Posted in ข้อคิด, ความรัก, ประสบการณ์ชีวิต, เรื่องเล่า

มนุษย์ใจ

มนุษย์ใจ

ปี 2561
คุณคำติ่ง เพื่อนชาวลาวเจ้าของเรือนพักที่เคยพบกันที่ดอนเดต ประเทศลาว ส่งข้อความมาหาพี่นำบุญ (ซึ่งปกติไม่เคยติดต่อกัน ยกเว้นเจอกันปีละครั้งตอนพี่นำบุญแบกเป้ไปเที่ยวซ้ำๆที่ดอนเดต) คุณคำติ่งเล่าว่า
“คุณยายไม่สบายมาก อาจมีเนื้องอกที่ท้อง แต่ท่านไม่ยอมไปตรวจให้แน่ชัดที่โรงพยาบาลในเวียงจันทน์ ยกเว้นถ้าพี่นำบุญไปเวียงจันทน์ คุณยายถึงจะยอมไป เพราะท่านบ่นคิดถึงพี่นำบุญ”
………..
ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญมีความรู้สึกหลายอย่าง
1) คิดถึงคุณยาย เพราะปีหลัง ๆ ที่ไปเที่ยวแล้วแวะทักคุณยาย คุณยายจะเล่าให้ฟังว่า “ถ่ายไม่ออกเลย ออกมานิดเดียว ทรมาน ปวดหลังไปหมด” พี่นำบุญยังจำได้ว่าปีแรก ๆ ที่ไปดอนเดต เคยพักที่เรือนพักของคุณยาย คุณยายเห็นมาคนเดียว เลยชวนกินข้าวเหนียวกับน้ำพริก เวลาไปดอนเดตแต่ละปี ถ้าพี่นำบุญขี่จักรยานผ่าน ก็จะแวะเยี่ยมคุณยายเสมอ บางทีก็ไปนวดหลังให้ (บ้าเนอะ) บางทีก็แวะคุยคลายเหงา หรือบางทีก็เอายาพวกจุลลินทรีย์ที่ช่วยเรื่องขับถ่ายไปให้ ถ้าพูดตามจริง พี่นำบุญกับคุณยายไม่ได้ผูกพันกันมาก แต่ทุกครั้งที่พบและแวะคุย ก็เพราะรู้สึกว่า การทำให้ผู้สูงอายุยิ้มได้หรือมีความสุขขึ้นอีกนิด ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็นอะไร ทำเพราะอยากทำให้ ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ
……
2) ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของการทำวิทยานิพนธ์ ป.โท ช่วงนั้น ทำวิจัยหนักมาก ทำทั้งวัน ทั้งการสัมภาษณ์และเขียนตัวเล่ม การเดินทางในช่วงนั้น จึงเสี่ยงที่อาจทำให้ไม่จบป.โทตามเวลาที่ตั้งไว้
……
3) ตอนอ่านข้อความ พี่นำบุญกลัวโดนหลอก! บทเรียนที่ได้จากการช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ “กลัวการเป็นคนดี” ช่วงนั้นคือกลัวมาก ระวังตัวมาก เพราะใจคนเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ ส่วนคุณคำติ่ง ก็ได้เจอกันราวปีละครั้ง จำความดีของเขาได้ว่า เขาเคยชวนพี่นำบุญกินกาแฟที่ร้านโดยไม่คิดเงิน คือเขากับภรรยาถือว่่าเป็นคนมีน้ำใจ (แต่ถึงอย่างนั้น พี่นำบุญก็ยังไม่กล้ามั่นใจ)
…..
แต่พอเลิกใช้สมองคิด แล้วกลับมาใช้หัวใจ พี่นำบุญก็บอกกับตัวเองว่า “ไปเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ แต่ตอนนี้ เราควรไป เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งกับคนป่วยและญาติ ๆ ที่ดูแล
……….
ก่อนการเดิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ร่างกายพี่นำบุญแย่มาก (เพราะโหมงานแทบไม่ได้พัก) แถมวันก่อนบิน ท้องก็ดันเสียทั้งคืน ถ่ายจนรู้สึกว่า…อีกครั้งเดียวต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว มันเจ็บมาก เจ็บจนรู้สึกว่าควรไปได้แล้ว จะซื้อยาแก้ท้องเสียมากินเองก็ลำบาก เพราะแพ้ยาปฏิชีวนะหลายตัว กินแล้วผิวไหม้เหวอะ ถ้าไปนอนโรงพยาบาล พรุ่งนี้ก็คงไม่ได้เดินทาง (แต่คุณยายกำลังเดินทางไปเจอกันที่เวียงจันทน์นะ เราจะผิดสัญญาเหรอ) คืนนั้น พี่นำบุญเลยอดทนจนรุ่งเช้า ตื่นมาก็อัดยาแก้ท้องเสียพวกอุลตร้าคาร์บอน คิดในใจว่า คุณยายหนักกว่าเราเยอะ ลองลุยดู ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ระหว่างทางค่อยหาหมอ (แต่ก็รู้ว่า เรื่องท้องเสีย…มันมีโอกาสพุ่งได้ตลอดเวลา ภาวะตอนนั้นมันน่ากลัวจริง ๆ)
………
การเดินทางจากบ้านที่สำโรง ไปดอนเมือง ใช้เวลาไม่น้อย และจากอุดรข้ามไปเวียงจันทน์ก็ใช้พลังงานและความอดทนอย่างที่สุด วันนั้น ร่างกายพี่นำบุญโทรมสุด ๆ แต่เพราะคำสัญญา พี่นำบุญจึงอดทนข้ามฝั่งไปจนได้
……..
เมื่อถึงที่พัก พี่นำบุญรีบเข้าห้องน้ำ อัดยา แล้วติดต่อคุณคำติ่งว่ามาถึงแล้วนะ สักพัก คุณคำติ่งก็มารับพาไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลมะโหสด ตอนนั้น พี่นำบุญสาบานได้ว่า ข้างในร่างกายของพี่นำบุญมันเหนื่อยแบบที่สุด อยากพักที่สุด ไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาล (ที่เหมือนย้อนเวลาไป 20 ปี) และเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้าคนป่วย พอมองตาคุณยาย เห็นสีหน้าคุณยาย (ที่กินไม่ได้มาหลายวัน) พี่นำบุญก็ต้องทำตัวสดชื่นสดใสมาก ๆ เพื่อให้กำลังใจคุณยายที่นอนรออยู่ (ฝีมือการแสดงดีไหมครับ)

