Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เม่นน้อยกับโยคี

นิทานเรื่อง “เม่นน้อยกับโยคี” เป็นนิทานทดลอง ซึ่งผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้แรงบันดาลใจในการแต่งมาจากหนังสือชื่อ “จินตนาการไม่รู้จบ” หรือ “The Neverending Story”  ซึ่งในฉบับแปลเป็นภาษาไทยมีการกล่าวถึงการใช้ “หมึกสองสี” ในการพิมพ์หนังสือ   ความคิดเรื่องการใช้หมึกสองสีในการพิมพ์หนังสือ ทำให้ผมนึกสนุก อยากแต่งนิทานที่ใช้หมึกสองสีบ้าง จึงเริ่มแต่งนิทานเรื่องใหม่ จนได้นิทานก่อนนอนเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์เรื่อง “เม่นน้อยกับโยคี” ขึ้นมา   นิทานเรื่องนี้ใช้หมึกสีแดงเล่าเรื่องในส่วนของเม่น  ใช้หมึกสีน้ำเงินเล่าเรื่องในส่วนของโยคี  แต่เมื่อเรื่องราวมาบรรจบกัน สีของหมึกก็เปลี่ยนเป็นสีผสมระหว่างแดงกับน้ำเงิน กลายเป็นสีม่วง  หวังว่านิทานเรื่องนี่้จะเป็นนิทานจะทำให้หลาย ๆ คนยิ้มกับความซนของนักเขียนนิทานคนนี้นะครับ  ขอให้มีความสุขในการอ่านครับ Continue reading “เม่นน้อยกับโยคี”

Posted in Uncategorized

นำบุญในแพรวสุดสัปดาห์

เมื่อปี 2536  สมัยที่ผมยังเรียนอยู่ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  นิตยสาร สุดสัปดาห์ได้มาสัมภาษณ์ผม หลังจากที่ผมได้รางวัลที่ 1 จากการประกวดรูปแบบรายการโทรทัศน์ ในโครงการสร้างฝันกับกันตนา  และนี่คือบทสัมภาษณ์ครับ Continue reading “นำบุญในแพรวสุดสัปดาห์”

Posted in Uncategorized

พี่เสือและดอกไม้

จุดเริ่มต้นของนิทานเรื่อง “พี่เสือและดอกไม้”  เกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดที่สุด!  ผมยังจำได้ว่า ในวันที่ผมเริ่มคิดนิทานเรื่องนี้เพื่อเขียนส่งนิตยสารขวัญเรือน ตอนแรกผมนึกแนวเรื่องที่อยากเขียนไม่ออก  แต่จู่ ๆ ผมก็หันไปเห็นหนังสือเรื่อง “ผีเสื้อและดอกไม้” ของคุณนิพพาน  ซึ่งเป็นหนังสือที่งดงามมากเล่มหนึ่ง  วันนั้น ผมนึกสนุก อยากท้าทายตัวเอง จึงนำชื่อหนังสือเรื่องผีเสื้อและดอกไม้ มาปรับเป็น “พี่เสือ” และดอกไม้   จากนั้น ถึงได้เริ่มคิดเนื้อเรื่องของนิทาน  นิทานเรื่องนี้จึงเป็นนิทานหนึ่งในน้อยเรื่อง  ที่มีจุดเริ่มต้นจาก “การตั้งชื่อเรื่อง” ไม่ได้เริ่มจากการตั้งแก่นเรื่อง หรือคิดเนื้อเรื่อง แล้วค่อยมาตั้งชื่อทีหลัง  (ซึ่งถือว่าแปลก)    อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แต่งนิทานเรื่องนี้เสร็จแล้ว และได้ตีพิมพ์  ปรากฏว่า หลาย ๆ คนกลับชอบนิทานเรื่องนี้มาก  ดังนั้น ผมจึงนำนิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ เรื่องนี้มาให้ทุกท่านได้อ่านกันในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ซึ่งหวังว่าจะเป็นนิทานอีกเรื่องที่ทำให้ทุกคนมีความสุขนะครับ Continue reading “พี่เสือและดอกไม้”

