Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายใฝ่ทำดี

ในสมัยที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ทำหนังสือรวมนิทานเล่มแรกเพื่อจำหน่ายในชื่อหนังสือ “นิทานเจ้าชาย นิยายเจ้าหญิง” นิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าชายใฝ่ทำดี เป็นนิทานก่อนนอนเรื่องสั้น ๆ เรื่องแรก ที่ผมเลือกนำมาพิมพ์ โดยจัดเรียงให้อยู่เป็นนิทานเรื่องที่หนึ่งของหนังสือเล่มนั้น ทำไมนิทานเรื่องนี้จึงได้รับเลือกให้เป็นนิทานในเล่มและเป็นนิทานเรื่องแรก คำตอบก็คือ นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่มีข้อคิดสอนใจที่ดีสำหรับเด็กทุกคน ทั้งที่เรียนเก่งและเรียนไม่เก่ง ส่วนเนื้อเรื่องถือว่ามีความสนุกพอที่จะใช้เป็นนิทานเรื่องแรกของเล่ม และเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายคล้ายเป็นนิทานอุ่นเครื่องก่อนที่จะอ่านนิทานเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ผมหวังว่านิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่ถูกใจทุก ๆ คนนะครับ

นิทานเรื่อง  เจ้าชายใฝ่ทำดี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งชื่อว่า “อาณาจักรเชฟ”   พระราชาผู้ครองนครแห่งนี้ทรงเป็นพระราชาผู้เก่งกาจ  ส่วนพระราชินีก็เป็นพระราชินีที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา   ด้วยเหตุนี้  ผู้คนชาวเชฟจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสุข

เมื่อพระราชินีทรงให้กำเนิดพระโอรส  ไพร่ฟ้าประชาชนจึงพากันคาดหวังว่า  เจ้าชายองค์น้อยจะเติบโตขึ้นเป็นเจ้าชายผู้ชาญฉลาดและมีความสามารถไม่แพ้พระบิดา   แต่หลังจากที่เจ้าชายเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน   ความหวังของประชาชนก็ค่อย ๆ ริบหรี่ลง  เพราะเจ้าชายทรงไม่แตกฉานในด้านการศึกษา  โดยพระองค์มักจะสอบได้เป็นที่สุดท้ายของห้องอยู่เสมอ ๆ

 ข่าวคราวความไม่เอาถ่านของเจ้าชายทำให้พระราชาแห่งเมืองต่าง ๆ ที่เคยพ่ายแพ้ต่อพระราชาแห่งอาณาจักรเชฟเริ่มมีความหวัง  พระราชาแห่งเมืองต่าง ๆ พากันสะสมกำลังพลและเฝ้ารอวันที่เจ้าชายจะขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระบิดา  โดยพระราชาที่คิดร้ายเหล่านั้นต่างมีความเห็นคล้าย ๆ กันว่า  การเอาชนะเจ้าชายผู้โง่เขลาคงทำได้ง่ายกว่าการเอาชนะพระบิดาซึ่งเป็นพระราชาที่ทรงปรีชาสามารถ

ชาวเมืองเชฟพากันหวาดหวั่นเมื่อทราบข่าวการสะสมกำลังพลของฝ่ายศัตรู   ส่วนตัวเจ้าชายเองก็ทรงตระหนักดีถึงภาระที่พระองค์ต้องแบกรับเอาไว้   การเป็นเจ้าชายที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และมันก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากขึ้นไปอีก  เมื่อทุก ๆ คนต่างคาดหวังให้เจ้าชายดีเลิศเช่นเดียวกับพระบิดาของพระองค์   เจ้าชายทรงกลุ้มพระทัยมาก  ดังนั้น   พระองค์จึงนำเรื่องไปปรึกษาพระมารดาที่พระองค์รักแสนรัก

พระราชินีทรงเห็นใจพระโอรสมาก  พระองค์ไม่อยากให้เจ้าชายต้องทุกข์ใจอยู่เช่นนี้   พระราชินีจึงปลอบเจ้าชายว่า  “แม้ความรู้จะเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ความดีเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า   แม่รู้ว่าลูกของแม่เรียนหนังสือไม่เก่ง  แต่ลูกของแม่ก็มีสิ่งวิเศษติดตัวอยู่  นั่นก็คือ…ลูกเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงาม  ซึ่งแม่เชื่อว่า หากลูกยึดมั่นในการทำดีต่อทุก ๆ คนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ   ผลแห่งความดีก็จะทำให้ลูกสามารถดูแลชาวเมืองเชฟให้อยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างแน่นอน”

เจ้าชายไม่เข้าใจในคำพูดของพระมารดามากนัก  แต่พระองค์ก็ทรงเชื่อและพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของพระมารดาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง  นับจากวันนั้น  เจ้าชายจึงตั้งใจที่จะทำดีต่อคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงเป็นเพื่อนที่ดีของมิตรสหาย  ทรงมีน้ำใจต่อข้าราชบริพาร  รวมทั้งยังคอยเอาใจใส่และช่วยเหลือประชาชนของพระองค์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย   เจ้าชายทรงทำดีต่อทุก ๆ คนอย่างสม่ำเสมอ (เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงเรียนหนังสือไม่เก่งอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง)  และเมื่อถึงวันที่พระองค์ต้องขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา  สิ่งที่ทุก ๆ คนคาดการณ์เอาไว้ก็เกิดขึ้น

กองทัพข้าศึกจากเมืองต่าง ๆ บุกตรงมายังอาณาจักรเชฟทันทีที่ทราบข่าวการขึ้นครองราชย์ของเจ้าชาย   กองทัพฝ่ายข้าศึกต่างมั่นใจว่า พวกเขาจะสามารถเอาชนะเจ้าชายที่เรียนหนังสือไม่เก่งพระองค์นี้ได้อย่างไม่มีปัญหา   แต่แล้ว…สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น  เพราะความดีที่เจ้าชายทรงกระทำต่อทุก ๆ คน กลับผูกใจให้เพื่อน ๆ ที่เก่งกาจในวิชาต่าง ๆ อาสามาช่วยพระองค์ดูแลประเทศให้เข้มแข็ง  ในขณะเดียวกัน ข้าราชการ ทหารและประชาชนต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนพระราชาองค์ใหม่ผู้เป็นที่รักของพวกเขา   ด้วยเหตุนี้  เมื่อกองทัพของเหล่าข้าศึกบุกเข้าประชิดเมือง  กองทัพแห่งอาณาจักเชพจึงสามารถต้านทานและปกป้องอาณาจักเชฟเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ในที่สุด  คำพูดของพระราชินีก็ได้รับการพิสูจน์  แม้ความรู้จะเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ความดีกลับเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า   เจ้าชายทรงประจักษ์ในคำพูดของพระมารดาอย่างชัดแจ้ง   และพระองค์ก็ทรงยึดมั่นในการทำดีต่อทุก ๆ คนสืบมา…ตลอดชั่วรัชกาลอันเปี่ยมสุขของพระองค์

#นิทานนำบุญ

………………………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เด็กชายนำโชค

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เด็กชายนำโชค” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่ง ในช่วงที่แฮรี่ พอตเตอร์ เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศไทย ในช่วงนั้น ผมไม่ได้อ่านนิทานหรือดูภาพยนตร์เรื่องใด ๆ เลย เพราะไม่อยากได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสิ่งที่ได้ดูได้ชม แต่เนื่องจากแฮรี่ พอตเตอร์เป็นหนังสือและภาพยนตร์ที่ดังมาก ผมจึงเห็นภาพตัวละครแฮรี่ พอตเตอร์ ตามสื่อต่าง ๆ บ้าง และอยากลองแต่งนิทานที่มีบรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยเวทมนตร์แบบนั้นบ้าง นิทานเรื่อง “เด็กชายนำโชค” จึงเป็นเสมือนนิทานทดลองที่ผมอาจหาญท้าทายกับหนังสือชื่อดังระดับโลกอย่างแฮรี่ พอตเตอร์ (ซึ่งถึงวันนี้ ผมก็ยังไม่เคยอ่านหรือดูแฮรี่ พอตเตอร์เลย) หวังว่านิทานเรื่องนี้จะสนุกพอใช้และถูกใจผู้อ่านนะครับ ขอให้มีความสุขในการอ่านครับ

นิทานเรื่อง เด็กชายนำโชค        

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในค่ำคืนที่คละคลุ้งไปด้วยอำนาจแห่งเวทมนตร์อันชั่วร้าย มีเด็กทารกคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาพร้อม ๆ กับสายฟ้าที่ผ่าลงตรงกลางต้นไม้ใหญ่จนเกิดไฟลุกโชติช่วง 

มารดาของเด็กน้อยตั้งชื่อลูกชายว่า ‘นำโชค’   ด้วยนางเชื่อว่าลูกชายคนนี้จะนำความสว่างไสวมาให้แก่ชีวิตของนางเฉกเช่นเดียวกับเปลวไฟในคืนเดือนมืด  แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่มารดาของเด็กน้อยเข้าใจผิด  เพราะแทนที่เด็กน้อยจะนำโชคดีมาให้  เจ้าหนูผู้น่าสงสารกลับเกิดมาโดยมีชะตากรรมที่จะเป็นผู้นำโชคร้ายไปสู่ทุก ๆ คนที่อยู่รอบข้าง

เพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่เด็กน้อยลืมตาดูโลก  ทั้งพ่อและแม่ของเด็กน้อยก็เริ่มเจ็บออด ๆ แอด ๆ จนเพื่อนบ้านต้องช่วยกันส่งตัวไปให้หมอรักษา   แต่ทันทีที่พ่อกับแม่ออกห่างจากลูกชายผู้เกิดมาพร้อมกับความโชคร้าย   อาการป่วยไข้ของพวกเขาก็กลับทุเลาลงจนทุก ๆ คนรู้สึกผิดสังเกต  เพื่อนบ้านคนหนึ่งแนะนำให้พ่อกับแม่นำวันเดือนปีเกิดของเด็กน้อยไปให้นักพรตช่วยตรวจดวงชะตา   และแล้ว พ่อกับแม่ของเด็กน้อยจึงได้ล่วงรู้ถึงเคราะห์กรรมของลูกชายซึ่งเกิดมาในช่วงเวลาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหม่นและมนต์มืด

แม้พ่อกับแม่ของเด็กน้อยจะทราบถึงผลที่ตนจะได้รับหากยังคงอยู่ใกล้ชิดกับลูกของพวกเขา แต่ทั้งคู่ก็พร้อมที่จะเลี้ยงดูลูกชายของตนโดยไม่สนใจว่าจะมีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น

ทุก ๆ ปี  ครอบครัวของเด็กน้อยจะต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ   เริ่มตั้งแต่ในขวบปีแรกที่พืชผลซึ่งพ่อกับแม่ช่วยกันหว่านเอาไว้ต่างพากันล้มตายจนหมดสิ้น   พอเด็กน้อยอายุย่างเข้าสามขวบ  พวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์ร้ายอสรพิษก็พากันมาวนเวียนอยู่รอบ ๆ บ้านของเด็กน้อยราวกับว่าพวกมันได้กลิ่นแห่งความชั่วร้ายแบบเดียวกับที่พวกมันมีอยู่   พอนำโชคอายุได้แปดปี  พลังแห่งความโชคร้ายของเขาก็ดึงดูดให้กองโจรจากต่างถิ่นบุกเข้ามาปล้นทรัพย์สินของผู้คนในหมู่บ้านครั้งแล้วครั้งเล่า   และเมื่อเด็กน้อยอยากจะไถ่โทษให้แก่ตนเองด้วยการช่วยงานในไร่นาของชาวบ้าน  ลมฝนที่เคยนิ่งสงบก็กลับกลายเป็นพายุที่โหมซัดจนน้ำท่วมไร่นาเรือกสวนทำให้ผู้คนเดือดร้อนกันไปทั่ว 

แม้ชาวบ้านจะสงสารเด็กน้อยสักเพียงใด  แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องขอร้องให้พ่อกับแม่ของเด็กน้อยช่วยย้ายออกไปจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  

นำโชคเสียใจที่ตนเองเป็นต้นเหตุแห่งความโชคร้ายทั้งหมด   แต่เพื่อไม่ให้พ่อกับแม่ต้องลำบากไปกับเขาด้วย  เด็กน้อยจึงตัดสินใจออกเดินทางจากหมู่บ้านตามลำพังเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากพระราชินีผู้เมตตาและพระราชาผู้ชาญฉลาด

เมื่อพระราชินีได้ฟังเรื่องราวของเด็กชายนำโชค พระองค์ก็ทรงเวทนาเด็กน้อยจากก้นบึ้งของหัวใจ  ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ พระราชินีจึงขอร้องให้พระราชาคิดหาหนทางช่วยเหลือเด็กน้อยให้พ้นจากเคราะห์กรรมที่เขามิได้เป็นคนก่อขึ้น

หลังจากที่พระราชาได้หารือกับโหรหลวงแล้ว  พระองค์ก็ทรงทราบว่าวิธีแก้ไขชะตากรรมของเด็กน้อยมีเพียงหนทางเดียวนั่นก็คือ…เด็กน้อยจะต้องทำวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สามารถทำให้ผู้คนพร้อมใจกันแซ่ซ้องสรรเสริญ

การทำให้เด็กน้อยที่นำมาแต่ความโชคร้ายสามารถทำสิ่งดี ๆ อันยิ่งใหญ่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้แต่ความตั้งใจดีที่เด็กน้อยต้องการจะช่วยเหลือผู้อื่น  ก็กลับถูกโชคชะตาเล่นตลกจนกลายเป็นความหายนะได้โดยตลอด 

พระราชาทรงครุ่นคิดหาวิธีอยู่นานถึงสามวันสามคืน  และแล้ว  พระองค์ก็ทรงค้นพบวิธีช่วยเหลือเด็กน้อยที่วิเศษเป็นที่สุด    

วิธีการของพระราชาผู้ชาญฉลาดก็คือการแต่งตั้งให้เด็กน้อยเป็นทูตคนสำคัญเพื่อไปเจริญสันถวไมตรีกับประเทศที่เป็นคู่แข่งทั้งหลาย   และเมื่อเด็กน้อยเดินทางไปถึงเมืองเหล่านั้น   โชคร้ายต่าง ๆ ก็ติดตามเขาไปจนทำให้บ้านเมืองที่เป็นคู่แข่งต่างวุ่นวายโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ

พระราชา, พระราชินีและเหล่าประชาชนต่างช่วยกันปกปิดเรื่องราวทั้งหมดเป็นความลับ  ในขณะเดียวกัน เมื่อเมืองคู่แข่งอ่อนแอลง  พระราชาก็จัดการพัฒนาเมืองของพระองค์ทั้งในด้านการศึกษา, เศรษฐกิจ, การทหาร, การเกษตร ฯลฯ  จนบ้านเมืองก้าวล้ำหน้าเมืองคู่แข่งต่าง ๆ ในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อเด็กน้อยปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจนครบถ้วนและพระราชาได้เรียกตัวกลับมายังบ้านเมืองของเขา  ชาวเมืองก็พากันสรรเสริญเด็กน้อยที่ทำให้บ้านเมืองคู่แข่งอ่อนแอลงได้สำเร็จ  ซึ่งเมื่อผู้คนพร้อมใจกันชื่นชมเด็กน้อยเช่นนี้แล้ว   พลังแห่งความโชคร้ายที่ติดตัวเด็กน้อยมาตั้งแต่เกิดก็พลันสลายไปจนหมดสิ้น

ในที่สุด  เด็กน้อยก็รอดพ้นจากโชคชะตาอันเลวร้าย   เมื่อเคราะห์กรรมผ่านพ้นไป นำโชคจึงก้มกราบพระราชาและพระราชินีด้วยความสำนึกในพระเมตตา  หลังจากนั้น  เด็กน้อยก็อำลาพระราชาและพระราชินีผู้มีพระคุณ แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านของเขา

ทั้งนี้เพื่อทำความดีลบล้างความผิดพลั้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเขา และเพื่อดูแลพ่อกับแม่ของเขาที่รักตัวเขามากกว่าผู้ใดในโลก  

#นิทานนำบุญ

………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นางแม่มดเฒ่าเจ้าเล่ห์

นิทานเกี่ยวกับแม่มดใจร้ายเรื่อง “นางแม่มดเฒ่าเจ้าเล่ห์” เป็นนิทานก่อนนอนสนุก ๆ ที่มีแง่คิดสอนใจ การกระทำของแม่มดในเรื่อง น่าจะมีแง่มุมให้คุณพ่อคุณแม่พูดคุยและให้ข้อคิดแก่ลูก เกี่ยวกับเรื่องคนแปลกหน้าที่ลูก ๆ ได้พบ และการสังเกตความผิดปกติในคำพูดของคนแปลกหน้าที่ลูก ๆ ได้พบ ผมในฐานะของผู้แต่งหวังว่า นิทานเรื่องนี้จะให้ทั้งความสนุกและให้แง่คิดแก่เด็ก ๆ ทุกคนครับ

นิทานเรื่อง  นางแม่มดเฒ่าเจ้าเล่ห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีแม่มดตนหนึ่งเป็นแม่มดเฒ่าที่ชอบทำเรื่องเลวร้ายอยู่เสมอ

วันหนึ่ง  นางแม่มดเฒ่านึกสนุกอยากหลอกให้มนุษย์ใช้เวทมนตร์ของนางทำร้ายกันเอง  ด้วยเหตุนี้  นางแม่มดเจ้าเล่ห์จึงแปลงกายเป็นนางฟ้า แล้วไปดักรอเด็ก ๆ ที่ลานกลางป่าเพื่อหาโอกาสยั่วยุให้เด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกหลงกลนำเวทมนตร์ด้านมืดของนางไปใช้เพื่อทำร้ายผู้อื่น

หลังจากที่นางแม่มดเจ้าเล่ห์แอบซุ่มรอเหยื่ออยู่นาน  ในที่สุด  นางแม่มดก็พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินหน้าบึ้งตึงมานั่งที่ลานกลางป่าตามลำพัง  

แม่มดเฒ่าในคราบนางฟ้าแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด   นางรู้ดีว่าเด็กที่กำลังโมโหโทโสเป็นเด็กที่ง่ายต่อการล่อลวงให้ติดกับมากที่สุด  ดังนั้น  นางจึงรีบปรี่เข้าไปหาเด็กน้อย  แล้วแสร้งถามไถ่สาเหตุที่ทำให้เธออารมณ์เสีย

เมื่อเด็กหญิงเห็นนางฟ้าเข้ามาซักถาม  เด็กน้อยจึงไว้ใจและเล่าให้นางฟ้าฟังว่า สาเหตุที่ทำให้เธอไม่สบอารมณ์เป็นเพราะเพื่อนรักไม่ยอมให้ยืมหนังสือนิทานเล่มใหม่กลับไปอ่านที่บ้าน!

