Posted in ครอบครัว, นิทาน, สาระน่ารู้

ทิศทางของเว็บไซต์ในปี2565

สวัสดีครับ … ผมเขียนบันทึกนี้ในวันที่ 26 ธันวาคม 2564 เพื่อแจ้งทิศทางของเว็บไซต์นิทานนำบุญให้คุณผู้อ่านได้ทราบ

ปัจจุบัน เว็บไซต์นิทานนำบุญมีนิทานอยู่ประมาณ 300 เรื่อง ในปี 2565 ผมจึงตั้งใจที่จะลงนิทานเรื่องใหม่ ๆ น้อยลง แต่จะพยายามจัดหมวดหมู่ของนิทานให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น และจะตรวจทานความถูกต้องทางภาษาของนิทานแต่ละเรื่อง รวมทั้งเติมรายละเอียดในส่วนเกริ่นนำหรือในส่วนท้ายของนิทาน เพื่อให้นิทานแต่ละเรื่องมีความสมบูรณ์มากขึ้น จึงขอแจ้งและขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

ในส่วนของโครงการเลี้ยงกาแฟปีละ 1 บาท เนื่องจากปีที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ได้รับเงินเลี้ยงกาแฟมาราวสามหมื่นบาท (อ่านได้จากลิงค์นี้ https://bit.ly/32Dw4Uc ) ซึ่งน่าจะใช้ดูแลเว็บไซต์ได้อีก 8 ปี ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 2565 ผมจึงขอหยุดรับการเลี้ยงกาแฟ โดยจะค่อย ๆ นำเลขบัญชีออกจากเว็บไซต์ เพราะผมไม่อยากรบกวนผู้อ่านและไม่อยากถือเงินเอาไว้มากเกินไป ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันดูแลเว็บไซต์นี้นะครับ

ในปี 2564 ผมพบปัญหาน่าหนักใจเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญอย่างรุนแรง และเรื่องการแอบอ้างชื่อ “นิทานนำบุญ” ในการประกาศเชิญชวนผู้คนให้สมัครเข้าทำงาน “คัดลอกนิทาน” ซึ่งมีลักษณะเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต

ในส่วนของปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ มีคนนำนิทานจากเว็บไซต์นิทานนำบุญไปทำคลิปลงในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้กระทำผิดบางคนเล่าว่า เห็นนิทานส่งต่อกันมาทางไลน์ (ไม่มีชื่อผู้แต่ง) จึงก๊อปนิทานมาลงในบทความของตนเอง และเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์! กรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผมวิตกว่า หากปล่อยให้มีการละเมิดต่อไปเรื่อย ๆ นิทานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผม จะถูกละเมิดจนผู้คนคิดว่าเป็นนิทานที่ไม่มีผู้แต่งและไม่มีลิขสิทธิ์ ดังนั้น ในปี 2565 ผมจึงจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีอย่างจริงจัง ซึ่งปกติ เวลาที่ผมขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ นิทาน 1 เรื่องที่นำไปพิมพ์หนังสือ 1 เล่ม (พิมพ์ 3000 ฉบับ) ผู้สร้างสรรค์จะได้รับค่าลิขสิทธิ์ 10% ของราคาปก คูณด้วยยอดพิมพ์ (ราว 30,000 บาท) ดังนั้น ผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญจึงอาจถูกดำเนินคดีและเสียเงินเป็นจำนวนมาก (นอกจากนี้ ยังอาจมีโทษทางอาญาด้วยครับ) ซึ่งการดำเนินคดีอย่างจริงจังอาจช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ไปได้บ้าง

ส่วนปัญหาเรื่องการแอบอ้างชื่อ “นิทานนำบุญ” ในการประกาศรับจ้างที่ไม่สุจริต ผมในฐานะผู้จัดทำเว็บไซต์นิทานนำบุญขอยืนยันว่า ผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับการประกาศรับจ้างงานดังกล่าว และจะทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความโดยเร็วที่สุด

ในส่วนของแผนงานปี 2565 ผมตั้งใจที่จะเริ่มทำคอนเทนต์นิทานลงในยูทูบ โดยมีกลุ่มผู้ชมเป็นคนทุกเพศทุกวัย (ไม่เน้นไปที่กลุ่มเด็ก) ซึ่งหากทำได้สำเร็จและเป็นที่นิยมของผู้ชม ก็อาจทำให้ผมมีรายได้มาทำอะไรสนุก ๆ ได้อีก ปี 2565 จึงเป็นปีที่น่าจะยุ่งมากและต้องแก้ปัญหาอะไรค่อนข้างมาก แต่ผมสัญญาว่า ถ้าได้ลงคลิปในยูทูบเมื่อไหร่ ก็จะนำมาแชร์ให้ได้ติดตามกันด้วยครับ

สุดท้าย โครงการหนังสืออีบุ้คที่ผมทำขาย ผมตั้งใจที่จะหยุดขายเพื่อลดภาระของน้องชายที่ต้องมาทำหน้าที่ขายแทนผม ดังนั้น หากใครอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีแต่งนิทานของผม คงต้องรีบสั่งซื้อกันหน่อยตามช่องทางที่อยู่ในภาพข้างล่างนี้ เพราะปลายเดือนมกราคม…เมื่อเลิกขายแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็จะไม่มีกลับมาจำหน่ายอีกเลยครับ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

พี่ชายที่น่ารักที่สุดในโลก

นิทานก่อนนอนเรื่อง “พี่ชายที่น่ารักที่สุดในโลก” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 ถ้าอ่านนิทานเรื่องนี้ดี ๆ แล้วลองทำของเล่นตาม เด็ก ๆ ก็จะได้ของเล่นเอาไว้เล่นในช่วงปีใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง พี่ชายที่น่ารักที่สุดในโลก

ผมชื่อ “ลูกคิด” ผมเป็นพี่คนโตของน้องๆ ตัวกระจิดริด ผมมีน้อง 3 คน ถึงผมจะเกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่ผมก็รักน้องทุกคนไม่แพ้พี่ชายคนไหน ๆ

ทุกวัน พ่อกับแม่ของผมจะออกไปทำงานแต่เช้า…กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำ ผมจึงต้องดูแลน้อง ๆ แทนพ่อกับแม่

ลูกดิ่ง, ลูกหินและลูกกวาดเป็นน้องของผม ลูกดิ่งกับลูกหินเป็นน้องชาย  ส่วนลูกกวาดเป็นน้องสาว น้อง ๆ ทุกคนรักผม   ส่วนผมก็รักพวกเขามาก

วันหนึ่ง ผมชวนน้อง ๆ ไปเก็บขวด, กระป๋องและกล่องกระดาษเพื่อนำไปชั่งกิโลขาย ของที่คนอื่นทิ้ง…เป็นสิ่งมีค่าที่ทำให้ผมกับน้อง ๆ มีค่าขนมไปโรงเรียน ผมไม่อายที่ยากจน พวกเราทุกคนไม่เคยอายที่จะหาเงินด้วยวิธีสุจริต

ระหว่างที่ผมกับน้อง ๆ ช่วยกันหาของไปขายอยู่นั้น ผมเห็นน้อง ๆ มองเด็กคนอื่นเล่นของเล่นที่พ่อแม่ซื้อให้…ตาไม่กระพริบ ผมรู้ว่าน้อง ๆ คงอยากได้ของเล่น แต่น้องของผมรู้ว่าพ่อกับแม่ทำงานหาเงินด้วยความยากลำบาก น้อง ๆ จึงไม่เคยเอ่ยปากขอของเล่นเลย

ผมอยากให้น้อง ๆ มีความสุขเหมือนเด็กคนอื่น ๆ บ้าง ถึงผมจะไม่มีเงินซื้อของเล่นแพง ๆ ให้น้อง แต่ผมจะต้องหาของเล่นดี ๆ มาให้น้องของผมให้จงได้

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมให้น้อง ๆ กินข้าว, อาบน้ำแล้วเข้านอน หลังจากนั้น  ผมก็นั่งคิด..คิดว่าผมจะหาของเล่นดี ๆ มาให้พวกเขาได้อย่างไร ผมใช้เวลา นั่งคิด…คิด…แล้วก็คิด คิดไปพลาง มองสิ่งของที่มีอยู่รอบตัวไปพลาง  ในที่สุด ผมก็เกิดความคิดดี ๆ บางอย่างขึ้นในใจ

ผมเริ่มลงมือทำของเล่นจากความคิด ด้วยการเลือกกล่องขนมสีสวยที่ทำจากกระดาษแข็ง แล้วนำมาตัดจนได้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง 1 นิ้ว ยาว 1 นิ้ว…นับร้อย ๆ ชิ้น ผมเรียกของเล่นที่ผมทำว่า “ตัวต่อความฝัน” เพราะเพียงแค่เรานำมันมาเรียงต่อกันเป็นรูปสิ่งของในฝัน มันก็เหมือนเราได้ของเล่นชิ้นนั้นมาเป็นของเรา

ผมตัดกระดาษทำตัวต่อความฝันอยู่นานจนพ่อกับแม่กลับมาถึงบ้าน พอผมเล่าความคิดให้พ่อกับแม่ฟัง ท่านทั้งสองก็ยิ้มชื่นใจ แล้วลงมานั่งตัดตัวต่อความฝันกับผมด้วย

ผมรักพ่อกับแม่มากที่สุด  ถึงท่านจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ท่านก็ยังรักพวกเราเสมอ

