Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เด็กน้อยจากโลกดึกดำบรรพ์

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เด็กน้อยจากโลกดึกดำบรรพ์” มีที่มาค่อนข้างแปลกอยู่สักหน่อย คือในช่วงที่ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ ผมนึกถึงตัวละคร “ลูกน้อยหอยสังข์” จากวรรณคดีเรื่อง “สังข์ทอง” ผมคิดว่าผู้แต่งมีจินตนาการที่น่ายกย่องมาก เพราะการคิดว่ามีเด็กคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหอยสังข์ เป็นความคิดที่ข้ามออกจากกรอบแห่งโลกความจริงเข้าสู่โลกแห่งนิทานโดยสมบูรณ์แบบ แถมเรื่องราวต่อจากนั้น ก็น่าสนุก ชวนติดตาม จนผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะแต่งนิทานดี ๆ แบบนี้ได้แน่ ๆ แต่ความยากคือสิ่งท้าทาย ผมจึงอยากลองท้าทายตัวเองดูด้วยการแต่งนิทานเรื่องใหม่ ที่มีตัวละครหลักตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในหอย ซึ่งหลังจากการคิดแต่งนิทานอย่างยากลำบาก (ยากจริง ๆ ) ในที่สุดก็ได้นิทานเรื่องนี้ออกมา

นิทานเรื่อง เด็กน้อยจากโลกดึกดำบรรพ์

          นานมาแล้ว มีชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องซากดึกดำบรรพ์ต่าง ๆ  เช่น ซากกระดูกไดโนเสาร์และซากสัตว์โบราณที่กลายเป็นหิน  ชายหนุ่มผู้นี้รักงานของเขามาก  วันทั้งวัน…เขาจึงเอาแต่ศึกษาค้นคว้าและลงพื้นที่ขุดหาซากดึกดำบรรพ์จนลืมแบ่งเวลามาดูแลตัวเองหรือเอาใจใส่แฟนสาวที่เขารัก

          อยู่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มขุดพบซากหอยทะเลล้านปีที่เรียกว่าแอมโมไนต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ายางรถยนต์เกือบสองเท่า แถมยังมีสภาพสมบูรณ์อย่างเหลือเชื่อ ชายหนุ่มตื่นเต้นกับการค้นพบครั้งนี้มาก เขารีบนำซากหอยดึกดำบรรพ์กลับมายังห้องทดลองที่บ้าน แต่เขาไม่รู้เลยว่า ในซากหอยทะเลที่เขาพบนั้นมีเด็กน้อยจากโลกดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่ด้วย!

          หลายคนอาจสงสัยว่า เด็กน้อยเข้าไปอยู่ในหอยดึกดำบรรพ์ได้อย่างไร  จริง ๆ แล้ว เด็กคนนี้เกิดในช่วงที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือมีอุกกาบาตตกมายังพื้นโลกและมีภูเขาไฟระเบิดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง พ่อแม่ของเด็กน้อยซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องเวทมนตร์จึงร่ายคาถาฝากลูกชายเอาไว้ในเปลือกหอย แล้วนำไปปล่อยลงกลางมหาสมุทร เพื่อให้ลูกน้อยรอดชีวิตจากภัยพิบัติ

          ครั้นเมื่อชายหนุ่มนำซากหอยดึกดำบรรพ์กลับถึงบ้าน เด็กน้อยในเปลือกหอยก็ตื่นขึ้นมา  เด็กน้อยสังเกตเห็นว่า ชายหนุ่มเอาแต่คร่ำเคร่งค้นคว้าตำรับตำราจนไม่สนใจดูแลตัวเองเลย เด็กน้อยอยากตอบแทนบุญคุณชายหนุ่มผู้ให้ชีวิตใหม่ เมื่อชายหนุ่มเผลอ เด็กน้อยจึงแอบออกมาจากเปลือกหอย แล้วช่วยทำความสะอาดบ้าน, ซักรีดเสื้อผ้า, ทำอาหารอร่อย ๆ รวมทั้งปลูกดอกไม้แสนสวยจนเต็มสวนไปหมด

