Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

นางพญางูขาว : นิทานความรักอมตะจากประเทศจีน

ณ เขาเอ๋อเหมยอันเงียบสงบในแผ่นดินจีนโบราณ มีงูขาวตนหนึ่งชื่อ “ไป๋ซู่เจิน” บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานนับพันปี ด้วยใจมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสภาพสัตว์เดรัจฉานและได้เกิดเป็นมนุษย์ นางมีจิตใจเมตตา ไม่เคยทำร้ายผู้ใด และปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกมนุษย์

ในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั่วเขา ไป๋ซู่เจินตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงสาวงาม พร้อมกับ “เสี่ยวชิง” งูเขียวผู้เป็นสหายซึ่งบำเพ็ญตบะร่วมกันมา ทั้งสองลงจากเขาเพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ และเลือกเมืองหังโจวอันงดงามริมทะเลสาบซีหูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

วันหนึ่ง ขณะที่ฝนโปรยปรายเบา ๆ ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางมาถึงสะพานปั้นหลิน พวกนางไม่มีร่มติดตัว จึงยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นหลิวริมทาง ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ใบหน้าอ่อนโยน เขายื่นร่มให้หญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิงไม่ควรเปียกฝนเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอเชิญใช้ร่มของข้าสักครู่” ไป๋ซู่เจินรับร่มด้วยความซาบซึ้ง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อสบตากับชายผู้นั้น เขาคือ “สวี่เซียน” เภสัชกรหนุ่มผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน

สายฝนยังคงตกพรำ ๆ แต่ในใจของไป๋ซู่เจินกลับอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้ และเมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองก็เดินเคียงกันไปจนถึงร้านขายยาเล็ก ๆ ของสวี่เซียน ณ ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหังโจว

หลังจากวันฝนตกนั้น ไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนเริ่มพบกันบ่อยขึ้น นางแวะมาที่ร้านขายยาทุกวัน บ้างก็ช่วยจัดขวดยา บ้างก็พูดคุยเรื่องสมุนไพรอย่างสนใจ สวี่เซียนรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง และแม้จะไม่เข้าใจเหตุผล เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีบางสิ่งพิเศษที่ดึงดูดใจเขาอย่างลึกซึ้ง

เสี่ยวชิงมองความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยความยินดี แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พี่ไป๋” นางกล่าวเบา ๆ ในคืนหนึ่ง “หากเขารู้ความจริงว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เขาจะยังรักพี่อยู่หรือไม่” ไป๋ซู่เจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเศร้า “ข้ารู้…แต่ข้าไม่อาจห้ามใจได้แล้ว”

ไม่นานนัก สวี่เซียนตัดสินใจขอไป๋ซู่เจินแต่งงาน ทั้งสองจัดพิธีเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข เสี่ยวชิงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และร้านขายยาก็กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทั้งสามคน ผู้คนในเมืองต่างชื่นชมความเมตตาและความรู้ด้านสมุนไพรของไป๋ซู่เจิน

แต่ความสงบสุขนั้นไม่ยั่งยืน พระสงฆ์นามว่า “ฝาไห่” แห่งวัดจินซานได้ยินข่าวเรื่องหญิงสาวลึกลับที่มีพลังวิเศษ เขาสงสัยว่าไป๋ซู่เจินอาจเป็นปีศาจ จึงเดินทางมายังร้านขายยาเพื่อสังเกตการณ์ “หญิงผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ธรรมดา” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องเปิดเผยความจริง”

ฝาไห่ยืนสงบนิ่งใต้ต้นสนหน้าร้าน ดวงตาทอดมองไปยังทะเลสาบซีหูอย่างครุ่นคิด “ปีศาจงูแม้มีใจเมตตา ก็ยังมิอาจละวางสภาพเดรัจฉาน” เขาพึมพำ “หากปล่อยให้มนุษย์หลงใหลในรูปกายที่แปรเปลี่ยนได้ โลกย่อมสับสนระหว่างธรรมกับอธรรม” พระสงฆ์มิได้โกรธเกลียดไป๋ซู่เจิน หากแต่เชื่อมั่นในหลักศีลธรรมที่ต้องปกป้อง

ฝาไห่แสร้งทำเป็นคนป่วยและขอให้ไป๋ซู่เจินรักษา นางให้ยาด้วยความเมตตา แต่สายตาของพระสงฆ์ยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ วันหนึ่ง เขาเชิญสวี่เซียนไปที่วัด และกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกโดยปีศาจงู หากไม่เชื่อ ลองให้ภรรยาเจ้าดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ดูสิ” สวี่เซียนลังเล แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่เซียนนำสุราศักดิ์สิทธิ์มาให้ไป๋ซู่เจินดื่ม โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากวัด นางรับไว้ด้วยมือที่สั่นไหว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอยากให้ข้าดื่ม?” นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา สวี่เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างลังเล “ข้า…แค่อยากรู้ความจริง”