นางฟ้าตัวปลอมทำทีเป็นไม่พอใจตามไปด้วย  นางแกล้งตำหนิเพื่อนของเด็กหญิงว่าแล้งน้ำใจชนิดที่น่าจะเสกให้หายไปจากโลก  นางพาลกล่าวโทษคุณครูว่าควรสอนลูกศิษย์ให้ดีกว่านี้   จากนั้น นางก็ยุให้เด็กหญิงคิดหาข้อเสียของคุณครูต่าง ๆ นานา

เด็กหญิงนึกแปลกใจที่นางฟ้าบอกให้เธอคิดหาข้อเสียของคุณครูผู้เป็นที่เคารพ   แต่เพราะนางฟ้าอาจจะเห็นใจเธอจริง ๆ  เด็กน้อยจึงพยายามคิดหาข้อเสียของคุณครูตามที่นางฟ้าบอก

เมื่อเด็กหญิงบอกนางฟ้าว่าข้อเสียของคุณครูเท่าที่เธอพอจะนึกได้คือคุณครูชอบดุและชอบให้การบ้านเยอะแยะไปหมด 

เมื่อแม่มดร้อยเล่ห์ได้ฟัง  นางจึงว่าคุณครูโหดร้ายไร้ความเมตตา…ชนิดที่น่าจะเสกให้หาย ไปจากโลก  หลังจากนั้น  นางก็กล่าวหาว่าคุณพ่อคุณแม่ของเด็กน้อยน่าจะเอาใจใส่และช่วยลูกสาวให้มากกว่านี้สักหน่อย  แล้วนางก็ยุให้เด็กหญิงคิดหาข้อเสียของพ่อกับแม่โดยเฉพาะตอนที่ท่านทำให้เธอร้องไห้

เด็กหญิงแปลกใจที่นางฟ้าบอกให้เธอคิดหาข้อเสียของคุณพ่อคุณแม่  แม้คุณพ่อคุณแม่จะเคยดุด่าว่ากล่าวเธอบ้าง  แต่ที่ท่านทำไปก็เพราะท่านรักและอยากสอนให้ลูกเป็นคนดี  

เช่นเดียวกันกับคุณครู  การที่คุณครูดุและให้การบ้านนั้น  แม้เธอจะไม่ชอบ…แต่เธอก็รู้ดีว่าที่คุณครูทำก็เพราะคุณครูรัก  หรือในการที่เพื่อนของเธอไม่ให้ยืมหนังสือนิทานเล่มใหม่  แม้เธอจะไม่พอใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดที่ควรเสกให้หายไปจากโลก!

เด็กน้อยเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของนางฟ้าที่ยืนอยู่ตรงหน้า   แต่เพื่อความแน่ใจ  เด็กหญิงผู้เฉลียวฉลาดจึงแกล้งทำหน้าซื่อแล้วบอกนางฟ้าว่า เธอไม่ชอบพ่อกับแม่เวลาที่ท่านตีและดุด่า

เมื่อนางแม่มดเฒ่าได้ฟังคำตอบของเด็กน้อยหน้าตาใสซื่อ  นางจึงคิดว่าเด็กหญิงหลงกลติดกับ  แม่มดใจร้ายแกล้งบีบน้ำตา  แล้วแสดงทีท่าว่าเด็กน้อยช่างแสนอาภัพที่ชีวิตแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่แสนร้ายกาจ  จากนั้น  นางก็เสนอที่จะมอบพลังวิเศษทั้งหมดให้แก่เด็กน้อยเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เด็กน้อยสามารถร่ายมนตร์เนรมิตอะไรก็ได้หนึ่งครั้ง เช่น การเสกให้เพื่อนรัก, คุณครู  รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่หายไปจากโลกนี้ ตามแต่ใจปรารถนา

เด็กหญิงตาเป็นประกายเมื่อได้ฟังถ้อยคำของนางฟ้า  เธอยินดีรับพลังวิเศษตามที่นางฟ้าเสนอ  ซึ่งเมื่อเธอได้รับพลังดังกล่าวแล้ว  เด็กน้อยก็รีบร่ายมนตร์เพื่อเนรมิตสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

“โอมมะลุกกุ๊กกิ๊ก…..”  เด็กหญิงส่งเสียงร่ายมนตร์ด้วยพลังที่ได้รับมา “ขอให้พลังวิเศษทั้งหมดนี้มลายหายไปจากโลกโดยไม่อาจหวนคืนสู่เจ้าของของมันได้อีก….โอมเพี้ยง”

เมื่อเด็กน้อยร่ายมนตร์จบ  พลังวิเศษก็สำแดงเดชด้วยการทำให้อำนาจทั้งหมดสลายไปในอากาศ 

นางแม่มดเจ้าเล่ห์ตกใจจนหน้าซีดเผือด เพราะเมื่อนางไร้ซึ่งอำนาจมืดอันชั่วร้าย นางก็กลับกลายเป็นหญิงชราที่มีแต่หนังเหี่ยว ๆ หุ้มกระดุกผุ ๆ อยู่เท่านั้น  

แผนการของแม่มดเจ้าเล่ห์ล้มเหลวไม่เป็นท่า   เด็กหญิงดีใจที่เธอไหวตัวทันและมีสติไม่หลงคำยุยงของนางแม่มด       

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา  นางแม่มดเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็หายไปจากแวดวงของเหล่าแม่มดโดยไม่มีใครทราบข่าวอีก   

ส่วนเด็กหญิงผู้ทำลายแผนร้ายได้สำเร็จก็นำเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอไปเล่าให้ใครต่อใครฟัง จนกลายเป็นนิทานที่เด็ก ๆ กำลังอ่านกันอยู่นี้

#นิทานนำบุญ

……………………….

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นางฟ้าแห่งเสียงเพลง

นิทานก่อนนอนเกี่ยวกับนางฟ้าเรื่อง “นางฟ้าแห่งเสียงเพลง” เป็นนิทานนางฟ้าใจดีที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงที่รายการประกวดร้องเพลงชื่อ “อะคาเดมี่ แฟนทาเชีย” กำลังดัง นิทานนางฟ้าสั้น ๆ เรื่องนี้ มีลูกเล่นอยู่ที่เวทมนตร์ที่ออกจะแปลก ๆ อยู่สักหน่อย แต่เชื่อว่าเป็นเวทมนตร์ที่น่ารักและอาจทำให้เด็ก ๆ ได้อะไร ๆ ที่เป็นประโยชน์และอาจสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่เด็ก ๆ ได้บ้าง ลองอ่านกันดูนะครับ

นิทานเรื่อง นางฟ้าแห่งเสียงเพลง

กาลครั้งหนึ่งนานนิดหน่อย มีนางฟ้าฝึกหัดองค์หนึ่งเป็นนางฟ้าองค์น้อยซึ่งมีชื่อว่า“ลันลา”  

ลันลารักเสียงเพลงมาก  เธอร้องเพลงได้ทั้งวันไม่เคยเบื่อ  เพื่อน ๆ จึงมักล้อลันลาว่า  ถ้าลันลาไม่ ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนนางฟ้า เธอคงสมัครเป็นนักล่าฝันในรายการอะคาเดมี่แฟนเทเชียไปแล้ว!

สำหรับการเรียนในโรงเรียนนางฟ้า  นางฟ้าฝึกหัดทุกองค์ต้องคิดค้นเวทมนตร์ใหม่ ๆ  เพื่อใช้สอบเลื่อนขั้นเป็นนางฟ้าตัวจริงก่อนที่จะจบการศึกษา เวทมนตร์ของใครมีประโยชน์มาก  โอกาสสอบผ่านก็จะมีมาก  นางฟ้าฝึกหัดทั้งหลายจึงทุ่มเทคิดค้นเวทมนตร์ของตัวเองกันอย่างเต็มที่ 

ในขณะที่นางฟ้าฝึกหัดส่วนใหญ่พยายามคิดเวทมนตร์เสกเงินทองหรือเนรมิตข้าวของที่มนุษย์ต้องการ  แต่นางฟ้าฝึกหัดผู้รักเสียงเพลงอย่างลันลากลับคิดเวทมนตร์ที่ทั้งแปลกและแหวกแนว  นั่นคือ…การคิดเวทมนตร์เสกให้ผู้คนร้องเพลง! 

ในความเป็นจริง  การร้องเพลงเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา  ใคร ๆ ก็ร้องเพลงได้กันอยู่แล้ว  เมื่อเพื่อน ๆ รู้ว่าลันลาคิดเวทมนตร์เช่นนี้  เพื่อน ๆ จึงพากันหัวเราะขบขัน

ฝ่ายคุณครูนางฟ้าที่ดูแลลันลานั้น  คุณครูทั้งหลายต่างเป็นห่วงลันลามาก เพราะเวท-มนตร์เนรมิตเงินทองดูเหมือนจะมีประโยชน์มากกว่าการเสกให้ผู้คนร้องเพลงเป็นไหน ๆ   ดังนั้น โอกาสที่ลันลาจะสอบตกจึงมีความเป็นไปได้มากกว่านางฟ้าฝึกหัดองค์อื่น ๆ

แม้คุณครูนางฟ้าจะพยายามเตือนลันลาหลายต่อหลายครั้ง แต่ลันลาก็ยังคงยิ้มและยืนยันที่จะคิดเวทมนตร์แปลก ๆ ของเธอต่อไปไม่แปรเปลี่ยน  ด้วยเหตุนี้  เมื่อถึงเวลาทดสอบการใช้เวท-มนตร์  คุณครูนางฟ้าทั้งหลายจึงแอบตามไปดูการใช้เวทมนตร์ของลันลาด้วยความเป็นห่วง     

