครู่เดียว  ยักษ์เกเรก็ปราบทหารดินของเจ้าชายได้จนหมด

ในขณะนั้น  เจ้ายักษ์รู้แล้วว่า คงมีใครบางคนบุกรุกเข้ามาบนเกาะ แล้วใช้เวทมนตร์เสกทหารดินมาต่อสู้กับมัน  เจ้ายักษ์โกรธมาก  มันจึงดมกลิ่นตามหาผู้บุกรุกพลางร้องขู่ว่ามันจะหักกระดูกของผู้บุกรุกให้ป่นเป็นผงธุลี

เมื่อเจ้าชายซึ่งหลบอยู่หลังโขดหินเห็นว่าทั้งทหารผู้มีฝีมือและอาวุธวิเศษต่าง ๆ ไม่อาจปราบเจ้ายักษ์เกเรได้  พระองค์จึงพยายามคิดปั้นดินเป็นสิ่งอื่นที่มีอานุภาพมากกว่านั้น

เจ้าชายทรงรวบรวมสมาธิใช้ความคิดอย่างเต็มที่  แต่เนื่องจากเวลามีจำกัดและเจ้ายักษ์ก็เดินใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ  ในที่สุด เจ้าชายจึงจำต้องตัดใจแล้วหันมาปั้นดินเป็นนกพิราบเพื่อให้มันส่งข่าวไปบอกลาเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่พระองค์รักยิ่งชีวิต

ในขณะนั้นเอง  ความคิดบางอย่างก็สว่างวาบขึ้นในใจของเจ้าชาย  เจ้าชายทรงยิ้มแล้วหยุดปั้นนกพิราบดังที่ตั้งใจเอาไว้ในตอนแรก  จากนั้น  พระองค์ก็ทรงปั้นดินเป็นสิ่งอื่นที่อาจทำให้พระองค์รอดชีวิตและน่าจะทำให้พระองค์ช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จ

สิ่งที่เจ้าชายปั้นและร่ายมนตร์ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ก็คือร่างของพ่อยักษ์และแม่ยักษ์ผู้เป็นพ่อกับแม่ของเจ้ายักษ์เกเรนั่นเอง

ทันทีที่พ่อยักษ์กับแม่ยักษ์ฟื้นคืนชีวิต  ทั้งคู่ก็ตรงเข้าไปหายักษ์เกเรผู้เป็นลูกชาย  จากนั้น พ่อยักษ์ก็จับเจ้ายักษ์เกเรตีก้น  ส่วนแม่ยักษ์ก็ร้องไห้ที่เห็นลูกชายทำตัวเกเรไม่สมกับที่นางเคยสั่งสอนเอาไว้

ยักษ์เกเรตกใจมากที่เห็นพ่อกับแม่มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า  มันเจ็บก้นที่ถูกพ่อยักษ์ตี  แต่มันเจ็บใจตัวเองมากกว่าที่ทำให้แม่ยักษ์ผู้เป็นที่รักต้องร้องไห้ 

เจ้ายักษ์เกเรนึกถึงภาพวันเก่าๆ  ที่พ่อกับแม่คอยพร่ำสอนให้มันเติบโตขึ้นเป็นยักษ์ที่ดี…ไม่ไปเกะกะระรานรังแกใคร ๆ   ยิ่งคิดเจ้ายักษ์เกเรก็ยิ่งรู้สึกผิด  มันจึงสัญญากับพ่อแม่ว่ามันจะไม่เกเรกับใคร ๆ อีกแล้ว 

ในที่สุด  เจ้ายักษ์ก็ยอมปล่อยตัวเจ้าหญิงให้กลับเมืองแต่โดยดี  มันขอบคุณเจ้าชายที่ปั้น ดินเป็นพ่อกับแม่ของมันเพื่อเตือนสติให้มันทำตัวดีสมกับที่พ่อกับแม่วาดหวังเอาไว้ 

เจ้าชายดีใจมากที่เห็นยักษ์เกเรกลับตัวกลับใจได้  หลังจากนั้น เจ้าชายก็พาเจ้าหญิงไปส่งที่เมืองของพระราชา  ซึ่งในเวลาต่อมา  เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้แต่งงานกันและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขจนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

จานบินจากดาวขนมหวาน

เวลาพูดถึงนิทาน หลายคนอาจนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงเจ้าชาย พ่อมดแม่มด หรือเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ แต่นิทานเกี่ยวกับจานบินและมนุษย์ต่างดาว คงเป็นนิทานที่น้อยคนจะนึกถึง ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ในฐานะนักแต่งนิทานจึงนึกสนุก อยากลองแต่งนิทานเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวดูบ้าง หวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่เด็ก ๆ ชอบนะครับ

นิทานเรื่อง จานบินจากดาวขนมหวาน

กาลครั้งหนึ่ง มีจานบินขนาดเล็กลำหนึ่งเกิดขัดข้องจนต้องร่อนลงจอดที่เนินเขาทางตอนเหนือของดินแดนแห่งรอยยิ้ม เมื่อเด็ก ๆ เห็นจานบินลำดังกล่าว ทุก ๆ คนจึงพากันวิ่งมาห้อมล้อมจานบินลำน้อยด้วยความตื่นเต้น

หลังจากนั้นไม่นาน เด็ก ๆ ก็เห็นมนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วเปิดประตูจานบินออกมาโดยมีน้ำตานองหน้า ตอน แรก…เด็ก ๆ คิดว่ามนุษย์ต่างดาวคงเจ็บเพราะจานบินร่อนลงกระแทกกับพื้น แต่หลังจากที่พวกเขาได้สนทนากับเพื่อนใหม่จากห้วงอวกาศ เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้ทราบว่าสาเหตุที่ทำให้เพื่อนใหม่ของพวกเขาร้องไห้ ก็เพราะมนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วคิดว่าตนเองคงไม่มีโอกาสได้กลับไปพบพ่อแม่พี่น้องที่ดาวขนมหวานบ้านเกิดของเขาอีกแล้ว

เด็ก ๆ ชาวเหนือนึกสงสารเพื่อนใหม่ของพวกเขามาก พวกเขาอยากจะช่วยมนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วให้ได้กลับไปยังดาวขนมหวาน ด้วยเหตุนี้ ทุก ๆ คนจึงช่วยกันคิดหาวิธีซ่อมแซมจานบินเพื่อให้มันสามารถทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าได้อีกครั้ง

เมื่อเด็ก ๆ ช่วยกันตรวจสอบจานบินลำน้อยอยู่พักใหญ่ ในที่สุด พวกเขาก็พบว่าสาเหตุที่ทำให้จานบินต้องลงจอดอย่างฉุกเฉิน เกิดขึ้นเพราะถังน้ำมันของจานบินมีรอยรั่วเล็ก ๆ อยู่รอยหนึ่ง ดังนั้น การที่จะทำให้จานบินสามารถบินได้อีกครั้งจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่หาช่างมาซ่อมถังน้ำมันสักนิด แล้วเติมน้ำมันลงไปในถังสักหน่อย เพียงเท่านี้…มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วก็คงจะสามารถกลับบ้านได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

อย่างไรก็ตาม แม้เด็ก ๆ จะรู้วิธีในการแก้ปัญหาทั้งหมดแล้ว แต่สิ่งที่เด็ก ๆ ยังขาดอยู่ก็คือหนทางในการหาเงินเพื่อใช้จ้างช่างและซื้อน้ำมันมาเติมให้แก่จานบิน เด็ก ๆ พากันครุ่นคิดจนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปหมด และทันใดนั้นเอง มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วก็เสนอวิธีในการหาค่าน้ำมันที่น่าสนใจเป็นที่สุด!

มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วบอกเด็ก ๆ ชาวเหนือผู้มีไมตรีว่า สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของดาวขนมหวานก็คือขนมหวานแสนอร่อย ถ้าเด็ก ๆ ไม่รังเกียจ ตัวเขาก็อยากจะลองทำขนมสุดวิเศษแล้วให้เด็ก ๆ ช่วยนำออกเร่ขายให้สักหน่อย

เด็ก ๆ ทุกคนยินดีที่จะช่วยเพื่อนของพวกเขาอย่างเต็มที่ และหลังจากนั้นไม่นาน ปฏิบัติการทำขนมของมนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วก็เริ่มต้นขึ้น

มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วทำขนมหวานขนาดกระจิ๋วหลิวตามสูตรลับที่เลื่องชื่อไปทั่วทั้งจักรวาล เพียงชั่วเวลาแค่ครู่เดียว ขนมแปลก ๆ สารพัดอย่าง เช่น ขนมอึมป๋อยที่ทั้งหวานทั้งกรุบกรอบ หรือขนมจี๊ดสบึ้มที่เปรี้ยวจี๊ดเผ็ดจัด แต่กลับมีรสชาติดึงดูดใจให้อยากกินซ้ำแล้วซ้ำอีกก็สำเร็จเสร็จออกมาจนพร้อมที่จะให้เด็ก ๆ นำมันออกไปเร่ขาย

ไม่ช้าไม่นานนัก ขนมสูตรพิเศษก็ทำให้มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วสามารถซ่อมแซมจานบินลำน้อยและเติมน้ำมันให้จานบินได้เป็นผลสำเร็จ

เมื่อเพื่อนต่างดาวพร้อมที่จะลากลับบ้าน เด็ก ๆ จากดินแดนแห่งรอยยิ้มจึงคิดหาวิธีส่งเพื่อนรักของพวกเขาด้วยวิธีเก่าแก่ที่น่าประทับใจ

ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ทุกคนสวัสดีอำลาเพื่อนรักตัวจิ๋วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็ก ๆ ทั้งหลายก็พากันจุดไฟที่โคมกระดาษ ซึ่งทำให้โคมกระดาษลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าไปพร้อม ๆ กับจานบินลำน้อย…แลดูงดงามราวกับภาพเนรมิต

มนุษย์ต่างดาวตัวจิ๋วซาบซึ้งในไมตรีจิตของเพื่อนทุก ๆ คน แม้วันนี้…เขาจะได้กลับไปซบอ้อมอกของพ่อกับแม่ที่ดาวขนมหวานแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกดี ๆ ที่เขาได้รับจากเพื่อน ๆ ก็ยังคงประทับอยู่ในใจของเขาอย่างไม่มีวันลบเลือนไปได้

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ติ๊ดตี่…นางฟ้านักคิด

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ติ๊ดตี่…นางฟ้านักคิด” เป็นนิทานเกี่ยวกับการใช้ความคิดในการแก้ปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของนิทานนำบุญ นิทานในลักษณะนี้มีประโยชน์มากในแง่การสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่เด็ก ๆ ผมในฐานะผู้แต่งนิทานหวังว่านิทานเรื่องนี้จะให้ทั้งความสนุกและประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกคนนะครับ

นิทานเรื่อง ติ๊ดตี่…นางฟ้านักคิด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีนางฟ้าฝึกหัดองค์หนึ่งชื่อว่า”ติ๊ดตี่”   ติ๊ดตี่เรียนวิชาเวทมนตร์มาหลายปี  พอใกล้เรียนจบ คุณครูนางฟ้าจึงขอทดสอบติ๊ดตี่ด้วยการให้ติ๊ดตี่ออกเดินทางไปช่วยเหลือผู้คนให้ได้อย่างน้อย 3 คน โดยมีข้อแม้คือ…ห้ามใช้เวทมนตร์ใด ๆ ในการช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นเป็นอันขาด

ติ๊ดตี่แปลกใจและคิดว่าคุณครูอาจพูดผิด  เพราะนางฟ้ากับการใช้เวทมนตร์เป็นของคู่กัน แต่เมื่อคุณครูยืนยันตามที่พูด  ติ๊ดตี่จึงต้องทำตามคำของคุณครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันรุ่งขึ้น  ติ๊ดตี่ออกเดินทางจนได้พบเด็กชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่กับน้องตัวเล็ก ๆ ของเขา   เมื่อติ๊ดตี่ซักถาม  เด็กคนพี่จึงบอกติ๊ดตี่ว่า  เขากับน้องเป็นเด็กกำพร้า  วันนี้เป็นวันเกิดของน้อง ตัวเขาในฐานะพี่ชายจึงอยากหาขนมเค้กมาฉลองวันเกิดให้  แต่เขามีเงินน้อย ไม่พอซื้อขนมเค้ก  เขาจึงร้องไห้เพราะเสียใจที่ทำให้น้องมีความสุขไม่ได้ 

เมื่อติ๊ดตี่ได้ฟัง  เธอก็เห็นใจเด็กน้อยสองพี่น้องมาก  แม้เธอจะใช้เวทมนตร์ช่วยเหลือเด็กทั้งสองไม่ได้  แต่เธอมีใจอยากช่วยพวกเขาจริง ๆ  ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่บอกเล่าสิ่งที่คิดให้เด็กน้อยคนพี่ฟัง โดยเธอบอกให้เขาเอาเงินไปซื้อขนมปังมาปิ้ง ทาเนย  ราดน้ำผึ้ง จากนั้น ให้วางขนมปังซ้อนกันเป็นชั้น ๆ แล้วปักเทียนลงไปที่ด้านบน เพื่อเปลี่ยนขนมปังให้กลายเป็นขนมฉลองวันเกิดที่ไม่มีใครเหมือน  เด็กน้อยชอบความคิดของติ๊ดตี่มาก  เขาจึงขอบคุณติ๊ดตี่แล้วรีบทำตามคำแนะนำอย่างไม่รอช้า 

เมื่อติ๊ดตี่ช่วยสองพี่น้องได้สำเร็จ  เธอก็เดินทางต่อจนเจอชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ใต้ต้นไม้   หลังจากที่ได้พูดคุยสอบถาม  ติ๊ดตี่ก็พบว่า  ชายหนุ่มคนนี้แอบไปหลงรักหญิงสาวสูงศักดิ์เข้า  ชายหนุ่มอยากมอบดอกไม้ให้เธอสักช่อ  แต่ดอกไม้ตามร้านมีราคาแพงมาก เขาจึงมีเงินไม่พอที่จะซื้อดอกไม้ไปให้  แม้ติ๊ดตี่จะใช้เวทมนตร์เสกดอกไม้ให้ชายหนุ่มไม่ได้  แต่เธอก็มีใจอยากช่วยเขาจริง ๆ  ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่เสนอสิ่งที่คิด โดยแนะนำให้ชายหนุ่มลองเก็บดอกไม้ข้างทางและดอกไม้ริมรั้วที่ผู้คนมองข้ามมาจัดให้กลายเป็นช่อดอกไม้ที่สวยงามไม่ซ้ำใคร  เมื่อชายหนุ่มได้ฟัง  เขาจึงลองทำตามและจัดดอกไม้เหล่านั้นจนได้ช่อดอกไม้ที่ดูสวยงามและแปลกตาเป็นพิเศษ  ชายหนุ่มขอบคุณติ๊ดตี่ที่ให้คำแนะนำอันมีค่า  จากนั้น เขาก็รีบนำช่อดอกไม้ไปมอบให้หญิงสาวที่เขาหลงรักทันที