           แม้ชายหนุ่มจะแปลกใจที่บ้านช่องสะอาดเอี่ยมเรี่ยมเร้, เสื้อผ้าซักรีดเรียบร้อย แถมยังมีอาหารอร่อย ๆ จัดอยู่ที่โต๊ะทุกมื้อ แต่เนื่องจากเขาจดจ่อกับการศึกษาค้นคว้ามาก เขาจึงไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น  

          สามเดือนผ่านไป  เด็กน้อยเห็นชายหนุ่มพยายามคาดเดาว่าตัวของหอยทะเลที่อยู่ในเปลือกหอยดึกดำบรรพ์มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร  ชายหนุ่มเอาแต่คิดและลองวาดรูปจนแทบไม่ได้พักผ่อน เด็กน้อยซึ่งแอบอยู่ในเปลือกหอยรู้สึกเป็นห่วง เมื่อชายหนุ่มฟุบหลับ  เด็กน้อยจึงออกมาจากเปลือกหอย แล้ววาดภาพหอยทะเลที่เขาเคยเห็นในอดีตลงในกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ

          ในตอนเช้า ชายหนุ่มตื่นเต้นมากเมื่อเห็นภาพวาดบนโต๊ะ เพราะภาพดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับภาพในตำราอ้างอิง แต่มีรายละเอียดที่สมจริงสมจังมากกว่า ชายหนุ่มเข้าใจว่าตนเองเป็นคนวาดภาพภาพนั้นก่อนที่จะหมดแรงหลับไป เขาจึงไม่ได้ติดใจสงสัยเลยแม้สักนิด

          หลายวันต่อมา แฟนสาวแวะมาหาชายหนุ่มที่บ้านเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเธอ  หญิงสาวคาดหวังว่าชายหนุ่มคงเตรียมของขวัญเอาไว้ให้เธอสักชิ้น แต่เมื่อเธอทวงถาม  ชายหนุ่มที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานจนเกินพอดีกลับลืมเสียสนิท เด็กน้อยกลัวว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกัน เด็กน้อยจึงรีบวิ่งออกมาจากเปลือกหอยผ่านหน้าชายหนุ่มและหญิงสาว แล้วตรงไปเก็บดอกไม้ในสวนเพื่อให้ชายหนุ่มมีของขวัญสำหรับหญิงคนรัก

          แม้เด็กน้อยจะมีเจตนาดี แต่การที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าชายหนุ่มและหญิงสาวทำให้คนทั้งคู่ตกใจมาก เมื่อเด็กน้อยส่งดอกไม้ให้ชายหนุ่ม  ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำหน้าหวั่น ๆ พร้อมกับถามเด็กน้อยด้วยเสียงสั่น ๆ ว่า “หนูเป็นใคร แล้วออกมาจากเปลือกหอยได้อย่างไร?”

          สีหน้าของชายหนุ่มทำให้เด็กน้อยรู้ในทันทีว่าเขาได้ทำเรื่องที่ไม่สมควรเข้าให้เสียแล้ว  เด็กน้อยรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้มีพระคุณเสียขวัญ เขาจึงก้มหน้าแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ชายหนุ่มฟัง พลางคิดว่าชายหนุ่มคงไล่เขาออกจากบ้านเป็นแน่

          เมื่อหญิงสาวได้ฟังเรื่องของเด็กน้อยที่พลัดพรากจากพ่อแม่ข้ามกาลเวลามา  เธอก็รู้สึกสงสารและไม่อยากให้เด็กน้อยต้องอยู่ในโลกยุคนี้ตามลำพังหรือต้องแอบหลบอยู่ในเปลือกหอยอย่างที่เป็นอยู่  หญิงสาวจึงแกล้งโมโหชายหนุ่ม แล้วยื่นคำขาดให้ชายหนุ่มดูแลเด็กน้อยแทนการปล่อยให้เด็กต้องมาดูแลผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักแบ่งเวลาอย่างเขา

          ชายหนุ่มกลัวว่าหญิงสาวจะทิ้งเขาไปและอายที่ตัวเองปล่อยให้เด็กน้อยคอยดูแลโดยที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน  ด้วยเหตุนี้  ชายหนุ่มจึงสัญญาว่าเขาจะดูแลเด็กน้อยให้ดีและจะพยายามปรับปรุงตัวเองเสียใหม่

          นับจากวันนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มทำตามที่เขาสัญญาเอาไว้  ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เด็กน้อยต้องทำความสะอาดบ้าน, ซักรีดเสื้อผ้าหรือทำกับข้าวคนเดียวอีก แต่เขาแบ่งเวลาจากการ ศึกษาค้นคว้ามาทำงานบ้านเองโดยมีเด็กน้อยเป็นลูกมือคอยช่วยเหลือ  ซึ่งไม่นานนัก  ชายหนุ่มกับเด็กน้อยก็เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

          หลายสัปดาห์ต่อมา เมื่อหญิงสาวกลับมาเยี่ยมชายหนุ่มและเห็นว่าคนรักของเธอทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้  หญิงสาวจึงยอมให้อภัยและกลับมาคืนดีกับเขาอีกครั้ง

          ในเวลานี้ ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจว่า การคร่ำเคร่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเกินพอดี ไม่ใช่วิธีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องนัก  แต่การจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสมต่างหากที่จะทำให้เขามีความสุขทั้งในการทำงานและในชีวิตส่วนตัว

          เมื่อชายหนุ่มปรับปรุงตัวเองได้สำเร็จ  ในที่สุด เขาก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เขารัก แต่สิ่งที่น่ายินดีมากกว่านั้นก็คือ  ชายหนุ่มกับหญิงสาวตกลงกันที่จะรับเด็กน้อยมาเป็นลูกของพวกเขา

          เด็กน้อยดีใจมากที่เขาได้มีพ่อแม่และครอบครัวที่แสนอบอุ่น  นับจากนั้นเป็นต้นมา  ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ชายหนุ่มก็มักจะพาครอบครัวของเขาไปขุดหาซากซากดึกดำบรรพ์ร่วมกัน โดยมีภรรยาเป็นคนทำอาหารและมีลูกชายที่รักคอยเล่าเรื่องราวของโลกในยุคเก่าให้เขาได้ฟังอยู่เสมอ ๆ

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ดอกไม้ของใคร

นิทานก่อนนอนเรื่องสั้น ๆ เรื่องนี้ เป็นนิทานก่อนนอนที่สั้น กระชับ แต่มีข้อคิดสอนใจ แถมยังมีปริศนาให้คาดเดานิดหน่อยในตอนกลางเรื่อง หวังว่าเด็ก ๆ จะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

นิทานเรื่อง ดอกไม้ของใคร

กาลครั้งหนึ่ง มีต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นอยู่บนก้อนเมฆ  ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ที่ไม่สูงนัก แต่มันมีดอกขนาดใหญ่ยักษ์….ใหญ่กว่ารถยนต์เสียด้วยซ้ำ

เช้าวันหนึ่ง เป็นวันที่สายลมพัดแรงไปหน่อย  ดอกไม้ดอกยักษ์จึงปลิดปลิวจากต้น แล้วค่อย ๆ ร่วงลงมาที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเจ้ากระรอกอย่างช้า ๆ

วันนั้น เจ้ากระรอกตื่นสาย  เจ้ากระต่ายที่เดินออกกำลังกายจึงเห็นดอกไม้ยักษ์ก่อนใครเพื่อน  เจ้ากระต่ายตื่นเต้นที่เห็นดอกไม้ขนาดยักษ์ ซึ่งมีสีสวยสด แถมยังมีกลิ่นหอมอย่างที่มันไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้ที่ไหนมาก่อน   มันจึงตั้งใจจะเข้าไปแบกดอกไม้ยักษ์กลับบ้าน

ในขณะนั้นเอง  เจ้ากระรอกตื่นขึ้นมาเห็นเข้าพอดี  เจ้ากระรอกจึงรีบวิ่งออกจากบ้าน  แล้วบอกกับเจ้ากระต่ายว่า  “เธอเอาดอกไม้ยักษ์ไปไม่ได้นะ  ดอกไม้ยักษ์ตกในบ้านของฉัน  มันก็ต้องเป็นดอกไม้ของฉัน”

เมื่อเจ้ากระต่ายได้ฟัง มันก็รีบค้านว่า  “ถึงมันจะตกในเขตบ้านของเธอ แต่ฉันเห็นดอกไม้ดอกนี้เป็นคนแรก  เพราะฉะนั้น มันก็ต้องเป็นดอกไม้ของฉันถึงจะถูก”