สถานที่แรกที่ลันลานำเวทมนตร์ไปใช้คือบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งมีเสียงเด็ก ๆ ร้องไห้ดังกระจองอแงไปหมด  ลันลาเห็นว่าเด็กกำพร้าเป็นเด็กที่น่าสงสาร  เพราะพวกเขาไม่มีทั้งพ่อและแม่ เมื่อเด็กกำพร้าคนหนึ่งร้องไห้  เด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ก็จะเศร้าและร้องไห้ตามไปด้วย  ลันลาอยากให้เด็กกำพร้ารู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และโลกใบนี้ยังมีสิ่งดีงามรอพวกเขาอยู่อีกมาก  ลันลาจึงเสกให้เด็ก ๆ ร้องไห้ออกมาเป็นเสียงเพลง  ซึ่งเมื่อเด็ก ๆ ร้องไห้ออกมาเป็นเพลงพร้อม ๆ กัน  เสียงร้องของเด็ก ๆ จึงกลายเป็นเพลงประสานเสียงที่แสนอบอุ่นและทำให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดายในใจของเด็ก ๆ ค่อย ๆ สลายไปทีละน้อย 

หลังจากที่ลันลาช่วยทำให้เด็ก ๆ ยิ้มได้  นางฟ้าผู้รักเสียงเพลงจึงเดินทางต่อไปยังโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนไข้อาการหนัก   คนไข้มากมายต่างหมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้าย แถมพวกเขายังด่าทอชะตากรรมที่ทำให้พวกเขาต้องเจ็บป่วย  ลันลาอยากให้คนไข้มีกำลังใจมากขึ้นและอยากให้พวกเขาเห็นว่าโรคภัยเป็นเพียงอุปสรรคชีวิตที่มีไว้ทดสอบความเข้มแข็งของมนุษย์ ลันลาจึงเสกให้เหล่าคนไข้ระบายความอึดอัดในใจออกมาเป็นเสียงเพลง  ซึ่งเมื่อคนไข้ได้ร้องเพลงระบายความทุกข์  พวกเขาก็เริ่มสบายใจ, มีสติคิดทบทวนถึงสิ่งดีงามในการมีชีวิต และมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บป่วยที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ 

สถานที่อีกแห่งที่ลันลาตั้งใจไปร่ายเวทมนตร์คือลานกว้างซึ่งมีผู้คนสองกลุ่มกำลังโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อน   จริง ๆ แล้ว  คนทั้งสองกลุ่มแค่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเท่านั้น  แต่เมื่อพวกเขาตะโกนใส่กันด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ความโกรธเคืองจึงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ลันลาอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น  เธอจึงเสกให้เสียงด่าทอกลายเป็นเสียงเพลงที่แสนไพเราะ  และเมื่อถ้อยคำหยาบคายกลายเป็นบทเพลงที่น่าฟัง  ผู้คนจึงมีใจจดจ่อฟังเนื้อความในบทเพลงของฝ่ายตรงข้าม  ไม่นานนัก  พวกเขาก็เข้าใจความคิดเห็นของกันและกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“การเสกให้ผู้คนร้องเพลงออกมาช่างเป็นเวทมนตร์ที่วิเศษอะไรเช่นนี้” คุณครูนางฟ้าทั้งหลายรำพึงเบา ๆ “เวทมนตร์อื่น ๆ อาจเนรมิตสิ่งของที่มีค่าทางกาย แต่เวทมนตร์แห่งเสียงเพลงช่วยสร้างสิ่งมีค่าทางใจได้อย่างวิเศษ”

และแล้ว คุณครูนางฟ้าทั้งหมดก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดลันลาจึงยืนกรานที่จะคิดค้นเวทมนตร์แปลก ๆ ของเธอโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

ในที่สุด  คุณครูนางฟ้าทั้งหมดจึงลงความเห็นให้นางฟ้าฝึกหัดที่ใช้เวทมนตร์สร้างความอบอุ่นใจให้เด็กกำพร้า, สร้างกำลังใจให้คนเจ็บป่วย และสร้างความเข้าใจให้คนที่ทะเลาะเบาแว้งกัน ได้เลื่อนขั้นเป็นนางฟ้าตัวจริงอย่างสมบูรณ์แบบ  นอกจากนี้  คุณครูยังแต่งตั้งให้ลันลาเป็นนางฟ้าแห่งเสียงเพลงและขอให้เธอใช้เวทมนตร์ที่คิดขึ้นสร้างความสุขให้ผู้คนทั้งหลายต่อไป…ตราบนานเท่านาน

#นิทานนำบุญ

…………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าชายไข่เจียว

นิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าชายไข่เจียว เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งในช่วงที่รายการ อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ซีซั่น 4 กำลังดัง ช่วงนั้น มีนักล่าฝันคนหนึ่งชื่อว่า “แจ็ค” แจ็คเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อยและชอบกินไข่เจียวมาก แถมยังเป็นขวัญใจของผู้ชมหลาย ๆ คน ถ้าจำไม่ผิด แจ็คได้รับสมญาว่า “เจ้าชายไข่เจียว” และจากสมญานี้เอง ผมจึงลองนำคำว่าเจ้าชายไข่เจียวมาแต่งเป็นนิทาน จนในที่สุด ก็ได้นิทานน่ารัก ๆ เรื่องนี้ออกมาครับ

นิทานเรื่อง เจ้าชายไข่เจียว

นานมาแล้ว  มีเจ้าชายองค์หนึ่งทรงพระนามว่าเจ้าชายแน็ค  เจ้าชายแน็คเป็นเจ้าชายรูปงามที่ไม่นิยมการกินเนื้อสัตว์  สาวน้อยสาวใหญ่จึงหลงรักเจ้าชายผู้มีจิตใจเมตตาพระองค์นี้กันโดยถ้วนหน้า

เมื่อเจ้าชายแน็คถึงวัยที่ควรมีคู่ครอง  พระองค์จึงตัดสินใจจัดงานเลือกคู่ขึ้น โดยพระองค์ขอให้หญิงสาวทำไข่เจียวอาหารโปรดมาให้พระองค์ชิม ซึ่งหากไข่เจียวของใครมีรสชาติถูกปากพระองค์มากที่สุด เจ้าชายก็จะสู่ขอให้หญิงสาวคนนั้นมาทำไข่เจียวเลี้ยงพระองค์ไปตลอดชั่วชีวิต

หญิงสาวทั้งเมืองต่างตื่นเต้นเมื่อได้ทราบข่าวดังกล่าว หญิงสาวทั้งหลายคิดว่า ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำไข่เจียว รสชาติก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ดังนั้น แทนที่พวกเธอจะมัวเสียเวลาฝึกทำไข่เจียว  พวกเธอควรเอาเวลาไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนมเพื่อทำให้ตัวเองสวยงามโดดเด่นกว่าหญิงสาวคนอื่น ๆ จะดีกว่า

ในขณะที่หญิงสาวทั่วเมืองแข่งกันทำตัวเองให้สวยขึ้น  มีเพียงสาวน้อยนูชาคนเดียวที่ทุ่มเทเวลาคิดค้นไข่เจียวสูตรใหม่อยู่ในครัวจนหน้ามันไปหมด   จริง ๆ แล้ว  นูชารู้ดีว่าหญิงสาวที่ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านเศรษฐีอย่างเธอไม่มีทางที่เจ้าชายจะเลือกให้แต่งงานด้วย  แต่เพราะความรักที่นูชามีต่อเจ้าชายอย่างหมดหัวใจ  เธอจึงอยากทำไข่เจียวแสนอร่อยให้พระองค์ได้ลองลิ้มชิมรสสักครั้ง ซึ่งนั่น..มันก็เป็นสิ่งที่เกินความฝันแล้ว

ระหว่างที่นูชาตั้งใจคิดค้นไข่เจียวสูตรใหม่อยู่ในครัวนั้น  คุณนายผู้เป็นภรรยาเศรษฐีได้กลิ่นไข่เจียวหอมกรุ่นของนูชาเข้า  คุณนายจึงสั่งให้นูชาทำไข่เจียวเพื่อให้ลูกสาวของนางนำไปใช้ในงานเลือกคู่  นูชาขัดคำสั่งคุณนายไม่ได้  เธอจึงก้มหน้าก้มตาคิดสูตรไข่เจียวที่อร่อยที่สุดต่อไป  เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้ทำไข่เจียวถวายเจ้าชายที่เธอรักแสนรัก

คืนก่อนวันงานเลือกคู่  ในขณะที่หญิงสาวทั้งเมืองรีบเข้านอนเพื่อให้ตนเองมีหน้าตาสดใส มีเพียงนูชาคนเดียวที่ยังคงเข้าครัวและทดลองทำไข่เจียวเพื่อหาสูตรที่อร่อยที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย

เวลาเที่ยงคืนเศษ  ทั่วทั้งเมืองเงียบสงัด นูชาลงมือเจียวไข่ตามสูตรเด็ดอย่างตั้งอกตั้งใจ  ทันทีที่นูชาเทไข่ลงไปในน้ำมันซึ่งร้อนอย่างพอเหมาะ ไข่เจียวสุดวิเศษก็ค่อย ๆ พองฟูขึ้นพร้อมกับส่งกลิ่นหอมตลบอบอวนไปทั่ว

กลิ่นหอมของไข่เจียวร้อน ๆ ลอยตามสายลมไปทั่วเมืองจนกระทั่งโชยผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชายแน็ค   เจ้าชายแน็คทรงสะดุ้งตื่นเมื่อรู้ว่ากลิ่นนั้นคือกลิ่นไข่เจียวของโปรด

พระองค์รู้สึกอยากชิมไข่เจียวขึ้นมาอย่างประหลาด  พระองค์จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วขี่ม้าตามหาต้นตอของกลิ่นไข่เจียวที่หอมหวนอย่างไม่รอช้า