ไป๋ซู่เจินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วจิบสุราอย่างช้า ๆ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงูขาวขนาดใหญ่กลางห้อง เสียงร้องของสวี่เซียนดังขึ้น “ไม่นะ…นี่มัน…” เขาถอยหลังไปจนชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือด “เจ้าคือ…ปีศาจงู?” เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น

ไป๋ซู่เจินพยายามแปลงกายกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าเลย ข้ารักเจ้าอย่างแท้จริง” แต่สวี่เซียนไม่อาจรับความจริงได้ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้นางทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ฝาไห่ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาใช้เวทมนตร์สะกดสวี่เซียนและพาไปยังวัดจินซาน ไป๋ซู่เจินเมื่อฟื้นคืนสติ ก็พบว่าสามีของตนหายไป นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวชิงพยายามปลอบ “พี่ไป๋ เราต้องไปช่วยเขา” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเขาจะเกลียดเราหรือไม่ เราก็ต้องไม่ทอดทิ้งเขา”

ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางไปยังวัดจินซาน ฝนตกหนักตลอดทาง ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความโกรธของนาง เมื่อถึงวัด นางตะโกนเรียกฝาไห่ “คืนสามีของข้ามา!” พระสงฆ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคือปีศาจ เจ้าหลอกลวงมนุษย์ ข้าไม่มีวันยอมให้เขากลับไป”

สายฟ้าฟาดลงกลางลานวัดจินซาน ขณะที่ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงยืนเผชิญหน้ากับฝาไห่ “ข้าขอเพียงสามีของข้า” นางตะโกน ฝาไห่ยกไม้เท้าขึ้น ท่องมนต์ด้วยเสียงหนักแน่น “ปีศาจไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์!” พลังเวทปะทะกันกลางอากาศ เสี่ยวชิงแปลงร่างเป็นงูเขียวขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ม่านเวทมนตร์ ขณะที่ไป๋ซู่เจินเรียกพลังจากธรรมชาติ น้ำในทะเลสาบพลุ่งพล่านราวกับโกรธเกรี้ยว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังสะท้อนทั่ววัด เสี่ยวชิงต้านเวทมนตร์ด้วยสุดกำลัง แต่ฝาไห่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดไว้ ไป๋ซู่เจินเริ่มอ่อนแรง ร่างของนางสั่นไหวด้วยพลังที่ลดลง “พี่ไป๋ หากข้าต้องกลายเป็นปีศาจตลอดกาลเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็ยอม” เสี่ยวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ซู่เจินหันมามองน้องสาวด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำเช่นนั้น” เสี่ยวชิงยิ้ม “แต่ข้าเลือกเอง เพราะข้ารู้ว่าความรักของพี่คือสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยเห็น” พลังสุดท้ายของทั้งสองพุ่งเข้าหาฝาไห่ แต่พระสงฆ์ใช้เวทสะกดไป๋ซู่เจินไว้ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ร่างของนางหายไปในแสงสีทอง ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนแห่งความรัก

ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ไป๋ซู่เจินถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์อันแรงกล้า นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแปลงกายได้อีก เสียงสายฝนยังคงตกกระทบหลังคาเจดีย์ราวกับสะท้อนความเศร้าในใจของนาง “สวี่เซียน…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้ายังรักเจ้า แม้เจ้าจะไม่อภัยให้ข้าก็ตาม” ความรักของนางยังคงอยู่ แม้จะถูกจองจำในความเงียบงัน

สวี่เซียนเมื่อฟื้นจากมนต์สะกด ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เขาเดินกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับไป๋ซู่เจิน ทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ไร้ชีวิตชีวา เขาเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เคยมี “นางไม่เคยทำร้ายข้าเลย” เขาคิด “ข้าทำผิดไปแล้ว”

ด้วยความสำนึกผิด สวี่เซียนเดินทางไปยังวัดจินซานทุกวัน เขานั่งสวดมนต์หน้าบันไดเจดีย์ ขอให้พระเมตตาปลดปล่อยภรรยาของเขา “นางคือผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” เขากล่าวกับฝาไห่ “หากนางเป็นปีศาจจริง ก็เป็นปีศาจที่มีหัวใจมนุษย์”