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่องพิเศษ : บ่างบิน

นิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ เรื่อง “บ่างบิน” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ)  แต่งขึ้นเพื่อแสดงความรักที่ผมมีต่อชาวไทใหญ่  (ซึ่งเกิดขึ้นจากตอนที่ผมมีโอกาสไปนอนวัดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนพร้อมกับพ่อครูมาลา คำจันทร์ และทำให้ได้รับรู้เกี่ยวกับชีวิตของเณรชาวไทใหญ่ที่นั่น)  นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมนำวัฒนธรรมของชาวไทใหญ่ (ในช่วงก่อนบวช) มาแต่งเป็นนิทานแนวผจญภัยแบบแฟนตาซีพื้นบ้าน เพื่อส่งเสริมเรื่องความกตัญญู  (เรียกว่า นิทานลูกยอดกตัญญูก็ได้นะครับ)  ซึ่งหวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานก่อนนอนเรื่องยาว ๆ ที่ถูกใจทุก ๆ คนนะครับ   ท้ายนี้ ผมขอขอบคุณภาพถ่ายเด็กชาวไทใหญ่ที่กำลังเล่น “บ่างบิน”  ซึ่งนำมาจากภาพถ่ายของพ่อครู มาลา คำจันทร์  และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ครับ  ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ

79618370_162348528499624_350701972552155136_n

นิทานเรื่อง บ่างบิน


นานมาแล้ว ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาแสนไกล ยังมีหญิงสาวผู้หนึ่งชื่อว่า “นางแสงฟ้า” 
แม้นางแสงฟ้าจะยากจนและยังคงเป็นโสด แต่นางกลับมีลูกชายถึง 7 คน ซึ่งลูกทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้าที่นางรับมาดูแลด้วยความเมตตาทั้งสิ้น 
 
ลูกทั้ง 7 คนที่นางแสงฟ้านำมาเลี้ยงเป็นเด็กดีและรักแม่ทุกคน พวกเขามักช่วยนางแสงฟ้าทำงานต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยลูก 6 คนที่โตกว่าจะออกไปช่วยงานในไร่ในสวน ส่วน “เจ้าบุญ” ลูกคนเล็กจะคอยดูแลงานบ้านต่าง ๆ ตามกำลังที่เด็กอย่างเขาพอจะทำได้
 
ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูบุญ เด็ก ๆ หารือกันว่าพวกเขาอยากทำให้แม่ชื่นใจด้วยการบวชเป็นสามเณร เด็ก 6 คนผู้เป็นพี่จึงบอกให้เจ้าบุญช่วยดูแลแม่ในช่วงที่ทุกคนบวช ส่วนพวกเขาจะตั้งใจศึกษาธรรมเพื่อกล่อมเกลาจิตใจให้ดีสมกับที่ได้เป็นลูกของแม่เมื่อนางแสงฟ้ารู้ว่าลูก ๆ จะบวชเรียน นางจึงมอบผ้าทอแทนความรักให้ลูกคนละผืน (รวมทั้งมอบให้เจ้าบุญด้วย) จากนั้น นางแสงฟ้าก็พาลูกไปฝากไว้ที่วัด เพื่อให้ลูก ๆ ฝึกท่องคำขอบวชกับสามเณรรุ่นพี่เสียก่อน
 
ในช่วงพักเรียน ลูกของนางแสงฟ้าทั้ง 6 คนมักนำผ้าที่แม่ให้มาผูกเอว แล้วถือชายผ้าทั้งสองข้าง วิ่งแข่งกันขึ้นเนินหลังวัดให้ลมตีผ้าจนโป่งพองโดยจินตนาการว่าพวกเขาคือบ่างที่บินได้ ครั้นเมื่อเจ้าบุญเห็นพี่ ๆ เล่น “บ่างบิน” กัน เจ้าบุญก็แอบคิดว่าสักวันเขาจะลอง “บิน” แบบพี่ ๆ บ้างคืนหนึ่ง…ก่อนถึงงานบวช มีคนมาแจ้งให้นางแสงฟ้าทราบว่า ลูก ๆ ของนางแสงฟ้าถูกผีพรายมาลักพาตัวไป บางทีพวกผีอาจได้กลิ่นหอมเนื้อนาบุญ จึงอยากขัดขวางการบวชและอยากจับเด็ก ๆ กินเป็นอาหาร

 

ทันทีที่นางแสงฟ้าได้ฟัง นางก็รีบเดินทางเข้าป่าเพื่อตามหาลูก ๆ นางแสงฟ้าแกะรอยตามลูก ๆ จนรุ่งสาง แต่จนแล้วจนรอด นางก็ตามไม่พบ เมื่อเจ้าบุญเห็นแม่กลับบ้านมาด้วยสีหน้าอมทุกข์ เขาจึงรีบนำข้าวปลาอาหารมาให้แม่กิน แล้วขอให้แม่นอนพักเอาแรงสักหน่อย โดยตัวเขาอาสาจะนวดเท้าที่เลอะขี้ดินขี้เลนให้แม่ก่อนที่แม่จะออกไปตามหาพี่ ๆ อีกครั้ง