เมื่อเจ้าชายขี่ม้าไปถึงโรงครัวในบ้านเศรษฐี   พระองค์ทรงกระโดดลงจากหลังม้าแล้วตรงเข้าไปในห้องครัวทันที   นูชาตกใจมากที่มีคนเข้ามาในห้องครัวในยามวิกาล แต่เธอกลับตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าบุรุษที่เข้ามาในครัวและขอชิมไข่เจียวสูตรเด็ดคือเจ้าชายแน็คที่เธอเฝ้าฝันถึง 

ระหว่างที่เจ้าชายแน็คชิมไข่เจียวของนูชา สาวน้อยได้แต่แอบมองเจ้าชายด้วยหัวใจที่เต้นดังตูมตามเหมือนเสียงกลอง นูชาไม่รู้ว่าไข่เจียวของเธอจะถูกปากเจ้าชายหรือไม่ แต่เธอก็ดีใจมากเพราะเมื่อเจ้าชายกินไข่เจียวเสร็จ พระองค์ทรงยิ้มให้เธอ พลางกำชับให้เธอไปร่วมงานเลือกคู่ให้ได้ 

วันรุ่งขึ้น เจ้าชายทรงมองหานูชาไปทั่วทั้งงาน แต่จนแล้วจนรอด…พระองค์ก็ไม่พบ  หนำ-ซ้ำ..ไข่เจียวที่หญิงสาวแต่ละคนทำมาถวายก็อร่อยสู้ไข่เจียวฝีมือนูชาไม่ได้  เจ้าชายทรงผิดหวัง จนกระทั่งพระองค์ได้ชิมไข่เจียวจานสุดท้าย พระองค์จึงยิ้มออก เพราะมันเป็นไข่เจียวรสชาติเดียว กันกับไข่เจียวที่พระองค์ได้ชิมเมื่อคืนที่ผ่านมา

อนิจจา…ผู้ที่นำไข่เจียวมาถวายกลับไม่ใช่นูชาอย่างที่เจ้าชายคิด  เจ้าชายทรงสงสัย  พระองค์จึงขอให้หญิงสาวลูกเศรษฐีเจียวไข่ให้พระองค์ชิมอีกครั้ง 

ลูกสาวเศรษฐีเป็นหญิงสาวที่ไม่เคยทำกับข้าวมาก่อน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงทำไข่เจียวให้เจ้าชายชิมไม่ได้  ท้ายที่สุด..คุณนายกับลูกสาวจึงจำใจต้องสารภาพความจริงให้เจ้าชายได้รู้ 

เจ้าชายทรงดีใจและยอมยกโทษให้ แต่พระองค์มีเงื่อนไขคือสองแม่ลูกต้องพาผู้ที่เจียวไข่ตัวจริงมาเข้าเฝ้า  แน่นอนว่า..หญิงสาวที่ทำไข่เจียวแสนอร่อยก็คือนูชานั่นเอง  เมื่อเจ้าชายได้พบนูชา  พระองค์ก็ทรงยิ้มต้อนรับ จากนั้น เจ้าชายแน็คก็ประกาศให้ทุกคนได้รู้โดยทั่วกันว่า นูชาคือหญิงสาวที่พระองค์ปรารถนาจะแต่งงานด้วย

ในที่สุด สาวน้อยผู้ต่ำต้อย แต่ทุ่มเทหัวใจคิดค้นสูตรไข่เจียวแสนอร่อยก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายที่เธอรัก  นับจากวันนั้น นูชาก็ได้ทำไข่เจียวให้เจ้าชายแน็คกินทุกวัน ส่วนเจ้าชายแน็คก็มีความสุขมากที่ได้แต่งงานกับนูชาและได้กินไข่เจียวที่นูชาทำให้ด้วยใจรัก

#นิทานนำบุญ


Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ลูกหมูกับคาถาปุ๊บปั๊บ

นิทานก่อนนอนเรื่อง ลูกหมูกับคาถาปุ๊บปั๊บ เป็นนิทานก่อนนอนที่มีข้อคิดสอนใจ ซึ่งผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ในฐานะผู้แต่ง เชื่อว่าเด็ก ๆ ต้องชอบนิทานเรื่องนี้แน่ ๆ (รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็คงชอบนิทานก่อนนอนเรื่องนี้ไม่แพ้กัน) นิทานเรื่องนี้มีการนำตัวละครลูกหมูสามตัวและแม่มด ซึ่งเป็นตัวละครยอดนิยมในนิทานเด็กมาใช้เป็นตัวละครหลักของเรื่อง แต่ตัวละครเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่องอื่น ๆ เลย ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง ลูกหมูกับคาถาปุ๊บปั๊บ

นานมาแล้ว  มีลูกหมูตัวอ้วนตุ๊ต๊ะสามตัวอาศัยอยู่ในบ้านกับคุณพ่อคุณแม่ที่รักพวกมันสุดหัวใจ  ลูกหมูทั้งสามมีความน่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้กัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงมาก คือลูกหมูทั้งสามมีนิสัยเกียจคร้านชอบผัดวันประกันพรุ่ง จนงานบ้านต่าง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายให้ทำทั้งการกวาดบ้าน, ถูบ้าน, ซักผ้า, ล้างจาน, รดน้ำต้นไม้ ฯลฯ มักคั่งค้างกลายเป็นดินพอกหางหมู  ครั้นเมื่อคุณพ่อคุณแม่ซักถาม ลูกหมูสามพี่น้องก็มักจะอ้างว่า “งานบ้านตั้งมากมาย ทำให้เสร็จไวไวไม่ได้หรอกครับ” 

คุณพ่อคุณแม่พยายามสอนลูก ๆ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ลูกหมูก็ช่วยกันอ้างจนคุณพ่อคุณแม่อิดหนาระอาใจ ในที่สุด  คุณพ่อคุณแม่จึงนำเรื่องไปปรึกษาแม่มดหมูผู้เชี่ยวชาญในการร่ายคาถาแบบเสกปุ๊บได้ปั๊บ  เผื่อว่าคาถาของแม่มดหมูจะช่วยแก้ไขนิสัยของลูกหมูสามพี่น้องได้บ้าง

ครั้นเมื่อแม่มดหมูได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากพ่อหมูแม่หมู แม่มดหมูก็ยิ้มแล้วบอกกับพ่อหมูแม่หมูว่า “คาถาที่ใช้แก้นิสัยของลูกหมูคงไม่มีหรอกนะ แต่เราอาจเอาคาถาปุ๊บปั๊บมาใช้ทำอะไรบางอย่างได้” เมื่อแม่มดหมูมีแผนดี ๆ ในใจ  แม่มดหมูจึงขอให้พ่อหมูกับแม่หมูพาตนไปที่บ้าน

เมื่อแม่มดหมูไปถึงบ้านของครอบครัวหมู  คุณพ่อคุณแม่ก็แนะนำแม่มดหมูให้ลูก ๆ ได้รู้จัก  จริง ๆ แล้ว แม่มดหมูเป็นแม่มดที่มีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะในเรื่องการใช้คาถาปุ๊บปั๊บเสกสิ่งของต่าง ๆ ได้ตามใจ ปรารถนา เมื่อลูกหมูทั้งสามทราบว่าแม่มดหมูมาที่บ้าน  พวกมันจึงตื่นเต้นมากและขอให้แม่มดหมูใช้คาถาเสกของขวัญให้

แม่มดหมูส่งยิ้มให้ลูกหมูจอมขี้เกียจทั้งสามตัว  จากนั้น  แม่มดหมูก็แกล้งเดินไปตามห้องต่าง  ๆ พลางทำสีหน้าเบื่อ ๆ แล้วบอกกับลูกหมูทั้งสามว่า “ความจริงชั้นก็ตั้งใจจะร่ายคาถาปุ๊บปั๊บเสกของให้พวกเธอคนละอย่างแหละนะ  แต่บ้านที่มีแต่ขี้ฝุ่น, กองเสื้อที่ยังไม่ซัก, อากาศเหม็นอับ แล้วก็ต้นไม้ในสนามที่ดูเฉา ๆ แบบนี้  แม่มดชื่อดังอย่างชั้นคงทำใจร่ายคาถาให้พวกเธอไม่ได้หรอก” 

ลูกหมูทั้งสามตัวต่างผิดหวังที่จู่ ๆ โอกาสได้ของขวัญแสนพิเศษต้องหายวับไปกับตา เพราะความขี้เกียจของพวกมันที่ไม่ยอมทำงานบ้านให้เรียบร้อย

เมื่อแม่มดหมูเห็นสีหน้าเจื่อน ๆ จ๋อย ๆ ของลูกหมูทั้งสามตัว แม่มดหมูก็แอบยิ้มที่มุมปาก แล้วแกล้งเปรยว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พอดีวันนี้ชั้นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ  ชั้นสัญญาว่าจะร่ายคาถาปุ๊บปั๊บเสกของขวัญให้เธอคนละอย่าง ถ้าพวกเธอจัดการทำให้บ้านหลังนี้สะอาดเอี่ยมอ่อง, ไม่มีกองเสื้อผ้าเหม็น ๆ แบบนี้  และต้นไม้ในสนามหญ้าก็ต้องดูสดชื่นชวนมองอีกสักหน่อย  เอาเป็นว่า…ถ้าพวกเธอจัดการงานบ้านทั้งหมดได้ในเวลา 1 ชั่วโมง ชั้นก็จะเสกของขวัญให้”

“หนึ่งชั่วโมง!”  ลูกหมูทั้งสามตัวส่งเสียงร้องพร้อม ๆ กัน

แม้เวลา 1 ชั่วโมงจะไม่มากนัก แต่ด้วยความที่ลูกหมูทั้งสามอยากได้ของขวัญแสนพิเศษที่พวกมันแอบฝันเอาไว้ (ซึ่งเป็นของชิ้นใหญ่ ๆ ทั้งนั้น)  พวกมันจึงตัดสินใจว่า “โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ  ถ้ามัวแต่เฉยก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น รีบจัดการงานบ้านให้เสร็จทันเวลาจะดีกว่า”  เมื่อลูกหมูทั้งสามคิดเช่นนั้น พวกมันก็รีบแบ่งงานแล้วลงมือจัดการงานต่าง ๆ ทันที

