นิทานนานาชาติเรื่อง “หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว” เป็นนิทานของพี่น้องกริมส์ซึ่งถือเป็นนิทานอมตะ นิทานเรื่องนี้ในฉบับดั้งเดิมเป็นนิทานที่เล่าให้สนุกได้ยาก แถมยังมีฉากที่น่ากลัวมาก ๆ และมีความเหนือจริงในตอนท้าย การนำมาเล่าใหม่ให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันโดยยังคงเนื้อเรื่องของนิทานดั้งเดิมเอาไว้ให้มากที่สุด แต่ลดความรุนแรงลงไปให้เป็นนิทานที่เหมาะสำหรับเด็ก จึงถือว่าท้าทายมาก
แนวทางที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ใช้ในการนำนิทานเรื่องนี้มาเล่าใหม่ คือ การยึดโครงเรื่องดั้งเดิมเอาไว้เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้แต่ง จากนั้น สร้างสีสันและปรับบรรยากาศของนิทานด้วยการเติมมุกตลกเพื่อลดความน่ากลัวของนิทานให้กลายเป็นนิทานชวนยิ้ม เช่น การนำทำนองเพลง “ประตูใจ” ของวง “สาวสาวสาว” มาใช้เพื่อทำให้บทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างหมาป่ากับลูกแพะดูสนุกขึ้น หรือการเล่นคำว่า “อุเหม่” ซ้ำ ๆ ในตอนท้ายเรื่อง เผื่อว่าเด็ก ๆ จะยิ้มได้ หวังว่านิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว ที่เล่าในแบบนิทานนำบุญ จะทำให้เด็ก ๆ มีความสุขนะครับ
นิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่แพะตัวหนึ่ง มีลูกมากถึง 7 ตัว
วันหนึ่ง แม่แพะบอกกับลูก ๆ ว่า “ลูกจ๋า ลูกจ๋า แม่จะเข้าป่าไปหาอาหาร พวกหนูอยู่เฝ้าบ้าน ต้องระวังหมาป่าให้ดี หมาป่าชอบปลอมตัวมาจับเด็ก ๆ กิน ถ้ามีใครเสียงห้าว แหบแห้ง และมีเท้าดำปิ๊ดปี๋มาเคาะประตู นั่นล่ะ…คือหมาป่าที่ปลอมตัวมา”
เมื่อได้ฟังคำเตือนของแม่ ลูกแพะทั้งเจ็ดก็ตอบว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราทั้งเจ็ดจะช่วยกันระวังตัวให้ดีที่สุด”
เมื่อแม่แพะได้ฟัง แม่แพะก็สบายใจ จากนั้น นางก็ออกเดินทางเข้าไปในป่า
ในเวลาต่อมา มีเสียงคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู
เปิดออกดู ว่าแม่มา
เหนื่อยจะตาย แล้วนี่นา
ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”
เมื่อลูกแพะได้ฟังเสียงของคุณแม่ตัวปลอม ลูกแพะทั้งเจ็ดก็จับได้ว่า เสียงนั้นน่าจะเป็นเสียงของหมาป่า เพราะมันทั้งห้าว ทั้งแหบแห้ง ลูกแพะจึงตอบกลับไปว่า
“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู
ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร
เสียงแหบห้าว หมาป่านั่นไง
พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”
ลูกแพะร้องต่อไปว่า “เสียงของแม่ทั้งสดใสและอ่อนโยน ไม่ใช่เสียงห้าว ๆ แหบแห้งแบบนี้ ไปเถอะไป ไปซะไปสิ ไปให้ไกล ๆ เจ้าหมาป่า”
หมาป่าโมโหที่ถูกลูกแพะไล่ มันจึงไปหาน้ำผึ้งผสมมะนาวมากิน เพื่อทำให้เสียงใสขึ้นจากนั้น มันก็กลับมาที่บ้านของลูกแพะ แล้วเคาะประตูพร้อมกับดัดเสียงร้องว่า
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู
เปิดออกดู ว่าแม่มา
มีของกิน ล้นเหลือคณา
ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”
ในขณะที่ร้องเรียก หมาป่าบังเอิญยกขาเกาะที่หน้าต่าง ทำให้ลูกแพะเห็นเท้าสีดำปิ๊ดปี๋ของมัน ลูกแพะจึงตอบว่า
“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู
ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร
เท้าดำหนักหนา หมาป่านั่นไง
พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”
เมื่อลูกแพะจับได้ หมาป่าจึงวิ่งไปที่ร้านขนมปัง แล้วขโมยแป้งมาโรยที่เท้าจนหนาเตอะ จากนั้น มันก็เดินกลับไปที่บ้านของลูกแพะอีกครั้ง แล้วร้องเรียกลูกแพะทั้งเจ็ดว่า
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู
เปิดออกดู ว่าแม่มา
มีของกิน ล้นเหลือคณา
ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”
ลูกแพะเริ่มหิวและคิดว่าแม่แพะน่าจะกลับมาแล้วจึงพูดว่า “ลองยกเท้าขึ้นมาให้ดูหน่อยพวกเราจะได้รู้ว่าเป็นคุณแม่ตัวจริงหรือเปล่า” หมาป่าจึงยกเท้าเกาะที่หน้าต่าง ซึ่งเมื่อลูกแพะเห็นเท้าสีขาว ลูกแพะจึงหลงกลและเปิดประตูให้ แต่ทันทีที่ประตูเปิด หมาป่าก็กระโจนเข้ามาในบ้าน ทำให้ลูกแพะแตกกระเจิงต้องวิ่งหาที่ซ่อนตัวกันอย่างจ้าละหวั่น