เจ้าบุญตั้งใจนวดฝ่าเท้าให้แม่อยู่นานจนนางแสงฟ้าเผลอหลับ ครั้นเมื่อเจ้าบุญเห็นดังนั้น เขาจึงตัดสินใจออกไปตามหาพี่ ๆ แทนแม่ เพราะไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยอีกก่อนออกเดินทาง เจ้าบุญนำผ้าที่แม่ให้ไว้มาคาดเอว จากนั้น เขาก็ย่องลงบันได แล้วใช้มือที่นวดเท้าแม่จุ่มลงไปในอ่างน้ำหน้าบ้าน เจ้าบุญวักน้ำขึ้นลูบหัวลูบหน้าเป็นสิริมงคลก่อนเดินทาง พร้อมกับพนมมือขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้เขาพาพี่ ๆ กลับมาได้เป็นผลสำเร็จ
 
เมื่ออธิษฐานเสร็จ เจ้าบุญก็เช็ดมือที่เปียกน้ำกับชายผ้าที่คาดเอวอยู่ ทันใดนั้น สายลมแรงก็พัดมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยจนทำให้ผ้าที่เจ้าบุญคาดเอวโป่งพอง แล้วเด็กน้อยก็ลอยลิ่วขึ้นฟ้ากลายเป็น “บ่างบิน” ที่บินได้จริง ๆ ราวกับเขามีอิทธิฤทธิ์

สักพักใหญ่ เจ้าบุญก็ร่อนลงตรงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับหนองน้ำซึ่งมีผีพรายหลายตนยืนเฝ้าอยู่ ผีพรายเหล่านั้นเหมือนมองไม่เห็นเด็กน้อยที่บุกรุกเข้าไปในถิ่นของมัน เจ้าบุญแปลกใจจึงรวบรวมสติพลางคิดว่า บางทีอาจเป็นเพราะน้ำที่เขาลูบหัวลูบหน้ามีเศษดินจากเท้าแม่เจืออยู่ มันจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ทำให้เขาลอยขึ้นฟ้าได้และช่วยปกป้องไม่ให้ผีพรายมองเห็นเขา
 
ในขณะที่เจ้าบุญกำลังครุ่นคิดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำอยู่นั้น จู่ ๆ พวกผีพรายก็พาตัวพี่ ๆ ของเจ้าบุญออกมาจากถ้ำเพื่อเตรียมกินเป็นอาหาร เจ้าบุญอยากช่วยพี่ ๆ ให้พ้นจากอันตราย และเขาก็เชื่อมั่นในพลังวิเศษของน้ำที่มีเศษดินจากเท้าแม่ เขาจึงเสี่ยงวิ่งไปที่หนองน้ำ พร้อมกับเอามือที่นวดเท้าแม่จุ่มลงไปในหนองน้ำ จากนั้น ก็กวักน้ำสาดเข้าใส่ผีพรายทั้งหลายทันที
 
แล้วก็เป็นจริงดังคาด เมื่อร่างของผีพรายสัมผัสกับน้ำ พวกมันก็ร้องโอดโอยและร่างของพวกมันก็สลายไปในชั่วพริบตา น้ำที่ผสมกับฝุ่นดินจากเท้าของแม่ช่วยคุ้มครองให้ลูกปลอดภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าบุญดีใจที่เขาจัดการผีพรายได้สำเร็จ เขารีบชวนให้พี่ ๆ ใช้มือจุ่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ แล้วจับชายผ้าคาดเอวกางเป็นปีกบินกลับบ้าน ก่อนที่แม่จะตื่นขึ้นมาและเป็นห่วงพวกเขามากไปกว่านี้
 
ในทีสุด เด็กทั้ง 7 คนก็กลายเป็น “บ่างบิน” บินกลับไปถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหา นางแสงฟ้าดีใจมากที่ลูก ๆ รอดจากเงื้อมมือของเหล่าผีร้ายได้อย่างไม่คาดฝัน เด็กทุกคนก้มกราบเท้าแม่และขอโทษที่ทำให้แม่เป็นห่วง หลังจากนั้น เด็ก ๆ ก็ได้บวชเรียนตามที่ตั้งใจเอาไว้ โดยมีเจ้าบุญคอยดูแลแม่แทนพี่ ๆ ด้วยความรักแม่สุดหัวใจ.
 