วันเวลาผ่านไปหลายปี สวี่เซียนไม่เคยละทิ้งความหวัง เสี่ยวชิงซึ่งรอดพ้นจากการสะกด ได้บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียน นางกลับมาที่วัดจินซานอีกครั้ง และใช้พลังช่วยปลดปล่อยไป๋ซู่เจินจากเจดีย์ เวทมนตร์ของฝาไห่อ่อนกำลังลงตามกาลเวลา และในที่สุด เจดีย์ก็สั่นสะเทือนก่อนจะแตกออก

ไป๋ซู่เจินกลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง นางพบสวี่เซียนที่ยังคงรอคอยอยู่หน้าวัด ดวงตาทั้งสองสบกันด้วยความเข้าใจและให้อภัย “ข้ารักเจ้าเสมอ” สวี่เซียนกล่าว “และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก” ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งเพื่อรับรู้ถึงความรักที่ไม่เคยจางหาย

เรื่องราวของนางพญางูขาวจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความเมตตา ความเสียสละ และความจริงใจที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยอคติหรือความกลัว ผู้คนเล่าขานถึงสะพานในวันฝนตก วัดจินซาน และเจดีย์เล่าจินถ่า ว่าเป็นพยานแห่งรักแท้ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ที่แม้ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังรักกันได้ด้วยหัวใจ

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานสอนใจ

ช่างตีเหล็กกับปีศาจ

นิทานเรื่อง “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” (The Blacksmith and the Devil) เป็นนิทานพื้นบ้านจากยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะในแถบรัสเซียและยูเครน ซึ่งมีการเล่าขานกันมายาวนานในหมู่ชาวบ้านและช่างฝีมือ เรื่องนี้ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือ Tales and Legends from the Land of the Tzar (1891) โดย Edith M. S. Hodgetts ผู้เรียบเรียงและแปลนิทานพื้นบ้านรัสเซียเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือเล่มนี้ถือเป็นแหล่งต้นฉบับหลักที่ใช้ในการเรียบเรียงนิทานฉบับภาษาไทยครั้งนี้ โดยยึดตามโครงเรื่องดั้งเดิมอย่างเคร่งครัด

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักจัดนิทานเรื่องนี้ไว้ในกลุ่ม “นิทานต่อรองกับปีศาจ” เช่นเดียวกับ Faustbuch (1587) จากเยอรมนี หรือ The Devil and Tom Walker จากอเมริกา โดยมีโครงสร้างคล้ายกันคือ ตัวละครหลักทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งที่ปรารถนา แต่สิ่งที่ทำให้ “ช่างตีเหล็กกับปีศาจ” โดดเด่นคือการใช้ไหวพริบและภูมิปัญญาชาวบ้านในการพลิกสถานการณ์อย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์หรือปรัชญาลึกซึ้ง เป็นนิทานที่เข้าถึงได้ง่ายและให้ความรู้สึกสนุกแบบพื้นบ้าน

เราเลือกเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ใหม่ เพราะมันให้อารมณ์ที่ต่างจาก “ฟาวสต์” อย่างชัดเจน คือไม่ใช่เรื่องของนักปราชญ์ผู้แสวงหาความรู้เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของช่างฝีมือธรรมดาที่ใช้ไหวพริบเอาชนะสิ่งลี้ลับด้วยมือเปล่า การเรียบเรียงเป็นไปโดยยึดตามต้นฉบับของ Hodgetts เพียงเล่มเดียว ไม่เติมเนื้อหาใหม่ แต่ปรับภาษาให้ถูกต้องตามหลักภาษาไทย และเหมาะกับผู้อ่านร่วมสมัย หากท่านสนใจอ่านต้นฉบับ สามารถค้นหาได้จากแหล่งออนไลน์ เช่น Wikisource โดยใช้คำค้นว่า “The Blacksmith and the Devil by Hodgetts”

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในป่าลึก มีช่างตีเหล็กผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องฝีมืออันยอดเยี่ยม เขาสามารถตีเหล็กให้เป็นรูปทรงใด ๆ ก็ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเกือกม้า ดาบ หรือเครื่องมือเกษตร งานทุกชิ้นล้วนแข็งแรงและงดงามจนผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงต่างพากันมาใช้บริการ

ช่างตีเหล็กผู้นี้มีนิสัยห้าวหาญ พูดจาตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวสิ่งใด แม้แต่เรื่องเล่าของปีศาจที่ชาวบ้านมักพูดถึง เขาก็มักหัวเราะเยาะเมื่อได้ยินคนพูดถึงการทำข้อตกลงกับปีศาจ “ข้าไม่กลัวมันหรอก” เขาพูดเสมอ “ถ้ามันกล้ามา ข้าจะตีมันให้กลายเป็นเกือกม้าเสียเลย”