เมื่อผมตัดตัวต่อความฝันเสร็จ ผมก็เอาตัวต่อใส่กล่องกระดาษใบเล็ก ๆ 3 ใบ แล้วเขียนชื่อของน้องแต่ละคนติดไว้ที่กล่อง พร้อมกับเขียนข้อความบอกน้อง ๆ ว่า “นี่คือตัวต่อความฝัน…ของเล่นแด่น้องรัก จากพี่ลูกคิด”

เช้าวันต่อมา…ผมตื่นสายกว่าน้อง ๆ พอผมชะโงกหน้าออกจากมุ้ง  ผมก็เห็นน้อง ๆ กำลังต่อตัวต่อความฝันอย่างใจจดใจจ่อ

ผมเห็นลูกดิ่งเรียงตัวต่อเป็นรูปหุ่นยนต์  ลูกหินต่อแผ่นสี่เหลี่ยมเป็นเครื่องบินสุดเท่   ลูกกวาดสร้างภาพเงือกน้อยด้วยของเล่นที่ผมทำไว้ให้ ผมดีใจเหลือเกินที่น้องๆ ชอบตัวต่อความฝัน

แต่ความชื่นใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเมื่อน้อง ๆ เห็นว่าผมตื่นนอนแล้ว น้อง ๆ ก็ส่งยิ้มให้ผม พลางชี้ให้ผมดูที่พื้นตรงชายมุ้ง

ตอนแรก…ผมไม่ทันได้สังเกต แต่เมื่อผมมองตามที่น้องบอก ผมก็ต้องอมยิ้ม เพราะน้อง ๆ เอาตัวต่อความฝันมาต่อเป็นรูปดอกไม้ พร้อมกับเขียนข้อความใส่กระดาษแผ่นกระจิ๋วหลิวว่า “ดอกไม้แด่พี่ลูกคิด พวกเรารักพี่ลูกคิดที่สุดเลย”

ของเล่นที่ผมทำขึ้นจากความรัก ทำให้ผมได้รับความรักจากน้อง ๆ ตอบแทนกลับคืนมา ความรักเป็นสิ่งวิเศษ  เพราะความรักทำให้เรามีความสุข

ผมดีใจเหลือเกินที่ได้เกิดในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักเช่นนี้ ถึงครอบครัวของผมจะยากจน แต่ในเรื่องความรัก…พวกเราร่ำรวยไม่เป็นสองรองใครแน่ ๆ

#นิทานนำบุญ

………………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ปริศนาแห่งความสุข

นิทานก่อนนอนเรื่อง “ปริศนาแห่งความสุข” เป็นนิทานก่อนนอนแนวความรัก ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้คุณผู้อ่านมีความสุขและได้ความรู้สึกดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง ปริศนาแห่งความสุข

นานมาแล้ว  มีเจ้าชายรูปงามพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าชายที่ไม่มีความสุขเอาเสียเลย  พระองค์อยากมีความสุขเช่นเดียวกับผู้คนทั้งหลาย  ด้วยเหตุนี้  พระองค์จึงเที่ยวถามไถ่บุคคลต่าง ๆ เพื่อค้นหาว่า แท้จริงแล้ว…ความสุขของพระองค์คือสิ่งใดกันแน่ 

เจ้าชายเริ่มต้นหาคำตอบโดยเดินทางไปพบเศรษฐีเพื่อถามถึงสิ่งที่พระองค์สงสัย  ซึ่งเมื่อเศรษฐีได้ฟังคำถามของเจ้าชายแล้ว  เขาจึงตอบเจ้าชายไปว่า  “ความสุขของหม่อมฉันคือการมีเงินมาก ๆ  ดังนั้น การมีเงินมาก ๆ ก็น่าจะทำให้พระองค์มีความสุขได้เช่นกัน” 

เจ้าชายทรงผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ เพราะพระองค์มีเงินทองมากกว่าเศรษฐีหลายร้อยเท่า แต่พระองค์ก็ยังทรงไม่มีความสุข  ด้วยเหตุนี้  เจ้าชายจึงไปขอคำปรึกษาจากอัศวินผู้กล้าหาญ

ทันทีที่อัศวินได้ฟังคำถามของเจ้าชาย  อัศวินจึงตอบเจ้าชายไปว่า “ความสุขของกระหม่อมคือการได้ออกไปสู้รบกับศัตรู  ดังนั้น หากพระองค์ได้ออกไปต่อสู้กับข้าศึก พระองค์ก็น่าจะมีความสุขเช่นเดียวกับหม่อมฉัน” 

 เจ้าชายทรงผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ เพราะพระองค์เคยออกไปต่อสู้กับข้าศึกมาหลายครั้ง แต่พระองค์ก็ยังทรงไม่พบพานกับความสุข  ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายจึงจำต้องไปขอคำปรึกษาจากนักปราชญ์ผู้รอบรู้

เมื่อนักปราชญ์ได้ฟังคำถามของเจ้าชาย  นักปราชญ์จึงตอบเจ้าชายไปว่า “ความสุขของกระหม่อมคือการได้ศึกษาและอ่านตำราต่าง ๆ   ดังนั้น หากพระองค์ได้อ่านตำรับตำราทั้งหลาย พระองค์ก็น่าจะมีความสุขได้เช่นเดียวกัน”

เจ้าชายทรงผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ เพราะเจ้าชายเคยอ่านหนังสือมามากต่อมาก  แต่พระองค์ก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขเลยแม้สักครั้ง  ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายจึงตัดสินใจขี่ม้าออกจากวัง เพื่อหาใครสักคนที่พอจะช่วยชี้ทางให้พระองค์ค้นพบว่า แท้จริงแล้วความสุขของพระองค์คือสิ่งใดกันแน่ 

ในขณะที่เจ้าชายเดินทางรอนแรมอยู่นั้น บังเอิญพระองค์ทรงขี่ม้าผ่านสวนผักแห่งหนึ่งซึ่งสาวน้อยเจ้าของสวนดูมีความสุขกับการปลูกผักอย่างน่าประหลาด  เจ้าชายสะดุดใจจนไม่อาจผ่านเลยไปได้  พระองค์จึงหยุดม้าแล้วตรงเข้าไปหาหญิงสาวผู้สีหน้าเปี่ยมสุข

หญิงสาวแปลกใจมากเมื่อได้พบกับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์  และเมื่อเจ้าชายถามถึงเหตุผลที่ทำให้เธอมีความสุขของเธอ หญิงสาวจึงตอบเจ้าชายว่า “ความสุขของหม่อมฉันคือการได้ปลูกผักและเห็นพวกมันเติบโต  ดังนั้น หากพระองค์ได้ลองปลูกผักเช่นเดียวกับหม่อมฉัน  พระองค์ก็อาจจะเข้าใจถึงความสุขที่หม่อมฉันได้พบ”

เจ้าชายทรงฉงนกับคำตอบของหญิงสาว แต่เพราะพระองค์ไม่เคยปลูกผักมาก่อนในชีวิต  เจ้าชายจึงตัดสินใจที่จะทดลองปักหลักปลูกผักอยู่ที่นั่น

วันรุ่งขึ้น  สาวน้อยปลุกเจ้าชายให้ตื่นตั้งแต่เช้า แล้วชวนให้เจ้าชายทดลองหว่านเมล็ดผักลงในสวน  แม้เจ้าชายจะตื่นเต้นกับกิจกรรมใหม่ที่ได้เรียนรู้  แต่พระองค์ก็ทรงไม่รู้สึกว่ามัน จะทำให้พระองค์มีความสุขเพิ่มขึ้นที่ตรงไหน   อย่างไรก็ตาม เจ้าชายก็ตัดสินใจที่จะอยู่รอดูผักเติบโตขึ้นในสวนแห่งนั้น โดยพระองค์ยังมีความหวังว่า การเห็นผักงอกงามขึ้นจากพื้นดินอาจทำให้พระองค์ค้นพบกับความสุขก็เป็นได้

เจ้าชายและหญิงสาวช่วยกันดูแลรดน้ำและเฝ้ารอการเติบโตของต้นผักด้วยใจจดจ่อ  แม้การรอคอยอาจกินเวลาอยู่สักหน่อย แต่เจ้าชายกลับไม่รู้สึกเบื่อเลย  เนื่องจากหญิงสาวมีเรื่องราวเกี่ยวกับผักมาเล่าให้พระองค์ฟังได้อย่างไม่รู้เบื่อ 

หญิงสาวเล่าถึงผักที่เธอเคยปลูกด้วยแววตาที่สดใส  ส่วนเจ้าชายก็นั่งฟังน้ำเสียงที่แสนอ่อนหวานของหญิงสาวอย่างเพลิดเพลินแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน  จนกระทั่งวันหนึ่ง  ต้นอ่อนของผักที่เจ้าชายหว่านเมล็ดลงไปในสวนก็งอกโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน

หญิงสาวดีใจมากที่เห็นต้นผักน้อย ๆ งอกขึ้นมาจากพื้น  แต่เจ้าชายกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไรนัก  แม้กระนั้น…เจ้าชายก็ตัดสินใจที่จะอยู่ดูผักเติบโตต่อไปโดยหวังว่ามันอาจจะช่วยทำให้พระองค์ค้นพบกับความสุขได้บ้าง

แต่น่าเสียดายเหลือเกิน เพราะเมื่อผักต้นน้อยเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนพร้อมที่จะนำมาใช้ประโยชน์  เจ้าชายก็ยังคงไม่รู้สึกถึงความสุขในการปลูกผักดังเช่นที่หญิงสาวเคยบอกเล่า 