#นิทานนำบุญ

………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก, Uncategorized

รีวิว : คุณพ่อนักแปลงกาย

นิทานก่อนนอนหรือหนังสือภาพสำหรับเด็กเกี่ยวกับพ่อหรือความรักของพ่อในเมืองไทยมีไม่มากนัก พี่นำบุญ จึงทดลองแต่งหนังสือเรื่อง “คุณพ่อนักแปลงกาย” เพื่อให้เป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กที่สามารถนำไปใช้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก และทำให้ได้เห็นบทบาทอันสำคัญที่พ่อมีต่อลูก  Continue reading “รีวิว : คุณพ่อนักแปลงกาย”

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

จอมยุทธรสโอชา

นิทานก่อนนอนเรื่อง จอมยุทธรสโอชา

กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนมังกรอันกว้างใหญ่ ยังมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า ‘เหม่ยชิง’

เหม่ยชิงฝันอยากเป็นเจ้ายุทธภพที่ใครต่อใครต่างยอมสยบยกให้เป็นหนึ่ง แต่ด้วยความที่เหม่ยชิงเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ความแข็งแกร่งทางร่างกายจึงไม่อาจเทียบกับผู้ชายได้ การฝึกวิชาหมัดมวย, กระบี่กระบองหรือการต่อสู้ที่ต้องใช้พละกำลังจึงไม่เหมาะกับเธอเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ เหม่ยชิงจึงคิดหาวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด โดยเธอใช้เวลาคิดอยู่นานหลายสัปดาห์ ลงท้าย…เธอก็ตัดสินใจเลือกศึกษาวิชาที่ไม่เคยมีจอมยุทธ์คนใดให้ความสนใจมาก่อน!

หลังจากวันนั้น เหม่ยชิงก็เริ่มฝึกวิชาด้วยการไปช่วยผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านทำอาหารต่าง ๆเมื่อผู้คนซักถาม เหม่ยชิงก็มักตอบไปตามตรงว่า เธอกำลังฝึกวิชาเพื่อเป็นเจ้ายุทธภพในอนาคต

ไม่ว่าใครที่ได้ยินคำตอบของเด็กผู้หญิงตัวน้อยต่างก็พากันหัวเราะในความไร้เดียงสา เพราะการทำอาหารจะเอาชนะวิชาการต่อสู้ต่าง ๆ ได้อย่างไร

เหม่ยชิงรู้ดีว่าสิ่งที่เธอทำอาจดูน่าขันสำหรับคนอื่น แต่กับตัวเธอแล้ว มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่เด็กผู้หญิงอย่างเธอจะเอาชนะและเป็นที่ยอมรับของยอดฝีมือทั้งหลายได้ เหม่ยชิงจึงตั้งใจเรียนรู้วิชาทำอาหารจากทุก ๆ บ้าน, ศึกษาวิธีเลือกวัตถุดิบและเคล็ดลับของแต่ละครัวเรือน รวมทั้งออกเดินทางไปเรียนรู้วิชาในต่างถิ่นแล้วนำมาพลิกแพลงจนกลายเป็นเคล็ดลับประจำตัว

เวลาผ่านไปหลายปี จวบจนกระทั่งวันคัดเลือกเจ้ายุทธภพมาถึง จอมยุทธจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมายังลานประลองฝีมือกันโดยถ้วนหน้า จอมยุทธบางคนเก่งวิชาหมัดมวย, บางคนถนัดการใช้กระบี่หรือดาบ, บางคนเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธแปลกตาสารพัด แต่มีเพียงคนเดียวที่มีอาวุธเป็นกระทะ, ตะหลิว, เครื่องครัวและวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ใช่แล้ว จอมยุทธที่มีเครื่องครัวเป็นอาวุธก็คือสาวน้อยเหม่ยชิงนั่นเอง

เมื่อจอมยุทธคนอื่นเห็นสาวน้อยผู้ที่นำของพะรุงพะรังมาร่วมในงานประลองยุทธ์ (ราวกับจะมาทำกับข้าวนอกสถานที่) ทุกคนจึงมองข้าม แล้วหันหน้าเข้าประลองยุทธ์กับคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีกัน ผู้ที่เก่งดาบก็เลือกสู้กับผู้ที่เก่งดาบ ผู้ที่ถนัดกระบี่ก็เลือกสู้กับผู้ที่ถนัดกระบี่ จอมยุทธที่ถนัดในแต่ละด้านพยายามสู้กันเองเพื่อหาคนที่เก่งที่สุดไปสู้กับยอดฝีมือในด้านอื่นต่อไป   

เมื่อไม่มีใครสนใจประลองฝีมือกับเหม่ยชิง สาวน้อยจึงจัดแจงตั้งโต๊ะทำครัว, เตรียมข้าวของและเครื่องปรุงต่าง ๆ จากนั้น จอมยุทธผู้เชี่ยวชาญในการทำอาหารก็เริ่มใช้ความรู้ทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมา ปรุงอาหารที่เธอคัดสรรมาเป็นอย่างดี