48394269_10216025598305995_2895380996335599616_n
………
พี่นำบุญอยู่ส่งกำลังใจให้คุณยายจนเย็น (ราว 3-4 ชั่วโมง นานมาก) พอกลับมาที่พัก ท้องก็ทรง ๆ ไม่น่ากลัวมากอย่างที่คิด คืนนั้น พี่นำบุญเดินเล่นนิดหน่อยแล้วกลับมานอน หลับแบบคนหมดสภาพ หมดจริง ๆ รู้ตัวว่า ควรรีบกลับมาฝั่งไทย เพราะเผื่อท้องเสียอีกมันอาจจะทนไม่ไหวแล้ว (ไม่อยากเข้าโรงพยาบาลฝั่งลาว)……
เช้าวันต่อมา ท้องที่ดูเหมือนจะสงบลง ก็เริ่มมีอาการอีก พี่นำบุญกัดฟันไปถ่ายรูปวัดสีสะเกด เพื่อถ่ายรูปพระตามที่ตั้งใจไว้ พี่นำบุญถ่ายไป เหงื่อตกไป เพราะอากาศอบอ้าว ร่างกายยังไม่ฟื้น และท้องเริ่มปั่นป่วน พอถ่ายไปได้ครึ่งวัด ข้าศึกก็บุก เป็นกองทัพที่โหดเหี้ยม ถึงขั้นต้องขอทิชชู่จากพนักงานสาว (อายมาก เขาให้ 2 แผ่น พี่นำบุญบอกไม่พอ ขอทั้งม้วนเถอะ ข้าศึกดุมาก) จากนั้น ก็วิ่งเข้าห้องส้วมของวัดที่น่ากลัวพอสมควร
……
หลังออกจากส้วม ร่างกายของลุงแก่ ๆ ก็หมดสภาพจริงจัง ขาเปลี้ย หน้าซีด พี่นำบุญต้องรีบหาน้ำอัดลมดื่ม นั่งพัก ไม่งั้นช็อค แต่ยังซ่าขอถ่ายรูปพระอีกนิด ฝืนจนไม่รู้จะฝืนยังไง แล้วรีบกลับที่พักเพื่อเช็คเอ้าท์
…….
เช็คเอ้าท์เสร็จ ตีรถข้ามมาฝั่งไทย แล้วนั่งรถตู้มาที่อุดร (เขียนน้อยแต่ไกลนะ หลายชั่วโมง) แล้วพุ่งตรงมาที่โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร บอกเขาว่าขอแอดมิด ไม่ไหวแล้ว
…..
คืนนั้น พี่นำบุญนอนโรงพยาบาลคนเดียว (การเฝ้าตัวเองเป็นเรื่องปกติ) ตอนเช้าตามข่าวคุณยาย คุณคำติ่งแจ้งข่าวอาการป่วย ว่าเป็นจริงอย่างที่คิด คือ คุณยายเป็นมะเร็ง แล้วมะเร็งมันไปอุดช่องทางเดินอาหาร เลยมีผลต่อการขับถ่ายและการกินอาหาร
…..
ตอนฟังข่าว พี่นำบุญไม่พูดอะไร หน้าที่ของเราคือการฟัง ฟังการคิดและการตัดสินใจของลูก ๆ หลาน ๆ วันนั้น พี่นำบุญนอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาล ร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ ใจก็ห่วงทั้งคุณยายและคุณคำติ่ง รวมทั้งลูก ๆ หลาน ๆ ของคุณยาย ในที่สุด พี่นำบุญก็ได้ฟังความคิดของคุณคำติ่งว่า “ทุกคนอยากสู้และดูแลคุณยายให้ดีที่สุด”
……
คนที่ไม่เคยเจอ “ทางตัน” ในชีวิต ไม่มีทางรู้หรอกว่า ภาวะตรงนั้นมันหนักหนาขนาดไหน เมื่อญาติผู้ป่วยตั้งใจจะสู้ พี่นำบุญจึงเต็มใจจะช่วยให้ถึงที่สุด แม้ช่วยได้ไม่มาก แต่ก็อยากช่วยเพื่อเป็นกำลังใจให้ญาติผู้ป่วยรู้ว่า พวกเขาไม่ได้สู้อยู่ตามลำพัง
