นิทานเรื่อง วิกฤตอุกกาบาต
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเกาะเล็ก ๆ ซึ่งแทบไม่มีใครรู้จักเกาะหนึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรที่แสนห่างไกล ในเกาะมีผู้คนอาศัยอยู่ราว 100 คน ครึ่งหนึ่งศรัทธาในพลังสื่อสารกับทวยเทพของแม่หมอผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์, ไสยศาสตร์และเวทมนตร์ลึกลับ อีกครึ่งหนึ่งเชื่อมั่นในสติปัญญาของผู้เฒ่านักคำนวณซึ่งมีความรู้วิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์อย่างหาตัวจับได้ยาก
การที่ชาวเกาะมีความเชื่อต่างกัน ทำให้พวกเขามักทะเลาะกันเป็นประจำ ฝ่ายหนึ่งหาว่าอีกฝ่ายงมงายไร้สาระ ส่วนอีกฝ่ายหาว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เคารพเทวดาฟ้าดิน ไป ๆ มา ๆ ชาวเกาะจึงกินแหนงแคลงใจจนต้องแยกกันอยู่คนละฟากของเกาะ
วันหนึ่ง แม่หมอเพ่งมองลูกแก้วหยั่งรู้ แล้วทำนายว่าในอนาคตจะมีอุกกาบาตยักษ์นับร้อย ๆ ลูกพุ่งลงมายังบริเวณท้องทะเลซึ่งเป็นที่ตั้งของเกาะ
ครั้นเมื่อชาวเกาะที่เชื่อถือแม่หมอได้ฟังคำทำนาย พวกเขาก็พากันหวาดกลัวจนต้องรวมตัวสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทวดาฟ้าดินกันตลอดทุกค่ำคืน
เมื่อชาวเกาะอีกฝ่ายเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็หัวเราะเยาะ แล้วนำเรื่องไปเล่าให้พวกของตนฟัง จนเรื่องราวไปเข้าหูผู้เฒ่านักคำนวณ
ผู้เฒ่าไม่เคยปล่อยเรื่องราวใด ๆ ให้ผ่านไปง่าย ๆ เมื่อผู้เฒ่าได้ฟังข่าว ผู้เฒ่าจึงใช้กล้องส่องมองวิถีการโคจรของดวงดาว ซึ่งหลังจากเฝ้าดูอยู่หลายคืน ผู้เฒ่าก็เริ่มคำนวณ แล้วค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผู้เฒ่าก็แจ้งให้ชาวเกาะทั้งหมดได้ทราบว่า คำทำนายของแม่หมอเป็นคำทำนายที่ถูกต้อง โดยอุกกาบาตจะพุ่งชนเกาะในอีก 30 วันข้างหน้า!
ทันทีที่ชาวเกาะได้ฟัง เกาะทั้งเกาะก็ดูโกลาหลไปหมด ชาวเกาะที่เคยสวดอ้อนวอนฟ้าดินเฉพาะเวลากลางคืน ก็เปลี่ยนมาสวดมนต์กันทั้งวันทั้งคืน ส่วนชาวเกาะที่เชื่อในหลักเหตุผล ก็วางแผนตัดต้นไม้มาสร้างเรือสำเภาขนาดใหญ่เพื่อขนของอพยพออกจากเกาะ
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งผู้เฒ่าและแม่หมอรู้สึกหดหู่ เกาะบ้านเกิดของผู้เฒ่าและแม่หมอ (รวมทั้งชาวเกาะทุกคน) เป็นที่อยู่อาศัยของพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาช้านาน ผู้เฒ่าและแม่หมอไม่อยากให้เกาะบ้านเกิดต้องสูญสลาย รวมทั้งไม่อยากให้ชาวเกาะทอดทิ้งบ้านเกิดที่มีความทรงจำอันงดงามไปอยู่ที่อื่น ทั้งคู่จึงปรึกษาหารือกัน เพื่อคิดวิธีปกป้องเกาะจากอุกกาบาต