กระต่ายกับกระรอกทะเลาะกันวุ่นวาย  แต่หลังจากที่ทั้งคู่เถียงกันได้สักพัก  นางฟ้าจากก้อนเมฆก็เหาะลงมา  แล้วบอกกับกระรอกและกระต่ายว่า “ขอโทษนะ  ฉันได้ยินเสียงพวกเธอทะเลาะกันอยู่นานแล้ว    ดอกไม้ดอกนี้เป็นดอกไม้จากต้นไม้บนก้อนเมฆ  ดังนั้น  ฉันจึงรู้ดีว่าดอกไม้ดอกนี้ควรเป็นดอกไม้ของใคร

เมื่อกระต่ายกับกระรอกได้ฟัง  ทั้งคู่ก็พอเดาได้ว่านางฟ้าคงอ้างว่าเธอเป็นเจ้าของตัวจริงของดอกไม้ดอกนี้แน่ ๆ  กระต่ายกับกระรอกที่ทะเลาะกันจนคอแห้งได้แต่ก้มหน้ามองพื้นด้วยความเสียดาย  พลางคิดว่าถ้าพวกมันไม่ทะเลาะกัน  บางที พวกมันอาจจะได้ชื่นชมดอกไม้ยักษ์นานกว่านี้อีกนิด

แต่แล้ว  นางฟ้าก็ทำให้กระรอกและกระต่าย รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ ที่มายืนมุงดูต้องแปลกใจ  เมื่อ นางฟ้าบอกกับพวกมันว่า “ดอกไม้ดอกนี้ไม่ใช่ของเธอนะกระรอก  แล้วก็ไม่ของเธอด้วยนะกระต่าย มันคงไม่มีค่าสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นดอกไม้ของใครแค่คนเดียว  แต่มันจะมีค่ามากขึ้นมาก เมื่อมันได้เป็นดอกไม้ของพวกเราทุกคน”

เมื่อนางฟ้าพูดจบ  นางฟ้าก็ยิ้มแล้วให้สัตว์ทุกตัวแบ่งกลีบดอกไม้กันคนละกลีบ  แล้วชวนให้นำกลีบดอกไม้ยักษ์ไปใช้แทนเรือเพื่อให้สัตว์ต่าง ๆ ได้นอนในเรือกลีบดอกไม้ เพื่อมองดูเมฆบนท้องฟ้าในวันที่อากาศแสนสดใส

กระรอกและกระต่ายซึ่งงุนงงกับคำพูดที่เกินความคาดหมายของนางฟ้า ต่างยอมทำตามคำแนะนำของนางฟ้าแต่โดยดี  ซึ่งหลังจากที่ทั้งคู่ได้ล่องเรือกลีบดอกไม้ในทะเลสาบสักพัก  พวกมันก็ค่อย ๆ เข้าใจความหมายและคุณค่าของคำว่า “ดอกไม้ของพวกเรา” มากขึ้น  ๆ

เพียงแค่ไม่เห็นแก่ตัวและรู้จักแบ่งปัน  ของสิ่งหนึ่งก็มีค่ามากขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ 

เจ้ากระรอกกับเจ้ากระต่ายต่างอมยิ้มมองท้องฟ้า จากนั้น  พวกมันก็คิดในใจเหมือน ๆ กันว่า “การแบ่งปันนี่…ดีจังนะ” 