เพียง 50 นาที ลูกหมูทั้งสามตัวก็ทำงานบ้านทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยอย่างไม่น่าเชื่อ  เมื่อแม่มดหมูเห็นสิ่งที่ลูกหมูช่วยกันทำ  แม่มดหมูจึงเอ่ยปากชมว่า “พวกเธอเก่งกันไม่ใช่เล่นเลยนะ  งานต่าง ๆ น่ะ แค่ลงมือทำ เดี๋ยวเดียวมันก็เสร็จ แต่ถ้ามัวยืดยาด อ้างนู่นอ้างนี่ ต่อให้มีเวลามากสักเท่าไรก็ไม่มีทางเสร็จได้”

ลูกหมูสามพี่น้องพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับมองไปที่คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องทนฟังพวกมันอ้างว่างานมีมากจนทำไม่ทันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  ลูกหมูทั้งสามสำนึกผิด พวกมันจึงพนมมือขอโทษคุณพ่อคุณแม่ และสัญญาว่าต่อไปพวกมันจะรีบจัดการงานบ้านให้เสร็จทันทีแบบไม่รีรอ เพราะพวกมันรู้แล้วว่าถ้าลงมือทำงานจริง ๆ  งานทั้งหมดก็ใช้เวลาจัดการเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น

เมื่อแม่มดหมูเห็นว่าลูกหมูสำนึกผิดแล้ว แม่มดหมูจึงให้ลูกหมูทั้งสามขอของขวัญที่ต้องการตามสัญญา 

แน่นอนว่าลูกหมูแต่ละตัวขอของขวัญที่ฝันไว้อย่างเต็มที่  ลูกหมูตัวพี่ขอชิงช้าสวรรค์ไว้ที่หน้าบ้าน  ลูกหมูตัวกลางขอสระว่ายน้ำเอาไว้ว่ายน้ำให้สนุก  ส่วนลูกหมูตัวสุดท้องขอหุ่นยนต์ชุดใหญ่แบบกดปุ่มแล้วบังคับให้บินได้ เมื่อลูกหมูขอสิ่งที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว  แม่มดหมูก็ร่ายคาถาปุ๊บปั๊บ ซึ่งหลังจากร่ายคาถาปุ๊บของขวัญต่าง ๆ ก็ปรากฏเป็นจริงปั๊บตามที่ลูกหมูแต่ละตัวฝันเอาไว้

ลูกหมูทั้งสามตัวมีความสุขมากที่ได้รับของขวัญจากแม่มดหมู และนับจากวันนั้น พวกมันก็นำบทเรียนที่ได้รับมาปรับปรุงตัว จนพวกมันกลายเป็นลูกหมูจอมขยันที่ไม่เคยทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องหนักใจอีกเลย 

#นิทานนำบุญ

…………………..

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

โทรศัพท์ข้ามมิติ

นิทานก่อนนอนเรื่อง โทรศัพท์ข้ามมิติ เป็นนิทานซึ้ง ๆ ที่บางคนอ่านแล้วบอกว่า “เกือบน้ำตาไหล” นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจแต่งให้เป็นนิทานเพื่อให้กำลังใจเด็กกำพร้า (เหมือนนิทานเรื่อง นกน้อยปริศนา) แต่เด็กคนอื่น ๆ (รวมทั้งผู้ใหญ่) ก็อ่านได้ ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกเศร้า ๆ ก็ลองกอดคนใกล้ ๆ เพื่อให้กำลังใจกันและกันนะครับ

นิทานเรื่อง โทรศัพท์ข้ามมิติ

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีเด็กกำพร้าคนหนึ่งเป็นคนช่างคิดและชอบประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ

วันหนึ่ง เด็กน้อยเกิดความคิด อยากสร้างโทรศัพท์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก

“โทรศัพท์แบบไร้สายก็เชยเกินไปแล้ว   โทรศัพท์มือถือทั่วไปก็ตกยุค   สมาร์ทโฟนก็ล้นตลาด

ฉันจะสร้างโทรศัพท์ข้ามมิติที่ยังไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน”

เมื่อคิดเช่นนั้น  เด็กน้อยจึงนำอุปกรณ์เท่าที่หาได้ คือถ้วยพลาสติกเหลือใช้, ด้าย, ปากกา ฯลฯ แล้วเอาอุปกรณ์เท่าที่มีมาทำเป็นโทรศัพท์ข้ามมิติซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับโทรศัพท์กระป๋องที่เป็นของเล่นของเด็ก ๆ

เมื่อเพื่อนของเด็กน้อยเห็น  เพื่อนของเขาก็พูดว่า  “นี่มันโทรศัพท์กระป๋องนี่นา ไม่เห็นจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่ตรงไหน”

เด็กน้อยส่งยิ้มให้เพื่อน  จากนั้น เขาก็บอกกับเพื่อนว่า  “ฉันทำเต็มกำลังเท่าที่เด็กอย่างพวกเราจะทำได้ แต่มันก็เป็นโทรศัพท์ข้ามมิติจริง ๆ นะ”

เพื่อนของเด็กน้อยทำท่าไม่เชื่อ  เพื่อนจึงถามว่า  “ถ้ามันเป็นโทรศัพท์ข้ามมิติจริง  เธอจะใช้มันโทรไปหาใคร”

เด็กน้อยยิ้มซื่อ ๆ   เขาส่งปลายสายของโทรศัพท์ให้เพื่อนยกแนบหู  แล้วเขาก็พูดที่ปลายสายอีกข้างหนึ่งว่า

“ฮัลโหล ๆ  พ่อจ๋า แม่จ๋า   พ่อกับแม่คิดถึงหนูไหม   หนูคิดถึงพ่อกับแม่สุดหัวใจ   ตอบหนูหน่อยได้ไหม…ถ้าพ่อกับแม่ได้ยิน”

เด็กน้อยหลับตาและเงี่ยหูฟังอย่างมีความหวัง   ลมพัดโชยผ่าน   ใบไม้ร่วงลงมาจากกิ่งตกลงสู่พื้น     แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมบริเวณนั้น   นานเสียจนไม่มีใครรู้ว่านานสักแค่ไหน

………

………

……….

……….

และในเสี้ยววินาทีหนึ่ง  หลังจากที่เด็กน้อยรอคอยจนเกือบสิ้นหวัง   เด็กน้อยก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ดังผ่านมาตามสายว่า

“ได้ยินแล้วนะ  ได้ยินแล้ว  คิดถึงเหมือนกันนะ  คิดถึงที่สุดเลย” 

ละอองฝนโปรยลงมาจากก้อนเมฆ  แก้มของเด็กทั้งสองเปียกปอนไปด้วยหยดน้ำที่ทำให้พวกเขาต้องละมือจากโทรศัพท์ข้ามมิติที่ถือคุยกันอยู่

เด็กกำพร้าทั้งสองมองหน้ากัน ปาดน้ำที่เปื้อนแก้ม   จากนั้น  ทั้งคู่ก็กอดคอพากันเดินกลับบ้านพัก โดยถือโทรศัพท์ข้ามมิติติดตัวกลับไปด้วย

เผื่อว่าวันไหนที่หัวใจเปลี่ยวเหงา พวกเขาจะได้ใช้โทรศัพท์ข้ามมิติพูดคุยกับคนที่พวกเขารัก….ซึ่งอยู่ไกลแสนไกล….

……แต่ไม่ไกลเกินหัวใจของพวกเขาจะคิดถึง

#นิทานนำบุญ

…………………

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

ของขวัญของพ่อ

นิทานก่อนนอนสั้น ๆ เรื่อง “ของขวัญของพ่อ” เป็นนิทานก่อนนอนที่มีเนื้อหาเรียบง่าย เหมาะสำหรับการอ่านก่อนนอน เพื่อให้เด็กรู้สึกสงบและพร้อมที่จะเข้านอนอย่างมีความสุข ขอให้นอนหลับฝันดีกันทุกคนนะครับ

นิทานเรื่อง ของขวัญของพ่อ

นานมาแล้ว ยังมีลูกกระต่ายที่แสนน่ารักตัวหนึ่ง นึกอยากจะมอบของขวัญแด่คุณพ่อในวันคล้ายวันเกิด  ลูกกระต่ายรู้ดีว่า พ่อกระต่ายหลงใหลในความงามแห่งแสงจันทร์  ดังนั้นลูกกระต่ายจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปนำพระจันทร์มาให้เป็นของขวัญแด่คุณพ่อสุดที่รัก

กระต่ายน้อยหยิบกระปุกออมสินของตัวเอง แล้วกระโดดดึ๋ง..ดึ๋ง…ออกจากบ้านโดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ยอดเขาซึ่งสูงเสียดฟ้า  แม้สตางค์ในกระปุกรูปกระต่ายของเจ้ากระต่ายน้อย จะมีอยู่เพียงกระจ้อยร่อยกระจิริด  แต่เจ้ากระต่ายน้อยก็ตั้งใจที่จะยกเงินออมทั้งกระปุก เพื่อแลกพระจันทร์กลับมาเป็นของขวัญแด่พ่อให้จงได้

 เมื่อกระต่ายน้อยกระโดดไปถึงยอดเขา  ตอนนั้น..พระจันทร์ดวงโตก็โผล่พ้นจากขอบฟ้าขึ้นมาพอดี  

“จันทร์เจ้าขา ราคาเท่าไหร่?”  กระต่ายถาม

พระจันทร์มองตาเจ้ากระต่ายตัวน้อยด้วยความเอ็นดู  ดวงตาใสแจ๋วที่แสนไร้เดียงสาของลูกกระต่ายทำให้พระจันทร์นึกสงสัยใคร่รู้

“หนูจะซื้อชั้นไปไหน…ให้ใครนะ?”