หญิงสาวเสียใจที่ตนเองไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าชายได้  ส่วนเจ้าชายเองก็เกิดความรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อจะต้องจากสวนผักแห่งนั้น

ในวันสุดท้ายก่อนที่เจ้าชายจะออกเดินทางต่อ  หญิงสาวขอนำผักที่เจ้าชายปลูกมาปรุง เป็นอาหารเพื่อขอโทษที่ตนเองทำให้เจ้าชายต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์  ซึ่งในระหว่างที่เจ้าชายกำลังรอสำรับมื้อสุดท้ายจากหญิงสาว  เจ้าชายก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจของพระองค์

แม้เจ้าชายจะไม่มีความสุขกับการปลูกผัก  แต่เจ้าชายก็มั่นใจว่าพระองค์คงยิ่งไม่มีความสุขมากขึ้นไปอีก หากต้องจากสวนผักแห่งนี้ไป  เจ้าชายไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองสักเท่าไรนัก  จนเมื่อหญิงสาวยกชามน้ำแกงออกมาจากครัว  เจ้าชายจึงได้ตระหนักว่า พระองค์มิได้กังวลที่จะต้องจากสวนแห่งนั้น แต่พระองค์ไม่อยากอยู่ห่างจากหญิงสาวผู้รักการปลูกผักผู้นี้ต่างหาก  

และแล้ว  เจ้าชายก็ทรงค้นพบว่า ความสุขของพระองค์คือการได้ฟังทุกเรื่องที่หญิงสาวเล่า ได้เฝ้ามองยามที่เธอดีใจ และได้ใกล้ชิดเธอไปตลอดชั่วชีวิต 

ในที่สุด  เจ้าชายก็ค้นพบความสุขของพระองค์ 

#นิทานนำบุญ

……………………

Posted in ความรัก, นิทาน, เด็ก

เด็กน้อย ส.ค.ส.

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เด็กน้อยส.ค.ส.” เป็นนิทานก่อนนอนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับบัตรอวยพรปีใหม่ (ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า ส.ค.ส. หรือ บัตรส่งความสุข) ซึ่งนิทานเรื่องนี้ ผมเลือกมานำเสนอเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ อ้อ! เมื่ออ่านนิทานจบแล้ว ลองหาภาพของเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว มาดูประกอบนะครับ เพราะนิทานเรื่องนี้ ผมได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเที่ยวที่เมืองหลวงพระบางครับ

นิทานเรื่อง เด็กน้อย ส.ค.ส.

กาลครั้งหนึ่ง  มีเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งแฝงตัวอยู่บนเทือกเขาสูงที่สลับซับซ้อนและห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์  เมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงเก่าที่มีแม่น้ำไหลผ่านตัวเมืองถึงสองสาย, มีผู้คนที่เต็มไปด้วยน้ำใจไมตรีและมีวัดวาอารามที่งดงามอยู่ทั่วทั้งเมือง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงดั้นด้นมาสัมผัสความสงบงามของเมืองแห่งนี้กันเกือบตลอดทั้งปี

แม้เมืองแห่งนี้จะดูเหมือนเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่จริง ๆ แล้ว  ชาวเมืองก็ไม่ได้มีความสุขไปเสียทั้งหมด เพราะชาวเมืองล้วนแล้วแต่มีฐานะยากจน  ทำงานหาเงินเหลือแค่เพียงพอกิน…แต่ไม่เคยพอใช้  เด็กหลายคนที่รักการเล่าเรียนเขียนอ่านจึงไม่มีโอกาสเรียนหนังสือในระดับสูง ๆ  ดังที่ตั้งใจเอาไว้

“จ่อย” เป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่เกิดในเมืองแห่งนี้และปรารถนาจะเรียนหนังสือให้สูงที่สุด เพราะการได้เรียนสูง ๆ จะทำให้เขามีโอกาสได้ทำงานที่ดี, มีรายได้มากพอที่จะใช้ดูแลพ่อแม่และทำให้ครอบครัวของเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  แต่เพราะพ่อกับแม่ของจ่อยมีฐานะยากจนไม่ต่างจากชาวเมืองทั่วไป โอกาสที่จ่อยจะได้เรียนหนังสือสูง ๆ จึงเป็นได้เพียงแค่ความฝัน

อย่างไรก็ตาม แม้ความปรารถนาของจ่อยจะแทบเป็นไปไม่ได้  แต่เด็กผู้ชายอย่างจ่อยก็ไม่เคยย่อท้อต่อโชคชะตา  จ่อยรู้ดีว่าปัญหาหลักที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เรียนสูง ๆ คือเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้  จ่อยจึงคิดหาเงินเพื่อสะสมเป็นทุนการศึกษาของตนเอง

จ่อยเริ่มหาเงินด้วยการขอทำงานต่าง ๆ ตามกำลังที่เขามีอยู่  แต่เนื่องจากชาวเมืองทุกคนต่างยากจนด้วยกันทั้งนั้น  จ่อยจึงแทบไม่ได้ค่าจ้างเลยแม้แต่น้อย  ถึงกระนั้น จ่อยก็ยังคงไม่ยอมแพ้  เขาพยายามคิดหางานที่เด็กอย่างเขาพอจะทำได้  งานอะไรสักอย่างที่จะทำให้เขามีทุนการ ศึกษา  จ่อยคิด…คิด…แล้วก็คิด   แต่จนแล้วจนรอด  จ่อยก็คิดไม่ออก 

ในยามที่จนปัญญา  จ่อยจึงหันหน้าเข้าวัดเพื่อไหว้พระทำสมาธิ  จ่อยเชื่อว่าเมื่อมีสติและสมาธิ ปัญญาก็จะเกิดขึ้น  หลังจากที่จ่อยไหว้พระขอพรเสร็จ  เขาก็ออกมาเดินรอบ ๆ วัดที่เขาคุ้นเคย วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ซึ่งมีวิหารน้อย ๆ สองหลัง  รอบวิหารทั้งสองหลังตกแต่งด้วยกระจกสีเป็นภาพนิทานและวิถีชีวิตของชาวบ้านดูงดงามอย่างวิเศษ  จ่อยเห็นนักท่องเที่ยวจ้องมองภาพเหล่านั้นราวกับต้องมนตร์สะกด  ทันใดนั้นเอง  จ่อยก็เกิดความคิดบางอย่างสว่างวาบขึ้นในใจ!

ทันทีที่จ่อยคิดได้  เขาก็ตรงกลับบ้านแล้วนำเงินเก็บที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปซื้อสีไม้ราคาถูกมาหนึ่งกล่องพร้อมกับกระดาษวาดเขียนอีกสองสามแผ่น จากนั้น เขาก็นำมันมาตัดให้ได้ขนาดพอ ๆ กับไปรษณียบัตร แล้วเริ่มลงมือทำ“บัตรส่งความสุข”ให้นักท่องเที่ยวใช้บันทึกความประทับใจในการมาเยี่ยมเยือนเมืองของเขา เพื่อส่งผ่านไปรษณีย์ไปบอกเล่าให้คนรักที่อยู่ทางบ้านได้รับรู้

จ่อยค่อย  ๆ วาดภาพลงบนบัตรส่งความสุขอย่างตั้งอกตั้งใจ  เขาวาดภาพวัดแสนงาม, ภาพการตักบาตรในยามเช้า, ภาพกระจกสีที่ประดับวิหาร, ภาพแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน  และภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ  แล้วนำบัตรส่งความสุขไปเดินขายในตลาดกลางคืนซึ่งมีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก

เมื่อนักท่องเที่ยวเห็นบัตรส่งความสุขที่เด็กน้อยบรรจงวาด รวมทั้งรู้ว่าเด็กน้อยต้องการหาเงินเอาไว้ใช้เรียนหนังสือ  นักท่องเที่ยวที่มีความสุขในการได้มาเยี่ยมชมเมืองและหลงใหลในมิตรไมตรีของชาวเมืองจึงอยากมอบความสุขให้แก่เด็กน้อยบ้าง พวกเขาจึงช่วยกันอุดหนุนจนจ่อยมีบัตรส่งความสุขไม่พอขาย

จ่อยดีใจมากที่เขาขายบัตรส่งความสุขได้ทั้งหมด  เขาแบ่งเงินที่ได้ออกเป็นสองส่วน  โดยส่วนแรกเก็บไว้เป็นทุนการศึกษา  และส่วนที่เหลือเอาไปซื้อสีกับกระดาษวาดเขียนมาทำบัตรส่งความสุขเพิ่มเติมอีก  แต่จ่อยไม่ได้ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อตัวเองเท่านั้น  เขายังซื้อเผื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ที่มีความใฝ่ฝันเหมือนกับเขาอีกด้วย

ไม่นานนัก เด็ก ๆ ที่อยากเรียนหนังสือก็หันมาทำบัตรส่งความสุขกันมากขึ้น   เมื่อเด็ก ๆ ได้เงินมา  พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งเงินออกเป็นสองส่วนเหมือนที่จ่อยได้ทำเป็นตัวอย่าง  เด็ก ๆ ค่อย ๆ ออมเงินทีละเล็กละน้อย  จนเมื่อเวลาผ่านไป  พวกเขาก็มีทุนการศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ   

ความคิดอันเฉียบแหลมของจ่อยทำให้เขาออมเงินไว้ได้มากพอสำหรับการเรียนต่อดังที่เขาวาดหวังเอาไว้  นอกจากนี้  เขายังช่วยให้เด็กรักเรียนคนอื่น ๆ มีโอกาสได้เล่าเรียนเช่นเดียวกับเขา