#นิทานนำบุญ

…………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ฝ้ายกับคราม

หลายปีก่อน ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำผ้าย้อมคราม อ่านแล้วก็ทึ่งกับภูมิปัญญาของชาวบ้านรวมทั้งนับถือผู้คนที่สืบสานภูมิปัญญานี้ จนสามารถสร้างแบรนด์สินค้าที่ขายไปได้ไกลถึงต่างประเทศ ในเวลาต่อมา ผมนึกสนุกจึงอยากลองแต่งนิทานเกี่ยวกับผ้าย้อมคราม แล้วก็นึกถึงการทอผ้าเป็นลวดลายอย่างโบราณ ตอนนั้น ผมยังไม่เคยเห็นใครทอลายผ้าแบบในนิทานเรื่องนี้ ผมจึงแต่งนิทานแปลก ๆ เรื่องนี้ออกมา (แต่ตอนนี้คงไม่แปลกแล้ว) ความยากในการโพสต์นิทานเรื่องนี้ คือการหาภาพมาประกอบนิทาน เพราะในจินตนาการของผม ภาพของลวดลายบนผ้าเป็นแบบหนึ่ง (แบบโบราณ) แต่ผมหาภาพไม่ได้สักที สุดท้าย จึงต้องลองทำภาพประกอบเองเท่าที่เป็นไปได้ (แม้จะไม่ตรงกับจินตนาการสักเท่าไหร่) อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่เด็ก ๆ ชอบ และเป็นนิทานที่ทำให้เด็ก ๆ ที่อยู่ในครอบครัวที่ทอผ้า เกิดความภูมิใจและได้แรงบันดาลใจในการทอผ้าของตัวเองต่อไปนะครับ

นิทานเรื่อง ฝ้ายกับคราม

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณยายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลักเล็ก  ๆ กับหลานชายหญิงสองคนที่กำพร้าพ่อแม่  แม้คุณยายจะมีฐานะไม่สู้ดีนัก  แต่เพราะความรักที่มีต่อหลาน คุณยายจึงอดทนทำไร่ทำนาและใช้เวลาว่างทอผ้าขาย เพื่อหาเงินดูแลชีวิตน้อย ๆ ทั้งสองให้อยู่ดีมีสุขเท่าที่กำลังของคุณยายจะมี

หลานสาวคนโตของคุณยายมีชื่อว่า “ฝ้าย”   ส่วนหลานชายมีชื่อว่า “คราม”  คุณยายตั้งชื่อหลานตามชื่อผ้าฝ้ายย้อมครามซึ่งเป็นงานที่คุณยายรักและได้เรียนรู้สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น  นับตั้งแต่สองพี่น้องรู้ความ ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่คุณยายมีให้  เด็กทั้งสองจึงตั้งใจช่วยงานคุณยายทุกอย่าง โดยฝ้ายขอเรียนวิธีทอผ้าจากคุณยายตั้งแต่เธออายุได้เพียง 8 ขวบ  ส่วนครามรับอาสาดูแลหม้อครามที่คุณยายใช้หมักใบครามเพื่อทำสีย้อมผ้า ซึ่งถือว่าเป็นงานยากแต่สำคัญ โดยเด็กน้อยตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ในขณะที่ฝ้ายตั้งใจเรียนรู้วิธีการทอผ้า  ครามก็ศึกษาวิธีดูแลหม้อครามด้วยความเอาใจใส่ ทุกวัน ฝ้ายมักเห็นน้องชายพูดคุยกับหม้อครามแล้วหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีจนฝ้ายอดแปลกใจไม่ได้  แต่การมีความสุขในสิ่งที่ทำเป็นเรื่องที่ดีแล้ว  ฝ้ายจึงไม่ได้เข้าไปสอบถามอะไร  ซึ่งหลังจากที่เด็กทั้งสองทำหน้าที่ของตัวเองด้วยหัวใจ สามปีต่อมา ฝ้ายก็ทอผ้าได้เก่งขึ้น ส่วนครามก็ดูแลหม้อครามได้ดีจนน้ำครามในหม้อให้สีที่สวยจนคุณยายเอ่ยปากชม

แม้คุณยายกับหลาน ๆ จะทุ่มเททอผ้าย้อมครามอย่างเต็มกำลัง แต่เนื่องจากงานทอผ้าเป็นงานฝีมือที่มีคนเก่ง ๆ ทอขายอยู่ไม่น้อย ผู้ซื้อจึงมักซื้อผ้าทอจากกลุ่มทอผ้าที่มีผลงานดีและมีชื่อเสียง ผ้าทอย้อมครามของคุณยายกับหลาน ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก จึงขายได้ยาก  ทั้ง ๆ ที่เป็นผลงานที่มีคุณภาพไม่แพ้กัน