เหม่ยชิงก่อเตาโดยนำไม้ชนิดพิเศษมาทำฟืน ความร้อนที่เกิดจากไม้ชนิดนี้ทำให้เธอควบคุมความร้อนของไฟได้ดังใจปรารถนา ระหว่างที่เหม่ยชิงรอเวลาให้ไฟร้อนได้ที่ เธอก็จัดการหั่นผัก, สับหมู, แล่เนื้อ, หมักไก่ และเตรียมเครื่องปรุงสารพัดชนิดอย่างว่องไวจนตาแทบมองไม่ทัน

ครั้นเมื่อถ่านไม้ร้อนได้ที่แล้ว เหม่ยชิงก็นำกระทะขึ้นตั้งเตา ใส่น้ำมันที่กลั่นจากเมล็ดดอกไม้หอม จนน้ำมันส่งเสียงร้องว่าร้อนจัด เหม่ยชิงก็สาดผัก 7 สีออกจากจานให้พุ่งลงไปในกระทะ ผักสะดุ้งไฟเล็กน้อยแล้วลอยตัวขึ้นสัมผัสกับอากาศด้วยพลังข้อมือของเหม่ยชิงที่ฝึกฝนการทำครัวมาเป็นอย่างดี ทันใดนั้น กลิ่นของผัดผักสายรุ้งก็หอมฟุ้งคลุ้งกระจายไปทั่วทั้งลานประลอง ทำให้จอมยุทธทุกคนท้องร้องจ๊อก ๆ จนไม่มีสมาธิในการประลองฝีมืออีกต่อไป

แม้จอมยุทธหลายคนจะทำเป็นไม่สนใจในกลิ่นหอมของอาหารที่เหม่ยชิงปรุง แต่เมื่อพวกเขาเหลือบมาเห็นความงามของอาหารแต่ละจาน จิตใจของทุกคนก็เริ่มปั่นป่วนกันอีกครั้ง

จอมยุทธบางคนอดใจไม่ได้จึงตัดใจยอมแพ้แล้วรีบมา  ขอชิมอาหารที่ดูน่ากินยิ่งนัก ซึ่งทันทีที่อาหารสัมผัสกับปลายลิ้น เขาก็คุกเข่าลงร้องไห้ด้วยความปลื้มปีติ เพราะนอกจากอาหารที่เหม่ยชิงทำจะมีกลิ่นหอม, หน้าตาชวนรับประทานและมีรสชาติแสนอร่อยแล้ว มันยังทำให้คนที่ได้ชิมรู้สึกถึงรสอาหารที่แม่เคยป้อนตอนเด็ก ๆ ด้วย

น้ำตาของจอมยุทธคนนั้นทำให้จอมยุทธทั้งหลายอดใจไม่ไหวจนอยากลองลิ้มชิมอาหารของเหม่ยชิงบ้าง เมื่อจอมยุทธทุกคนมาขอชิมอาหาร เหม่ยชิงจึงจัดการแบ่งปันให้ทุกคนได้ชิมกันอย่างทั่วถึง

รสชาติของอาหารทำให้จอมยุทธแต่ละคนหวนคิดถึง “รสมือแม่” และทำให้พวกเขาตื้นตันจนไม่อยากประลองฝีมือกันอีก

จอมยุทธคนหนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “วิทยายุทธในการปรุงอาหารของสตรีผู้นี้ยอดเยี่ยมถึงขั้นที่ทำให้พวกเราทุกคนอิ่มเอมใจจนไม่อยากประลองฝีมือกันต่อ ดังนั้น ในปีนี้ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราน่าจะยกตำแหน่งเจ้ายุทธภพให้แก่จอมยุทธผู้มีฝีมือล้ำเลิศผู้นี้กันดีไหม”

จอมยุทธทุกคนมองเหม่ยชิงด้วยแววตาชื่นชม แม้เหม่ยชิงจะไม่มีวิชาการต่อสู้แบบที่ต้องใช้พละกำลัง แต่เธอฉลาดพอที่จะเลือกฝึกวิชาซึ่งเหมาะสมกับตนเอง ทั้งยังเรียนรู้และฝึกฝนได้อย่างแตกฉาน จอมยุทธทุกคนจึงยอมสยบและยกให้เหม่ยชิงเป็นเจ้ายุทธภพ จากนั้น ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านโดยมีรสชาติของอาหารที่แสนวิเศษอบอวลอยู่ในปากและมีความปีติเอ่อล้นอยู่ในหัวใจ

#นิทานนำบุญ

………………………………….