ลูกแพะบางตัวหนีไปซ่อนใต้โต๊ะ บางตัวไปหลบใต้เตียง บางตัวแอบไปอยู่ในเตาผิง บางตัววิ่งไปซ่อนในห้องครัว บางตัวรีบหนีไปอยู่ในตู้ บางตัวหนีไปอยู่ใต้อ่างล้างหน้า ส่วนลูกแพะตัวสุดท้องน้องสุดท้ายหนีไปอยู่ในตู้นาฬิกา
หมาป่าพยายามตามหาลูกแพะทีละตัว พอเจอลูกแพะตัวไหน มันก็จะจับลูกแพะตัวนั้นกินก่อน หมาป่าจับลูกแพะกินได้ 6 ตัว เหลือแต่ลูกแพะตัวสุดท้องเพียงตัวเดียวที่รอดเพราะหมาป่าหาไม่เจอ
เมื่อหมาป่ากินลูกแพะทั้ง 6 ตัวจนหนังท้องตึง หนังตาของมันก็หย่อน มันจึงเดินออกไปจากบ้านจนถึงทุ่งหญ้าที่ไม่ไกลนัก จากนั้น มันก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นาน แม่แพะก็กลับมาถึงบ้าน เมื่อแม่แพะเห็นประตูเปิดอยู่ และข้าวของในบ้านกระจุยกระจายระเนระนาด แม่แพะก็เดาได้ว่าลูก ๆ คงโดนหมาป่าหลอกให้เปิดประตูและอาจถูกหมาป่าจับกินจนหมด แม่แพะใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่แม่แพะไม่ยอมหมดหวัง นางจึงเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านเผื่อว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่นางคิด
เมื่อแม่แพะเดินมาถึงนาฬิกาที่ลูกแพะตัวสุดท้องซ่อนอยู่ แม่แพะก็ได้ยินเสียงพูดอันสั่นเครือของลูกแพะดังขึ้นว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า หนูซ่อนอยู่ในนาฬิกานี่จ้ะ”
เมื่อแม่แพะอุ้มลูกแพะออกจากนาฬิกา ลูกแพะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่แพะฟัง เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว แม่แพะซึ่งรักลูก ๆ มาก จึงบอกตัวเองว่า “ในโลกนิทาน อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ” ดังนั้น แม่แพะจึงฮึดสู้ แล้วเดินออกไปนอกบ้าน เพื่อตามหาหมาป่าที่บังอาจมากินลูก ๆ ของนาง
เมื่อแม่แพะกับลูกน้อยตามหมาป่ามาถึงทุ่งหญ้า พวกมันก็เห็นหมาป่านอนกรนอยู่ แม่แพะค่อย ๆ ย่องไปดูที่ท้องของหมาป่าที่บวมเป่งแทบปริเพราะอุตริกินลูกแพะเข้าไปถึง 6 ตัว แม่แพะจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ นางเห็นว่าท้องของหมาป่ามีอะไรกระดุกกระดิกอยู่ข้างใน และแล้ว แม่แพะก็อุทานออกมาว่า “อุเหม่ ลูก ๆ ของฉันที่ถูกหมาป่ากินเข้าไป ยังคงมีชีวิตอยู่นี่นา นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”
เมื่อเห็นดังนั้น แม่แพะจึงใช้กรรไกรจัดแจงผ่าท้องหมาป่า ซึ่งหลังจากคุณแม่ผ่าได้ไม่ทันไร ลูกแพะก็กระโจนออกมาจากท้องหมาป่าทีละตัว ทีละตัว ลูกแพะตัวสุดท้องจึงรำพึงว่า “อุเหม่ นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”
หลังจากที่ลูกแพะทั้ง 6 ตัวกระโจนออกมาจากท้องของหมาป่าจนครบ โดยที่ทุกตัว ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เพราะหมาป่ากลืนลูกแพะข้าไปทั้งตัวโดยไม่ได้เคี้ยว แม่แพะและลูกแพะทุกตัวต่างดีใจที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง แต่ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะจบลง แม่แพะบอกกับลูกแพะว่า “บางที หมาป่าอาจไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ในโลกนิทาน ดังนั้น เพื่อหลอกหมาป่าให้มันไม่สงสัย เราจะต้องหาหินมาใส่เข้าไปท้องหมาป่าก่อนที่มันจะตื่น”
เมื่อแม่แพะพูดจบ ลูกแพะก็แยกย้ายกันไปหาก้อนหินมาใส่ในท้องของหมาป่า เมื่อลูกแพะยัดก้อนหินไปจนเต็มท้อง แม่แพะก็รีบเย็บท้องหมาป่าด้วยการสอยซ่อนด้ายจนแทบไม่เหลือร่องรอยให้หมาป่าสังเกตเห็น จากนั้น แม่แพะก็พาลูกแพะทั้งเจ็ดกลับบ้านทันที
เมื่อหมาป่าตื่นนอน มันก็กระหายน้ำ มันจึงเดินไปที่บ่อน้ำ พลางรำพึงว่า “การกินลูกแพะนี่มันทำให้อิ่มนานดีจัง”
แต่เมื่อหมาป่าเดินไปถึงบ่อน้ำแล้วก้มลงดื่มน้ำ ก้อนหินในท้องหมาป่าก็ถ่วงให้หมาป่าเสียหลัก จากนั้น มันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ และไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวของมันอีก
ลูกแพะทุกตัวที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงรำพึงออกมาพร้อม ๆ กันว่า “อุเหม่ นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”
ในที่สุด “นิทาน” เรื่อง “หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว” ก็จบลงด้วยดี
#นิทานกริมส์
…………………………..
Very good
LikeLike