คุณยายพยายามหาช่องทางในการขายด้วยการพาหลาน ๆ ไปจัดร้านขายผ้าร่วมกับหน่วยงานของราชการ  แต่เนื่องจากลายผ้าของคุณยายเป็นลายแบบโบราณที่แทบไม่แตกต่างจากผ้าทอของร้านอื่น ๆ  คนที่มาเที่ยวงานจึงมักเดินผ่านไปโดยไม่มีใครซื้อผ้าของคุณยายเลย

ฝ้ายกับครามเห็นคุณยายมีสีหน้าเศร้า ๆ จึงนึกห่วงและคิดว่าพวกเขาควรทำอะไรสักอย่าง ฝ้ายกับครามสังเกตว่า นอกจากลวดลายแบบโบราณแล้ว ผ้าของบางร้านมีการออกแบบลายที่ดูแปลกตา, บางร้านมีวิธีการย้อมผ้าที่ให้สีไม่เหมือนร้านอื่น และบางร้านมีการแปรรูปผ้าฝ้ายย้อมครามให้กลายเป็นสินค้าที่หลากหลาย เช่น เสื้อผ้า, กระเป๋าหรือสมุดบันทึก  ฝ้ายกับครามรู้สึกเหมือน ๆ กันว่า เมื่อผ้าหรือสินค้าของร้านใดมีความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ ลูกค้าก็จะจดจำร้านนั้นได้ง่ายกว่า และดูเหมือนว่าร้านเหล่านั้นจะมีลูกค้าเข้าไปซื้อของแทบจะไม่ขาดสาย

การสังเกตของเด็กทั้งสองทำให้ทั้งคู่ตั้งใจที่จะปรับปรุงผ้าทอย้อมครามของคุณยายให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น  ฝ้ายกับครามนั่งพิจารณาผ้าทอของคุณยาย แล้วทั้งคู่ก็ลงความเห็นเหมือน ๆ กันว่า ฝีมือการทอและสีสันของผ้าที่คุณยายทำงดงามไม่แพ้ใครอยู่แล้ว หากมีการทำลวดลายใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำใคร  ผู้คนก็น่าจะหันมาสนใจมากกว่าที่เป็นอยู่  ฝ้ายกับครามจึงตกลงกันว่าจะทำผ้าผืนตัวอย่างให้คุณยายช่วยแนะนำ โดยฝ้ายให้ครามเป็นคนคิดลาย ส่วนฝ้ายจะเป็นคนมัดลายและทอผ้า

หลังจากครามได้รับมอบหมายหน้าที่ เขาก็เฝ้าครุ่นคิดถึงลวดลายที่เหมาะสม ครามคิดไปคิดมาอยู่หลายวัน  จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ในขณะที่เขาดูแลหม้อครามและคุยเรื่องที่คาใจให้หม้อครามฟัง  จู่ ๆ เด็กน้อยก็มองเห็นฟองในหม้อครามหม้อหนึ่งดูคล้ายกับภาพของสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ทำให้เขาอ้าปากค้างด้วยความดีใจ 

ครามรีบวิ่งไปหาพี่สาว แล้วบอกพี่สาวว่า “พี่ฝ้าย เรามาทำผ้าทอเป็นลายไดโนเสาร์กันดีไหม ลายไดโนเสาร์อาจดูเป็นลายใหม่ แต่ไดโนเสาร์เป็นสัตว์ยุคเก่า เพราะฉะนั้นก็น่าจะเข้ากับผ้าที่เป็นภูมิปัญญาโบราณได้เป็นอย่างดี แถมบ้านเรายังอยู่ในถิ่นที่เคยมีไดโนเสาร์มาก่อน ลายไดโนเสาร์จึงน่าจะเป็นลายเอกลักษณ์ที่เหมาะกับเรามากที่สุด”    

ทันทีที่ได้ฟัง  ฝ้ายก็พลอยตื่นเต้นและเห็นด้วยกับน้อง  เด็กหญิงผู้พี่จึงรีบวาดลายไดโนเสาร์แล้วมัดลายทอผ้าด้วยทักษะที่ได้ฝึกฝน ซึ่งหลังจากนั้นราว 1 เดือน ผ้าย้อมครามลายไดโนเสาร์ผืนแรกก็เสร็จสมบูรณ์ และสองพี่น้องก็นำผ้าทอลายไดโนเสาร์ไปขอความเห็นจากคุณยายที่พวกเขารัก