เมื่อบัตรส่งความสุขที่ทำจากฝีมือของเด็ก ๆ กระจายไปยังทั่วทุกมุมโลก  ผู้คนที่ได้เห็นภาพวาดและได้อ่านเรื่องราวของเมืองที่แสนวิเศษนี้จึงพากันเดินทางมาชื่นชมความงดงามของเมืองมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

ผู้คนทั้งหลายต่างอิ่มใจที่ได้มาเยือนดินแดนซึ่งงดงามทั้งสภาพแวดล้อมและมิตรไมตรีของผู้คน  ดังนั้น  พวกเขาจึงไม่ลืมที่จะซื้อบัตรส่งความสุขเพื่อเขียนไปบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ได้รับรู้ถึงสิ่งที่พวกเขาได้พบเห็น 

บัตรส่งความสุขจากฝีมือของเด็ก ๆ จึงกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเมืองแห่งนี้   ทำให้ “เด็กน้อย ส.ค.ส.” ผู้ใฝ่เรียนทั้งหลายสามารถทำบัตรส่งความสุขออกขายเพื่อหาทุนการศึกษาต่อไปได้…จากรุ่นสู่รุ่น

#นิทานนำบุญ

……………………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

พลังแห่งเวทมนตร์

นิทานก่อนนอนเรื่อง “พลังแห่งเวทมนตร์” เป็นนิทานก่อนนอนแนวพ่อมดแม่มดเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง พลังแห่งเวทมนตร์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ณ ดินแดนแห่งเวทมนตร์  มีนางฟ้ากับแม่มดคู่หนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ชอบใช้คาถาแข่งกันมาตั้งแต่ยังเด็ก  เมื่อทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อนรักทั้งสองก็เริ่มเบื่อหน่ายวิธีการประลองฝีมือในแบบเดิม ๆ  ดังนั้น ทั้งคู่จึงตกลงกันว่า  พวกเธอจะวัดฝีมือกันเป็นครั้งสุดท้าย โดยให้ลูกของทั้งคู่เป็นตัวแทนใช้ของวิเศษที่แม่สร้างขึ้น เพื่อทดสอบดูว่าคุณแม่ของใครจะมีพลังแห่งเวทมนตร์ที่เหนือกว่ากัน

เมื่อเพื่อนรักทั้งสองตกลงกันเช่นนั้นแล้ว  แม่มดจึงรีบไปซุ่มกายร่ายคาถาเพื่อสร้างดินสอสัตว์ประหลาดให้แก่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ  โดยแม่มดหวังให้ลูกชายของเธอวาดรูปและเสกสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่าชัง เพื่อขู่ให้ลูกสาวของนางฟ้ากลัวและยอมแพ้ไปในที่สุด

ส่วนนางฟ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์ก็พยายามเฟ้นหาอาคมที่พิศดารล้ำลึก เพื่อเนรมิตพู่กันสายรุ้ง ให้ลูกสาวของเธอใช้ละเลงสีสันตามเนื้อตัวของลูกชายแม่มด เพื่อทำให้พ่อมดน้อยอับอายและยอมเป็นผู้แพ้ในการประลองครั้งนี้ 

หลังจากที่คุณแม่ทั้งสองมอบของวิเศษให้แก่ลูกของนางแล้ว  แม่มดและนางฟ้าก็บอกให้ลูกของนางเดินทางไปยังเมือง ๆ หนึ่ง ซึ่งมีลานกว้างเหมาะแก่การประลองอำนาจวิเศษเป็นอย่างยิ่ง

ทันทีที่พ่อมดน้อยขี่ไม้กวาดไปถึงที่หมาย  ลูกสาวของนางฟ้าซึ่งนั่งเมฆวิเศษมารออยู่ก่อนแล้ว ก็กวักมือเรียกลูกชายของเพื่อนคุณแม่ให้รีบเข้าไปหา  จากนั้น แทนที่เธอจะท้าให้พ่อมดน้อยแสดงพลังของของวิเศษออกมา  เธอกลับกระซิบถามพ่อมดน้อยด้วยความระแวดระวังว่า “เธอเห็นอย่างที่ฉันเห็นไหม ?”

พ่อมดน้อยมองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อสังเกตสิ่งที่ทำให้ลูกสาวของนางฟ้ามีอาการหวาดหวั่น และทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่า เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่แตกต่างไปจากเมืองอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง คือมันเป็นเมืองที่ไร้สีสัน  ทุก ๆ สิ่งล้วนมีแต่สีขาวสีดำ ซึ่งทำให้เมืองทั้งเมืองดูหม่นหมองเป็นที่สุด

ในขณะที่เด็กทั้งสองกำลังแปลกใจต่อสิ่งที่ได้เห็น  จู่ ๆ ก็มีเด็กพื้นเมืองคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตรงเข้ามาหาพวกเขา  เด็กน้อยบอกเพื่อนแปลกหน้าให้รีบออกไปจากเมืองทันที โดยเขาเล่าให้เด็กทั้งสองฟังว่า  เมื่อไม่กี่วันก่อนมีปีศาจตนหนึ่งบุกเข้ามาในเมือง  และด้วยความที่มันชอบกินสีเป็นอาหาร  ดังนั้น ในช่วงเวลาเพียงแค่สามวัน  สีสันของสิ่งต่าง ๆ ในเมืองแห่งนี้จึงถูกมันดูดกินจนหมด  มิหนำซ้ำ มันยังบังคับให้ชาวเมืองออกไปหาสิ่งของที่มีสีสันต่าง ๆ มาให้มันดูดกินอีกจนกว่ามันจะพอใจ  ซึ่งหากใครขัดขืน มันก็ขู่ว่ามันจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับคน ๆ นั้น

พ่อมดน้อยกับลูกสาวของนางฟ้าเห็นใจผู้คนในเมืองแห่งนี้มาก  พวกเขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่จะปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ถูกรังแกอยู่เช่นนี้  ดังนั้น แทนที่พ่อมดน้อยกับลูกสาวของนางฟ้าจะใช้ของวิเศษประลองฝีมือกัน  พวกเขากลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน  นั่นก็คือ…ทั้งคู่ตัดสินใจร่วมมือกันใช้ของวิเศษที่แม่ให้มาเพื่อจัดการกับเจ้าปีศาจใจร้าย

พ่อมดน้อยใช้ดินสอสัตว์ประหลาดวาดรูปสัตว์ประหลาดที่มีหน้าตาคล้ายกับมังกรยักษ์แล้วสั่งให้เจ้ามังกรยักษ์ของเขาไปจัดการกับเจ้าปีศาจดูดสีให้สิ้นฤทธิ์

ทันทีที่สัตว์ประหลาดของพ่อมดน้อยพบเจ้าปีศาจดูดสี  เจ้ามังกรยักษ์ซึ่งตัวโตกว่าปีศาจดูดสีถึงสิบเท่าก็ตรงเข้าไปหาศัตรูของมัน แล้วจัดการตีด้วยหมัด ซัดด้วยศอก ตอกด้วยเข่า จนเจ้าปีศาจดูดสีจำใจต้องยอมแพ้ และสัญญาว่าจะเลิกรังแกผู้คนตลอดไป

เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง  นางฟ้าองค์น้อยก็ใช้พู่กันสายรุ้งที่แม่ของเธอมอบให้ ตวัดแต้มแต่งสีจนทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามีสีสันอีกครั้ง   ในที่สุด ความมหัศจรรย์ของดินสอและพู่กันก็ปัดเป่าความหม่นหมองของชาวเมืองให้หายไปจนหมดสิ้น

พ่อมดน้อยกับลูกสาวของนางฟ้าเล่าวีรกรรมที่ทั้งคู่ช่วยกันทำให้คุณแม่สุดที่รักฟัง โดยที่ทั้งคู่ไม่แน่ใจว่าคุณแม่ของพวกเขาจะพอใจกับสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่ 

แต่หลังจากที่แม่มดและนางฟ้าได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น  ความรู้สึกที่อยากจะใช้เวทมนตร์ต่อสู้กันก็สูญไปสิ้น ทั้งแม่มดและนางฟ้าไม่สนใจว่าใครจะมีฝีมือเหนือกว่าใครอีกแล้ว

เพราะสิ่งที่ลูก ๆ ของพวกเธอกระทำคือการใช้พลังแห่งเวทมนตร์ได้อย่างวิเศษที่สุด  และแล้ว…แม่มดกับนางฟ้าก็พากันก้มลงจูบที่หน้าผากของลูกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ 

#นิทานนำบุญ

…………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ดอกรักชั่วนิรันดร์

นิทานก่อนนอนเกี่ยวกับความรักเรื่อง “ดอกรักชั่วนิรันดร์” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง ดอกรักชั่วนิรันดร์

นานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยากมอบของขวัญแสนพิเศษให้หญิงสาวที่เขาแอบหลงรัก  ชายหนุ่มเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับดอกไม้หายากที่ชื่อว่า “ดอกรักชั่วนิรันดร์” ซึ่งเป็นดอกไม้ที่ทั้งสวยทั้งหอม แถมมีขนาดใหญ่กว่าศีรษะคนถึง 2 เท่า ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินทางเข้าป่าเพื่อค้นหาดอกรักชั่วนิรันดร์มาเป็นของขวัญแด่หญิงสาวที่เขารัก