ลูกกระต่ายเล่าที่มาและความตั้งใจทั้งหมดให้พระจันทร์รู้ แม้พระจันทร์จะเชื่อในสิ่งที่เจ้ากระต่ายน้อยเล่าให้ฟัง  แต่พระจันทร์ก็อยากทดสอบว่าลูกกระต่ายที่ดูขี้อายตัวนี้จะรักพ่อสักเพียงไหน….

“ถ้าอยากได้ชั้นกลับบ้าน  หนูต้องทำทุกอย่างตามที่ชั้นบอก” 

ลูกกระต่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเงยหน้ามองพระจันทร์ด้วยแววตาที่มุ่งมั่น 

เมื่อพระจันทร์แกล้งบอกให้ลูกกระต่ายร้องเพลงจนกว่าพระจันทร์จะเบื่อ  ลูกกระต่ายก็ร้องเพลงที่แสนน่ารักให้พระจันทร์ฟังเป็นร้อย ๆ เที่ยวจนพระจันทร์ใจอ่อนยอมให้ลูกกระต่ายหยุดร้อง

เมื่อพระจันทร์บอกให้ลูกกระต่ายเต้นระบำ  ลูกกระต่ายก็รวบรวมความกล้า แล้วเต้นระบำ หกคะเมน ตีลังกา จนพระจันทร์อดหวาดเสียวแทนไม่ได้ และขอให้ลูกกระต่ายหยุดเต้นหลังจากที่ลูกกระต่ายเพิ่งเต้นไปได้เพียงไม่กี่รอบ

และสุดท้าย  เมื่อพระจันทร์บอกให้ลูกกระต่ายเล่านิทานแสนสนุก  ลูกกระต่ายก็นึกถึงนิทานที่พ่อกระต่ายมักจะเล่าให้ฟังตอนก่อนนอน  จากนั้น  มันก็เริ่มเล่านิทานให้พระจันทร์ฟังด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อนึกถึงพ่อ

นิทานที่ลูกกระต่ายเล่า ทำให้พระจันทร์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ลูกกระต่ายกับพ่อกระต่ายรักกันมากเพียงใด  นิทานของพ่อกระต่ายเป็นนิทานที่แสนอ่อนโยน  ซึ่งลูกกระต่ายก็ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้อย่างครบถ้วน  ในที่สุด พระจันทร์ก็ใจอ่อน และยอมทำตามสัญญาที่ให้เอาไว้

คืนนั้น กระต่ายน้อยพาพระจันทร์กลับบ้าน เพื่อนำไปมอบเป็นของขวัญในวันคล้ายวันเกิดของพ่อ  แน่นอน…พระจันทร์อยู่เป็นของขวัญให้พ่อกระต่ายได้เพียงคืนเดียว  แต่ในคืนวันนั้น ของขวัญที่ลูกกระต่ายนำมาให้ ก็ทำให้พ่อกระต่ายชื่นใจอย่างยากที่จะลืมเลือนได้

พ่อกระต่ายมีความสุขที่ได้ชื่นชมแสงจันทร์ใกล้ ๆ อย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน  แต่เหนือสิ่งอื่นใด พ่อกระต่ายมีความสุขที่ได้ล่วงรู้ถึงหัวใจของลูกสุดที่รัก ว่าลูกกระต่ายรักพ่อสักเพียงไหน

และแล้ว…นิทานเรื่องนี้ก็จบลงด้วยภาพของพ่อกระต่ายที่กำลังนั่งเล่านิทานเคล้าแสงจันทร์ โดยมีลูกกระต่ายนอนหนุนตักฟังอย่างมีความสุข ในคืนที่พระจันทร์แลดูสวยเป็นพิเศษ

#นิทานนำบุญ

——————————–

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าหญิงนักวาดรูปเล่น

ตลอดชีวิตของการแต่งนิทาน มีนิทานหลายเรื่องของผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เป็นนิทานเกี่ยวกับการวาดรูป นิทานเกี่ยวกับการวาดรูปเรื่องแรก ๆ แต่งไม่ยาก แต่พอแต่งนิทานเกี่ยวกับการวาดรูปเรื่องที่สอง ที่สาม ที่สี่ ยิ่งแต่งก็ยิ่งยาก เพราะต้องคิดเนื้อเรื่องให้ต่างจากเรื่องแรก ๆ และต้องมีข้อคิดหรือความสนุกไม่แพ้กัน นิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าหญิงนักวาดรูปเล่น เป็นนิทานเกี่ยวกับการวาดรูปที่ผมแต่งในช่วงปีท้าย ๆ ของการเป็นนักแต่งนิทานในนิตยสารขวัญเรือน ถ้าอ่านตอนต้นเรื่องอาจรู้สึกว่าเป็นนิทานที่ค่อนข้างธรรมดา แต่ถ้าอ่านจนจบรับรองว่า นิทานเรื่องนี้จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่คุณผู้อ่านต้องรู้สึกว่า “นี่แหละคือนิทานนำบุญของแท้”

นิทานเรื่อง  เจ้าหญิงนักวาดรูปเล่น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงองค์น้อยพระองค์หนึ่งทรงเป็นเจ้าหญิงที่ไม่มีความสามารถพิเศษใด ๆ นอกจากการวาดรูปเล่น  เจ้าหญิงมักใช้เวลาวาดรูปเล่นได้ทั้งวันไม่เคยเบื่อ ซึ่งต่างจากเวลาที่ต้องอ่านหนังสือเรียนหรือทำการบ้าน ที่พระองค์มักรู้สึกเสมอว่า มันช่างยากเย็นราวกับการเข็นครกขึ้นภูเขา

เมื่อพระมารดาของเจ้าหญิงสังเกตเห็นว่าลูกสาวเอาแต่วาดรูปเล่นทั้งวัน  แทนที่พระมารดาจะว่ากล่าว  พระองค์กลับส่งเสริมให้เจ้าหญิงวาดรูปเล่นได้อย่างเต็มที่   โดยพระมารดาจะคอยจัดหาอุปกรณ์มาให้เจ้าหญิงได้วาดเล่นไม่เคยขาด ทั้งยังเชิญศิลปินฝีมือดีมาให้คำแนะนำเจ้าหญิงเกี่ยวกับวิธีวาดรูปให้สนุกมากยิ่งขึ้น  เจ้าหญิงทรงมีความสุขที่ได้วาดรูปเล่นอย่างที่ใจรัก   แต่บรรดาเจ้าชายผู้เป็นพี่ รวมถึงพระราชากลับมองว่า พระราชินีทรงตามใจเจ้าหญิงมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เจ้าหญิงประสบกับปัญหาในอนาคต 

คำสบประมาทของเจ้าชายและพระราชาทำให้เจ้าหญิงรู้สึกหวั่นไหว  แต่พระราชินีมักปลอบเจ้าหญิงว่า “หากลูกรักการวาดรูปเล่น ก็จงวาดรูปเล่นให้เต็มกำลังเถอะนะ ทำสิ่งที่รักในวันนี้ให้ดีที่สุด  ส่วนวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครกำหนดได้ทั้งนั้น”

คำพูดของพระมารดาทำให้เจ้าหญิงเกิดความมุมานะและมั่นใจในการวาดรูปเล่นมากขึ้นอีก พระองค์จึงฝึกฝนวาดรูปในรูปแบบต่าง ๆ  และคอยขอคำแนะนำจากศิลปินทั้งหลายอย่างไม่เคอะเขิน  ที่สำคัญ  เจ้าหญิงองค์น้อยทรงทดลองวาดรูปเล่นในทุกรูปแบบ ซึ่งการได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองทำให้การวาดรูปสนุกมากขึ้น และทำให้ฝีมือของพระองค์พัฒนาขึ้นจนศิลปินทั่วทั้งเมืองต่างให้การยอมรับ

แต่แล้ววันหนึ่ง  เมืองเล็ก ๆ ของเจ้าหญิงก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้งเมืองแห่งนี้มา กล่าวคือ ในเช้าวันหนึ่ง  พระราชาทรงทราบข่าวว่า กลุ่มกองโจรที่ชอบจี้ปล้นเมืองเล็ก ๆ พร้อมกับเผาเมืองจนวอดวาย กำลังเดินทางมายังเมืองของพระองค์  พระราชาทรงเห็นว่า  การต่อสู้กับกองโจรในครั้งนี้ต้องมีการปะทะกันอย่างรุนแรงและมีความสูญเสียอย่างยากจะคาดการณ์ได้  แต่หากไม่วางแผนตั้งรับ  เมืองของพระองค์ก็คงจะย่อยยับเป็นแน่  เมื่อไม่มีทางเลือก  พระราชาจึงจัดประชุม เพื่อเตรียมการปกป้องบ้านเมืองให้รอดพ้นจากอันตรายอันใหญ่หลวงนี้

ในที่ประชุม  เจ้าชายองค์โตทรงอาสาควบคุมกองดาบปราบศึกเพื่อดูแลภายในพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของพระราชาและพระราชินี  เจ้าชายองค์รองทรงอาสาควบคุมกองทหารม้าฮี้  ๆ  เพื่อปะทะกับกองโจรหากพวกมันบุกเข้ามาถึงบริเวณรอบปราสาท  เจ้าชายองค์ที่สามอาสาควบคุมกองพลดาวกระจาย  ที่จะคอยซุ่มอยู่บนหอคอย  เพื่อจัดการกับกองโจรด้วยอาวุธลับ  ส่วนเจ้าหญิงองค์น้อยทรงอาสาออกไปนอกกำแพงเมืองพร้อมกับเหล่าศิลปิน เพื่อใช้ความสามารถในการวาดรูปเล่นต่อสู้กับกองโจรที่โหดร้าย