เมื่อคุณยายทราบความตั้งใจดีของหลานและได้เห็นผ้าลายไดโนเสาร์ที่ดูประณีตและไม่ซ้ำใคร  คุณยายก็ยิ้มน้อย ๆ  พร้อมกับพยักหน้าอนุญาตให้หลานใช้ลายไดโนเสาร์เป็นลายเอกลักษณ์ในการทอผ้าได้ แต่คุณยายขอให้หลาน ๆ ทอผ้าลายโบราณไปด้วย เพื่อเป็นการอนุรักษ์งานแบบดั้งเดิมเอาไว้

หลังจากที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันและเริ่มโครงการทอผ้าลายเอกลักษณ์ได้สักพัก  ผ้าทอย้อมครามลายไดโนเสาร์ก็กลายเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วทุกสารทิศ ไม่นานนัก คุณยายกับหลาน ๆ ก็มีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น  และแล้ว…เรื่องราวก็จบลงอย่างมีความสุขพร้อม ๆ กับการเริ่มต้นของตำนานผ้าทอย้อมครามลายไดโนเสาร์ ที่เกิดจากสองพี่น้องผู้เป็นที่รักของคุณยายสุดหัวใจ.

#นิทานนำบุญ

…………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ครอบครัวตัวแสบ

ในสมัยเด็ก ๆ แถวบ้านของผมรายล้อมไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่เต็มไปหมด บ่อยครั้งที่ครอบครัวของเราต้องอดทนกับเสียงเคาะเหล็กและกลิ่นสารเคมีที่ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ ๆ บ้าน มลภาวะที่อยู่รอบ ๆ ตัวเป็นเรื่องที่ชวนให้อึดอัดมาก ผมไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ดังนั้น ผมจึงรวบรวมความทรงจำที่ไม่ดีเหล่านั้น มาแต่งนิทานที่มีข้อคิดเรื่องนี้ หวังว่า ผู้อ่านจะชอบนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง ครอบครัวตัวแสบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ผู้คนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน  ด้วยเหตุนี้  ชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้านจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุขมาโดยตลอด  

วันหนึ่ง  มีพ่อมดแปลกหน้าพาครอบครัวมาขอซื้อที่ดินเพื่อพำนักพักอาศัยในหมู่บ้าน  เมื่อชาวบ้านเห็นว่าพ่อมดกับภรรยามีลูกเล็ก ๆ หลายคน  ชาวบ้านจึงสงสารและยอมแบ่งขายที่ดินให้ 

หลังจากที่พ่อมดย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านได้ไม่นาน ครอบครัวของพ่อมดก็สร้างปัญหาจนชาวบ้านอยู่กันไม่เป็นสุข 

เริ่มจากพ่อมดที่ตั้งหน้าตั้งตาต้มยาในหม้อใบใหญ่แล้วปล่อยให้ควันไฟกับกลิ่นของยาลึกลับเหม็นคลุ้งฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ส่วนภรรยาของพ่อมดก็ชอบเอาขยะไปทิ้งที่หน้าบ้านของคนอื่นหรือไม่ก็สุมซากจิ้งจก, ตุ๊กแก, งู, หนู,  ค้างคาว ฯลฯ เอาไว้ที่หน้าบ้านของตัวเอง จนกองขยะหน้าบ้านของนางกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคสารพัดชนิด  ฝ่ายเด็ก ๆ ลูกของพ่อมดก็เอาแต่ทะเลาะด่าทอกัน รวมทั้งส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นทั้งวันทั้งคืนทำให้ชาวบ้านเดือนร้อนกันไปทั่ว

เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์  ชาวบ้านต่างพยายามอดทนต่อพฤติกรรมของครอบครัวพ่อมด จนพวกเขาทนต่อไปอีกไม่ไหว   ชาวบ้านทั้งหลายจึงตัดสินใจตักเตือนครอบครัวของพ่อมดและขอร้องให้พวกเขาเลิกการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ เสีย