ผู้เฒ่ากับแม่หมอนั่งหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่นาน…นานจนชาวเกาะสังเกตเห็น เมื่อชาวเกาะรู้ว่าผู้เฒ่ากับแม่หมอพยายามคิดวิธีปกป้องบ้านเกิด พวกเขาจึงได้สติและไม่อยากทิ้งภาระให้ผู้เฒ่าและแม่หมอต้องแบกรับ ทุกคนจึงตัดสินใจขอคิดหาวิธีปกป้องเกาะบ้านเกิดร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม แม้ชาวเกาะทุกคนจะพยายามคิดหาวิธีต่าง ๆ นานา แต่จนแล้วจนรอด พวกเขาก็ยังคิดหาวิธีดี ๆ ไม่ได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังจนแต้ม มีเด็กน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าเราบังคับให้อุกกาบาตไปตกที่อื่นไม่ได้ และเราไม่อยากหนีออกจากเกาะ เราย้ายเกาะไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยจากอุกกาบาตดีไหมครับ”
คำพูดของเด็กน้อยอาจฟังดูน่าขำ แต่ผู้เฒ่าฉุกคิดขึ้นมาว่า ตนเองสามารถคำนวณพิกัดของน่านน้ำที่ปลอดภัยจากอุกกาบาตได้ ในขณะเดียวกัน ถ้าชาวเกาะคิดจะสร้างเรือที่มีใบเรือขนาดใหญ่อยู่แล้ว หากเปลี่ยนแผนเอาเรี่ยวแรงมาสร้างเสากระโดงและใบเรือที่กลางเกาะ โดยให้ชาวเกาะที่เหลือไปสร้างหางเสือขนาดใหญ่ที่ท้ายเกาะ จากนั้น ให้แม่หมอสื่อสารกับเทวดาฟ้าดินขอให้บันดาลลมพายุและคลื่นน้ำช่วยกระหน่ำซัดเกาะอย่างต่อเนื่อง เกาะทั้งเกาะอาจเคลื่อนที่พ้นจากวิถีการตกของอุกกาบาตนับร้อย ๆ ลูกก็เป็นได้
ครั้นเมื่อผู้เฒ่าเสนอความคิด ทุกคนในเกาะก็พร้อมใจลงมือทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่มีใครอิดออด จนกระทั่งเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ เสากระโดงขนาดยักษ์, ใบเรือและหางเสือของเกาะก็เสร็จสมบูรณ์
เมื่ออุปกรณ์พร้อม ผู้เฒ่าจึงใช้ความรู้ด้านการคำนวณกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่, มุมในการกางใบและองศาของหางเสือ
ส่วนแม่หมอก็ใช้พลังวิเศษขอคลื่นลมจากทวยเทพ ให้ช่วยโหมกระหน่ำซัดเกาะอย่างสุดแรงเกิด จนกระทั่ง 2 สัปดาห์ต่อมา เกาะก็เคลื่อนตัวจากตำแหน่งเดิมไปยังจุดที่ปลอดภัยกลางมหาสมุทรได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากเกาะเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่กำหนดได้แค่เพียงคืนเดียว อุกกาบาตก็เริ่มตกจากฟากฟ้าตามที่ผู้เฒ่าและแม่หมอได้ทำนายเอาไว้ อุกกาบาตนับร้อย ๆ ลูกตกจากฟ้าดูสวยแต่ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น
หากชาวเกาะทั้งหมดไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเขาอาจต้องทิ้งเกาะบ้านเกิด โดยปล่อยให้เกาะถูกอุกกาบาตทำลายจนสูญหายไปจากโลก แต่เมื่อทุกคนสามัคคีกัน พวกเขาก็รักษาเกาะบ้านเกิดเอาไว้ได้สำเร็จ
ผู้เฒ่า, แม่หมอ รวมทั้งชาวเกาะทุกคนต่างมีความสุขที่พวกเขาปกป้องเกาะบ้านเกิดเอาไว้ได้ และแล้ว…หัวใจของชาวเกาะทั้งหมดก็กลับมาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
#นิทานนำบุญ
…………………….