…..
วันนั้น พี่นำบุญถ่ายคลิปตัวเองพูดทั้ง ๆ ป่วย ๆ อยู่ เพื่อขอความรู้จากเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอหรือพยาบาลแล้วเอาลงในเฟสบุ้คส่วนตัว จากนั้น ก็โทรหาโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านมะเร็งที่อุดร เพื่อสอบถามข้อมูลแทนคุณคำติ่ง เพราะการเป็นคนต่างชาติ ทำให้ไม่สะดวกนักที่ต้องโทรคุยด้วยตัวเอง (พี่นำบุญบอกตัวเองตลอดเวลาว่า หน้าที่ของเราซึ่งเป็นคนนอกครอบครัว ทำได้เพียงสนับสนุนและให้กำลังใจ ไม่เข้าไปก้าวก่าย ไม่ไปตัดสินใจแทน แต่อยู่แถว ๆ นั้น และพร้อมช่วยเหลือตามกำลัง)……
สรุปคือ เหตุการณ์วันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่….ถึงจะยากลำบากแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่พี่นำบุญก็อิ่มใจ ที่ชีวิตของตัวเอง (ที่อาจไม่มีค่าสักเท่าไหร่) พอจะทำประโยชน์ให้กับใคร ๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะกับคนที่มีหัวใจดี ๆ อย่างคุณคำติ่ง ที่ยืนยันว่า เขาอยากสู้เพื่อดูแลคุณยายให้ดีที่สุด
……
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น คุณยายเข้าผ่าตัดและสอดท่ออาหารให้ทางหน้าท้อง จากนั้น คุณยายก็ได้กลับบ้านที่ดอนเดต ด้วยสีหน้าที่สดใส โดยมีคุณคำติ่งและลูกหลานคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
…..
แม้หลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณยายจำเป็นต้องเดินทางไกลด้วยกฏธรรมชาติ แต่อย่างน้อย คุณยายก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ “ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข” ของลูกหลานที่คอยดูแลจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
….
ขอบพระคุณคุณยายและคุณคำติ่ง รวมทั้งครอบครัว ที่ให้โอกาสพี่นำบุญได้สัมผัสกับความงดงามในใจของมนุษย์อีกครั้ง และได้เห็นคุณค่าที่ตัวเองพอจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้
……..
ปีที่แล้ว เป็นปีแรกในรอบ 8-9 ปีที่พี่นำบุญไม่ได้ไปดอนเดต เพราะร่างกายไ่ม่ไหว (การเดินทางไม่สะดวกสบายนัก) แต่ปีนี้ พี่นำบุญจะพยายามไป อยากกลับไปดินแดนที่พี่นำบุญเรียกว่า “สวรรค์” และตั้งใจจะไปกราบลาคุณยายด้วยตัวเอง

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.