ครั้นเมื่อพ่อมด, ภรรยาและลูก ๆ ได้ฟังถ้อยคำของเหล่าชาวบ้าน  แทนที่ครอบครัวพ่อมดจะสำนึกผิด  พวกเขากลับโกรธชาวบ้านที่มาวุ่นวายกับชีวิตของพวกเขา  พ่อมดบอกกับชาวบ้านว่า ในเมื่อเขาซื้อที่ดินและปลูกบ้านอย่างถูกต้อง  ดังนั้น เขาจึงมีสิทธิ์ทำอะไรที่บ้านของเขาก็ได้โดยไม่ต้องสนใจใคร ๆ อีก   

ชาวบ้านต่างระอาใจในความเห็นแก่ตัวของพ่อมดเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อครอบครัวของพ่อมดยังคงจงใจทำเรื่องน่ารังเกียจต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน  ไม่นานนัก  ชาวบ้านผู้แสนดีทั้งหลายจึงจำใจประกาศขายบ้านและที่ดินของตัวเอง  แล้วแยกย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ในหมู่บ้านอื่น ๆ กันจนหมด

หลังจากที่ชาวบ้านย้ายออกไปจากหมู่บ้านจนไม่เหลือแม้แต่ครอบครัวเดียว  ครอบครัวพ่อมดจึงจัดงานฉลองความร้ายกาจของตนเองอย่างสนุกสนาน  พ่อมดดีใจที่ชาวบ้านเรื่องมากทั้งหลายทนอยู่ในหมู่บ้านต่อไปไม่ไหว  และแล้ว…ครอบครัวสุดแสบของเขาก็เหมือนกับได้เป็นเจ้าของหมู่บ้านไปโดยปริยาย

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น  ครอบครัวของพ่อมดเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เพราะจู่ ๆ บ้านที่ชาวบ้านประกาศขายก็ถูกซื้อและรื้อถอนไปทีละหลัง  แล้วโรงงานน้อยใหญ่ก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาแทนที่

เมื่อโรงงานต่าง ๆ เริ่มเดินเครื่องจักร  โรงงานเหล่านั้นก็ปล่อยควันพิษสีดำปิ๊ดปี๋ออกมาจนคละคลุ้งไปหมด นอกจากนี้  เสียงเครื่องจักรทำงานยังทำให้ครอบครัวของพ่อมดรำคาญจนอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข  หนำซ้ำ…โรงงานทั้งหลายยังเอาขยะมากองสุม ๆ จนเป็นแหล่งรวมของหนู, แมลงวันและเชื้อโรคสารพัดชนิด

พ่อมดโมโหพวกเจ้าของโรงงานมาก  แต่เมื่อพ่อมดไปโวยวายให้เจ้าของโรงงานหยุดสร้างความรำคาญ  เจ้าของโรงงานทั้งหลายกลับตอบพ่อมดว่า ในเมื่อพวกเขาซื้อที่ดินและสร้างโรงงานอย่างถูกต้อง  ดังนั้น พวกเขาจึงมีสิทธิ์ทำอะไรที่โรงงานของพวกเขาก็ได้โดยไม่ต้องสนใจใคร ๆ อีก   

พ่อมดถึงกับหน้าชาเมื่อได้ฟังคำตอบเหล่านั้น  เพราะคำพูดของเจ้าของโรงงานเป็นคำพูดที่เขาเคยพูดกับชาวบ้านเมื่อครั้งที่ชาวบ้านมาขอให้เขาเลิกก่อความรำคาญนั่นเอง

พ่อมดเพิ่งตระหนักว่าเวรกรรมนั้นมีจริง แถมยังตามมาสนองได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ 

แม้พ่อมดจะรู้สึกสำนึกผิด   แต่เมื่อเขาพยายามไปขอซื้อที่ดินผืนใหม่ในหมู่บ้านอื่น ๆ เพื่อย้ายบ้านหนีจากโรงงานทั้งหลาย  ชาวบ้านในหมู่บ้านต่าง ๆ กลับพากันปฏิเสธเพราะเกรงว่าครอบครัวตัวแสบของพ่อมดจะเข้าไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่พวกเขาอีก  

ในที่สุด ครอบครัวของพ่อมดจึงจำใจต้องกลับมาทนรับกรรมอยู่ในหมู่บ้านแห่งเดิมโดยพวกเขาต้องผจญกับควันพิษ, เสียงรบกวนและขยะที่เน่าเหม็นต่อไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

#นิทานนำบุญ

…………………………………