ชายหนุ่มพยายามเสาะหาดอกรักชั่วนิรันดร์อยู่นานหลายเดือน  แต่หาเท่าไรเขาก็หาไม่พบ  ชายหนุ่มท้อแท้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เมื่อเขานึกถึงหญิงสาว เขาก็ฮึดสู้และยืดหยัดค้นหาดอกไม้ต่อไปโดยไม่ ยอมกลับบ้านมือเปล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง…เขาก็พบดอกรักชั่วนิรันดร์สมดังที่เขาวาดหวังเอาไว้

อนิจจา! แม้ชายหนุ่มจะค้นพบดอกไม้ที่เฝ้าตามหา แต่เขาก็ไม่อาจนำดอกไม้ดอกนั้นกลับไปฝากหญิงสาวได้ เพราะมันเป็นดอกไม้ของนางฟ้าองค์น้อยผู้หลงใหลดอกรักชั่วนิรันดร์เช่นกัน

แต่โชคยังดี เพราะนางฟ้ามีใจเมตตา  นางฟ้าเห็นแก่ความรักที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาว  นางฟ้าจึงมอบเมล็ดของดอกรักชั่วนิรันดร์ให้ชายหนุ่มนำไปปลูก 1 เมล็ดโดยกำชับว่า “ดอกรักชั่วนิรันดร์เป็นดอกไม้ที่ปลูกยากมาก ถ้าเธอมีความพยายามเพียงพอ ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม”

ครั้นเมื่อชายหนุ่มนำเมล็ดของดอกรักชั่วนิรันดร์ซึ่งมีขนาดใหญ่ยักษ์กลับไปที่บ้าน  เขาก็เริ่มขุดดินในสวนให้เป็นหลุมขนาดใหญ่  แล้วนำเมล็ดที่ได้รับจากนางฟ้าไปปลูกในหลุมที่ขุดไว้

ชายหนุ่มเฝ้ารดน้ำ, พรวนดิน และดูแลแปลงเพาะเมล็ดของเขาอย่างเต็มที่  เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ  จาก 1 วันเป็น 1 สัปดาห์  และจาก 1 สัปดาห์เป็น 1 เดือน  แต่จนแล้วจนรอด เมล็ดของดอกรักชั่วนิรันดร์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะงอกขึ้นมาจากพื้นดินเลยแม้สักนิด 

ชายหนุ่มนั่งมองแปลงเพาะเมล็ดด้วยความสิ้นหวัง  เขารู้ว่าการปลูกดอกรักชั่วนิรันดร์เป็นเรื่องยาก แต่เขาไม่คิดว่ามันจะยากถึงเพียงนี้  ชายหนุ่มเริ่มท้อ เขานั่งก้มหน้ามองพื้นดินอยู่พักใหญ่ จากนั้น เขาก็ถอนหายใจ แล้วเดินคอตกจากแปลงเพาะเมล็ดแห่งนั้นราวกับคนที่ยอมพ่ายแพ้ต่อทุกสิ่ง

เวลาผ่านไปราว 7 วัน 7 คืน แปลงเพาะเมล็ดยังคงอยู่ในสภาพดังเดิม แต่ ณ บัดนี้ เจ้าของแปลงเพาะเมล็ดไม่ได้อยู่ดูแลผืนดินของเขาอีกแล้ว 

เช้าของวันที่ 8  สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้เกิดขึ้น เพราะชายหนุ่มเดินทางกลับมายังแปลงเพาะเมล็ดของเขา โดยหอบเอาน้ำและดินจากป่าที่เขาพบดอกรักชั่วนิรันดร์ติดตัวกลับมาด้วย

จริง ๆ แล้ว แม้ชายหนุ่มจะเหนื่อยและท้อ แต่เขาไม่เคยคิดจะล้มเลิกความตั้งใจในการปลูกดอกรักชั่วนิรันดร์เลย (เช่นเดียวกับที่ไม่เคยคิดเลิกรักหญิงสาวที่เขาแอบหมายปองอยู่)  เมื่อเขาเห็นว่าเมล็ดไม่งอกขึ้นมาจากพื้นดิน เขาจึงคาดเดาว่าบางทีมันอาจต้องการดินหรือน้ำที่เหมาะสมกับการงอกของมันก็เป็นได้  ชายหนุ่มจึงย้อนกลับไปที่ป่าแล้วนำดินและน้ำกลับมาทดลองในสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้

เมื่อชายหนุ่มมาถึงแปลงเพาะเมล็ด เขาก็จัดแจงขุดหลุมใหม่แล้วนำดินจากป่าใส่ลงไปในหลุมจนทั่ว  จากนั้นจึงนำเมล็ดย้ายมาปลูก แล้วรดน้ำให้ดินชุ่มฉ่ำ

ชายหนุ่มเฝ้าดูแลเมล็ดอีกครั้งจนเวลาผ่านไปเกือบเดือน  เมื่อถึงวันหนึ่ง  ต้นอ่อนก็ค่อย ๆ งอกขึ้นมาจากพื้นดินและพร้อมจะเติบโตเป็นต้นของดอกรักชั่วนิรันดร์ตามที่ชายหนุ่มได้ฝันเอาไว้

ชายหนุ่มดีใจที่ความพยายามของเขาประสบผลสำเร็จ แต่เขายังมีภารกิจที่ต้องดูแลต้นอ่อนต้นนี้ให้เติบโตขึ้นอีก ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลย แต่เขาก็มั่นใจว่า ถ้าเขามีความพยายามเพียงพอ ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

สองปีต่อมา  ต้นไม้ที่ชายหนุ่มเฝ้าดูแลก็มอบดอกรักชั่วนิรันดร์ให้แก่ชายหนุ่ม กลิ่นหอมอันแสนวิเศษและความงดงามของดอกไม้หายากดึงดูดให้ใครต่อใครอยากเข้ามาชื่นชมมันใกล้ ๆ   ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือหญิงสาวที่ชายหนุ่มแอบหลงรัก

ในวันที่หญิงสาวมายังแปลงปลูกดอกไม้ของชายหนุ่ม  เมื่อชายหนุ่มพบเธอ เขาก็ถือโอกาสแนะนำตัว, เล่าเรื่องราวทั้งหมด, บอกรักและมอบดอกไม้แสนงามให้แก่หญิงสาวคนพิเศษ

ความพยายามและความตั้งใจจริงของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวยอมรับรักและยินดีที่จะแต่งงานกับเขาแต่โดยดี

ในที่สุด ชายหนุ่มผู้มีความพยายามก็สมหวังในความรัก และเขากับหญิงสาวก็ช่วยกันดูแลดอกรักชั่วนิรันดร์ให้อยู่คู่กับพวกเขาตราบนานเท่านาน

#นิทานนำบุญ

………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

บทเรียนของลูกสิงโต

นิทานก่อนนอนเรื่อง “บทเรียนของลูกสิงโต” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง บทเรียนของลูกสิงโต

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีลูกสิงโตตัวหนึ่งเป็นลูกสิงโตที่มีนิสัยเย่อหยิ่ง เพราะมันคิดว่าลูกชายเจ้าป่าอย่างมันยิ่งใหญ่และแข็งแรงกว่าใคร ๆ ไปเสียทั้งหมด  ด้วยเหตุนี้  มันจึงเที่ยวดูถูกดูหมิ่นและรังแกสัตว์ต่าง ๆ จนทำให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนกันไปทั่ว

เมื่อราชสีห์ผู้เป็นพ่อทราบว่าลูกชายมีนิสัยที่น่ารังเกียจ  มันจึงหารือกับสัตว์ในป่า แล้ววางแผนจัดการแข่งขันให้ลูกสิงโตประลองกำลังกับมดตัวกระจิ๋วหลิว โดยหวังที่จะสั่งสอนลูกชายให้รู้สำนึก

ในวันแข่งขัน  สัตว์ทั้งป่าพากันมาดูการประลองจนแน่นขนัดไปหมด  เมื่อกรรมการให้สัญญาณ เจ้ามดตัวจิ๋วก็เริ่มแสดงพลังก่อนด้วยการยกก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่โป้งขึ้นเหนือศีรษะ เมื่อสัตว์ป่าทั้งหมดได้ดูเจ้ามดยกก้อนหิน พวกมันก็ปรบมือให้กำลังใจเสียงดังกึกก้อง

ครั้นเมื่อถึงคราวของลูกสิงโตผู้เย่อหยิ่ง ลูกสิงโตมองเจ้ามดตัวน้อยอย่างหยามเหยียด จากนั้น มันก็จัดการยกก้อนหินก้อนใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าตัวของมันถึงสองเท่าเพื่ออวดสัตว์ป่าทั้งหลายที่เฝ้ามองอยู่

หลังจากการประลองสิ้นสุดลง ราชสีห์ก็หารือกับคณะกรรมการทั้งหมด  แล้วประกาศผลการตัดสินว่า ผู้ชนะการแข่งขันได้แก่เจ้ามดตัวจิ๋วที่ยกก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่โป้งอย่างสุดแรง เกิดนั่นเอง

ลูกสิงโตโกรธพ่อของมันจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง  มันกล่าวหาว่ากรรมการตัดสินการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม และมันไม่มีวันยอมรับการตัดสินครั้งนี้โดยเด็ดขาด

เมื่อราชสีห์ได้ฟังข้อกล่าวหาของลูกชาย  ราชสีห์เจ้าป่าจึงอธิบายให้ลูกของมันฟังว่า  เหตุที่กรรมการลงความเห็นให้เจ้ามดตัวจิ๋วชนะ เป็นเพราะก้อนหินที่เจ้ามดยกได้มีน้ำหนักมากกว่าตัวของเจ้ามดเองถึงสิบเท่า  ส่วนก้อนหินที่ลูกสิงโตยกได้มีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักตัวของลูกสิงโตเพียงแค่สองเท่า  การตัดสินในครั้งนี้จึงถือว่ายุติธรรมเป็นที่สุด