เมื่อติ๊ดตี่ช่วยเหลือชายหนุ่มได้สำเร็จ  เธอก็เดินทางต่อจนพบตายายสองคนที่มีแผงขายของเล็ก ๆ อยู่ริมทาง  คุณตากับคุณยายดูมีสีหน้าเศร้าหมอง เพราะทั้งคู่มีเงินน้อยจึงไม่มีทุนรอนหาของที่น่าสนใจมาขาย  แม้ติ๊ดตี่จะใช้เวทมนตร์เสกข้าวของมาให้คุณตากับคุณยายขายไม่ได้  แต่เธอก็อยากช่วยท่านทั้งสองจริง ๆ    ติ๊ดตี่จึงลองคิด…คิด…แล้วก็คิด  ในที่สุด  เธอก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นในใจ

ติ๊ดตี่ทดลองทำตามสิ่งที่เธอคิด โดยนำเศษไม้และวัสดุธรรมชาติที่หาได้ทั่วไปมาประกอบเป็นรูปร่าง, ทากาวและทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาที่ระลึกเพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยว  เมื่อคุณตากับคุณยายเห็นตุ๊กตาของติ๊ดตี่  ทั้งคู่ก็ชอบใจมาก  คุณตากับคุณยายจึงขอนำความคิดของติ๊ดตี่ไปใช้ทำตุ๊กตาน่ารัก ๆ จากวัสดุธรรมชาติออกมาวางขายบ้าง

ติ๊ดตี่มีความสุขที่เธอช่วยใคร ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เลยแม้สักนิด  ทันใดนั้นเอง ติ๊ดตี่ก็เข้าใจว่า  เพราะเหตุใดคุณครูจึงให้เธอลองช่วยเหลือผู้คนโดยไม่ให้ใช้เวทมนตร์ที่ได้ร่ำเรียนมา

จริง ๆ แล้ว  การช่วยเหลือผู้คนนั้น  แม้ไม่มีเวทมนตร์  แต่หากเรามีใจและรู้จักใช้ความคิด  เราก็สามารถช่วยเหลือคนทุกคนให้มีความสุขได้เสมอ 

เมื่อติ๊ดตี่กลับไปหาคุณครูนางฟ้า  คุณครูก็ยิ้มต้อนรับนักเรียนคนเก่งของท่านแล้วให้ติ๊ดตี่สอบผ่านได้เป็นนางฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ 

ติ๊ดตี่ดีใจมากที่ได้เป็นนางฟ้าจริง ๆ สมดังที่ตั้งใจเอาไว้  ในขณะเดียวกัน  เธอก็สัญญากับตัวเองว่า  เธอจะพยายามใช้ทั้งเวทมนตร์ที่ได้ร่ำเรียนมาและใช้สติปัญญาที่มีอยู่  คิดหาวิธีช่วย เหลือผู้คนทั้งหลายให้มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ตี้ตี้กับถูถู

นิทานก่อนนอนสั้น ๆ เรื่อง “ตี้ตี้กับถูถู” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงปีแรก ๆ ของการเป็นนักเขียนนิทาน นิทานเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องเบา ๆ ไม่ซับซ้อน แต่น่าจะสร้างรอยยิ้มให้เด็ก ๆ ได้ เมื่ออ่านนิทานจบแล้ว ขอให้นอนหลับฝันดีนะครับ

นิทานเรื่อง ตี้ตี้กับถูถู

กาลครั้งหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งชื่อว่าตี้ตี้  แม่ของตี้ตี้เป็นช่างทำตุ๊กตา   ตี้ตี้มักจะเฝ้าดูแม่ทำตุ๊กตาอยู่เสมอ  จนกระทั่งวันหนึ่ง ตี้ตี้เกิดอยากมีตุ๊กตาเป็นของตัวเอง  เขาจึงลองหาเศษผ้าเหลือ ๆ ที่แม่ทิ้งแล้ว เอามาเย็บเข้าด้วยกันแบบเดียวกับที่แม่ทำ  จนในที่สุด  ตุ๊กตาตัวแรกในชีวิตของตี้ตี้ก็ถือกำเนิดขึ้น

ตุ๊กตาของตี้ตี้มีชื่อว่าถูถู   ถูถูเป็นตุ๊กตาหน้าตาเด๋อ ๆ   ตาของถูถูดูคล้ายกับหมีแพนด้า  แต่หูที่ยืดยาวออกมาทำให้มันดูคล้ายกับกระต่าย  แถมจมูกของถูถูยังแบะ ๆ แบน ๆ อย่างกับจมูกของหมูเสียอีก  ไป ๆ มา ๆ  ถูถูก็เลยกลายเป็นตุ๊กตาที่มีหน้าตาตลกที่สุดในโลก

ตี้ตี้รักตุ๊กตาของเขามาก  ตี้ตี้มักจะพาถูถูออกไปเดินเล่นทุก ๆ เช้า   ภาพของเด็กน้อยที่เดินจูงตุ๊กตาหน้าตาประหลาด ทำให้ใครต่อใครอดยิ้มไม่ได้ด้วยความเอ็นดู  ตี้ตี้มักจะพาถูถูเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ แล้วทั้งคู่ก็มักจะพากันเก็บดอกไม้เพื่อนำไปฝากแม่

อยู่มาวันหนึ่ง  ในขณะที่ตี้ตี้กำลังเก็บดอกไม้  มีทหารใจร้ายค่อย ๆ ย่องเข้ามาในสวนแล้วแอบขโมยถูถูไปโดยที่ตี้ตี้ไม่รู้ตัว  ทหารคนนี้หวังที่จะได้รางวัลจากเจ้าหญิงองค์น้อยเพราะเจ้าหญิงองค์น้อยมักจะให้รางวัลคนที่นำของเล่นแปลก ๆ ไปถวาย  เมื่อถูถูหายไป  ตี้ตี้ก็ได้ร้องไห้จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ  แม่ของตี้ตี้สงสารตี้ตี้มาก แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยตี้ตี้ได้อย่างไร

เจ้าหญิงองค์น้อยทรงชอบถูถูมากกว่าของเล่นชิ้นใด ๆ ที่พระองค์เคยมีมา  เจ้าหญิงให้รางวัลแก่ทหารใจร้ายจนทหารใจร้ายยิ้มไม่หุบ เจ้าหญิงองค์น้อยพาถูถูเดินไปทุก ๆ ที่  พระองค์หาเสื้อผ้าดี ๆ ให้ถูถูใส่  เจ้าหญิงมีความสุขมากที่มีถูถูอยู่ใกล้ ๆ  แต่พระองค์ไม่รู้เลยว่า ถูถูกำลังเศร้าใจเพราะมันได้ยินเสียงตี้ตี้เพื่อนรักของมันกำลังร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า

เมื่อเจ้าหญิงนอนหลับ  ถูถูก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าหญิงฟัง  ถูถูขอโทษเจ้าหญิงที่ต้องแอบหนีเจ้าหญิงไปในขณะที่เจ้าหญิงกำลังนอนหลับ  ถูถูเดาว่าเจ้าหญิงคงไม่ยอมให้มันกลับบ้านแน่ ๆ เพราะเจ้าหญิงรักมันมาก  แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นจริง ๆ ที่มันต้องรีบกลับไปหาตี้ตี้ เพราะตี้ตี้กำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร

และทันทีที่ตี้ตี้เห็นถูถู  ตี้ตี้ก็โผเข้ากอดถูถูด้วยความดีใจ  ทั้งตี้ตี้และถูถูต่างมีความสุขที่ได้พบกันอีกครั้ง  แต่แม่ของตี้ตี้กลับรู้สึกกังวลใจเพราะนางไม่รู้ว่าเจ้าหญิงจะตามมาเอาถูถูกลับคืนไปหรือไม่

โชคดีที่เจ้าหญิงองค์น้อยเป็นเจ้าหญิงที่แสนดี  แม้ว่าพระองค์จะเสียใจที่ถูถูหนีกลับไปหาตี้ตี้  แต่พระองค์ก็ไม่ได้โกรธตี้ตี้หรือถูถูเลยแม้สักนิด  เจ้าหญิงสั่งให้ทหารดีจัดการทำโทษทหารใจร้ายในข้อหาขโมยของเด็ก  แล้วพระองค์ก็เขียนจดหมายจ่าหน้าถึงตี้ตี้และถูถูโดยจดหมายฉบับนั้นมีข้อความว่า

“ถึงตี้ตี้กับถูถู…ฉันขอโทษที่มีส่วนทำให้เธอทั้งสองไม่สบายใจ  เพื่อนรักก็ควรได้อยู่กับเพื่อนรัก  ฉันขอให้เธอทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักกันตลอดไปนะ  ถ้ามีเวลาว่างแวะมาเยี่ยมเยียนฉันด้วย  ฉันเหงาและอยากจะเลี้ยงขนมพวกเธอเพื่อเป็นการไถ่โทษ…จากเจ้าหญิง”

ตี้ตี้และถูถูดีใจมากที่ได้รับจดหมายจากเจ้าหญิง  ทั้งสองตกลงกันว่าจะไปเยี่ยมเจ้าหญิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  และเพื่อที่จะทำให้เจ้าหญิงไม่เหงาอีกต่อไป  ตี้ตี้จึงลงมือทำตุ๊กตาตัวที่สองเพื่อมอบให้แก่เจ้าหญิงแสนดีโดยเฉพาะ   

 และแล้ว  นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ลูกเสือเจ้าเล่ห์

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ลูกเสือเจ้าเล่ห์” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ในฐานะผู้แต่ง จำเนื้อเรื่องไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อลองอ่านนิทานก่อนที่จะนำมาลงในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมถึงกับบอกตัวเองว่า “แต่งได้อย่างไร สนุกจังเลย” นิทานเรื่องนี้จะสนุกจริงหรือไม่? และมีเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร? ขอให้คุณผู้อ่านลองพิสูจน์กันดูนะครับ

นิทานเรื่อง  ลูกเสือเจ้าเล่ห์

ลูกเสือตัวหนึ่งเป็นลูกเสือสมิงที่มีนิสัยเกียจคร้านและแสนเจ้าเล่ห์

วันหนึ่ง…แม่เสือเห็นว่าลูกชายโตพอสมควรแล้ว แม่เสือจึงสั่งให้ลูกลองออกไปหาอาหารกินเองในป่า  ลูกเสือไม่อยากเหนื่อยกับการหาอาหาร  มันจึงวางแผนหาของกินด้วยวิธีที่แม่ของมันคาดไม่ถึง

วิธีของเจ้าลูกเสือคือการนำวิชาแปลงกายซึ่งเป็นวิชาเฉพาะของเหล่าเสือสมิง ไปใช้หลอกลวงขอกินอาหารกับสัตว์ต่าง ๆ

เจ้าลูกเสือเริ่มแผนด้วยการแปลงร่างเป็นหมู ซึ่งเมื่อมันไปเคาะประตูบ้านของคุณหมูพร้อมกับแกล้งร้อง “อู๊ด ๆ”  คุณหมูใจดีก็หลงกลเชิญมันเข้าบ้าน แล้วแบ่งขนมอร่อย ๆ ให้เจ้าลูกเสือในร่างหมูกินจนพุงแทบระเบิด

วันรุ่งขึ้น  เมื่อลูกเสือเห็นว่าแผนของมันใช้ได้ผล  มันจึงแปลงร่างเป็นแมว แล้วไปเคาะประตูบ้านของคุณแมวพร้อมกับร้อง “เหมียว ๆ” เพื่อขอกินอาหารอีก  คุณแมวไม่รู้ว่าลูกเสือปลอมตัวมาหลอก มันจึงเชิญเพื่อนแมวที่หิวจนท้องกิ่วเข้าบ้าน จากนั้น มันก็เอาปลาย่างออกมาเลี้ยง จนเจ้าลูกเสือในร่างแมวอิ่มถึงขนาดแทบจะเดินกลับบ้านไม่ไหว

วันที่สาม  ลูกเสือเจ้าเล่ห์นึกอยากกินผลไม้  มันจึงแปลงร่างเป็นลิง แล้วไปเคาะประตูบ้านของคุณลิงพร้อมกับร้อง “เจี๊ยก ๆ”  เมื่อคุณลิงเห็นเพื่อนลิงมาเคาะประตู  คุณลิงจึงเชิญเพื่อนลิงเข้าบ้าน  แล้วนำผลไม้ถาดใหญ่มาให้เจ้าลิงตัวปลอมกินจนพุงปลิ้น

ในขณะที่ลูกเสือเพลิดเพลินกับการแปลงกายหลอกกินอาหารของสัตว์ต่าง ๆ อยู่นั้น  เจ้าลูกเสือไม่รู้เลยว่า มีสัตว์ดุร้ายตัวหนึ่งแอบเฝ้ามองการกระทำของมันอยู่!   

วันต่อมา  เจ้าลูกเสือซึ่งมั่นใจในฝีมือแปลงกายของตนมากก็บังอาจทำสิ่งที่สัตว์ทั้งหลาย คงไม่กล้าทำแน่ ๆ  นั่นก็คือ…มันแปลงร่างเป็นสิงโต แล้วไปเคาะประตูบ้านของราชสีห์เจ้าป่าพร้อมกับส่งเสียงคำราม “โฮก ๆ” เพื่อขอกินอาหารด้วย  

เมื่อราชสีห์เห็นสิงโตตัวน้อยมาเคาะประตู  คุณราชสีห์ก็เชิญมันเข้าบ้าน   แต่แทนที่ราชสีห์จะพาเจ้าสิงโตตัวน้อยไปยังโต๊ะอาหาร  มันกลับปิดประตูลงกลอน  แล้วแสยะยิ้มอวดเขี้ยวขาว ๆ พร้อมกับตั้งท่าจะหม่ำสิงโตปลอมที่บังอาจเข้ามาให้มันลองลิ้มชิมรสถึงในบ้าน

เจ้าลูกเสือตกใจมากที่แผนปลอมตัวของมันถูกราชสีห์จับได้  ลูกเสือหวาดกลัวจนวิชาแปลงกายเสื่อม  มันลนลานร้องขอชีวิตพร้อมกับสัญญาว่าจะไม่หลอกลวงผู้อื่นอีก  แต่อนิจจา…ราชสีห์ไม่สนใจ  มันกลับแยกเขี้ยวอันคมกริบ แล้วกระโจนเข้าตะครุบตัวเจ้าลูกเสือเอาไว้ด้วยอุ้งเท้าที่มีกรงเล็บเพชฌฆาต

เสี้ยววินาทีนั้น  ลูกเสือเชื่อว่ามันต้องตายแน่ ๆ แต่เมื่อมันลืมตาขึ้น  สิ่งที่มันพบกลับไม่เป็นดั่งที่มันคิด!   

เมื่อเจ้าลูกเสือลืมตา  ภาพที่มันเห็นคือภาพของแม่เสือที่กอดมันเอาไว้ในอ้อมแขน

แท้จริงแล้ว  สัตว์ดุร้ายที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเจ้าลูกเสือมาโดยตลอดก็คือแม่เสือสมิงที่คอยติดตามดูลูกชายด้วยความเป็นห่วง เมื่อแม่เสือรู้ว่าลูกเสือใช้วิชาแปลงกายไปหลอกลวงผู้อื่น  นางจึงขอยืมบ้านของสิงโตเจ้าป่า  แล้วแปลงกายเป็นราชสีห์เพื่อรอให้บทเรียนครั้งสำคัญแก่ลูกชายที่นางรักแสนรัก

ลูกเสือรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่สิงโตเจ้าป่าเป็นเพียงร่างแปลงของแม่  เพราะหากมันถูกราชสีห์จับได้จริง ๆ  มันก็คงไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับไปหาแม่ที่มันรักได้แน่ ๆ  

การหลอกลวงผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเอาเสียเลย   เจ้าลูกเสือร้องไห้แง ๆ และขอโทษแม่ที่มันทำเรื่องไม่เหมาะสม 

แม่เสือปลอบลูกเสือให้หยุดร้องไห้ พร้อมกับยินดีให้อภัยหากลูกชายสัญญาว่าจะไม่หลอกลวงใคร ๆ อีก 

เจ้าลูกเสือรู้แล้วว่าการหลอกลวงผู้อื่นอาจทำให้เกิดผลร้ายรุนแรงได้สักเพียงไร  มันดีใจที่แม่ให้โอกาสมันแก้ไขสิ่งที่ผิดพลั้ง  หลังจากวันนั้น  เจ้าลูกเสือก็ออกหาอาหารกินด้วยตนเองและไม่เคยใช้เล่ห์กลหลอกลวงใคร ๆ อีกเลย

#นิทานนำบุญ

——–

Posted in Uncategorized

กระต่ายกับเต่า

นิทานอมตะเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” เป็นนิทานก่อนนอนยอดนิยมที่เด็ก ๆ ทั่วโลกรู้จัก นิทานเรื่องนี้มีข้อคิดสอนใจที่เหมาะกับเด็ก แถมไม่มีฉากรุนแรงใด ๆ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่และคุณครูอีกด้วย การนำนิทานเรื่อง “กระต่ายกับเต่า” มาเล่าใหม่ในแบบนิทานนำบุญ ถือว่าเป็นเกียรติของเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่ได้มีโอกาสแสดงความเคารพต่อผู้แต่งดั้งเดิม คือ อีสป (Aesop) นักเล่านิทานชาวกรีกในสมัยโบราณ หวังว่านิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่าที่เล่าในแบบนิทานนำบุญ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขกันนะครับ

นิทานเรื่อง กระต่ายกับเต่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีกระต่ายตัวหนึ่งเป็นกระต่ายที่มีนิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คือว่า มันเป็นกระต่ายที่ขี้โอ่ ชอบโอ้อวด แล้วก็ชอบท้าคนนู้นคนนี้แข่งขันอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย และที่แย่ที่สุดก็คือว่า มันค่อนข้างจะเจ้าเล่ห์ คือว่า มันจะคอยไปท้าคนนู้นคนนี้แข่ง ในสิ่งที่แข่งอย่างไรมันก็ชนะอยู่แล้ว

ยกตัวอย่างเช่น มันเคยไปยั่วช้าง ท้าทายนู่น ท้าทายนี่ ให้ช้างแข่งขันด้วย พอช้างรับคำท้า มันก็ท้าช้างแข่งขันกันว่า ใครจะขนนุ่มกว่ากัน! หือ…แข่งขนนุ่มเนี่ยนะ! พอให้คนอื่นตัดสิน ยังไง้ ยังไง กระต่ายก็ชนะ เพราะกระต่ายมันขนนุ่มกว่าช้างอยู่แล้ว พอกระต่ายมันชนะ มันก็จะแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกช้าง “บรู้ว ๆ ” พร้อมกับพูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” และนี่ก็คือนิสัยของเจ้ากระต่าย

หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้ากระต่ายมันแสบมาก มันไปท้าเด็ก ๆ ท้าแข่งขันกับเด็ก ๆ มันก็จะเริ่มจากการไปพูดจาดูถูกเด็ก ๆ เพื่อท้าทายให้เด็ก ๆ ยอมแข่งขันด้วย พอเด็ก ๆ หลงกลทนไม่ไหว เผลอไปรับคำท้าของมัน มันก็บอกเด็ก ๆ ว่า “งั้นเรามาแข่งกินแครอทกันดีกว่า”

โถ! ใคร ๆ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่า เจ้ากระต่ายมันเชี่ยวชาญเรื่องการกินแครอทมากกว่าใคร ๆ ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยเชี่ยวชาญการกินแครอทสักเท่าไร สุดท้าย เด็ก ๆ ก็แพ้กระต่าย พอแพ้แล้ว เจ้ากระต่ายก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ กระต่ายมันช่างร้ายจริง ๆ

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้ากระต่ายจอมซ่า มันก็ไปเจอเต่าตัวหนึ่ง คลานต้วมเตี้ยม ต้วมเตี้ยม มันก็คิดแผนในใจว่า “เราจะต้องท้าแข่งกับเจ้าเต่า”

เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว มันก็เลยไปล้อเลียนเต่าว่า “เต่าต้วมเตี้ยมติงต๊องตุ๊ต๊ะตุ้งติ้งตุ๊ดตู่ตึ่งตึงตึ๊ง มาแข่งอะไรกันหน่อยมั๊ยล่ะ”

เจ้าเต่ามองกระต่ายด้วยความงุนงง แล้วก็ถามกลับไปอย่างยานคางว่า “จะมาท้าแข่งอะไรเหรอ” เต่าคลานก็ช้า พูดก็ช้า

กระต่ายฟังจบก็หลอกเต่าให้หลงกลต่อไปว่า “กล้ามาแข่งมั๊ยล่ะ”

“ก็ได้ ก็ได้ แข่งก็ได้” เต่าตอบ

เมื่อเต่าหลงกลยอมแข่ง กระต่ายจึงบอกว่า “งั้นเรามาวิ่งแข่งกัน โอ่ย โอ๊ย โอย”

เต่าหลงกลตกปากรับคำไปแล้ว พอมันรู้ว่าต้องวิ่งแข่ง แล้วมันจะชนะได้อย่างไร แต่ในเมื่อรับปากแล้ว มันจึงต้องยอมแข่งด้วย