หลายคนงุนงงกับการตัดสินใจของเจ้าหญิง  แต่พระราชินีทรงเชื่อมั่นในตัวลูกสาว  พระองค์จึงขออนุญาตพระราชาให้เจ้าหญิงได้ปกป้องบ้านเมืองตามความสามารถที่มีอยู่   ครั้นเมื่อพระราชาทรงอนุญาต  ทั้งเจ้าชายและเจ้าหญิงต่างก็แยกย้ายกันไปดำเนินการตั้งรับการรุกรานของกองโจรอย่างเร่งด่วน

ในส่วนของเจ้าหญิง  พระองค์ทรงเล่าแผนการให้บรรดาศิลปินได้ฟัง  จากนั้น  ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกันทำตามแผน  โดยศิลปินกลุ่มหนึ่งช่วยกันระบายสีกำแพงเมืองและตัวเมืองให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติจนคนที่มองจากระยะไกลถูกลวงตาว่าบริเวณนั้นเป็นเพียงธรรมชาติที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งเมืองใด ๆ ตั้งอยู่   ส่วนศิลปินอีกกลุ่มช่วยกันระบายสีพื้นหินรอบนอกตัวเมืองให้ดูเหมือนเหวลึก  ซึ่งหากมองในระยะปานกลางจะมองเห็นความลึกที่น่ากลัวและทำให้ไม่อยากเดินทางผ่าน  สำหรับศิลปินกลุ่มสุดท้ายที่ถนัดการใช้สีสะท้อนแสงในความมืด ก็ลงมือแต้มรูปปิศาจและผีร้ายซุกซ่อนไว้ตามมุมต่าง ๆ  ซึ่งภาพเหล่านั้นมองแทบไม่เห็นในเวลากลางวัน แต่จะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในเวลากลางคืน

ครั้นเมื่อกองโจรเดินทางตามแผนที่มายังบริเวณเมือง  พวกโจรก็มองเห็นแต่ผืนป่าที่ว่างเปล่าไร้ร่องรอยของเมืองอย่างที่แผนที่บอกเอาไว้  ในขณะเดียวกัน  โจรที่นำทางก็สังเกตเห็นหุบเหวอันน่ากลัว  จึงพากองโจรเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้าม  และหลังจากที่พระอาทิตย์ตกดิน  เมื่อพวกโจรหันหลังกลับมา  พวกมันก็เห็นปิศาจและภูตผีอยู่ลิบ ๆ   ซึ่งทำให้พวกโจรดีใจที่ไม่หลงเดินทางตรงไปยังบริเวณที่มีเหวลึกนั้น

แน่นอนว่า พวกโจรตกหลุมพรางที่เจ้าหญิงทรงวางไว้  พวกมันจึงผ่านเมืองของเจ้าหญิงไปโดยไม่เกิดการปะทะกันเลยแม้แต่น้อย  และหลังจากที่พวกโจรเดินทางต่อไปได้ไม่นานนัก  พวกมันก็ต้องเผชิญ หน้ากับเมืองอีกเมืองหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสู้รบ  ซึ่งเพียงแค่พวกโจรหลงเข้าไปในเมืองแห่งนั้น  พวกมันก็ถูกจัดการจนแตกกระเจิงและไม่มีโอกาสได้จี้ปล้นหรือทำร้ายใคร ๆ อีก

เมื่อเหตุร้ายผ่านไป  พระราชา เจ้าชาย และทุก ๆ คนจึงได้ประจักษ์ว่า  แม้เจ้าหญิงจะไม่มีความ สามารถพิเศษใด ๆ นอกจากการวาดรูปเล่น  แต่เมื่อพระราชินีทรงส่งเสริมให้เจ้าหญิงได้ทำในสิ่งที่รักและเจ้าหญิงทรงทุ่มเททำสิ่งที่พระองค์สนใจอย่างเต็มที่  ความถนัดที่ดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระก็กลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองได้จริง…ในที่สุด

#นิทานนำบุญ

………………

Posted in ครอบครัว, ความรัก, เด็ก

ความรักที่ดีงาม

นิทานก่อนนอนความรักเรื่อง “ความรักที่ดีงาม” เป็นนิทานความรักที่มีลักษณะเป็นนิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านอยู่นิด ๆ และมีการสอดแทรกความเป็นนิทานความรักที่่เหมาะสำหรับเด็กลงไปด้วย นิทานความรักที่เหมาะสำหรับเด็กเป็นอย่างไร นิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่ง ลองอ่านกันดูนะครับ

นิทานเรื่อง ความรักที่ดีงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งคบหาดูใจกันมานาน ครั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ชายหนุ่มได้ขอแต่งงานกับหญิงสาว โดยเขาสัญญาว่าจะดูแลหญิงสาวอย่างดีที่สุดและพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้หญิงสาวมีความสุขไปตลอดชั่วชีวิต

พ่อแม่ของหญิงสาวรู้จักชายหนุ่มมานานแล้ว ทั้งคู่เชื่อว่าชายหนุ่มรักลูกของตนจริง  ทั้งยังรู้ว่าลูกสาวเองก็รักชายหนุ่ม ด้วยเหตุนี้ พ่อแม่ของหญิงสาวจึงยอมให้ทั้งคู่แต่งงานกัน

ช่วงก่อนถึงวันแต่งงาน  ชายหนุ่มได้สอบถามหญิงสาวเกี่ยวกับสถานที่ที่หญิงสาวอยากไปเที่ยวหลังวันแต่งงาน (หรือที่เรียกกันว่าการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์) โดยทั้งคู่มีเวลาว่างนานถึง 7 วัน…ก่อนที่จะต้องกลับไปทำงานต่อ

ชายหนุ่มบอกหญิงสาวคนรักว่าเขาอยากให้เธอเป็นคนเลือก เพราะเขาอยากทำให้เธอมีความสุขสมดังที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้เมื่อหญิงสาวได้ฟัง เธอก็ยิ้มแล้วนิ่งคิดอะไรบางอย่างเงียบ ๆ  จนชายหนุ่มนึกสงสัย  ชายหนุ่มเดาว่าหญิงสาวอาจยังตัดสินใจไม่ได้ เขาจึงเสนอสถานที่ที่น่าสนใจให้หญิงสาวเลือก

เมื่อชายหนุ่มเสนอชื่อเมืองบางเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้าจนแทบจะเอื้อมมือแตะดวงจันทร์ได้  หญิงสาวตอบชายหนุ่มว่า “มันอาจเจริญเกินไปจนเรามองไม่เห็นความสุขนะคะ”

ครั้นเมื่อชายหนุ่มชวนหญิงสาวไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ดินแดนมังกรสายฟ้าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข หญิงสาวก็บอกชายหนุ่มว่า “มันอาจเป็นสถานที่ที่ทำให้เรามีความสุข แต่อาจมีที่อื่นที่ทำให้เรามีความสุขอย่างลึกซึ้งได้มากกว่านั้นนะคะ”

ชายหนุ่มยิ้ม แล้วเสนอให้หญิงสาวไปยังดินแดนแห่งต้นโพธิ์ในตำนาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าจะทำให้รู้สึกตื่นรู้และเบิกบานใจได้อย่างลึกซึ้งแน่ ๆ 

เมื่อหญิงสาวได้ฟัง หญิงสาวก็ยิ้ม จากนั้น เธอก็พูดกับชายหนุ่มอย่างอ่อนหวานว่า “ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร ในช่วง 7 วันนี้ เราไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในสถานที่ 3 แห่งนี้จะได้ไหม” 

หญิงสาวมองตาชายหนุ่ม แล้วพูดต่อไปว่า “ในช่วง 3 วันแรก น้องอยากชวนพี่ไปที่บ้านของน้อง เพื่อที่น้องจะได้ดูแลรับใช้พ่อกับแม่ และจัดการงานบ้านต่าง ๆ ให้เรียบร้อยที่สุดก่อนที่น้องจะออกเรือน  อีก 3 วันต่อจากนั้น  น้องอยากตามพี่ไปอยู่ที่บ้านของพี่ เพื่อดูแลปรนนิบัติคุณพ่อคุณแม่ของพี่  รวมทั้งดูแลความเรียบร้อยต่าง ๆ ก่อนที่เราจะไปอยู่ที่บ้านใหม่ และในวันสุดท้าย น้องอยากชวนพี่ไปอยู่ที่บ้านของเรา เพื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นชีวิตคู่ของเรา และนี่น่าจะเป็นสถานที่ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ทำให้เราและครอบครัวของเรามีความสุขได้อย่างลึกซึ้งมากที่สุด”

ทันทีที่ชายหนุ่มได้ฟัง เขาก็ยิ้มและรู้สึกว่าเขาเลือกเจ้าสาวได้อย่างถูกต้องที่สุด เพราะเธอไม่ได้นึกถึงแค่ตัวเอง แต่เธอยังใส่ใจพ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตของพวกเขาทั้งสอง

หลังจากวันแต่งงาน เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจึงใช้ช่วงเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ทั้ง 7 วันทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ พ่อแม่ของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างมีความสุขมากที่ลูกและคู่ครองของลูกเป็นคนที่ดีเช่นนี้  พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจว่า ลูก  ๆ จะต้องมีชีวิตครอบครัวที่เต็มไปด้วยความสุขเป็นแน่ ทั้งนี้เพราะ ผู้ที่กตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ว่าทำสิ่งใดก็จะพบแต่ความสุขความเจริญในชีวิต

#นิทานนำบุญ

……………………….