เหตุผลที่ลูกสิงโตได้ฟังเป็นเหตุผลที่มันไม่อาจปฏิเสธ  เพราะแม้ว่ามันจะยกก้อนหินที่ทั้งหนักกว่าและใหญ่กว่า  แต่เนื่องจากตัวของมันโตกว่าเจ้ามดมาก  เมื่อเปรียบเทียบน้ำหนักและขนาดตัวของผู้แข่งขันอย่างยุติธรรม  มันจึงจำต้องยอมรับว่าเจ้ามดตัวกระจิ๋วแข็งแรงกว่ามันจริง ๆ

ความแข็งแรงของเจ้ามดตัวจิ๋วทำให้ลูกสิงโตสำนึกว่า สิ่งที่มันคิด…อาจไม่ได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด 

หลังจากที่ลูกสิงโตยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีแล้ว  มันก็เกิดคำถามใหม่ขึ้นในใจว่า เมื่อมดแข็งแรงกว่าสิงโต  เพราะเหตุใดสัตว์ทั้งหลายจึงยกตำแหน่งเจ้าป่าให้ราชสีห์พ่อของมันแทนที่จะยกตำแหน่งให้แก่พวกมด   

ข้อสงสัยของเจ้าลูกสิงโตทำให้มันต้องคิดทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พ่อของมันกระทำต่อสัตว์ทั้งหลายในป่ามาโดยตลอด

นับตั้งแต่เจ้าลูกสิงโตลืมตาขึ้นมาดูโลก  มันก็เห็นว่าราชสีห์พ่อของมันเป็นสิงโตที่แข็งแรงและน่าเกรงขามยิ่งนัก  แต่ถึงกระนั้นราชสีห์ก็ไม่เคยใช้อำนาจข่มเหงผู้ใดเลย  มิหนำซ้ำ ราชสีห์ยังอ่อนน้อมและให้เกียรติสัตว์น้อยใหญ่ในป่า รวมทั้งยังคอยช่วยเหลือดูแลสารทุกข์สุขดิบให้แก่สัตว์ต่าง ๆ อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

เจ้าลูกสิงโตเพิ่งตระหนักว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงไม่ใช่ผู้ที่แข็งแรงเพียงอย่างเดียว  แต่ต้องมีนิสัยที่อ่อนน้อมและมีความเสียสละจนน่าเลื่อมใสอีกด้วย

เมื่อลูกสิงโตคิดได้ดังนั้น  มันจึงรู้สึกละอายใจมาก  เจ้าลูกสิงโตขอโทษสัตว์ป่าทั้งหลายต่อสิ่งโง่เขลาที่มันได้กระทำลงไป และมันสัญญาว่ามันจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ราชสีห์, เจ้ามดและสัตว์ป่าทั้งหมดต่างดีใจที่ได้ฟังคำสัญญาจากลูกสิงโต  หลังจากวันนั้น  เจ้าลูกสิงโตก็ทำตามที่มันพูดทุกประการ  

หลายปีต่อมา  เมื่อเจ้าลูกสิงโตเติบโตขึ้นเป็นสิงโตหนุ่ม (ซึ่งเป็นเวลาที่ราชสีห์พ่อของมันถึงวัยที่ควรพักผ่อน) สัตว์ป่าทั้งหลายจึงตกลงใจมอบตำแหน่งเจ้าป่าให้แก่ลูกสิงโตที่ปรับปรุงตัวจนเป็นที่รักของสมาชิกในป่าไม่แพ้พ่อของมัน 

สัตว์ป่าทั้งหลายต่างดีใจที่พวกมันได้เจ้าป่าตัวใหม่ที่ทั้งแข็งแรง, อ่อนน้อมและเสียสละ ส่วนราชสีห์พ่อของเจ้าสิงโตก็ภูมิใจมากที่ลูกชายเป็นที่ยอมรับของเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย

#นิทานนำบุญ

…………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เด็กน้อยแห่งท้องทะเล

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เด็กน้อยแห่งท้องทะเล” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง เด็กน้อยแห่งท้องทะเล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว   มีตากับยายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีสะพานไม้ยื่นออกไปในทะเล   สองตายายรักกันมานานแสนนาน  แต่ด้วยเหตุที่ท่านทั้งสองไม่มีลูกหลาน   คุณตากับคุณยายจึงจำต้องใช้ชีวิตบั้นปลายของท่านตามลำพังอย่างเหงา ๆ  

เช้าวันหนึ่ง…หลังคืนฟ้าคะนองฝน  ตากับยายมองเห็นแสงระยิบระยับสะท้อนออกมาจากโขดหินที่ริมหาด   เมื่อตากับยายเดินไปดู  ทั้งคู่ก็พบเด็กทารกคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในแอ่งน้ำตื้น ๆ โดยมีฝูงปลาสีแปลกว่ายวนอยู่โดยรอบ   พายุคงทำให้เด็กน้อยคนนี้ต้องพลัดพรากจากพ่อและแม่   สองตายายนึกสงสารหนูน้อยจับใจ  ด้วยเหตุนี้ ท่านทั้งสองจึงช่วยกันอุ้มร่างเล็ก ๆ ที่เย็นเฉียบกลับบ้าน แล้วคอยดูแลให้ความอบอุ่นจนเด็กน้อยเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อเด็กน้อยปลอดภัย   ตากับยายก็ได้พบความจริงที่น่าสะเทือนใจอีกประการหนึ่งนั่นก็คือ  นอกจากเด็กน้อยจะกำพร้าพ่อและแม่แล้ว  เธอยังเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่สามารถใช้ขาของเธอเดินไปไหนมาไหนได้เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ   สองตายายนึกเวทนาหนูน้อยมากยิ่งขึ้นไปอีก  ในที่สุด  ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจรับเด็กน้อยเอาไว้ในอุปการะ

หลายปีต่อมา   ทารกผู้น่าสงสารก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นเด็กผู้หญิงที่มีรอยยิ้มอิ่มสุข  คุณตากับคุณยายรักหลานสาวของท่านปานดวงใจ  ในขณะเดียวกัน  เด็กน้อยก็รักคุณตาคุณยายของเธอทุกลมหายใจเข้าออก 

แม้ชีวิตของคุณตาคุณยายและหลานสาวจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข   แต่ตากับยายต่างรู้ดีว่า ท่านทั้งสองไม่อาจอยู่ดูแลหลานสาวไปได้ตลอดชั่วชีวิต   ดั้งนั้น  ทุก ๆ วันหลังจากที่ตากับยายเสร็จสิ้นจากการงาน   สองตายายจึงมักจะพาหลานสาวไปฝึกว่ายน้ำเพื่อให้เด็กน้อยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้เช่นเดียวเด็กคนอื่น ๆ   หลานสาวตั้งใจฝึกว่ายน้ำตามคำแนะนำของคุณตาคุณยาย   และหลังจากนั้นไม่นานนัก  เธอก็สามารถว่ายน้ำได้ราวกับเธอเป็นปลาตัวน้อย ๆ เลยทีเดียว

เมื่อเวลาผ่านไป  สองตายายเริ่มแก่ตัวลงจนไม่อาจที่จะออกทะเลหาปลาได้สะดวกอย่างที่เคยเป็นมา  หลานสาวนึกอยากตอบความเมตตาของคุณตาคุณยายทั้งสอง  เด็กน้อยจึงอาสาหาเลี้ยงคุณตาคุณยายด้วยการดำน้ำงมไข่มุกที่ซุกซ่อนอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ 

เด็กน้อยชอบว่ายน้ำแข่งกับฝูงปลาหลากสีที่คอยว่ายเวียนมาห้อมล้อมตัวเธอราวกับมีความผูกพันกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน   ทุก ๆ วัน เด็กน้อยจะกลับบ้านพร้อมกับไข่มุกเม็ดงามที่เธอหาได้  ซึ่งมันก็ทำให้เธอสามารถดูแลคุณตาคุณยายให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายได้ดังใจหวัง

เด็กน้อยเฝ้าดูแลคุณตาคุณยายต่อมาอีกหลายปี   และแล้ว…วันหนึ่ง  คุณตากับคุณยายก็จากเธอไปสู่สรวงสวรรค์   บัดนี้ เด็กน้อยที่เคยใช้ชีวิตอยู่อย่างอบอุ่นกับคุณตาคุณยาย ก็กลับกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องใช้ชีวิตตามลำพังไร้ที่พึ่ง  

ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมามักจะเห็นเด็กน้อยนั่งเหม่อมองท้องฟ้าอยู่บนสะพานไม้ซึ่งทอดตัวยื่นออกไปเหนือผืนน้ำ  เด็กน้อยจะคอยเฝ้ามองปุยเมฆที่ลอยผ่านบ้านของเธอทุก ๆ วัน เพราะเธอหวังว่าคุณตาคุณยายบนสรวงสวรรค์ อาจจะนั่งเมฆมาเยี่ยมเธอบ้าง…หากท่านยังคงรักเธออยู่

จนกระทั่งวันหนึ่ง   ในขณะที่เด็กน้อยกำลังนั่งมองปุยเมฆอยู่อย่างเคย   ทันใดนั้น   เธอก็ได้ยินเสียงของชายหญิงคู่หนึ่ง ดังแว่วมาจากท้องทะเลที่อยู่ไกลแสนไกลจากชายฝั่ง   เสียงปริศนาเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก   มันไม่ใช่เสียงของตากับยาย  แต่มันเป็นเสียงของใครบางคนที่ร้องเรียกเธออยู่ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ !

เด็กน้อยรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ จนตัวสั่น   แต่แล้ว…เธอก็ตัดสินใจกระโดดลงไปในผืนน้ำสีครามที่อยู่เบื้องหน้า    เด็กน้อยว่ายน้ำห่างฝั่งออกไปเรื่อย ๆ    ฝูงปลาหลากสีพากันว่ายน้ำตามเธอไปจนดูคล้ายกับเป็นภาพพิศวง   เด็กน้อยมุ่งหน้าตรงไปยังเจ้าของเสียงปริศนาด้วยหัวใจที่เต้นระทึก  จนในที่สุด  เด็กน้อยก็ว่ายน้ำมาพบเจ้าของเสียงปริศนาที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

เบื้องหน้าของเด็กน้อยคือเงือกสาวแสนสวยและเทพสมุทรรูปงามที่นั่งอยู่บนหลังของม้าน้ำตัวใหญ่เพื่อรอการมาถึงของเด็กน้อยด้วยสีหน้าที่อิ่มเอมไปด้วยความปลื้มปีติ   เงือกสาวตรงเข้ากอดเด็กน้อยทันทีที่ได้เห็น  จากนั้น  เธอก็เล่าให้เด็กน้อยฟังว่า  แท้จริงแล้ว เด็กน้อยก็คือลูกของเธอกับเทพสมุทร ซึ่งพลัดพรากจากกันในคืนวันที่เกิดพายุใหญ่  แต่หลังจากที่เธอกับเทพสมุทรทราบข่าวจากฝูงปลาว่า มีตากับยายคู่หนึ่งได้ช่วยชีวิตลูกสาวของเธอเอาไว้  มิหนำซ้ำ ท่านทั้งสองยังให้การดูแลลูกสาวของเธอเป็นอย่างดี   ตัวเธอกับเทพสมุทรจึงตัดสินใจที่จะแอบเฝ้ามองความเป็นไปอยู่ห่างๆ เพราะทั้งคู่ไม่อยากทำร้ายจิตใจของผู้เฒ่าทั้งสอง   แต่เมื่อตากับยายได้กลายเป็นเทพและขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์เช่นนี้แล้ว  พวกตนจึงอยากจะมารับลูกสาวสุดที่รักให้กลับไปอยู่ด้วยกัน

เด็กน้อยได้แต่นิ่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก  เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน!  แต่เมื่อเธอมองผ่านผืนน้ำที่ใสราวกระจกลงไป  เธอก็ได้พบว่าขาทั้งสองที่ไร้เรี่ยวแรงของเธอได้กลายสภาพเป็นครีบหางที่งามสง่าและทำให้เธอทรงตัวอยู่ในน้ำได้โดยที่แทบจะไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย   เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ  เธอดีใจมากที่ได้พบพ่อกับแม่ของเธอ…แม้ว่ามันดูเกือบจะเป็นเรื่องที่เกินความฝัน      

และแล้ว…พ่อแม่ลูกชาวทะเลทั้งสามก็พากันว่ายน้ำตรงออกไปยังดินแดนลึกลับที่ตั้งอยู่กลางห้วงสมุทร   ที่ซึ่งชาวทะเลทั้งหลายอาศัยอยู่ร่วมกัน…ที่ซึ่งเหล่าเทพใช้เป็นดินแดนแห่งการนัดพบ….และที่ซึ่งเงือกน้อยจะได้เจอกับคุณตาคุณยายผู้แสนดีของเธออีกครั้ง.

#นิทานนำบุญ

…………………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายองค์สุดท้อง

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เจ้าชายองค์สุดท้อง” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง เจ้าชายองค์สุดท้อง

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีพระราชาองค์หนึ่งทรงเป็นพระราชาแห่งอาณาจักรที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการรบ เมื่อพระราชาทรงมีอายุมากขึ้นจนสุขภาพเริ่มถดถอย  พระองค์จึงคิดคัดเลือกพระราชาองค์ใหม่ด้วยการมอบหมายให้โอรสทั้งห้าแข่งขันกันยกกองทัพออกไปยึดเมืองที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งพระราชาจะตัดสินผู้ชนะโดยดูจากวิธีการรบหรืออาวุธที่เจ้าชายแต่พระองค์เลือกใช้ 

เจ้าชายองค์โตผู้ภาคภูมิในสายเลือดนักรบทรงเลือกดาบเป็นอาวุธในการต่อสู้  ซึ่งเมื่อเจ้าชายยกทัพไปถึงเมืองเป้าหมาย  ชาวเมืองที่ถูกรุกรานก็นำดาบออกมาต่อต้านกองทัพของเจ้าชายอย่างสุดกำลัง  และหลังจากการเผชิญหน้าฟาดฟันกันจนผู้คนทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในที่สุด  กองทัพของเจ้าชายองค์โตก็สามารถยึดครองเมืองแห่งนั้นได้สำเร็จ

เจ้าชายองค์รองผู้ไม่ชอบการปะทะกันโดยตรงทรงเลือกใช้ธนูเป็นอาวุธในการต่อสู้   เมื่อกองทัพของเจ้าชายปิดล้อมเมืองเป้าหมายแล้วยิงธนูเข้าไปในเมือง  ชาวเมืองก็ยิงธนูออกมาโต้ตอบจนกลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ  เจ้าชายองค์รองทรงโกรธที่ถูกต่อต้าน  พระองค์จึงสั่งให้ทหารยิงธนูไฟเข้าไปในเมือง ซึ่งหลังจากธนูไฟเผาทำลายบ้านเรือนไปเป็นจำนวนมาก  กองทัพของเจ้าชายองค์รองก็ครอบครองเมืองแห่งนั้นได้ดังใจปรารถนา

เจ้าชายองค์กลางผู้ทันสมัยทรงเลือกใช้ปืนไฟเป็นอาวุธในการต่อสู้  เมื่อกองทัพของเจ้าชายถือปืนมุ่งหน้าไปยังเมืองเป้าหมาย  ชาวเมืองซึ่งไม่คุ้นกับปืนไฟเพราะเป็นอาวุธสมัยใหม่จึงนำอาวุธเท่าที่มีอยู่ออกมาสู้รบ  แต่อนิจจา…ด้วยพลังทำลายล้างของปืนไฟอันร้ายกาจ  เพียงชั่วพริบตาเดียว  ชาวเมืองทั้งหลายก็ถูกสะเก็ดกระสุนปืนจนบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน  และแล้ว…เจ้าชายองค์กลางก็สามารถยึดเมืองเอาไว้ได้โดยแทบไม่ได้ออกแรงเลยแม้สักนิด

เจ้าชายองค์ที่สี่ผู้ใจร้อนทรงเลือกใช้ดินระเบิดเป็นอาวุธในการต่อสู้   ทันทีที่พระองค์ยกกองทัพไปถึงเมืองเป้าหมาย  พระองค์ก็ให้ทหารขว้างระเบิดข้ามกำแพงไปอย่างไม่รอช้า  แรงระเบิดทำให้กำแพงพังและอาคารสั่นไหว   ส่วนชาวเมืองต่างก็เสียขวัญและยอมพ่ายแพ้ต่อกองทัพของเจ้าชายองค์ที่สี่อย่างไม่มีเงื่อนไข

พระราชาทรงยินดีที่เจ้าชายทุกพระองค์สามารถยึดเมืองที่อยู่รอบข้างได้เป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกัน พระราชาก็ทรงไม่แน่ใจว่าการเลือกใช้อาวุธและวิธีการสู้รบของเจ้าชายองค์ใดเป็นการเลือกที่เฉลียวฉลาดและเหมาะสมมากที่สุด  ในขณะที่พระราชาทรงครุ่นคิดพิจารณาอยู่นั้น  เจ้าชายองค์สุดท้องที่พระราชาลืมนึกถึงก็กลับมาและขออนุญาตเข้าเฝ้า

เจ้าชายองค์สุดท้องผู้อ่อนน้อมทรงเลือกใช้วิธีเจรจาผูกมิตรเป็นอาวุธในการต่อสู้  ซึ่งเมื่อกองทัพของเจ้าชายเดินทางไปถึงเมืองเป้าหมาย  พระองค์ก็เริ่มภารกิจด้วยการนำของกำนัลไปมอบให้แก่ท่านเจ้าเมือง  จากนั้น เจ้าชายก็เจรจาด้วยความสุภาพนอบน้อมแล้วขอร้องให้มอบเมืองให้ในฐานะบ้านพี่เมืองน้องของกันและกัน

การได้เป็นบ้านพี่เมืองน้องกับเมืองที่เชี่ยวชาญในการรบเป็นสิ่งที่วิเศษสุดสำหรับเมืองขนาดเล็ก เพราะหากมีใครมารุกราน เมืองที่แข็งแกร่งกว่าก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ  และด้วยเหตุนี้เอง ข้อเสนอและวิธีการเจรจาอย่างเป็นมิตรของเจ้าชายจึงทำให้เจ้าเมืองดังกล่าวยอมยกเมืองให้โดยสันติ

พระราชาทรงชื่นชมวิธีการของเจ้าชายองค์สุดท้องมากเป็นพิเศษ เพราะการใช้อาวุธสู้รบกันทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับชีวิตและบ้านเมืองที่ยึดมาได้  แต่การเจรจาผูกมิตรนั้น นอกจากจะสามารถยึดเมืองมาได้ตามต้องการแล้ว  วิธีการนี้ยังไม่ทำให้ได้เกิดความเสียหายหรือความเคืองแค้นซึ่งกันและกันอีกด้วย  ดังนั้น  เมื่อพระราชาทรงใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน  พระองค์จึงตัดสินใจเลือกเจ้าชายองค์สุดท้องให้เป็นพระราชาสืบต่อจากพระองค์