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งพักหลังจากทำงานหนักมาตลอดวัน เขาเริ่มครุ่นคิดถึงชีวิตของตนเอง แม้จะมีฝีมือดี แต่เขาก็ยังไม่ร่ำรวยเท่าที่ควร เขาอยากมีเงินทองมากกว่านี้ อยากให้ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาอาศัยอยู่

ในค่ำคืนที่เงียบสงัด ขณะที่เขานั่งอยู่หน้าเตาไฟในโรงตีเหล็ก เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างอย่างแผ่วเบา เขาเอ่ยขึ้นลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง “ถ้าปีศาจมีจริง ข้าก็อยากจะทำข้อตกลงกับมันเสียหน่อย ให้ข้าได้ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แล้วข้าจะยอมทำอะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ”

ทันใดนั้น เปลวไฟในเตาเหล็กพลันลุกโชนขึ้นอย่างผิดปกติ และเงาดำรูปร่างประหลาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากเงานั้น “เจ้ากล่าวเรียกข้าใช่หรือไม่ ช่างตีเหล็ก?” ชายผู้นั้นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ถอยหนี เขายืนขึ้นอย่างมั่นคง “ถ้าเจ้าเป็นปีศาจจริง ก็มาเจรจากันเถอะ”

ปีศาจยืนอยู่กลางแสงไฟที่ลุกโชนจากเตาเหล็ก ดวงตาของมันแดงวาวเหมือนถ่านที่เพิ่งถูกพัดให้ร้อนจัด “ข้าสามารถให้เจ้าได้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา” มันกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ “เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ เพียงแต่เจ้าต้องให้ข้าสิ่งหนึ่งตอบแทน” ช่างตีเหล็กขมวดคิ้ว “สิ่งนั้นคืออะไร?” ปีศาจยิ้มอย่างเยือกเย็น “วิญญาณของเจ้า”

ช่างตีเหล็กนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าการทำข้อตกลงเช่นนี้มีราคาที่ต้องจ่าย แต่ความปรารถนาในใจเขาก็แรงกล้าเกินกว่าจะปฏิเสธ “ข้าจะให้เจ้าในวันที่ข้าตาย” เขากล่าว “แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องทำตามคำสั่งของข้า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ข้าเรียก” ปีศาจหัวเราะเบา ๆ “ตกลงตามนั้น” แล้วมันก็หายวับไปในเงาไฟ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นกำมะถันและความรู้สึกเย็นวาบในอากาศ

ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตของช่างตีเหล็กเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขามีเงินทองมากมาย ลูกค้าหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปไกลกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เขาเคยอยู่ เขาสร้างบ้านหลังใหญ่ มีคนรับใช้ และใช้ชีวิตอย่างที่ไม่เคยฝันว่าจะได้สัมผัส

แต่แม้จะมีทุกสิ่ง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าในบางคืน เมื่อเขานั่งอยู่คนเดียวหน้าเตาไฟ ความเงียบในบ้านหลังใหญ่ทำให้เขานึกถึงวันเก่า ๆ ที่เขาเคยตีเหล็กด้วยมือเปล่าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิ ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อเขาเรียก และทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่สายตาของมันมักแฝงรอยยิ้มที่ชวนให้ไม่สบายใจ

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ในโรงตีเหล็กเก่าเพื่อรำลึกความหลัง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยากให้เจ้าลองเข้าไปในเตาไฟ แล้วดูว่าข้าจะตีเจ้าให้เป็นอะไรได้บ้าง” ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ?” ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าไม่เคยล้อเล่นเรื่องงานของข้า” ปีศาจลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปในเตาเหล็กตามคำสั่ง

ทันทีที่ปีศาจก้าวเข้าไปในเตาเหล็ก ช่างตีเหล็กก็รีบปิดประตูเตาอย่างรวดเร็ว แล้วใช้คีมหนีบร่างของมันไว้แน่น เขาหยิบค้อนเหล็กขึ้นมา และเริ่มตีปีศาจอย่างไม่ลังเล เสียงโลหะกระทบกับผิวหนังของปีศาจดังก้องไปทั่วโรงตีเหล็ก ปีศาจร้องด้วยความเจ็บปวด “หยุด! เจ้าทำอะไร!” ช่างตีเหล็กตอบด้วยเสียงเย็น “ข้ากำลังตีเจ้าให้เป็นเกือกม้า ตามคำสัญญา”

ปีศาจดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่ไม่อาจหลุดจากคีมของช่างตีเหล็กได้ เปลวไฟในเตาลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ราวกับโกรธแค้นที่เจ้าของมันถูกตี ช่างตีเหล็กยังคงตีต่อไปด้วยความมั่นคง ไม่ใช่ด้วยความโกรธ แต่ด้วยความตั้งใจ เขาตีจนปีศาจอ่อนแรงลง และเสียงร้องของมันกลายเป็นเสียงครางเบา ๆ