เมื่อเต่ายอมแข่ง กระต่ายจึงเรียกให้สัตว์ต่าง ๆ มาเป็นพยานในการแข่งขัน โดยเจ้าหมาจิ้งจอกมาทำหน้าที่ให้สัญญาณเริ่มแข่งขันที่จุดเริ่มต้น ส่วนสิงโตเจ้าป่าทำหน้าที่ดูว่าใครถึงเส้นชัยก่อน

เมื่อหมาจิ้งจอกให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน กระต่ายก็วิ่งปรู้ดนำหน้าออกไปจนเกือบจะถึงเส้นชัย ส่วนเต่าก็ยังคงคลานต้วมเตี้ยม ๆ อยู่บริเวณจุดเริ่มต้น

แต่กระต่ายมันประมาท ยังไม่ยอมเข้าเส้นชัย เพราะมันมีนิสัยชอบล้อเลียนเย้ยหยันคนอื่น มันจึงวิ่งปรู้ดกลับมาหาเต่า แล้วก็กระโดดดึ๋ง ๆ ๆ รอบตัวเต่า จากนั้น มันก็กระโดดข้ามกระดอง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ข้ามกระดองไป ข้ามกระดองมา โชว์ลีลาท่ายากสารพัด แหม! ก็มันรู้อยู่แล้วว่า ยังไง้ ยังไง มันก็ต้องชนะ เพราะว่าเต่ามันคลานช้ามาก ๆ

กระต่ายกระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดไปกระโดดมา กระโดดมากระโดดไป กระโดดจนเบื่อ เพราะขนาดกระต่ายวิ่งไปวิ่งกลับ แล้วมากระโดดเล่นแบบนี้ เต่าก็ยังคลานไปไม่ถึงไหน กระต่ายกระโดดไปนาน ๆ เข้า ก็ชักเหนื่อย มันจึงบอกเต่าว่า “เธออยากคลานก็คลานไปก่อนนะเจ้าเต่าต้วมเตี้ยม เดี๋ยวฉันนอนพักเอาแรงสักชั่วโมงสองชั่วโมงนะ ยังไงเธอก็ยังไปไม่ถึงไหนหรอก”

พอคิดเช่นนั้น กระต่ายจึงไปหาที่เหมาะ ๆ ตรงโคนต้นไม้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเกาพุงแกรก ๆ ด้วยความสบายใจ ลมพัดมาเย็น ๆ เอื่อย ๆ กระต่ายก็เริ่มเคลิ้ม ประกอบเจ้ากระต่ายวิ่งไปจนเกือบถึงเส้นชัยแล้วก็วิ่งกลับมา แถมยังมีการกระโดดรอบตัวเต่า มันจึงเริ่มเหนื่อยเริ่มล้า พอมันเหนื่อยมันล้า มันจึงหลับ แต่ไม่ใช่การหลับแบบนอนกลางวัน มันหลับลึก หลับสนิทเหมือนนอนอยู่ที่บ้านเลย แถมมันยังฝันอีกว่า มันวิ่งชนะเต่า แล้วมันก็ล้อเลียนเต่าด้วยการแลบลิ้นปลิ้นตา “บรู้ว ๆ ” จากนั้น มันก็พูดว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้” ดูสิ ขนาดตอนหลับ กระต่ายก็ยังไม่ทื้งนิสัยชอบเยาะเย้ยผู้อื่น

ครั้นเวลาผ่านไป กระต่ายก็ตื่นขึ้นมา มันมองไปรอบ ๆ ตัว แสงก็ยังสว่างเหมือนช่วงก่อนที่มันจะนอนหลับ มันจึงคิดว่า มันคงหลับไปไม่เกินชั่วโมงแน่ ๆ แต่เมื่อมันหันไปมองที่เส้นชัย มันก็ตกใจจนหูตั้งโด่ เพราะว่า เต่าคู่แข่งของมัน คลานจนเกือบไปถึงเส้นชัยอยู่แล้ว

กระต่ายจึงรีบสอบถามหมาจิ้งจอกที่อยู่ใกล้ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นเมื่อหมาจิ้งจอกบอกกระต่ายว่า กระต่ายเผลอนอนหลับไปข้ามวันข้ามคืน ในขณะที่เจ้าเต่าคลานไปเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ ข้ามวันข้ามคืนเช่นกัน กระต่ายจึงตระหนักว่ามันประมาทพลาดท่า มันจึงรีบวิ่งปรู๊ดตรงไปที่เส้นชัยทันที

แต่อนิจจา ในขณะที่เจ้ากระต่ายไล่หลังไปจนเกือบถึงเส้นชัย เจ้าเต่าก็ยืดหัวจากกระดองเข้าแตะเส้นชัย และชนะเจ้ากระต่ายไปอย่างหวุดหวิดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด

เมื่อกระต่ายแพ้ สัตว์ต่าง ๆ ก็เดินมาหากระต่าย แล้วก็แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก “บรู้ว ๆ” จากนั้น สัตว์ต่าง ๆ ก็พูดพร้อมกันว่า “ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้ ขี้แพ้”

กระต่ายเจ็บใจที่ถูกเย้ยหยัน มันเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนที่แพ้และถูกคนอื่นเยาะเย้ยเป็นครั้งแรก มันรู้สึกผิดที่ตลอดมา มันมักเยาะเย้ยผู้อื่นโดยไม่เคยเอาใจเขามาใส่ใจตัวเองเลย

ส่วนเจ้าเต่า ถึงมันจะชนะ แต่มันก็ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตาใส่กระต่ายเลย มันกลับหันมาหากระต่าย แล้วบอกกระต่ายว่า “เราแข่งกันเสร็จแล้ว ฉันว่านะ อย่าคิดมากเลย ว่าใครแพ้ใครชนะ ฉันว่านะ แทนที่เราจะเป็นคู่แข่งกัน เรามาเป็นเพื่อนกันน่าจะดีกว่านะ”

กระต่ายยิ้มและขอบใจเต่าที่เต่าไม่ล้อเลียนมัน แม้ความประมาทของกระต่าย จะทำให้กระต่ายพ่ายแพ้ก็จริง แต่การพ่ายแพ้ครั้งนี้ ทำให้กระต่ายได้บทเรียนครั้งสำคัญ ดังนั้น กระต่ายจึงตกปากรับคำเป็นเพื่อนกับเต่า และหลังจากนั้นเป็นต้นมา กระต่ายก็พยายามปรับปรุงนิสัยของตัวเอง และไม่เคยท้าใคร ๆ แข่งขันอะไรอีกเลย

#นิทานนำบุญ

………………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายแห่งเมืองของเล่น

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายแห่งเมืองของเล่น” เป็นนิทานที่ผมแต่งในช่วงปีแรก ๆ ของการเป็นนักแต่งนิทานให้กับนิตยสารขวัญเรือน นิทานก่อนนอนเรื่องนี้ถือว่าเป็นนิทานที่ผมแต่งด้วยความยากลำบาก เพราะในช่วงนั้น ทักษะในการเขียนหนังสือของผมมีค่อนข้างจำกัด กว่าจะเขียนนิทานแต่ละย่อหน้าเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาได้ จึงใช้เวลามากจริง ๆ แถมยังต้องพยายามไม่ให้คนอ่านเบื่อก่อนที่จะถึงจุดสำคัญของเรื่องในช่วงท้ายเรื่อง เรียกว่ากว่าจะเขียนนิทานเรื่องนี้เสร็จ ผมก็เกือบถอดใจไปหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่านิทานที่เกี่ยวกับเจ้าชายและของเล่นเรื่องนี้ จะถูกใจเด็ก ๆ บ้างนะครับ

นิทานเรื่อง เจ้าชายแห่งเมืองของเล่น

กาลครั้งหนึ่งในอาณาจักรแลปป์ที่หนาวเหน็บ มีเจ้าชายกำพร้าผู้ทรงพระปรีชาสามารถพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า “เจ้าชายรัสมุส”

เจ้าชายรัสมุสเป็นเจ้าชายที่มีพรสวรรค์ในการคิดและการออกแบบของเล่นแปลก ๆ ซึ่งเมื่อผู้คนในอาณาจักรแลปป์ นำของเล่นต้นแบบที่เจ้าชายทรงคิดขึ้นไปทำออกขาย  ของเล่นเหล่านั้นก็จะกลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดของเด็ก ๆ ทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว

เจ้าชายรัสมุสมักจะขลุกอยู่ในห้องส่วนพระองค์ ซึ่งตั้งอยู่บนหอคอยยอดปราสาทตั้งแต่เช้าจรดค่ำ  มีเพียงแม่นมและพี่เลี้ยง 2-3 คนเท่านั้นที่ได้รับอนญาตให้ขึ้นไปปรนนิบัติพระองค์ ในยามที่พระองค์ทรงต้องการความช่วยเหลือ เจ้าชายรัสมุสมักจะนั่งทรงงานทั้งกลางวันและกลางคืนจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน  เจ้าชายน้อยพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะคิดของเล่นชนิดใหม่ ๆ ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่ประชาชนผู้ยากไร้ของพระองค์จะได้มีของเล่นต้นแบบ สำหรับการทำออกขาย เพื่อนำรายได้ไปจุนเจือครอบครัวของพวกเขาให้มีความสุข    

แม้งานของเจ้าชายรัสมุสจะเป็นงานสร้างของเล่นเพื่อทำให้เด็ก ๆ ทั่วโลกมีความสุข  แต่เจ้าชายรัสมุสเองกลับไม่เคยมีความสุขจากการเล่นของเล่นที่ตนเองคิดขึ้นเลยแม้สักครั้ง 

ภาระและหน้าที่ในฐานะเจ้าชายผู้เป็นความหวังของประชาชนชาวแลปป์ ทำให้เจ้าชายรัสมุสต้องยอมเสียสละตนเองในการทำงานอย่างหนักและทนแบกรับความเครียดทั้งหมดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

จนกระทั่งวันหนึ่ง  แม่นมผู้รักเจ้าชายรัสมุสปานดวงใจก็ทนเห็นเจ้าชายองค์น้อยต้องจมอยู่ในความเคร่งเครียดเช่นนั้นต่อไปไม่ไหว แม่นมจึงนำเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไปหารือกับเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เพื่อขอความช่วยเหลือ

ทันทีที่เสนาบดีทราบเรื่องที่เกิดขึ้น  เสนาบดีจึงป่าวประกาศให้ข้าราชการ ทหาร และประชาชนช่วยกันหาวิธีทำให้เจ้าชายรัสมุสมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ เสนาบดีขอร้องให้ทุก ๆ คนช่วยกันคิดหาของเล่นที่พิเศษสุด  และส่งมันมาให้เจ้าชายองค์น้อย  เพื่อเป็นของขวัญในวันคล้ายวันเกิดของพระองค์ซึ่งกำลังจะมาถึง

แน่นอน…ผู้คนต่างพากันส่งของเล่นมาให้เจ้าชายอย่างล้นหลาม  แต่มันเป็นความจริงที่แสนเศร้า ที่เจ้าชายรัสมุสกลับไม่ทรงรู้สึกสนุกกับของเล่นที่พระองค์ได้รับเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

ความตั้งใจของแม่นมและเสนาบดีกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า  เจ้าชายรัสมุสยังคงโหมงานหนักและเคร่งเครียดกับภาระอันหนักอึ้งของพระองค์จนลืมความสดใสของชีวิตวัยเด็กไปจนเกือบหมดสิ้น  แต่โชคยังดีที่จู่ ๆ ทหารยามซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่หน้าประตูเมืองได้นำข่าวดีซึ่งเป็นความหวังครั้งสุดท้ายมาแจ้งให้แม่นมและเสนาบดีทราบว่า มีเด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่งยืนยันที่จะขอมอบของเล่นชิ้นพิเศษให้แก่เจ้าชายรัสมุสด้วยตัวของเขาเอง

ทั้งแม่นมและเสนาบดีผู้สิ้นหวังต่างหมดแรงที่จะคัดค้านหรือทำการใด ๆ อีกต่อไป  ด้วยเหตุนี้ เสนาบดีจึงอนุญาตให้แม่นมและทหารยามพาเด็กน้อยที่ตั้งใจจะนำของขวัญมามอบให้แก่เจ้าชายขึ้นไปยังห้องส่วนพระองค์ของเจ้าชายรัสมุสได้เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อเด็กน้อยได้พบกับเจ้าชาย  เด็กน้อยก็คุกเข่าเพื่อทำความเคารพเจ้าชายผู้มีพระคุณต่อประชาชนชาวแลปป์ทุก ๆ คน  จากนั้น เด็กน้อยก็บอกให้เจ้าชายทราบว่า  เขาได้นำเอาของเล่นชิ้นพิเศษมามอบให้แก่เจ้าชายด้วย…ซึ่งของเล่นที่เขานำมามอบให้แก่เจ้าชายนั้น  มันไม่ใช่ของเล่นธรรมดา ๆ แต่มันเป็นของเล่นชิ้นพิเศษซึ่งมีชื่อเรียกว่า “เด็กมอมแมมชาวแลปป์”

เจ้าชายรู้สึกแปลกใจกับของเล่นที่เด็กน้อยนำมาถวาย

“เด็กมอมแมมชาวแลปป์คือของเล่นแบบไหนกันหนอ?”  เจ้าชายคิด 

แต่ทันทีที่เด็กน้อยชวนเจ้าชายไปเล่นของเล่นต่าง ๆ ที่อยู่ในห้องของพระองค์  ของเล่นที่เจ้าชายเคยรู้สึกว่ามันเป็นของเล่นที่น่าเบื่อ…ก็กลับกลายมาเป็นของเล่นแสนวิเศษทันทีเมื่อพระองค์ได้มาเล่นกับ “เด็กมอมแมมชาวแลปป์” ที่อยู่ตรงหน้า

เจ้าชายรัสมุสรู้ซึ้งในวินาทีนั้นว่า  เด็กมอมแมมชาวแลปป์เป็นสิ่งที่วิเศษเพียงใด

และนับจากนั้นเป็นต้นมา  ความสุขตามประสาเด็ก ก็กลับคืนสู่ชีวิตของเจ้าชายรัสมุสอีกครั้ง 

แม้เจ้าชายรัสมุสจะยังทรงคิดค้นของเล่นชนิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ  แต่พระองค์ก็ไม่ลืมที่จะแบ่งเวลาเพื่อเล่นสนุกกับเพื่อนของพระองค์ซึ่งมักเรียกตัวเองว่า “เด็กมอมแมมชาวแลปป์

ในที่สุด  เจ้าชายผู้คอยสร้างของเล่นเพื่อให้เด็ก ๆ มีความสุขก็มีความสุขเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ทั่วโลก

#นิทานนำบุญ

…………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ชุดสวยของเจ้าหญิง

นิทานเรื่อง ชุดสวยของเจ้าหญิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเด็กสาวแสนดีคนหนึ่งชื่อว่ามายา   มายาเป็นเด็กสาวที่มีชีวิตเรียบง่าย  เธออาศัยอยู่กับแม่ตามลำพังในบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งห่างจากตัวเมืองออกไปไม่มากนัก  มายารักแม่ของเธอมาก  เธออยากให้แม่ที่มีอายุมากแล้วมีความสุข  ด้วยเหตุนี้มายาจึงรับอาสาหาเงินมาจุนเจือครอบครัวแต่เพียงลำพัง

ทุกๆ เช้า มายาจะออกไปเก็บดอกไม้ในสวนหลังบ้าน เพื่อนำไปขายที่ตลาดในตัวเมือง มายาเป็นคนรักดอกไม้  แม้รายได้จากการขายดอกไม้อาจจะไม่มากนัก แต่มันก็ทำให้เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับพวกมัน

ทุกๆ เย็น มายามักจะแบ่งสตางค์ส่วนหนึ่งที่เธอหาได้ และนำมันไปซื้ออาหารมาแจกจ่าย ให้กับนกที่บินเข้ามาในสวนของเธอ  เมื่อนกรู้ว่ามีคนใจดีนำอาหารมาให้  ทุกๆ เย็น ในสวนดอกไม้ ของมายาจึงคราคร่ำไปด้วยฝูงนกน้อยใหญ่ที่แวะเวียนมาสังสันทน์กันอย่างไม่ขาดสาย

อยู่มาวันหนึ่ง  แม่ของมายาเกิดล้มป่วยลงด้วยโรคของผู้สูงอายุ  มายากังวลใจและคิดหาวิธีที่จะทำให้แม่ของเธอมีอาการดีขึ้น  แน่นอน..มายาควรที่จะพาแม่ของเธอไปหาหมอ  แต่น่าเสีย-ดาย…มายามีเงินไม่มากพอที่จะพาแม่ไปรักษา

มายาคิดว่าเธอควรจะมองหางานใหม่ที่จะทำให้เธอมีรายได้มากขึ้น  โชคดีที่มีทหารของ พระราชาออกมาป่าวประกาศรับสมัครคนดีมีฝีมือเพื่อทดลองเป็นช่างตัดชุดราตรีของเจ้าหญิงซึ่งมีพระนามว่าเจ้าหญิงมินตรา  ทุก ๆ คนรู้ดีว่า เจ้าหญิงมินตราเป็นเจ้าหญิงองค์น้อยที่มีนิสัยขี้เบื่อ ชุดราตรีที่จะทำให้เจ้าหญิงทนใส่ได้ตลอดทั้งคืนจึงต้องเป็นชุดราตรีที่ไม่ธรรมดาแน่ ๆ  ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครกล้ารับอาสาทำชุดให้เจ้าหญิงมินตราเลยแม้แต่คนเดียว ยกเว้นก็แต่เพียงมายาที่เธอคิด ว่า นี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่เธอจะสามารถหาเงินมารักษาแม่ของเธอได้

เย็นวันนั้น  มายาให้อาหารนกไปพร้อมๆ กับเฝ้าครุ่นคิดถึงแบบชุดราตรีที่จะทำให้เจ้าหญิง มินตรารู้สึกพอพระทัย  “ชุดแบบไหนที่จะทำให้เจ้าหญิงไม่เบื่อและไม่ถอดทิ้งไปเสียเฉยๆ นะ” มายา รำพึงออกมาเบาๆ 

เมื่อฝูงนกได้ยินเรื่องที่หญิงสาวที่แสนเมตตากำลังครุ่นคิดอยู่  ฝูงนกน้อยใหญ่จึงพยายามชี้ทางให้มายาด้วยการช่วยกันบินไปคาบกลีบดอกไม้หลากสี แล้วนำกลีบดอกไม้เหล่านั้นมาเรียงต่อกันบนพุ่มไม้ จนดูคล้ายๆ กับเป็นชุดราตรีที่มีสีสันแปลกตาอย่างน่าพิศวง  มายายิ้มขอบคุณ เหล่าบรรดานกทั้งหลายที่ช่วยให้ความคิดที่แสนวิเศษแก่เธอ  หลังจากนั้น มายาก็รีบลงมือร้อยกลีบ ดอกไม้ให้กลายเป็นชุดราตรีสำหรับเจ้าหญิงอย่างไม่รอช้า

รุ่งขึ้น มายารีบนำชุดราตรีที่เธอเพิ่งทำเสร็จหมาดๆ ไปมอบให้แก่เจ้าหญิงมินตราทันที เจ้าหญิงมินตราทรงประหลาดใจที่ได้เห็นชุดราตรีแสนสวยซึ่งทำจากกลีบของดอกไม้หลากสี  พระองค์ทรงหลงใหลในความงามของชุดราตรีทันทีที่ได้เห็น  และเมื่อเจ้าหญิงมินตราทรงลองสวมใส่ชุดราตรีที่ทำจากกลีบดอกไม้  ความนุ่มนวลและบางเบาของกลีบดอกไม้ รวมเข้ากับกลิ่นหอมเย็นที่เจ้าหญิงไม่เคยได้พานพบมาก่อน ก็ทำให้เจ้าหญิงขี้เบื่อทรงพอพระทัยและมีอารมณ์ที่เบิกบานอย่างเห็นได้ชัด

ในค่ำคืนนั้น  เจ้าชายรูปงามจากเมืองต่างๆ ต่างพยายามที่จะขอสนทนากับเจ้าหญิงมินตราจนไม่เหลือเวลาให้พระองค์รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย  เจ้าหญิงมินตราทรงมีความสุขมากที่ใครต่อใคร ต่างพากันชื่นชมชุดราตรีที่ทั้งสวยทั้งหอมที่พระองค์ทรงสวมใส่อยู่  และเมื่องานเลี้ยงผ่านพ้นไป เจ้าหญิงมินตราก็มีเรื่องสำคัญที่พระองค์จะต้องทูลให้พระบิดารับทราบให้จงได้

วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงมินตรารีบเข้าเฝ้าพระบิดาตั้งแต่เช้า เจ้าหญิงมินตราทรงขอร้องให้พระราชามอบรางวัลให้แก่มายามากกว่าที่เคยสัญญาเอาไว้ถึง 3 เท่า และทรงขอให้พระบิดารับมายาเข้ามาเป็นช่างตัดชุดประจำพระองค์นับตั้งแต่วันนั้น

ในที่สุด มายาก็มีเงินมากพอที่จะพาแม่ไปหาหมอ  มิหนำซ้ำ เธอยังได้งานใหม่ที่ยังคงเกี่ยวข้องกับดอกไม้ที่เธอรักแสนรัก   มายาตั้งใจทำชุดสวยจากดอกไม้ให้เจ้าหญิงสวมใส่อย่างไม่รู้เบื่อ ส่วนเจ้าหญิงมินตราเองก็ทรงมีจิตใจที่สงบเย็นและอ่อนหวานตามชุดดอกไม้ที่พระองค์ทรงสวมใส่ และเมื่อเวลาผ่านไป  เรื่องราวของชุดดอกไม้ก็กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันอย่างไม่รู้เบื่อ 

 และแล้ว…นิทานเรื่องนี้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