การเจรจาผูกมิตรทำให้เจ้าชายองค์สุดท้องผู้ดำรงฐานะเป็นพระราชาองค์ใหม่สามารถขยายอาณาเขตไปได้อย่างกว้างใหญ่ไพศาล   ทุก ๆ ครั้งที่มีอาณาจักรอื่นเข้ามารุกราน  บ้านพี่เมืองน้องทั้งหลายก็จะร่วมมือกันต่อต้านหรือช่วยกันเจรจาจนศัตรูกลับใจยอมมาเป็นมิตรด้วย  

วิธีการรบอันแหวกแนวของเจ้าชายองค์สุดท้องแสดงให้ทุกคนเห็นถึงพลังของการเจรจากันโดยสันติ  ในที่สุด  อาณาจักรที่เคยมีชื่อเสียงในด้านการรบก็กลับกลายเป็นกลุ่มอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีต่อกัน ซึ่งทำให้ประชาชนทั้งหลายต่างก็มีความสุขกันโดยถ้วนหน้า

#นิทานนำบุญ

……………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เรื่องเล่าขานจากหมู่บ้านผลไม้

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เรื่องเล่าขานจากหมู่บ้านผลไม้” เป็นนิทานนำบุญเรื่องใหม่ล่าสุดที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญให้เด็ก ๆ ในช่วงปีใหม่ 2565 หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่องนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและได้แนวคิดดี ๆ จากการอ่านนิทานนะครับ

นิทานเรื่อง เรื่องเล่าขานจากหมู่บ้านผลไม้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปลูกผลไม้  ทุก ๆ ปี  ชาวบ้านจะปลูกผลไม้ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากพวกเขาจะส่งผลไม้ไปขายยังเมืองต่าง ๆ แล้ว  ชาวบ้านผู้มีน้ำใจยังมักจะนำผลไม้อร่อย ๆ ไปมอบให้แก่ผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงอยู่เสมอ

อยู่มาวันหนึ่ง  เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้น  ซึ่งโรคร้ายทำให้ไม้ผลสารพัดชนิดของหมู่บ้านแห่งนี้ล้มตายไปจนหมดสิ้น  เหล่าชาวบ้านจึงจำเป็นต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อขอเมล็ดของผลไม้มาปลูกทดแทนต้นไม้ทั้งหลายที่ตายไป

แต่อนิจจา… เมื่อชาวบ้านเอ่ยปากขอเมล็ดพันธุ์จากผู้คนในหมู่บ้านรอบข้าง  แทนที่ผู้คนเหล่านั้นจะคิดถึงความเอื้อเฟื้อที่เหล่าชาวบ้านเคยนำผลไม้มามอบให้เป็นประจำ  พวกเขากลับปฏิเสธและขับไล่ชาวบ้านผู้มีน้ำใจไปอย่างไม่แยแส   มิหนำซ้ำ  พวกเขายังคิดหาทางส่งผลไม้ไปขายแทนหมู่บ้านแห่งเก่าอีกด้วย

หลังจากที่เหล่าชาวบ้านถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า  พวกเขาก็เริ่มหมดกำลังใจและไม่อยากทำความดีหรือช่วยเหลือใคร ๆ อีก!    

เมื่อเด็ก ๆ ซึ่งเป็นลูกของชาวบ้านทั้งหลายเห็นพ่อแม่ของพวกเขาท้อแท้และหมดหวัง  เด็กทั้งหมู่บ้านจึงแอบมาปรึกษากัน  แล้วตัดสินใจที่จะเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาให้พ่อแม่ปลูกทดแทนผลไม้ที่เคยมีอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้น  เด็กทั้งหมู่บ้านพากันเดินทางเข้าป่าด้วยความมุ่งมั่น  แม้หนทางจะยาก ลำบาก  แต่พวกเขาก็ไม่ยอมท้อถอย  จนในที่สุด  เด็ก ๆ ก็เก็บผลไม้มาได้ถึงห้าชนิด คือ ส้ม มะม่วง ชมพู่ น้อยหน่าและมะละกอ   แม้ว่าผลไม้ป่าที่เด็ก ๆ เก็บมาได้จะมีขนาดเล็กและไม่งามเหมือนผลไม้ที่เคยมีในหมู่บ้าน  แต่พวกเขาก็มั่นใจว่าผู้ใหญ่น่าจะปลูกและพัฒนาพันธุ์ให้ดีขึ้นได้ในอนาคต

ระหว่างทางที่เด็ก ๆ ช่วยกันหอบผลไม้กลับไปยังหมู่บ้าน   จู่ ๆ พวกเขาก็พบลูกยักษ์ตนหนึ่งนอนหมดแรงอยู่ที่ริมแม่น้ำใหญ่  เมื่อเจ้าลูกยักษ์เห็นเด็ก ๆ เดินทางผ่านมา   เจ้าลูกยักษ์จึงขอผลไม้จากเด็ก ๆ มากินเพื่อประทังชีวิต

ทันทีที่เด็ก ๆ ได้ฟังคำขอร้องของลูกยักษ์ที่น่าสงสาร  เด็ก ๆ  ผู้มีจิตใจเอื้ออารีจึงมอบผลไม้ทั้งหมดให้แก่เจ้าลูกยักษ์    เจ้าลูกยักษ์รีบขอบคุณเด็ก ๆ ผู้มีน้ำใจ  แล้วมันก็จัดการหม่ำผลไม้ที่เด็ก ๆ ให้จนไม่เหลือแม้แต่เมล็ด   

หลังจากที่เด็ก ๆ เห็นว่าเจ้าลูกยักษ์กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว  เด็กทั้งหมดจึงตั้งท่าจะเดินทางเข้าป่าเพื่อหาผลไม้ไปปลูกอีกครั้ง  แต่เนื่องจากเจ้าลูกยักษ์อยากตอบแทนน้ำใจของเด็ก ๆ มันจึงเชิญเด็กทุกคนให้ไปกินอาหารเย็นที่บ้านของมันเสียก่อน  

ณ บ้านของเจ้าลูกยักษ์  แม่ยักษ์บรรจงทำอาหารเลี้ยงเด็ก ๆ ที่ช่วยเหลือลูกของนางอย่างสุดฝีมือ   และเมื่อทุกคนกินอาหารจนอิ่ม  แม่ยักษ์ก็นำเอาส้ม มะม่วง ชมพู่ น้อยหน่าและมะละกอซึ่งมีขนาดมหึมา (เพราะเป็นผลไม้ของยักษ์)  ออกมาให้เด็ก ๆ กินเป็นการปิดท้าย

ผลไม้ของยักษ์มีรสชาติอร่อยอย่างวิเศษ  เมื่อเด็ก ๆ ได้ชิมแล้ว พวกเขาจึงขออนุญาตนำเมล็ดของผลไม้เหล่านั้นกลับไปปลูกที่หมู่บ้าน

แม่ยักษ์ลังเลอยู่สักพัก  แต่เมื่อลูกยักษ์ช่วยขอร้อง  แม่ยักษ์จึงยอมให้เด็ก ๆ นำเมล็ดของผลไม้เหล่านั้นกลับไปปลูกได้ 

เมื่อเด็ก ๆ ช่วยกันแบกเมล็ดของผลไม้กลับไปถึงหมู่บ้าน  พวกเขาก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง  พ่อแม่ของเด็ก ๆ ต่างรู้สึกละอายใจที่พวกเขาคิดจะเลิกทำดีต่อผู้อื่น  เพราะจริง ๆ แล้ว พวกเขาก็คือคนที่คอยพร่ำสอนให้ลูก ๆ เป็นคนดีมีน้ำใจมาโดยตลอดนั่นเอง   

พ่อแม่ทุกคนพากันขอบใจลูกที่ทำให้พวกเขาหูตาสว่างขึ้น  เพราะท้ายที่สุด  คนที่ทำดีก็ย่อมได้สิ่งที่ดีตอบแทนเสมอ    เมื่อพ่อแม่ของเด็ก ๆ คิดได้เช่นนั้นแล้ว  พวกเขาจึงตั้งใจที่จะเป็นคนดีต่อไปอย่างไม่ลังเลอีก 

หลังจากวันนั้น  ชาวบ้านทุกคนก็ช่วยกันเพาะเมล็ดของผลไม้ที่เด็ก ๆ นำกลับมา  จนเมล็ดของผลไม้ทั้งห้าชนิดค่อย ๆ งอกงามเป็นต้นไม้ใหญ่และออกผลชวนให้คนที่เห็นถึงกับน้ำลายไหล

แน่นอนว่า…ชาวบ้านผู้มีน้ำใจจัดการส่งผลไม้เหล่านั้นไปขายจนเกิดรายได้มากมาย-มหาศาล  แต่ในขณะเดียวกัน  พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะแบ่งปันผลไม้บางส่วนเพื่อมอบให้แก่ผู้คนที่ขาดแคลน รวมทั้งส่งไปตอบแทนลูกยักษ์กับแม่ยักษ์ที่ให้เมล็ดพันธุ์อันแสนวิเศษนี้มาด้วย

ในที่สุด  เรื่องเล่าขานจากหมู่บ้านผลไม้ก็จบลงอย่างมีความสุข

#นิทานนำบุญ

………………………………………