เมื่อเห็นว่าปีศาจหมดแรง ช่างตีเหล็กจึงหยุดมือ เขาเปิดเตาและปล่อยให้ปีศาจออกมา ร่างของมันสั่นเทา ดวงตาแดงวาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความอับอาย “เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ปีศาจถาม ช่างตีเหล็กยิ้ม “ข้าก็แค่ใช้สิ่งที่ข้ามี คือ ค้อน เหล็ก และไหวพริบ”

ปีศาจถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง “เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ?” มันถามด้วยเสียงแผ่ว ช่างตีเหล็กเดินเข้าไปใกล้ “ข้าจะไม่ยกวิญญาณให้เจ้า ข้าจะใช้สัญญานั้นให้เป็นประโยชน์ และข้าจะไม่กลัวเจ้าอีกต่อไป” ปีศาจจ้องเขาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้

จากวันนั้นเป็นต้นมา ช่างตีเหล็กกลายเป็นคนที่ผู้คนเคารพยำเกรง ไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือ แต่เพราะเขาเคยปราบปีศาจด้วยค้อนของตนเอง ปีศาจยังคงปรากฏตัวเมื่อถูกเรียก แต่ไม่กล้าแสดงอำนาจอีกต่อไป มันกลายเป็นผู้รับใช้ที่เงียบงัน และช่างตีเหล็กก็ใช้ชีวิตอย่างสงบ แม้จะรู้ดีว่าสัญญายังไม่สิ้นสุด

เวลาผ่านไปหลายปี ช่างตีเหล็กแก่ตัวลง แต่ยังคงทำงานด้วยความขยันขันแข็ง วันหนึ่ง ขณะที่เขานั่งพักใต้ต้นไม้หน้าโรงตีเหล็ก เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนแรงกว่าที่เคย เขาหลับตาและนึกถึงสัญญาที่เคยทำไว้กับปีศาจ “ถึงเวลาที่เจ้าจะมาเอาสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วกระมัง” เขาพึมพำกับตนเอง

ปีศาจปรากฏตัวขึ้นทันที ร่างของมันดูใหญ่โตและน่ากลัวกว่าครั้งก่อน “เจ้าพร้อมจะไปกับข้าแล้วหรือยัง?” มันถามด้วยเสียงเย็นชา ช่างตีเหล็กยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ายังมีคำสั่งสุดท้ายให้เจ้าทำก่อนจะไป” ปีศาจเลิกคิ้ว “ว่ามา” ช่างตีเหล็กชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ “ข้าต้องการให้เจ้าปีนขึ้นไปบนยอดไม้ แล้วเก็บใบไม้ใบหนึ่งมาให้ข้า”

ปีศาจหัวเราะ “ง่ายเกินไปสำหรับข้า” มันกระโดดขึ้นต้นไม้ทันที แต่เมื่อมันแตะกิ่งไม้ ช่างตีเหล็กก็เอ่ยคำสั่งเสียงดัง “ข้าสั่งให้เจ้าติดอยู่บนต้นไม้นั้นจนกว่าจะมีคำสั่งใหม่!” ปีศาจร้องด้วยความตกใจ มันพยายามดิ้นรน แต่ไม่สามารถลงมาได้ “เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว!” มันตะโกน ช่างตีเหล็กหัวเราะเบา ๆ “ข้าแค่ใช้สิ่งที่ข้ามี…อีกครั้ง”

ปีศาจติดอยู่บนต้นไม้เป็นเวลานาน ไม่สามารถลงมาได้ แม้จะพยายามทุกวิถีทาง ช่างตีเหล็กใช้ชีวิตอย่างสงบในช่วงบั้นปลาย โดยไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป เขาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง พร้อมคำเตือนว่า “อย่าได้ทำข้อตกลงกับสิ่งที่เจ้าควบคุมไม่ได้ เว้นแต่เจ้าจะมีไหวพริบมากพอที่จะชนะมัน”

เมื่อช่างตีเหล็กสิ้นชีวิต ปีศาจก็ยังคงติดอยู่บนต้นไม้ และเรื่องราวของเขาก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานกันในหมู่บ้านและทั่วแคว้น ว่าแม้ปีศาจจะมีอำนาจมากเพียงใด แต่หากมนุษย์มีสติ ไหวพริบ และความกล้าหาญ ก็สามารถเอาชนะมันได้ นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่า หากเป็นบทเรียนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง