Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ

โทปอร์โกกับเจ้าชายทั้งเก้า (Lutonjica Toporko i devet župančića) : นิทานจากโครเอเชีย

“โทปอร์โกกับเจ้าชายทั้งเก้า” เป็นนิทานจากโครเอเชีย ที่ไม่เพียงเล่าเรื่องการถือกำเนิดของเจ้าชาย แต่ยังพาผู้อ่านดำดิ่งสู่ความหมายของการเติบโต การฟัง และการกลับคืนสู่รากเหง้าแห่งชีวิต นิทานเรื่องนี้มีโครงสร้างที่เรียบง่าย แต่แฝงด้วยสัญลักษณ์ทางธรรมชาติและจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ซึ่งหาได้ยากในนิทานร่วมสมัย

สิ่งที่ทำให้นิทานเรื่องนี้โดดเด่นจากงานอื่นของผู้แต่ง Ivana Brlić-Mažuranić  คือการเลือกใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือหลักในการเล่าเรื่อง แทนที่จะใช้บทสนทนาและเหตุการณ์ที่เร้าใจ ผู้เขียนกลับใช้ความนิ่งของป่า ความเงียบของต้นไม้ และเสียงที่ไม่มีถ้อยคำเป็นตัวนำทางให้ผู้อ่านเข้าใจตัวละครและโลกภายในของพวกเขา การดำเนินเรื่องจึงไม่ใช่การเคลื่อนไหว แต่เป็นการฟังอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้แต่งที่เชื่อในพลังของความสงบและการฟื้นคืนผ่านความทรงจำ

การเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ให้เข้าถึงผู้อ่านไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความต่างทางวัฒนธรรม ยุคสมัย และการใช้สัญลักษณ์ที่ไม่คุ้นเคย การแปลและเรียบเรียงจึงต้องอาศัยความตั้งใจอย่างสูงในการรักษาอารมณ์และจิตวิญญาณของต้นฉบับไว้ให้มากที่สุด โดยไม่ลดทอนความลึกของเรื่องราว แม้จะเข้าใจยากในบางช่วง แต่หากผู้อ่านเปิดใจฟังเสียงของต้นไม้ในเรื่องนี้ ก็อาจได้ใกล้ชิดกับหัวใจของผู้แต่งมากกว่าการอ่านงานอื่นใดของเขา สำหรับผู้ที่สนใจต้นฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้ภายใต้ชื่อ “Lutonjica Toporko i devet župančića” ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของวรรณกรรมพื้นบ้านโครเอเชีย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีผู้ครองแคว้นอันสงบสุข ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาและเปี่ยมด้วยปัญญา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พระทัยของทั้งสองยังไม่สมบูรณ์ คือการไม่มีบุตรไว้สืบสกุล แม้จะทรงอธิษฐานและเฝ้ารอด้วยความหวังมานานหลายปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าพระเจ้าจะประทานลูกให้

วันหนึ่ง พระราชาเสด็จออกล่าสัตว์ในป่าใหญ่ และเมื่อทรงหลงทางอยู่กลางพงไพร ท่ามกลางความเงียบงันของธรรมชาติ พระองค์ก็ได้พบชายชราผู้หนึ่งนามว่า เนอูมีโก (Neumijko) ผู้มีดวงตาลึกซึ้งและท่าทีสงบเยือกเย็น ชายชราผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นผู้รู้แห่งป่า ผู้ที่เข้าใจเสียงของต้นไม้และลมหายใจของแผ่นดิน

เนอูมีโกรับฟังความทุกข์ของพระราชาอย่างเงียบงัน ก่อนจะกล่าวว่า “หากพระองค์ปรารถนาจะมีบุตร ก็จงกลับไปยังพระราชวัง แล้วให้พระราชินีปลูกต้นไม้เก้าต้นไว้ในสวนหลวง ดูแลมันด้วยความรักและความอดทน ไม่เร่งรัด ไม่ถอนรากถอนโคน หากต้นไม้เติบโตดี วันหนึ่งพระองค์จะได้สิ่งที่ปรารถนา”

พระราชาทรงประหลาดใจ แต่ก็รับคำด้วยความหวัง เมื่อเสด็จกลับถึงวัง พระองค์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระราชินีฟัง และทั้งสองก็ลงมือปลูกต้นไม้เก้าต้นในสวนหลวงด้วยพระหัตถ์ของตนเอง

วันเวลาผ่านไป ต้นไม้ทั้งเก้าก็เติบโตขึ้นอย่างงดงาม ลำต้นตั้งตรง ใบเขียวชอุ่ม และแผ่กิ่งก้านราวกับจะโอบอุ้มท้องฟ้าไว้ พระราชาและพระราชินีดูแลต้นไม้เหล่านั้นด้วยความรักราวกับเป็นลูกของตนเอง และในคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวง แสงเงินสาดส่องลงมายังสวนหลวง ต้นไม้ทั้งเก้าก็สั่นไหวเบา ๆ และจากรากไม้ก็มีเสียงหัวเราะของเด็กชายดังขึ้น

รุ่งเช้า พระราชินีพบเด็กชายเก้าคน นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้แต่ละต้น เด็ก ๆ เหล่านั้นมีใบหน้าอ่อนโยน ดวงตาเปล่งประกาย และเมื่อพระราชินีอุ้มพวกเขาขึ้นมา ก็รู้ทันทีว่านี่คือคำตอบจากฟ้า

หลายปีผ่านไป เด็กชายทั้งเก้าคนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและมีคุณธรรม พวกเขาไม่เพียงเป็นเจ้าชาย แต่เป็นบุตรแห่งต้นไม้ที่พระราชินีปลูกด้วยความรัก ความอดทน และความศรัทธาในธรรมชาติ พี่ชายทั้งเก้าต่างมีนิสัยแตกต่างกันไป บางคนเงียบขรึม บางคนร่าเริง บางคนชอบเรียนรู้ บางคนชอบออกเดินทาง แต่ทุกคนล้วนมีหัวใจที่อ่อนโยนและเคารพในผู้ให้กำเนิด

พระราชาและพระราชินีทรงปลื้มปีติในลูกชายทั้งเก้า แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่า “ยังมีบางสิ่งที่ยังไม่ครบ” ราวกับเสียงของต้นไม้ยังไม่เงียบลงเสียทีเดียว และแล้ว ในคืนหนึ่งที่สายลมพัดผ่านสวนหลวงอย่างแผ่วเบา พระราชินีทรงฝันเห็นขวานเล็ก ๆ วางอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ขวานนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อฟันต้นไม้ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการแยกตัว การตัดใจ และการเลือกด้วยตนเอง

รุ่งเช้า พระราชินีเล่าความฝันให้พระราชาฟัง และในวันนั้นเอง เด็กชายคนที่สิบก็ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การถือกำเนิดจากต้นไม้ แต่จากความตั้งใจของพระราชินีที่จะ “ให้กำเนิดด้วยหัวใจของตนเอง” เด็กชายผู้นั้นมีนามว่า โทปอร์โก (Toporko) ซึ่งหมายถึง “ขวานเล็ก” ในภาษาของชาวแคว้น

โทปอร์โกเติบโตขึ้นมาอย่างแตกต่างจากพี่ชายทั้งเก้า เขาไม่ได้มีต้นไม้เป็นที่มา แต่มีความตั้งใจของแม่เป็นรากฐาน เขาเป็นเด็กที่เงียบขรึม ชอบฟังเสียงลม และมักตั้งคำถามกับสิ่งที่คนอื่นมองข้าม เขาไม่ได้แข็งแรงที่สุด หรือฉลาดที่สุด แต่เขามีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครเทียบได้ นั่นคือ…ความสามารถในการฟังสิ่งที่ไม่มีเสียง และเข้าใจสิ่งที่ไม่มีคำพูด

เมื่อโทปอร์โกโตขึ้นจนถึงวัยหนุ่ม เขาเริ่มสังเกตว่าพี่ชายทั้งเก้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป พวกเขาเริ่มห่างเหินจากธรรมชาติ ไม่ออกไปดูแลต้นไม้เหมือนเคย และบางคนเริ่มพูดถึงการออกเดินทางไปยังดินแดนอื่นเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต พระราชาและพระราชินีทรงเป็นห่วง แต่ก็ไม่อาจห้ามปรามได้ เพราะการเติบโตคือการเลือกด้วยตนเอง

และแล้ววันหนึ่ง พี่ชายทั้งเก้าก็ออกเดินทางโดยไม่บอกลา พวกเขาเดินทางไปยังทิศต่าง ๆ และหายไปจากแคว้นอย่างไร้ร่องรอย พระราชินีทรงเฝ้ารอด้วยความหวัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ความหวังก็เริ่มกลายเป็นความเงียบ พระราชาเองก็ทรงเศร้า และเริ่มหลีกเลี่ยงสวนหลวงที่เคยเป็นที่รวมของครอบครัว

โทปอร์โกไม่พูดอะไร แต่เขาเริ่มเดินไปยังต้นไม้ทั้งเก้าในทุกเช้า เขาแตะลำต้นเบา ๆ ฟังเสียงใบไม้ และเฝ้ารอคำตอบจากสิ่งที่ไม่มีเสียง วันหนึ่ง เขากล่าวกับพระราชาว่า “ข้าจะออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งเก้า ไม่ใช่เพื่อพาพวกเขากลับมา แต่เพื่อฟังว่าพวกเขาได้ยินอะไรบ้างระหว่างทาง”

พระราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า และมอบขวานเล็กที่พระราชินีเคยฝันถึงให้แก่โทปอร์โก พร้อมคำพูดเพียงประโยคเดียว “จงฟังให้ลึกกว่าที่ข้าเคยฟัง”

……

โทปอร์โก (Toporko) ออกเดินทางในยามเช้าตรู่ โดยมีเพียงขวานเล็กที่พระราชาทรงมอบให้ และเสียงของต้นไม้ในใจเป็นเพื่อนร่วมทาง เขาไม่ได้เร่งรีบ แต่เดินอย่างมั่นคงผ่านทุ่งหญ้า ลำธาร และหมู่บ้านที่เงียบงัน เขาไม่ถามใครถึงทางไปยังพี่ชายทั้งเก้า เพราะเขารู้ดีว่าคำตอบไม่ได้อยู่ในถ้อยคำของมนุษย์ แต่อยู่ในเสียงที่ไม่มีใครฟัง

หลายวันผ่านไป เขาเข้าสู่ป่าที่ลึกและเงียบที่สุดในแคว้น ป่าแห่งนี้ไม่เหมือนป่าใดที่เขาเคยพบ มันไม่มีเสียงนก ไม่มีเสียงลม มีเพียงความนิ่งที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกใบไม้ ทุกกิ่งไม้ดูเหมือนจะหยุดหายใจ และแสงแดดก็ไม่อาจส่องผ่านลงมาได้เต็มที่ โทปอร์โกรู้ทันทีว่าเขาได้เข้าสู่ “ป่าแห่งการลืม” สถานที่ที่พี่ชายทั้งเก้าหายไป

เขาเดินต่อไปโดยไม่ลังเล และในค่ำคืนหนึ่ง ขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงเบา ๆ ก็แว่วขึ้นจากพุ่มไม้ใกล้เคียง เป็นเสียงของเด็กชายคนหนึ่งที่พูดกับต้นไม้ว่า “ทำไมข้าจำบ้านไม่ได้เลย” โทปอร์โกลุกขึ้นและเดินไปยังต้นไม้ต้นนั้น เขาพบชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่คนเดียว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า แต่ในดวงตายังมีประกายบางอย่างที่ไม่ดับสูญ

“เจ้าคือหนึ่งในพี่ชายของข้าใช่ไหม” โทปอร์โกถามเบา ๆ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้า ๆ “ข้าเคยเป็น…แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าข้าเคยเป็นใคร” โทปอร์โกไม่ตอบ แต่หยิบขวานเล็กขึ้นมา และแตะเบา ๆ ที่ลำต้นของต้นไม้ใกล้ตัวชายหนุ่ม เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเขา มันเป็นเสียงที่ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า “เขายังอยู่…เขายังฟังได้”

วันต่อมา โทปอร์โกเดินลึกเข้าไปในป่า และพบพี่ชายอีกคนในลำธารที่นิ่งสนิท อีกคนในถ้ำที่มีแสงจันทร์ลอดผ่าน อีกคนในทุ่งหญ้าที่ไม่มีดอกไม้ และอีกคนในเงาของต้นไม้ที่ไม่เคยสั่นไหว เขาพบพี่ชายทีละคน ไม่ใช่ด้วยการตามหา แต่ด้วยการฟัง เมื่อเขาแตะขวานเล็กลงบนพื้นดินหรือกิ่งไม้ใกล้ตัวพี่ชายแต่ละคน เสียงของความทรงจำก็เริ่มกลับมาอย่างช้า ๆ

พี่ชายทั้งเก้าไม่ได้ถูกคำสาปให้ลืมเพราะความผิด แต่เพราะพวกเขาเลือกที่จะละทิ้งเสียงของต้นไม้ เลือกที่จะเติบโตโดยไม่ฟังสิ่งที่เคยดูแลพวกเขา และเมื่อพวกเขาหลงทางในป่าแห่งการลืม เสียงของธรรมชาติก็เงียบลงจากใจของพวกเขา

โทปอร์โกไม่ได้ตำหนิพี่ชาย แต่เขาเลือกที่จะฟังแทน เขาไม่พยายามปลุกพวกเขาด้วยคำพูด แต่ด้วยการอยู่เคียงข้าง และแตะขวานลงบนสิ่งที่เคยมีชีวิต

……..

การที่โทปอร์โก (Toporko) ได้พบพี่ชายทั้งเก้าคนในป่าแห่งการลืม เขาไม่ได้พยายามพาพวกเขากลับบ้านทันที หากแต่เลือกอยู่เคียงข้างพวกเขาอย่างเงียบ ๆ เขาใช้เวลาหลายวันในแต่ละที่ ฟังเสียงของต้นไม้ที่พี่ชายเคยเติบโตจากมัน และแตะขวานเล็กลงบนรากไม้ที่ยังคงเต้นเบา ๆ ใต้ดิน

พี่ชายแต่ละคนเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ไม่ใช่เพราะถูกปลุกด้วยเวทมนตร์ แต่เพราะความเงียบของโทปอร์โกทำให้พวกเขาเริ่มฟังอีกครั้ง พวกเขาเริ่มจำได้ว่าตนเคยมีบ้าน เคยมีแม่ที่ปลูกต้นไม้ด้วยมือเปล่า เคยมีพ่อที่เฝ้าดูการเติบโตของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ และเคยมีน้องชายที่เกิดจากความตั้งใจ ไม่ใช่จากรากไม้

เมื่อความทรงจำกลับคืนมา พี่ชายทั้งเก้าก็รวมตัวกันอีกครั้งใต้ต้นไม้ใหญ่กลางป่า โทปอร์โกยืนอยู่ตรงกลาง และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาพาเจ้ากลับบ้าน ข้ามาเพื่อให้เจ้ารู้ว่าเจ้ามีบ้านอยู่ในใจเสมอ” พี่ชายทั้งเก้ามองหน้ากัน และในแววตาของพวกเขามีประกายของต้นไม้ที่เคยเติบโตจากความรัก

ในคืนหนึ่งที่พระจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง แสงเงินสาดส่องลงมายังพื้นดินที่พี่น้องทั้งสิบยืนอยู่ เสียงของต้นไม้ดังขึ้นในใจของทุกคน เสียงที่เคยเงียบไปนาน เสียงที่ไม่ใช่คำพูด แต่เป็นความรู้สึกว่า “เจ้ากลับมาแล้ว”

พี่ชายทั้งเก้าก้มลงแตะพื้นดิน และโทปอร์โกก็วางขวานเล็กลงบนรากไม้ที่เขาเคยฟัง เสียงของป่าเปลี่ยนไป ลมเริ่มพัด ใบไม้เริ่มสั่น และแสงจันทร์ก็สว่างขึ้นราวกับจะโอบอุ้มทุกชีวิตไว้ในอ้อมแขน

รุ่งเช้าในวันถัดมา พี่น้องทั้งสิบออกเดินทางกลับสู่แคว้นของตน ไม่ใช่ด้วยความเร่งรีบ แต่ด้วยความสงบ พวกเขาเดินผ่านทุ่งหญ้า ลำธาร และหมู่บ้านที่เคยเงียบงัน แต่ครั้งนี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

เมื่อพวกเขามาถึงวัง พระราชาและพระราชินีออกมาต้อนรับด้วยน้ำตาแห่งความสุข พระราชินีทรงแตะใบหน้าของลูกชายแต่ละคน และกล่าวว่า “เจ้าคือผลของต้นไม้ที่ข้าเคยปลูกด้วยมือเปล่า และเจ้าคือผลของหัวใจที่ข้าเคยตั้งใจให้เกิดขึ้น” โทปอร์โกยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร เพราะเขารู้ดีว่า คำพูดไม่อาจแทนเสียงของต้นไม้ได้

จากวันนั้นเป็นต้นมา พี่น้องทั้งสิบไม่ได้เป็นเพียงเจ้าชาย แต่เป็นผู้ดูแลต้นไม้ทั้งเก้าในสวนหลวง พวกเขาไม่เพียงเฝ้าดูการเติบโต แต่ฟังเสียงของใบไม้ ลมหายใจของดิน และความเงียบของรากไม้ที่ยังคงเต้นอยู่ใต้พื้นดิน

และนิทานเรื่องนี้ก็ถูกเล่าขานต่อไปในหมู่บ้านและแคว้นต่าง ๆ เพื่อเตือนใจผู้คนว่า การเติบโตไม่ใช่การออกเดินทางเพียงอย่างเดียว หากแต่คือการฟังสิ่งที่เคยดูแลเรา และกลับคืนสู่รากที่ไม่เคยหายไป

จบบริบูรณ์.

บทตาม: (จากนิทานนำบุญ)

นิทานเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเจ้าชายสิบคน แต่คือเรื่องของการฟังสิ่งที่ไม่มีเสียง และการกลับคืนสู่รากเหง้าที่เคยดูแลเราอย่างเงียบ ๆ

โทปอร์โกเป็นเจ้าชายที่เกิดจากความตั้งใจของแม่ ไม่ใช่จากต้นไม้เหมือนพี่ชายทั้งเก้า เขาไม่พูดมาก แต่ฟังเก่ง ฟังเสียงลม เสียงใบไม้ และเสียงในใจของคนที่หลงทาง เขาไม่ได้ออกเดินทางเพื่อพาพี่ชายกลับบ้าน แต่เพื่อฟังว่าแต่ละคนได้ยินอะไรบ้างระหว่างทาง

บางครั้ง เราอาจไม่ต้องพูดเยอะ แค่ฟังด้วยหัวใจ ก็อาจช่วยให้คนที่เรารักรู้สึกดีขึ้นได้ นิทานเรื่องนี้อยากบอกเราว่า…การเติบโตไม่ใช่แค่การออกเดินทาง แต่คือการฟังสิ่งที่เคยดูแลเรา และจำไว้ว่าบ้าน…อาจอยู่ในใจเราตลอดเวลา แม้เราจะลืมไปชั่วคราว.

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานนานาชาติ, นิทานโครเอเชีย

ป่าแห่งเทพผู้พิทักษ์ (Stribor’s Forest) : นิทานแห่งรักแท้และความลวง

Ivana Brlić-Mažuranić คือหนึ่งในนักเขียนหญิงที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโครเอเชีย ผลงานของเธอได้รับการเปรียบเทียบกับ Hans Christian Andersen และ J.R.R. Tolkien ด้วยความสามารถในการสร้างโลกแห่งนิทานที่ทั้งลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยจินตนาการ เธอเกิดในปี ค.ศ. 1874 และเติบโตในครอบครัวนักคิดและนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในประเทศ Ivana เขียนนิทานด้วยภาษาที่ละเมียดละไมและแฝงปรัชญาอย่างแนบเนียน ผลงานชุด Priče iz davnine (“Tales of Long Ago”) ซึ่งรวมถึงเรื่อง Stribor’s Forest ได้รับการบรรจุในหลักสูตรการศึกษาของโครเอเชีย และยังถูกนำไปดัดแปลงเป็นละคร ภาพยนตร์ และงานศิลปะหลากหลายแขนง

นิทานเรื่อง Stribor’s Forest ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าของแม่และลูกชาย แต่เป็นภาพสะท้อนของแนวคิดพื้นบ้าน ความเชื่อทางศาสนา และคุณค่าทางศีลธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมสลาฟ นักวิชาการด้านวรรณกรรมชี้ว่าเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง “ความรักแท้ที่กล้าหาญ” และ “การเลือกความทุกข์เพื่อรักษาความผูกพัน” ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นแม่ในบริบทของสังคมโครเอเชีย เทพแห่งป่าสตรีบอร์ในเรื่องไม่ได้เป็นเพียงตัวละครแฟนตาซี แต่เป็นตัวแทนของธรรมชาติที่มีจิตวิญญาณ และเป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรมเหนือมนุษย์ นิทานเรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนทางจริยธรรมที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของนิทานพื้นบ้านอย่างงดงาม

การเรียบเรียงใหม่ในครั้งนี้จัดทำขึ้นด้วยความเคารพอย่างสูงต่อต้นฉบับ โดยคงไว้ซึ่งโครงเรื่อง ตัวละคร และอารมณ์หลัก พร้อมปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบที่เข้าถึงได้มากขึ้น เราแบ่งเรื่องออกเป็น 6 ตอนเพื่อให้ผู้อ่านค่อย ๆ ซึมซับอารมณ์และความหมายอย่างลึกซึ้ง และพยายามรักษาสัญลักษณ์และปรัชญาเดิมให้มากที่สุด เราขอเชิญชวนให้ผู้อ่านลองค้นหาต้นฉบับมาอ่านเพิ่มเติม หรือศึกษาวัฒนธรรมโครเอเชียและประเทศอื่น ๆ เพราะในโลกใบนี้มีภูมิปัญหาที่มีค่าซ่อนอยู่มากมายในนิทาน เรื่องเล่า และความเชื่อของแต่ละชนชาติ ซึ่งล้วนเป็นประตูสู่ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

ตอนที่ 1: บ้านกลางป่าที่เงียบงัน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับลูกชายในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมป่าลึก บ้านของพวกเขาเรียบง่าย ไม่มีสิ่งหรูหรา แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากความรักที่แม่มีต่อลูกชาย และความกตัญญูที่ลูกมีต่อแม่ ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยขาดสิ่งจำเป็น พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งที่มี และพึ่งพากันด้วยความเข้าใจที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด

หญิงชราเป็นคนใจดีและอดทน แม้จะมีอายุมากแล้ว แต่เธอยังทำงานบ้านด้วยตนเองทุกวัน เธออบขนมปัง ปลูกผัก และดูแลลูกชายด้วยความรักที่ไม่เคยลดน้อยลง ส่วนลูกชายก็เป็นชายหนุ่มที่ขยันขันแข็ง เขาออกไปทำงานในหมู่บ้านใกล้เคียง และกลับบ้านทุกเย็นพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้แม่รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย

วันหนึ่ง ลูกชายตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองใหญ่เพื่อซื้อของใช้บางอย่างที่หายากในหมู่บ้าน เขาออกเดินทางแต่เช้าตรู่ โดยสัญญากับแม่ว่าจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน หญิงชราจัดห่ออาหารให้เขาอย่างเงียบ ๆ และส่งเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

หลายวันผ่านไป หญิงชรานั่งรออยู่หน้าบ้านทุกเย็น เธอเฝ้ามองเส้นทางที่ทอดยาวเข้าสู่ป่าอย่างเงียบงัน หวังว่าจะเห็นลูกชายกลับมาในไม่ช้า และแล้ว ในเย็นวันหนึ่ง ลูกชายก็กลับมาจริง ๆ แต่เขาไม่ได้กลับมาคนเดียว…

ตอนที่ 2: เงาลวงในรูปลักษณ์งดงาม

ลูกชายของหญิงชราเดินทางกลับมาถึงบ้านในยามเย็น พร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาแนะนำว่าเป็นภรรยาของเขา หญิงสาวผู้นั้นมีรูปร่างบอบบาง ผิวขาวราวหิมะ และดวงตาสีดำสนิทที่ดูทั้งลึกลับและเย็นชา เธอสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านแต่เรียบง่าย และมีท่าทีสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าสามี แต่ในแววตาของเธอกลับมีบางสิ่งที่ทำให้หญิงชรารู้สึกไม่สบายใจ

ลูกชายเล่าว่าเขาพบหญิงสาวคนนี้ระหว่างเดินทางในเมืองใหญ่ เธอเล่าให้เขาฟังว่าเคยเป็นลูกสาวของพ่อค้าที่มั่งคั่ง แต่ครอบครัวของเธอล่มสลายจนต้องระหกระเหินมาเพียงลำพัง เขารู้สึกสงสารและประทับใจในความงามและความอ่อนโยนของเธอ จึงตัดสินใจแต่งงานและพากลับมาบ้านโดยไม่ลังเล

หญิงชราฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยใจที่หนักอึ้ง แม้เธอจะไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติในตัวหญิงสาวผู้นี้ แม้จะไม่มีหลักฐานใด ๆ แต่สัญชาตญาณของแม่บอกเธอว่า ความสงบสุขที่เคยมีอาจกำลังถูกคุกคาม

หลังจากนั้นไม่นาน ความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มปรากฏชัด หญิงสาวแสดงท่าทีไม่เคารพหญิงชราอย่างเปิดเผย เธอมักพูดจาเสียดสี ใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน และแสดงความรำคาญต่อการมีอยู่ของแม่สามี แม้ต่อหน้าลูกชาย เธอจะทำตัวอ่อนหวานและวางท่าทางเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ตามลำพังกับหญิงชรา เธอกลับกลายเป็นคนละคน

หญิงชราพยายามอดทนต่อพฤติกรรมเหล่านั้น เธอไม่อยากให้ลูกชายต้องลำบากใจ และยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งหญิงสาวจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความหวังนั้นก็ยิ่งเลือนรางลง หญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจแม้แต่เรื่องเล็กน้อย และบางครั้งก็พูดจาให้ลูกชายเข้าใจผิดแม่ของเขา

หญิงชรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ร่วมกับเงาลวงที่แฝงตัวในรูปลักษณ์งดงาม เธอเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดในตัวหญิงสาว เช่น แววตาที่เย็นชาจนผิดธรรมชาติ และเสียงลมหายใจที่บางครั้งฟังดูคล้ายเสียงขู่ของสัตว์ร้ายในเงามืดของป่า

คืนหนึ่ง ขณะที่หญิงชราตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงกระซิบแปลก ๆ จากนอกบ้าน เธอแอบเดินตามเสียงนั้นไปจนถึงชายป่า และได้เห็นหญิงสาวกำลังพูดคุยกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นชัดเจน เสียงของหญิงสาวในยามนั้นไม่ใช่เสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน มันเย็นชาและแฝงด้วยความเย้ยหยันที่ทำให้หญิงชราขนลุก

เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงชรานั่งนิ่งอยู่หน้ากองไฟที่ใกล้จะมอด เธอรู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และสิ่งที่เธอหวาดกลัวอาจเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย

ตอนที่ 3: ความรักที่ไม่ถูกมองเห็น

หลังจากหญิงชราได้เห็นพฤติกรรมและความเปลี่ยนแปลงในบ้านของตน เธอเริ่มรู้สึกว่าความสงบสุขที่เคยมีนั้นกำลังถูกกลืนหายไปทีละน้อย แม้เธอจะพยายามอดทนและไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ แต่ความเจ็บปวดในใจกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน หญิงสาวที่ลูกชายพามาอยู่ด้วยไม่เพียงแค่หยาบคายและไม่เคารพ แต่ยังพยายามทำให้ลูกชายเข้าใจผิดแม่ของเขาอยู่บ่อยครั้ง

หญิงชราพยายามเตือนลูกชายด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน เธอเล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่เธอเห็นและรู้สึก แต่ลูกชายกลับไม่เชื่อ เขามองแม่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป และกล่าวหาว่าแม่ไม่ยอมรับภรรยาของเขาเพียงเพราะอคติ หญิงชรานิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่เธอก็ไม่โต้เถียง เพราะเธอรู้ว่าการเถียงจะยิ่งทำให้ลูกชายห่างไกลจากความจริง

วันต่อมา หญิงชราเริ่มสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นในตัวหญิงสาว เช่น เสียงลมหายใจที่คล้ายเสียงขู่ของงู และแววตาที่เปลี่ยนไปในยามค่ำคืน เธอเริ่มแน่ใจว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่แฝงตัวมาในคราบของมนุษย์

คืนหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวออกไปเดินในป่า หญิงชราตัดสินใจแอบสะกดรอยตามอย่างเงียบ ๆ เธอเดินตามแสงจันทร์ที่ลอดผ่านยอดไม้ และเสียงฝีเท้าที่เบาแต่มั่นคงของหญิงสาว จนกระทั่งถึงบริเวณที่เงียบงันที่สุดของป่า ที่นั่น หญิงชราได้เห็นหญิงสาวกำลังพูดคุยกับบางสิ่งบางอย่างที่เธอมองไม่เห็นชัดเจน เสียงของหญิงสาวในยามนั้นไม่ใช่เสียงที่เธอเคยได้ยินมาก่อน มันเย็นชาและแฝงด้วยความเย้ยหยันที่ทำให้หญิงชราขนลุก

เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงชรานั่งนิ่งอยู่หน้ากองไฟที่ใกล้จะมอด เธอรู้แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา และสิ่งที่เธอหวาดกลัวอาจเป็นความจริงที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะลูกชายของเธอยังคงหลงใหลในหญิงสาวอย่างหมดใจ และไม่ยอมฟังคำเตือนใด ๆ จากแม่ของเขาเลย

สามเดือนผ่านไป หญิงชรายังคงอดทนอยู่ในบ้านหลังเดิมกับลูกชายและหญิงสาวผู้ลึกลับ เธอเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเงียบงัน และภาวนาให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่วยเปิดเผยความจริงที่เธอไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยคำพูดเพียงลำพัง

ตอนที่ 4: ป่าแห่งการทดสอบ

หลังจากหญิงชราแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวที่ลูกชายแต่งงานด้วยไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เธอเริ่มรู้สึกหมดหนทางในการปกป้องลูกชายจากสิ่งที่เขาไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทุกคำเตือนของเธอถูกปฏิเสธด้วยความไม่เชื่อ และทุกความพยายามกลับกลายเป็นความเจ็บปวดที่สะสมอยู่ในใจอย่างเงียบงัน

วันหนึ่ง ขณะที่หญิงชรานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมป่า เธอหลับตาและอธิษฐานด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักและความหวัง เธอไม่ได้ขอให้ลูกชายเปลี่ยนใจทันที ไม่ได้ขอให้หญิงสาวหายไป แต่ขอเพียงให้มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งช่วยเปิดเผยความจริง เพื่อให้ลูกชายได้เห็นด้วยตนเอง

ในยามค่ำคืนที่เงียบงัน ขณะที่ลมพัดผ่านใบไม้ด้วยเสียงที่แผ่วเบา หญิงชรานั่งอยู่คนเดียวในป่าลึก เธอไม่ได้ร้องไห้ด้วยเสียง หากแต่หยดน้ำตาไหลลงบนมือที่สั่นเทาอย่างเงียบ ๆ และแล้ว ท่ามกลางความเงียบของธรรมชาติ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง เป็นเสียงที่ไม่ใช่เสียงของสัตว์ หรือเสียงของมนุษย์ แต่เป็นเสียงที่แฝงด้วยพลังและความสงบในคราเดียวกัน

เทพแห่งป่าสตรีบอร์ปรากฏตัวขึ้นในแสงจันทร์ที่สาดผ่านหมู่ไม้ ท่านมีรูปลักษณ์ที่งดงามและน่าเกรงขาม ผิวของท่านเปล่งประกายราวกับแสงของใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง และดวงตาของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาที่ลึกซึ้ง ท่านมองหญิงชราด้วยสายตาที่ไม่ต้องการคำอธิบาย และกล่าวว่า “เจ้ามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องมาหาเจ้าในคืนนี้”

หญิงชรานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับตัวหรือเอ่ยคำใดออกมา เทพแห่งป่าจึงกล่าวต่อว่า “ข้าจะให้เจ้าได้กลับสู่วัยเยาว์อีกครั้ง ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกที่ปราศจากความทุกข์ระทม เจ้าจะลืมความเศร้าทั้งหมด และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้ง”

หญิงชรานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน แต่ข้ารักลูกชายของข้า ข้าจะไม่ทิ้งเขาไป แม้ต้องทนทุกข์ หากข้าละทิ้งความเจ็บปวดนี้เสีย ข้าจะเป็นแม่ได้อย่างไร”

คำตอบนั้นทำให้เทพแห่งป่าหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าช่างมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ความรักของเจ้าทำให้ข้าต้องจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

ตอนที่ 5: ทางเลือกของแม่

หลังจากเทพแห่งป่ารับรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของหญิงชรา ท่านจึงตัดสินใจช่วยเปิดเผยความจริงที่ถูกปกปิดไว้ ท่านไม่ได้ใช้พลังเพื่อทำลาย หากแต่ใช้เพื่อปลดเปลื้องสิ่งลวงที่บดบังสายตาและหัวใจของผู้คน ท่านกล่าวกับหญิงชราว่า “เจ้าจงพาลูกชายของเจ้ามายังป่าแห่งนี้ แล้วข้าจะให้เขาได้เห็นความจริงด้วยตาของเขาเอง”

วันต่อมา หญิงชราตัดสินใจพาลูกชายเข้าไปในป่า แม้เขาจะลังเล แต่ก็ยอมตามแม่ไปด้วยความเคารพ เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า พวกเขาก็พบกับสถานที่ที่เงียบงันและงดงามราวกับอยู่ในโลกอื่น แสงแดดลอดผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำแสงอ่อน ๆ และเสียงลมที่พัดผ่านใบไม้ก็ฟังดูคล้ายเสียงกระซิบของธรรมชาติ

เมื่อทั้งสองมาถึงจุดที่เทพแห่งป่ารออยู่ ท่านปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ ลูกชายได้เห็นด้วยตาตนเอง และรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เทพแห่งป่ามองเขาด้วยสายตาที่สงบ และกล่าวว่า “เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่แม่ของเจ้ารู้มาโดยตลอด”

ทันใดนั้น ลมในป่าก็พัดแรงขึ้นราวกับเสียงโหยหวน เทพแห่งป่ายกมือขึ้น แล้วร่ายมนตร์เพื่อเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ในร่างของหญิงสาว ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงครู่หนึ่ง หญิงสาวที่เคยดูงดงามก็สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล เธอร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด และร่างของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาทุกคน

ผิวของเธอเริ่มเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีดำ ดวงตากลายเป็นดวงตาของสัตว์เลื้อยคลาน และร่างของเธอก็ยืดยาวออกจนกลายเป็นงูพิษที่น่ากลัว งูตัวนั้นเลื้อยหนีเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว และไม่เคยกลับมาอีกเลย

ลูกชายยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นด้วยความตกใจ เขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ในทันที เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ เขาหันไปมองแม่ของเขา และเห็นน้ำตาที่ไหลลงบนใบหน้าที่อ่อนล้าแต่เปี่ยมด้วยความรัก

เขาคุกเข่าลงต่อหน้าแม่ และกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่…ข้าขอโทษ ข้าไม่เคยฟังคำเตือนของแม่เลย ข้าไม่เคยเห็นความจริงจนกระทั่งวันนี้ ข้าทำให้แม่ต้องเจ็บปวดมากมายโดยไม่รู้ตัว”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

ตอนที่ 6: การคืนสู่ความจริง

หลังจากเหตุการณ์ในป่า ลูกชายของหญิงชราได้เห็นความจริงที่เขาเคยปฏิเสธด้วยตาของตนเอง ร่างของหญิงสาวที่เขาหลงรักกลายเป็นงูพิษ และเลื้อยหายเข้าไปในเงามืดของป่าโดยไม่มีวันย้อนกลับมาอีก ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ใช่ความสงบ แต่เป็นความสำนึกที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของชายหนุ่ม

เขาหันไปมองแม่ของเขาอีกครั้ง และเห็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน แม้จะมีรอยน้ำตา แต่ในแววตานั้นกลับไม่มีความโกรธหรือตำหนิ มีเพียงความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขากอดแม่แน่น และกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “แม่…ข้าทำผิดไปมาก ข้าไม่เคยฟังแม่เลย ข้าทำให้แม่ต้องเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว”

หญิงชราลูบหลังลูกชายเบา ๆ และยิ้มทั้งน้ำตา “ลูกกลับมาแล้ว แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว”

หลังจากนั้น ทั้งสองกลับไปใช้ชีวิตในบ้านหลังเล็กที่เงียบงันริมป่า แม้จะไม่มีหญิงสาวคนนั้นอีกต่อไป แต่ความสงบสุขที่เคยหายไปก็กลับคืนมาอย่างช้า ๆ พวกเขาเรียนรู้ที่จะรักและปกป้องกันและกันมากยิ่งขึ้น และเข้าใจว่าความรักแท้ไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการยืนหยัดอยู่เคียงข้าง แม้ในวันที่อีกฝ่ายหลงทาง

ในป่าสตรีบอร์ เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ยังคงดังราวกับเสียงเพลง เป็นเสียงที่ไม่ใช่เพียงธรรมชาติ แต่เป็นเสียงของความรักที่ไม่ยอมแพ้ต่อความลวง เป็นเสียงของแม่ผู้เลือกความเจ็บปวดเพื่อรักษาความผูกพัน และเป็นเสียงของความจริงที่ไม่อาจถูกกลบด้วยรูปลักษณ์หรือคำพูดใด ๆ

นิทานเรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าของหญิงชราและลูกชาย แต่เป็นบทเรียนของความรักที่กล้าหาญ ความอดทนที่ไม่หวังผลตอบแทน และความจริงที่รอคอยการเปิดเผยในเวลาที่เหมาะสม.

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานโครเอเชีย

เรย์กอช (Regoč): นิทานคลาสสิกจากโครเอเชีย โดย Ivana Brlić-Mažuranić ที่ควรอ่านสักครั้งในชีวิต

นิทานพื้นบ้านคือรากฐานทางวัฒนธรรมที่หลายประเทศให้ความสำคัญ โครเอเชียเป็นหนึ่งในประเทศที่ยกย่องนักเขียนนิทานในฐานะผู้สืบทอดจิตวิญญาณของชาติ โดยเฉพาะ Ivana Brlić-Mažuranić นักเขียนหญิงผู้ได้รับฉายาว่า “แอนเดอร์เซนแห่งโครเอเชีย” ผลงานของเธอได้รับการบรรจุในหลักสูตรการศึกษา ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล และยังเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดงานศิลปะหลากหลายแขนงในประเทศของเธอ

“เรย์กอช” (Regoč) คือหนึ่งในนิทานที่ทรงพลังที่สุดของ Ivana เรื่องราวของยักษ์ผู้เงียบขรึมและนางฟ้าผู้กล้าหาญที่ร่วมกันเดินทางเพื่อช่วยเหลือผู้คน แม้จะเป็นนิทานสำหรับเด็ก แต่กลับแฝงด้วยปรัชญาเกี่ยวกับความเมตตา ความเข้าใจ และการเปลี่ยนแปลง นักวิจารณ์วรรณกรรมชี้ว่านิทานเรื่องนี้สะท้อนแนวคิดมนุษยนิยม ผ่านโครงสร้างนิทานพื้นบ้านอย่างงดงาม และสามารถตีความได้ลึกซึ้งในหลายระดับ

การเรียบเรียงใหม่ครั้งนี้จัดทำขึ้นด้วยความเคารพต่อต้นฉบับ โดยคงไว้ซึ่งโครงเรื่อง ตัวละคร และอารมณ์หลัก พร้อมปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยได้สัมผัสเสน่ห์ของวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบที่เข้าถึงได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับวิธีการเล่า แต่จิตวิญญาณของเรื่องยังคงเดิม

ในเรื่องของลิขสิทธิ์ นิทานเรื่องนี้ถือเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เนื่องจากผู้แต่งถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1938 และลิขสิทธิ์หมดอายุตามกฎหมายระหว่างประเทศ การเผยแพร่ฉบับเรียบเรียงใหม่จึงสามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อสืบสานคุณค่าทางวรรณกรรม ยกย่องภูมิปัญญาของโครเอเชีย ไม่ใช่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

หากผู้อ่านต้องการสัมผัสต้นฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์วรรณกรรมของโครเอเชีย เช่น lektire.hr ซึ่งมีเนื้อหาภาษาโครเอเชียให้ศึกษาเพิ่มเติม ต้นฉบับมีความยาวและรายละเอียดลึกซึ้งกว่าฉบับเรียบเรียงใหม่ การอ่านต้นฉบับคือการเปิดประตูสู่โลกของนิทานพื้นบ้านยุโรปที่งดงามและทรงคุณค่าอย่างแท้จริง

ตอนที่ 1: เมืองที่หลับใหล

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนที่ผู้คนลืมเลือน มีเมืองโบราณชื่อว่าเลเกนกราด (Legen-grad) ตั้งอยู่กลางหุบเขาอันเงียบสงบ เมืองแห่งนี้เคยรุ่งเรืองในอดีตกาล มีหอคอยสูงตระหง่านและกำแพงหินที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็พากันจากไป เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และมอสเขียวหนาแน่น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงฝีเท้า มีเพียงสายลมที่พัดผ่านซอกหินอย่างแผ่วเบา ราวกับเมืองทั้งเมืองกำลังหลับใหลอยู่ใต้ผืนฟ้า

ในซากเมืองแห่งนั้น มีสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงอาศัยอยู่ เขาคือเรย์กอช (Regoč) ยักษ์ชราผู้รักความสงบ เรย์กอชมีร่างกายใหญ่โตจนต้นไม้ต้องโน้มกิ่งหลบเมื่อเขาเดินผ่าน ผิวของเขาเป็นสีเขียวหม่นคล้ายหินที่มีมอสขึ้นปกคลุม ดวงตามีแววครุ่นคิด แต่สงบนิ่ง ราวกับบึงที่ไม่เคยถูกรบกวน

เรย์กอชไม่รู้จักโลกภายนอก เขาไม่รู้ว่าผู้คนพูดกันอย่างไร ไม่รู้ว่ามีเมืองอื่นอยู่ไกลออกไป เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย นั่งเงียบ ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ที่ยังคงไหลผ่านเมือง และเฝ้ามองดอกไม้ป่าที่ผลิบานตามฤดูกาล เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีพละกำลังมหาศาล เพราะไม่เคยมีเหตุให้ต้องใช้มัน ไม่เคยมีใครมาขอให้ช่วยเหลือ และเขาก็ไม่เคยคิดจะออกไปช่วยใคร

แต่ในความเงียบงันนั้น เรย์กอชไม่ได้รู้สึกเหงา เขาไม่รู้จักคำว่า “เหงา” ด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่เคยมีเพื่อน ไม่เคยมีใครให้เปรียบเทียบ เขาเพียงอยู่กับธรรมชาติ อยู่กับหิน ดิน และลมที่พัดผ่าน และนั่นก็เพียงพอสำหรับเขา

ตอนที่ 2: นางฟ้าผู้มาเยือน

วันหนึ่ง ขณะที่เรย์กอชกำลังนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร เขาได้ยินเสียงบางอย่างที่ไม่คุ้นเคย มันเป็นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่ก้าวผ่านหญ้าและใบไม้แห้ง เสียงนั้นไม่เหมือนเสียงสัตว์ป่าที่เขาเคยได้ยิน มันมีจังหวะที่มั่นคงและตั้งใจ ราวกับผู้มาเยือนรู้ว่าตนกำลังมุ่งหน้าไปที่ใด เรย์กอชเงยหน้าขึ้นช้า ๆ และมองไปยังทิศทางของเสียง

สักครู่หนึ่ง มีหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ปรากฏตัวขึ้นจากแนวพุ่มไม้ เธอมีผมสีทองยาวเป็นลอน สวมชุดพื้นเมืองที่ปักลายอย่างประณีต และมีปีกโปร่งใสที่สะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ จนดูราวกับแสงดาวในยามเช้า เธอชื่อว่าโคเชนกา (Kosjenka) เป็นนางฟ้าผู้กล้าหาญจากเมืองดูลาเบีย (Đulabija) ที่อยู่ห่างออกไปหลายวันเดินทาง เมืองของเธอกำลังเผชิญกับภัยพิบัติจากการทะเลาะกันของผู้คน และสะพานหินที่เชื่อมเมืองกับทุ่งนาได้พังลง ทำให้เกิดน้ำท่วมและความวุ่นวาย โคเชนกาได้ยินจากนกป่าตัวหนึ่งว่า มียักษ์ผู้เฒ่าอาศัยอยู่ในเมืองที่หลับใหล และเธอจึงตัดสินใจออกเดินทางเพียงลำพัง เพื่อขอความช่วยเหลือ

เมื่อเธอเดินเข้าใกล้ เรย์กอชมองเธอด้วยความสงสัยแต่ไม่แสดงท่าทีรังเกียจ โคเชนกายืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างมั่นใจ จากนั้น เธอก็เอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า “ข้าขออภัยที่รบกวนท่าน แต่ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ” เรย์กอชไม่ตอบทันที เขาจ้องมองเธอนิ่ง ๆ ราวกับกำลังชั่งใจว่าเสียงเล็ก ๆ ตรงหน้าควรได้รับคำตอบหรือไม่

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าไม่เคยออกจากเมืองนี้…ข้าไม่รู้จักเมืองของเจ้า” โคเชนกายิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า “ข้าก็ไม่รู้จักเมืองนี้เช่นกัน แต่ข้าเชื่อว่าท่านมีพลังที่สามารถช่วยผู้คนได้ หากท่านเต็มใจ” คำพูดนั้นไม่ได้เร่งเร้า ไม่ได้อ้อนวอน แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่เรียบง่ายและจริงใจ

เรย์กอชนิ่งไปอีกครั้ง เขาไม่เคยมีใครพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีใครมองเขาเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือได้ เขาเคยคิดว่าตนเป็นเพียงเงาของเมืองที่พังทลาย เป็นส่วนหนึ่งของหินและมอสที่ไม่มีใครต้องการ แต่คำพูดของโคเชนกาเหมือนแสงแรกที่ส่องเข้ามาในถ้ำที่เขาอาศัยอยู่มานาน

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และกล่าวว่า “ข้าจะไปกับเจ้า” โคเชนกาไม่พูดอะไรอีก เธอแค่ยิ้ม แล้วขยับปีกบินขึ้นไปนั่งบนไหล่ของเรย์กอช จากนั้น ทั้งสองก็ออกเดินทางจากเมืองที่หลับใหล โดยมีดอกไม้ป่าค่อย ๆ โน้มตัวพร้อมกับส่งกลิ่นหอม เหมือนอยากอวยพรให้การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

ตอนที่ 3: การเดินทางของมิตรภาพ

หลังจากออกเดินทางจากเมืองเลเกนกราด เรย์กอชและโคเชนกาเดินทางข้ามทุ่งหญ้าและเนินเขาอย่างเงียบงัน ท้องฟ้าในวันนั้นสดใสและเย็นสบาย ลมพัดเบา ๆ ผ่านยอดหญ้าและใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาล โคเชนกานั่งอยู่บนไหล่ของเรย์กอชอย่างสง่างาม เธอไม่พูดมากนัก แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยความตั้งใจและความหวัง ส่วนเรย์กอชก็ยังคงเงียบเช่นเคย เขาไม่ชินกับการมีใครอยู่ใกล้ ๆ และเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี

ระหว่างทาง โคเชนกาเล่าเรื่องเมืองดูลาเบีย (Đulabija) ให้เรย์กอชฟัง เธอเล่าว่าผู้คนในเมืองเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่เมื่อสะพานหินที่เชื่อมเมืองกับทุ่งนาเกิดรอยร้าว ผู้คนก็เริ่มโทษกันไปมา ไม่มีใครยอมซ่อมสะพาน เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตน ความขัดแย้งเล็ก ๆ ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นความบาดหมางที่ทำให้เมืองทั้งเมืองสั่นคลอน และเมื่อสะพานพังลง น้ำจากแม่น้ำก็ไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่เกษตร ผู้คนเริ่มขาดอาหาร และความโกรธก็ยิ่งทวีขึ้น

เรย์กอชฟังอย่างเงียบ ๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงทะเลาะกันเรื่องสะพาน เขาเคยเห็นสะพานหินมากมายในเมืองที่หลับใหล และเคยซ่อมมันเล่น ๆ ด้วยหินก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้มือ สำหรับเขา การซ่อมสะพานไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลต่อชีวิตของใครมากมายขนาดนั้น

เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ โคเชนกาเริ่มเหนื่อย เธอหลับไปบนไหล่ของเรย์กอชอย่างเงียบ ๆ ยักษ์ชรามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน ไม่เคยมีใครไว้ใจเขาขนาดนี้มาก่อน และเขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายต่อใครเลย จนกระทั่งวันนี้

สามวันผ่านไป ทั้งสองเดินทางมาถึงริมเมืองดูลาเบีย เมืองที่เคยสดใสบัดนี้เต็มไปด้วยความเงียบและความตึงเครียด ผู้คนมองหน้ากันด้วยความระแวง และไม่มีใครยิ้มให้กันเลย โคเชนกาบินลงจากไหล่ของเรย์กอช แล้วเดินเข้าไปในเมืองเพื่อบอกข่าวว่า เธอพายักษ์มาช่วยซ่อมสะพาน

ผู้คนในเมืองต่างตกใจเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของเรย์กอชที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน บางคนก็รู้สึกหวาดกลัว แต่โคเชนกาเดินเข้าไปกลางฝูงชน และกล่าวด้วยเสียงมั่นคงว่า “เขามาเพื่อช่วย ไม่ใช่เพื่อทำร้าย” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนเริ่มเงียบลง และมองเรย์กอชด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

เรย์กอชไม่พูดอะไร เขาแค่เดินไปยังจุดที่สะพานหินเคยตั้งอยู่ และมองดูเศษหินที่กระจัดกระจาย อยู่ริมฝั่ง เขาโน้มตัวลง หยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาทีละก้อน และวางมันลงอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับเขากำลังซ่อมหัวใจของเมือง ไม่ใช่แค่สะพาน

ผู้คนเริ่มมุงดูด้วยความสงบ ไม่มีเสียงโต้เถียง ไม่มีเสียงวิจารณ์ มีเพียงความเงียบที่เต็มไปด้วยความหวัง และในวันนั้น เมืองดูลาเบียก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย

ตอนที่ 4: สะพานแห่งความเข้าใจ

เมื่อเรย์กอชวางหินก้อนสุดท้ายลงตรงกลางแม่น้ำ เสียงน้ำที่เคยไหลแรงก็เริ่มสงบลง สะพานหินที่เคยพังทลายกลับคืนสู่สภาพมั่นคงอีกครั้ง แม้จะไม่เหมือนเดิมทุกประการ แต่ก็แข็งแรงพอให้ผู้คนเดินข้ามได้อย่างปลอดภัย ผู้คนในเมืองดูลาเบีย มองสะพานที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยความเงียบสงบ ไม่มีเสียงปรบมือ ไม่มีเสียงโห่ร้อง มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจของแต่ละคน ความรู้สึกนั้นก็คือ ความละอาย ความสำนึก และความหวัง

หลังจากสะพานซ่อมเสร็จ โคเชนกาก็เดินไปกลางสะพาน และหันหน้าไปยังชาวเมือง เธอไม่ได้กล่าวโทษใคร ไม่ได้ตำหนิความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอเพียงกล่าวว่า “สะพานนี้ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยหินเพียงอย่างเดียว แต่สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจของผู้ที่ไม่เคยรู้จักเราเลย” คำพูดนั้นทำให้ผู้คนเริ่มหันมามองหน้ากัน บางคนเริ่มพูดคุย บางคนเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อช่วยกันเก็บเศษไม้และซ่อมแซมพื้นที่เกษตรที่ถูกน้ำท่วม

เรย์กอชยืนอยู่เงียบ ๆ ริมแม่น้ำ เขาไม่เข้าใจคำพูดของโคเชนกาทั้งหมด แต่เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนไม่ได้มองเขาด้วยความหวาดกลัวอีกแล้ว เด็ก ๆ เริ่มเดินเข้าใกล้เขา และบางคนก็กล้าถามว่า “ท่านมาจากเมืองไหน” เรย์กอชไม่ตอบ เขาเพียงยิ้มเล็กน้อย และมองไปยังทิศทางของเมืองเลเกนกราดที่อยู่ไกลออกไป

วันต่อมา เมืองดูลาเบียกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผู้คนเริ่มช่วยกันซ่อมแซมบ้านเรือน ปลูกพืช และแบ่งปันอาหารกันมากขึ้น ไม่มีใครพูดถึงความขัดแย้งอีกต่อไป เพราะทุกคนรู้ดีว่า หากไม่มีโคเชนกาและเรย์กอช เมืองนี้อาจไม่มีวันฟื้นกลับมาได้

เรย์กอชไม่ได้อยู่ในเมืองนานนัก เขาไม่ชอบเสียงจอแจ ไม่ชอบถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน และไม่ชอบคำถามที่มากเกินไป เขาเพียงต้องการกลับไปยังเมืองที่หลับใหล กลับไปยังต้นไม้ใหญ่และลำธารที่เขาคุ้นเคย โคเชนกาเข้าใจดี และไม่ได้รั้งเขาไว้ เธอเพียงเดินไปส่งเขาที่ชายป่า และกล่าวว่า “ขอบคุณที่ท่านมา” เรย์กอชพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

ตอนที่ 5: การกลับคืนและคำตอบของชีวิต

หลังจากเรย์กอชเดินออกจากเมืองดูลาเบีย โคเชนกาก็ได้แต่ยืนมองตามร่างสูงใหญ่ที่ค่อย ๆ ลับหายไปในแนวต้นไม้ เธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ต้องการคำขอบคุณ ไม่ต้องการเสียงสรรเสริญ เขาเพียงทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วกลับไปยังที่ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

หลายวันผ่านไป เมืองดูลาเบียเริ่มฟื้นตัวอย่างมั่นคง ผู้คนกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ความขัดแย้งที่เคยฝังลึกค่อย ๆ จางหายไป และในบทสนทนาของชาวเมือง มักมีชื่อของเรย์กอชปรากฏขึ้นเสมอ แม้เขาจะไม่อยู่ตรงนั้น แต่ความเงียบสงบและความเมตตาของเขายังคงอยู่ในใจของผู้คน

ในขณะเดียวกัน เรย์กอชกลับมาถึงเมืองเลเกนกราดที่หลับใหล เขาเดินผ่านซากหินที่คุ้นเคย ผ่านลำธารที่ยังคงไหลอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิมที่เขาเคยนั่งอยู่ทุกวัน แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้เมืองจะยังเงียบงันเหมือนเดิม แต่ในใจของเขากลับมีเสียงใหม่ เสียงของโคเชนกา เสียงของผู้คนที่เขาได้ช่วยเหลือ และเสียงของความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นก็คือ….ความผูกพัน

เขาเริ่มมองเมืองที่พังทลายด้วยสายตาใหม่ ไม่ใช่เพียงซากหินที่ไร้ชีวิต แต่เป็นสถานที่ที่เขาเคยอยู่ และอาจเป็นสถานที่ที่เขาสามารถฟื้นฟูได้ เขาเริ่มเก็บหินก้อนเล็ก ๆ มาวางเรียงกันอย่างเงียบ ๆ ไม่ใช่เพื่อสร้างสิ่งใหญ่โต แต่เพื่อให้เมืองนี้มีชีวิตเล็ก ๆ กลับคืนมา

วันหนึ่ง โคเชนกากลับมาเยี่ยมเขาอีกครั้ง เธอไม่ได้มาขอความช่วยเหลือ แต่เพียงมานั่งข้างเขาใต้ต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองไม่พูดอะไรมากนัก เพียงนั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงลมและเสียงน้ำไหล เหมือนกับว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือ…มิตรภาพที่แท้จริง

และนับจากวันนั้น เมืองเลเกนกราดก็ไม่ใช่เมืองที่หลับใหลอีกต่อไป แม้จะยังไม่มีผู้คนมากมาย ไม่มีเสียงจอแจ แต่ก็มีชีวิตเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ มีดอกไม้ป่าที่ผลิบานมากขึ้น มีลำธารที่ใสขึ้น และมีมิตรภาพที่ยังคงอยู่ในใจของยักษ์ชราและนางฟ้าผู้กล้าหาญ.

ยักษ์เรย์กอชนั่งใต้ซุ้มหินกลางป่าฤดูใบไม้ร่วง กำลังเล่านิทานให้โคเชนกา นางฟ้าตัวเล็กผมทองที่มีปีกโปร่งใส สวมชุดพื้นเมืองปักลายอย่างประณีต ท่ามกลางแสงแดดอ่อนและใบไม้ร่วงที่โรยทั่วพื้นป่า

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

เจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) : นิทานก่อนนอนจากบทละครอมตะของเชคสเปียร์

Hamlet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1600–1601 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่ลึกซึ้งและทรงพลังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าชายแห่งเดนมาร์กผู้ต้องเผชิญกับความจริงอันเจ็บปวด การสูญเสีย และความลังเลในการแก้แค้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Hamlet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างหน้าที่ ความรู้สึก และความจริง ตัวละครแฮมเล็ตกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยวเหงา ความคิดลึก และการตั้งคำถามต่อชีวิตและความตาย บทละครเรื่องนี้ยังเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญในวงการปรัชญา จิตวิทยา และศิลปะการละครทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Hamlet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ

ณ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก อากาศหนาวเย็นและเงียบงันในยามค่ำคืน ทหารยามสองนาย ชื่อว่า ฟรานซิสโก (Francisco) และบาร์นาร์โด (Bernardo) ยืนเฝ้าบนกำแพงปราสาทเอลซินอร์ (Elsinore) พวกเขาสลับเวรอย่างเคร่งครัด แต่ในคืนหนึ่ง มีบางสิ่งปรากฏขึ้นที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว

“มันมาอีกแล้ว” บาร์นาร์โดกล่าวเสียงสั่น “เงาร่างนั้น…เหมือนพระราชาองค์ก่อนทุกประการ”

วิญญาณเงียบงัน ไม่พูดจา เพียงเดินผ่านกำแพงด้วยท่าทีสงบแต่เยือกเย็น ทหารยามรีบไปแจ้ง ฮอเรชิโอ (Horatio) เพื่อนของเจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) ผู้มีสติปัญญาและไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ

เมื่อฮอเรชิโอเห็นวิญญาณ เขาก็เปลี่ยนใจทันที “มันคือพระราชาแน่ ข้าต้องบอกแฮมเล็ต”

ในปราสาทเอลซินอร์ เจ้าชายแฮมเล็ต เศร้าโศกอย่างหนัก พระบิดาของเขาเพิ่งสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน และพระมารดาผู้มีพระนามว่า ราชินีเกอร์ทรูด (Gertrude) ได้แต่งงานใหม่กับ คลอเดียส (Claudius) พระอนุชาของพระราชาองค์ก่อน ซึ่งตอนนี้ขึ้นครองราชย์แทน

แฮมเล็ตไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้ เขาเฝ้าถามตัวเอง “เหตุใดแม่จึงแต่งงานกับเขา? เหตุใดข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ?”

เมื่อฮอเรชิโอแจ้งเรื่องวิญญาณ แฮมเล็ตรีบไปยังกำแพงปราสาทในคืนถัดมา และแล้ว…วิญญาณก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

วิญญาณหยุดอยู่ตรงหน้าแฮมเล็ต และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าคือบิดาของเจ้า…ข้าถูกฆาตกรรม”

แฮมเล็ตตกใจ “ใครทำเช่นนั้น?”

วิญญาณตอบ “คลอเดียส น้องของข้า เขาเทยาพิษลงในหูข้าขณะหลับ และแย่งบัลลังก์ไป เขาแต่งงานกับแม่ของเจ้า และปิดบังความจริงไว้ทั้งหมด”

แฮมเล็ตนิ่งงัน โลกทั้งใบเงียบลงในใจของเขา

“จงแก้แค้นให้ข้า…แต่อย่าทำร้ายแม่ของเจ้า” วิญญาณกล่าวก่อนจะจางหายไปในความมืด

แฮมเล็ตยืนอยู่ลำพังในราตรีอันหนาวเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวด “ข้าจะทำเช่นไร…ข้าจะเชื่อสิ่งที่ข้าเห็นหรือไม่?”

…………

หลังจากคืนที่วิญญาณของพระราชาองค์ก่อนปรากฏตัวต่อหน้าแฮมเล็ต (Hamlet) และเปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึง แฮมเล็ตกลับสู่ปราสาทเอลซินอร์ด้วยจิตใจที่สับสน เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เขาเห็นคือความจริง หรือเป็นภาพลวงจากความเศร้าและความแค้น

“ข้าต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจะลงมือ” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าจะไม่ฆ่าใครด้วยความสงสัย”

เพื่อปกปิดความตั้งใจและสังเกตพฤติกรรมของคลอเดียส แฮมเล็ตจึงเริ่มแสร้งทำเป็นเสียสติ เขาพูดจาแปลกประหลาด เดินไปมาอย่างไร้ทิศทาง และตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ

ราชินีเกอร์ทรูดและคลอเดียสเริ่มวิตก พวกเขาเชิญเพื่อนเก่าของแฮมเล็ต คือ โรเซนแครนซ์ (Rosencrantz) และกิลเดนสเติร์น (Guildenstern) ให้มาสังเกตพฤติกรรมของเขา และรายงานกลับ

“ข้ารู้ว่าเขาไม่บ้า” คลอเดียสกล่าว “แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

ในขณะเดียวกัน แฮมเล็ตเริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัว เขาเฝ้าสังเกตผู้คน และเริ่มเห็นความหลอกลวงที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มและคำพูด

เขาเดินไปยังห้องว่าง และกล่าวกับตัวเองในความเงียบ “To be, or not to be—that is the question…”

แฮมเล็ตครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต ความตาย และความเจ็บปวดที่มนุษย์ต้องเผชิญ

“การมีชีวิตอยู่คือการทนทุกข์ หรือการสิ้นใจคือการหลุดพ้น?” เขาถามโดยไม่มีคำตอบ

แฮมเล็ตไม่เพียงสงสัยในความจริงของโลกภายนอก แต่ยังสงสัยในความจริงภายในใจของตนเอง เขาเริ่มวางแผนเพื่อเปิดโปงคลอเดียส โดยไม่ใช้ดาบ แต่ใช้การแสดง

“ข้าจะให้คณะละครมาแสดงเรื่องราวของการฆาตกรรม…เหมือนที่วิญญาณเล่าให้ข้าฟัง หากเขามีความผิด เขาจะเผยออกมาเอง”

………….

แฮมเล็ต (Hamlet) เรียกคณะละครเร่ที่เดินทางผ่านเมืองให้มาแสดงในปราสาทเอลซินอร์ เขาเลือกเรื่องที่มีฉากการฆาตกรรมของกษัตริย์โดยน้องชาย เหมือนกับสิ่งที่วิญญาณเล่าให้เขาฟัง และขอให้พวกนักแสดงเพิ่มฉากสำคัญเข้าไป เพื่อให้คลอเดียสได้เห็นภาพสะท้อนของความผิด

“ข้าจะดูปฏิกิริยาของเขา หากเขาสะดุ้งหรือหลบตา ข้าจะรู้ว่าเขามีความผิด” แฮมเล็ตกล่าวกับฮอเรชิโอ (Horatio) ซึ่งนั่งข้างเขาในค่ำคืนแห่งการแสดง

เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น แขกในราชสำนักต่างนั่งชมอย่างสงบ ฉากแรกผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อถึงฉากที่กษัตริย์หลับในสวน และน้องชายเทยาพิษลงในหูของเขา คลอเดียสเริ่มขยับตัวอย่างไม่สบายใจ สักพัก คลอเดียสลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตระหนก และกล่าวเสียงดัง “หยุดการแสดงนี้!”

ทุกคนในห้องเงียบงัน คลอเดียสเดินออกจากห้องอย่างรีบร้อน ทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง


แฮมเล็ตหันไปหาฮอเรชิโอ “เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม? เขาไม่อาจทนดูฉากนั้นได้”

“ข้าเห็นชัดเจน” ฮอเรชิโอตอบ “เขามีความผิดในใจแน่นอน”

แฮมเล็ตมั่นใจแล้วว่า วิญญาณพูดความจริง เขาเริ่มวางแผนต่อไป แต่ความลังเลยังคงอยู่ในใจของเขา เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าโดยไม่คิด เขาเป็นชายที่ต้องเข้าใจทุกสิ่งก่อนลงมือ

ในขณะเดียวกัน คลอเดียสเองก็เริ่มหวาดกลัว เขารู้ว่าแฮมเล็ตสงสัย และอาจลงมือเมื่อใดก็ได้ เขาจึงวางแผนส่งแฮมเล็ตไปยังอังกฤษ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย

“ข้าจะส่งเขาไปพร้อมกับโรเซนแครนซ์และกิลเดนสเติร์น…และข้าจะให้จดหมายลับไปด้วย” คลอเดียสกล่าวกับราชินี

แฮมเล็ตรู้ทันแผนนี้ และเริ่มเตรียมใจสำหรับการเดินทางที่อาจไม่มีวันกลับ

……

แฮมเล็ต (Hamlet) ออกเดินทางไปอังกฤษตามคำสั่งของคลอเดียส แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ในแผนนี้ เขายังลังเลว่าจะลงมือแก้แค้นหรือไม่ เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าเพราะโกรธ แต่เป็นผู้ที่ต้องเข้าใจความจริงอย่างลึกซึ้งก่อนจะตัดสินใจ

ในขณะเดียวกันนั้น โอฟีเลีย (Ophelia) หญิงสาวผู้เคยใกล้ชิดกับแฮมเล็ต กำลังเผชิญความเจ็บปวดจากการสูญเสียโปลอเนียส (Polonius) ผู้เป็นบิดา ซึ่งถูกแฮมเล็ตแทงโดยไม่ตั้งใจขณะซ่อนตัวอยู่หลังม่านในห้องของราชินี

โอฟีเลียไม่อาจรับมือกับความเศร้าได้ นางเริ่มพูดจาเลื่อนลอย ร้องเพลงเศร้า และเดินไปมาในสวนอย่างไร้จุดหมาย

“เขาฆ่าพ่อข้า…แต่ข้าก็ยังรักเขา” นางพึมพำกับดอกไม้ในมือ

เมื่อ ลาร์ทีส (Laertes) พี่ชายของโอฟีเลีย กลับมาจากต่างเมืองและรู้ข่าวการตายของบิดา รวมทั้งเรื่องอาการของน้องสาว เขาโกรธแฮมเล็ตอย่างรุนแรง ดังนั้น เขาจึงไปหาคลอเดียสเพื่อขอความยุติธรรม

“ข้าจะสู้กับเขา…ข้าจะล้างแค้นให้พ่อข้า” ลาร์ทีสกล่าวด้วยดวงตาแข็งกร้าว

คลอเดียสเห็นโอกาส จึงเสนอให้จัดการประลองดาบระหว่างลาร์ทีสกับแฮมเล็ต โดยแอบชโลมพิษไว้ที่ปลายดาบของลาร์ทีส และเตรียมถ้วยไวน์ผสมยาพิษไว้ให้แฮมเล็ตดื่ม หากเขารอดจากดาบ

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จู่ ๆ ข่าวการตายของโอฟีเลียก็แพร่ไปทั่วปราสาท นางจมน้ำในลำธารขณะเก็บดอกไม้ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจ

เมื่อแฮมเล็ตทราบข่าว เขารับกลับมาที่เดนมาร์ก…ทันเวลาเห็นพิธีฝังศพของโอฟีเลีย เขายืนอยู่ข้างหลุมศพด้วยหัวใจที่แตกสลาย

“ข้ารักนางมากกว่าที่ใครเคยรัก…ไม่มีใคร แม้แต่พี่ชาย ที่จะรักนางได้เท่าข้า” เขากล่าวเสียงสั่น

ลาร์ทีสซึ่งอยู่ในพิธีด้วย โกรธแฮมเล็ตอย่างสุดขั้ว ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และการประลองได้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในวันถัดไป

……………………..

ในวันแห่งการประลอง แฮมเล็ตและลาร์ทีส ยืนเผชิญหน้ากันกลางห้องโถงของปราสาทเอลซินอร์ ผู้คนในราชสำนักต่างมาชมด้วยความตึงเครียด คลอเดียสและราชินีเกอร์ทรูดนั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยมีถ้วยไวน์วางอยู่ข้างกาย

แฮมเล็ตกล่าวอย่างสงบ “ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของเจ้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ลาร์ทีสพยักหน้าเล็กน้อย แต่ความแค้นยังคงอยู่ในดวงตา “ข้าจะสู้เพื่อเกียรติของครอบครัวข้า”

การประลองเริ่มขึ้น ดาบฟาดกันอย่างรวดเร็ว เสียงเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วห้อง ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด และในจังหวะหนึ่ง ลาร์ทีสแทงแฮมเล็ตด้วยดาบที่ชโลมพิษไว้

แต่แล้ว ดาบหลุดจากมือของลาร์ทีส และแฮมเล็ตหยิบขึ้นมาแทงกลับโดยไม่รู้ว่ามีพิษเช่นกัน

ราชินีเกอร์ทรูดซึ่งไม่รู้เรื่องยาพิษในไวน์ ดื่มถ้วยที่คลอเดียสเตรียมไว้ให้แฮมเล็ต และล้มลงทันที

“ไวน์นั้นมีพิษ!” ลาร์ทีสร้องขึ้นด้วยความสำนึก “ข้าถูกหลอก…ข้ากับเจ้า…เราทั้งคู่กำลังจะตาย”

แฮมเล็ตหันไปหาคลอเดียสด้วยดวงตาแข็งกร้าว “เจ้าคือผู้วางแผนทั้งหมดนี้” แล้วแฮมเล็ตก็แทงคลอเดียสด้วยดาบพิษ และบังคับให้เขาดื่มไวน์ถ้วยนั้น

คลอเดียสสิ้นใจ ราชินีสิ้นใจ ลาร์ทีสสิ้นใจ และแฮมเล็ตเองก็ล้มลงเช่นกัน

ก่อนสิ้นลมหายใจ แฮมเล็ตเรียกฮอเรชิโอ “อย่าตายตามข้า…จงเล่าเรื่องของข้าให้โลกฟัง…ให้คนรู้ว่าความจริงคืออะไร”

ฮอเรชิโอพยักหน้า น้ำตาไหล “ข้าจะเล่า…ข้าสัญญา”

…….

เสียงแตรดังขึ้น และม่านแห่งโศกนาฏกรรมก็ปิดลง

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานความรัก, นิทานตลกก่อนนอน, นิทานเชคสเปียร์

ราตรีลวงใจ (Twelfth Night) : นิทานความรัก ความลวง ตลกโรแมนติกจากเชคสเปียร์

Twelfth Night หรือชื่อเต็มว่า Twelfth Night, or What You Will คือบทละครแนวตลกโรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1601–1602 เพื่อแสดงในช่วงเทศกาลฉลองหลังคริสต์มาส โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปลอมตัว ความรักที่ซับซ้อน และความเข้าใจผิดอันแสนสนุก

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง Twelfth Night ว่าเป็นหนึ่งในบทละครที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเชคสเปียร์ในการสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวาและซับซ้อน โดยเฉพาะไวโอลา (Viola) ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเพื่อเอาตัวรอด และกลายเป็นศูนย์กลางของความรักที่พันกันอย่างน่าทึ่ง บทละครเรื่องนี้ยังสะท้อนประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ ความเท่าเทียม และการให้อภัยอย่างงดงาม จึงเป็นที่นิยมทั้งในวงการละครเวทีและการศึกษาวรรณกรรมทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Twelfth Night – Project Gutenberg

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวชื่อไวโอลา (Viola) และเซบาสเตียน (Sebastian) ซึ่งเป็นฝาแฝด พวกเขารักกันมากและเดินทางร่วมกันบนเรือลำหนึ่งที่แล่นข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่ง พายุใหญ่ก็พัดกระหน่ำจนเรือแตกกลางทะเล

ไวโอลารอดชีวิตมาได้โดยมีชาวประมงช่วยพาขึ้นฝั่งที่เมืองอิลลีเรีย (Illyria) นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะคิดว่าเซบาสเตียนพี่ชายของตนจมน้ำไปแล้ว

“ข้าคงเหลือตัวคนเดียวในโลกนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตนเองขณะมองทะเลที่เงียบงัน

…….

เมืองอิลลีเรียมีผู้ปกครองคือ ดยุก ออร์ซิโน (Duke Orsino) ขุนนางผู้สูงศักดิ์และมีชื่อเสียง เขาเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรักและความฝัน เขาหลงรักหญิงสาวชื่อเลดี้โอลิเวีย (Lady Olivia) ซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้เพิ่งสูญเสียพี่ชาย และยังไม่เปิดใจรับรักใคร

“ข้ารักนาง…แต่ดูเหมือนนางไม่เคยเห็นข้าเลย” ดยุกออร์ซิโนกล่าวกับข้ารับใช้

…….

ไวโอลาได้ยินเรื่องราวของ ดยุก ออร์ซิโน และรู้ว่านางไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองนี้ในฐานะหญิงสาวได้อย่างปลอดภัย นางจึงตัดสินใจปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม และตั้งชื่อใหม่ว่าเซซาริโอ (Cesario)

“ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของ ดยุก ออร์ซิโน ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

……

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความอ่อนโยน ไวโอลาในนามเซซาริโอได้รับความไว้วางใจจากดยุกออร์ซิโนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้สนิทที่ดยุกใช้ให้ไปส่งสารรักถึงเลดี้โอลิเวีย

“เจ้ามีถ้อยคำที่อ่อนโยน…จงไปพูดแทนข้าเถิด” ดยุกกล่าว

ไวโอลาแม้จะเจ็บปวดในใจ เพราะนางเริ่มหลงรักดยุกออร์ซิโน แต่ก็ยอมทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

……..

เมื่อเซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลาในร่างชายหนุ่ม ไปส่งสารรักจาก ดยุก ออร์ซิโน ถึงเลดี้โอลิเวีย นางกลับรู้สึกประหลาดใจกับความอ่อนโยนและความจริงใจของผู้ส่งสารมากกว่าคำพูดของ ดยุก

“เจ้าพูดได้นุ่มนวล…แต่แฝงความเศร้าในดวงตา” เลดี้โอลิเวียกล่าวขณะมองเซซาริโอ

ไวโอลาไม่กล้าสบตานางนานนัก เพราะรู้ดีว่าตนกำลังปลอมตัว และหัวใจของตนก็รัก ดยุก ออร์ซิโนอย่างสุดหัวใจ

“ข้าเพียงทำหน้าที่…ข้าไม่อาจพูดแทนหัวใจของข้าเอง” นางตอบเบาๆ

แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลดี้โอลิเวียรู้สึกหวั่นไหว นางเริ่มหลงรักเซซาริโอ โดยไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มจริงๆ

…….

“ข้าจะไม่รับรักจากดยุก…แต่ข้าจะส่งคนไปหาเซซาริโอแทน” นางกล่าวกับข้ารับใช้

……

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลา ซึ่งไม่ได้จมน้ำตามที่นางเข้าใจ กลับรอดชีวิตมาได้ และเดินทางมาถึงเมืองอิลลีเรียพร้อมกับอันโตนิโอ (Antonio) กะลาสีผู้ช่วยชีวิตเขา

“ข้าจะตามหาน้องสาวข้า…หากนางยังมีชีวิตอยู่” เซบาสเตียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น

อันโตนิโอเตือนว่าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา เพราะเคยมีเรื่องกับทางการมาก่อน แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อช่วยเซบาสเตียน

“ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า…แม้จะต้องหลบซ่อนก็ตาม” เขากล่าว

เมื่อเซบาสเตียนเดินในเมือง ผู้คนต่างเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ เพราะทั้งสองเป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันอย่างมาก

ความเข้าใจผิดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ และความรักก็เริ่มพันกันอย่างไม่อาจคลี่คลายได้ง่าย ๆ

……..

ในวันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ได้รับคำสั่งจาก ดยุก ออร์ซิโน ให้ไปส่งสารรักอีกครั้งถึงเลดี้โอลิเวีย เซซาริโอไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะทุกครั้งที่นางพูดแทนดยุก นางก็ยิ่งรักดยุก มากขึ้น

“ข้าพูดแทนท่าน…แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็มีหัวใจ” ไวโอลาพึมพำขณะเดินทางไปยังคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย

เมื่อเลดี้โอลิเวียเห็นเซซาริโออีกครั้ง นางยิ่งแน่ใจว่าตนหลงรักชายหนุ่มผู้นี้อย่างสุดหัวใจ แม้เขาจะพูดถึงความรักของดยุก แต่นางกลับมองเห็นความอ่อนโยนในดวงตาของเขา

“เจ้ามีหัวใจของตนเองหรือไม่…หรือเจ้าคือเงาของชายอื่น?” นางถามอย่างอ่อนโยน

ไวโอลานิ่งงัน นางไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ เพราะความจริงของนางยังถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม

………

ในเวลาต่อมา ขณะที่เซบาสเตียนผู้เป็นพี่ชายของไวโอลา เดินเล่นอยู่ในเมืองอิลลีเรีย เขาบังเอิญพบกับเลดี้โอลิเวียโดยไม่รู้จักนางมาก่อน เลดี้โอลิเวียเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ และพูดกับเขาด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม

“ข้าไม่อาจรออีกแล้ว…เจ้าคือผู้ที่ข้ารัก” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

เซบาสเตียนตกใจ แต่ก็รู้สึกประทับใจในความจริงใจของนาง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมรับคำเชิญของนางอย่างสุภาพ

“ข้าไม่เข้าใจ…แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความเมตตาของเจ้า” เขาตอบ

ในเวลาไม่นาน เลดี้โอลิเวียก็ขอเซบาสเตียนแต่งงาน โดยนางยังเข้าใจว่าเขาคือเซซาริโอ ซึ่งเซบาสเตียนก็ตอบตกลงด้วยความเคารพ

“ข้าจะเป็นสามีของเจ้า…แม้ข้ายังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงรักข้าเช่นนี้” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน

ความรักเริ่มเบ่งบาน แต่ความจริงยังคงซ่อนอยู่ และความเข้าใจผิดก็เริ่มพันกันแน่นขึ้นทุกขณะ

……..

วันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ถูกขอให้ไปพบเลดี้โอลิเวียอีกครั้ง ไวโอลาลังเล เพราะรู้ดีว่าหญิงผู้นั้นหลงรักตนโดยไม่รู้ความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของ ดยุก ออร์ซิโนได้

“ข้าจะไป…แม้หัวใจของข้าจะสับสน” นางกล่าวเบาๆ

เมื่อไปถึงคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย นางพบว่าเลดี้โอลิเวียมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางพูดถึงการแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน และเรียกเซซาริโอว่า “สามี”

ไวโอลาตกใจ “ข้าไม่เคยแต่งงานกับเจ้า…ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด”

เลดี้โอลิเวียเองก็สับสน “เจ้าคือชายที่ข้าแต่งงานด้วย…เจ้าคือเซซาริโอ”

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ และเมื่อทั้งสองฝาแฝดเผชิญหน้ากัน ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง

“เจ้าคือ…ข้า?” เซบาสเตียนถามอย่างงุนงง

ไวโอลาน้ำตาไหล “ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…ข้าคือไวโอลา…น้องสาวของเจ้า”

ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเกิดความเข้าใจผิดจากการปลอมตัว แต่ความรักที่เบ่งบานนั้นเกิดจากความจริงใจ แม้จะมีเงาของความลวงซ้อนอยู่

ดยุก ออร์ซิโน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มองไวโอลาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยตลอด…แม้ข้าจะไม่เคยเห็นเจ้าในร่างที่แท้จริง”

ไวโอลายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารักท่าน…แม้ข้าจะต้องพูดแทนหัวใจของท่านทุกวัน”

…….

เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าเซซาริโอคือไวโอลา และชายที่เลดี้โอลิเวียแต่งงานด้วยคือเซบาสเตียนพี่ชายฝาแฝดของไวโอลา ทุกคนในเมืองอิลลีเรียต่างตกตะลึง แต่ก็เต็มไปด้วยความยินดี

ดยุก ออร์ซิโนมองไวโอลา แล้วพูดกับนางว่า “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยไม่รู้ตัว…เจ้าคือผู้ที่ข้าสนิทใจและ….รักที่สุด”

ไวโอลายิ้มด้วยน้ำตา “ข้ารักท่านมาโดยตลอด…แม้ข้าจะต้องซ่อนหัวใจไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม”

ดยุกออร์ซิโนจึงขอไวโอลาแต่งงาน และนางก็ตอบตกลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

“ข้าจะเป็นภรรยาของท่าน…ในร่างที่แท้จริงของข้า” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

……

ในขณะเดียวกัน เลดี้โอลิเวียและเซบาสเตียนก็เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความเข้าใจและความรักที่เกิดจากความจริงใจ แม้จะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิด แต่ก็จบลงด้วยความสุขแท้จริง

…….

ส่วนอันโตนิโอ (Antonio) ซึ่งเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเซบาสเตียน ก็ได้รับการให้อภัยจากทางการ และได้รับเกียรติในฐานะผู้มีคุณธรรม

“ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด…ข้าเพียงทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เขากล่าวอย่างสงบ

ทุกคนในเมืองอิลลีเรียร่วมฉลองการแต่งงานของทั้งสองคู่ด้วยความยินดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะแผ่ไปทั่วคฤหาสน์

เรื่องราวของไวโอลาและเซบาสเตียนกลายเป็นตำนานแห่งเมืองอิลลีเรีย ที่ผู้คนเล่าขานว่า “ความรักแท้…ย่อมพบทางของมันเสมอ แม้จะต้องผ่านพายุและการปลอมตัว”

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน, นิทานแอนเดอร์สัน

ราชินีหิมะ (The Snow Queen) : นิทานอมตะว่าด้วยพลังแห่งรักและความกล้า

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานชาวเดนมาร์กผู้เป็นที่รักของเด็กทั่วโลก เกิดที่เมืองโอเดนเซ (Odense) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเดนมาร์ก เมืองนี้มีฤดูหนาวที่ยาวนานและอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ จึงไม่น่าแปลกใจที่จินตนาการของแอนเดอร์เซนจะพาเขาไปสู่เรื่องราวของ “ราชินีหิมะ” ซึ่งเป็นนิทานที่เต็มไปด้วยภาพของน้ำแข็ง ความเงียบ และความเย็นชาในหัวใจมนุษย์ แม้ในนิทานพื้นบ้านของยุโรปเหนือจะมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับหญิงผู้ปกครองแดนหิมะอยู่บ้าง แต่แอนเดอร์เซนได้สร้างตัวละคร “ราชินีหิมะ” ขึ้นใหม่อย่างมีเอกลักษณ์ โดยผสมผสานความงาม ความเยือกเย็น และความไร้หัวใจเข้าด้วยกันอย่างน่าหวั่นไหว

แม้ชื่อ “ราชินีหิมะ” จะฟังดูคุ้นหูในวัฒนธรรมร่วมสมัย แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในนิทานที่ลึกซึ้งที่สุดของแอนเดอร์เซน นักวิชาการด้านวรรณกรรมเด็กหลายคนยกนิทานเรื่องนี้ให้เป็นผลงานที่โดดเด่น เพราะแอนเดอร์เซนไม่ได้เล่าเรื่องเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่เขาใช้โครงสร้างแบบ 7 บท เพื่อค่อย ๆ เปิดเผยความเปลี่ยนแปลงของหัวใจมนุษย์ผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ทั้งกระจกวิเศษ ราชินีหิมะ และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญ แก่นเรื่องของนิทานนี้คือการต่อสู้ระหว่างความรักแท้กับความเย็นชา การหลงผิดกับการให้อภัย และการกลับคืนสู่ความอบอุ่นของหัวใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอนเดอร์เซนสื่อสารได้อย่างละเมียดละไมและลึกซึ้ง

ในการเรียบเรียงนิทานเรื่องนี้ เราเลือกเล่าเรื่องตามโครงสร้าง 7 บทของต้นฉบับ โดยรักษาเนื้อหาและอารมณ์ของเรื่องไว้อย่างครบถ้วนที่สุด เราใช้ภาษาที่เรียบง่ายและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัยสามารถเข้าถึงความงามของเรื่องได้โดยไม่สะดุดกับถ้อยคำที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม นิทานต้นฉบับของแอนเดอร์เซนมีความงามเฉพาะตัว ทั้งในด้านภาษา จังหวะการเล่า และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในแต่ละบรรทัด หากมีโอกาส ผู้อ่านควรหาฉบับดั้งเดิมมาอ่าน เพื่อสัมผัสถึงความลึกของเรื่องราวที่แอนเดอร์เซนมอบไว้ให้โลกอย่างแท้จริง

บทที่ 1: กระจกวิเศษ

นานมาแล้ว มีปีศาจตนหนึ่งซึ่งไม่ชอบสิ่งดีงามต่าง ๆ มันเกลียดความรัก ความเมตตา และความงาม มันจึงสร้างกระจกวิเศษขึ้นมา ซึ่งกระจกบานนี้มีพลังแปลกประหลาด คือสิ่งใดที่สะท้อนอยู่ในกระจก จะปรากฎเป็นสิ่งตรงกันข้าม เช่น สิ่งที่เคยดูดีจะดูแปลกประหลาด สิ่งที่เคยงดงามจะดูไม่น่ามอง ความรักอันบริสุทธิ์จะดูเหมือนเรื่องไร้สาระ และหัวใจที่เคยอบอุ่นก็จะกลายเป็นหัวใจที่เย็นชาและห่างเหิน

ปีศาจพอใจในผลงานของตนมาก มันจึงนำกระจกขึ้นไปบนฟ้าเพื่อเยาะเย้ยสวรรค์ แต่เมื่อมันบินสูงขึ้น กระจกกลับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และปลิวตามสายลมไปทั่วโลก

เศษกระจกบางชิ้นปลิวเข้าตาของผู้คน ทำให้พวกเขามองโลกผิดไปจากเดิม บางชิ้นฝังเข้าไปในหัวใจ ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง ไม่อ่อนโยนอีกต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าเศษกระจกเหล่านั้นจะตกลงที่ใคร หรือจะเปลี่ยนแปลงใครไปในทางไหน แต่ตั้งแต่นั้นมา โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

หนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายคือเด็กชายชื่อเคย์ (Kay) และเรื่องราวของเขากำลังจะเริ่มต้น…

.

บทที่ 2: เคย์กับเกอร์ด้า

ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กชายชื่อเคย์และเด็กหญิงชื่อเกอร์ด้า (Gerda) ทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านติดกัน มีสวนดอกไม้เล็ก ๆ เชื่อมระหว่างหน้าต่างของบ้านทั้งสองหลัง พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน เล่นด้วยกันทุกวัน และแบ่งปันความฝันอันอ่อนโยนร่วมกัน ความสัมพันธ์ของเคย์กับเกอร์ด้าไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน แต่เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งและบริสุทธิ์ เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานด้วยความรักและความไว้ใจ

ทุกวันในฤดูใบไม้ผลิ เคย์กับเกอร์ด้าจะนั่งริมหน้าต่าง ปลูกดอกไม้ พูดคุย และหัวเราะด้วยกัน ดอกกุหลาบสีแดงที่พวกเขาปลูกไว้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพที่งดงาม วันหนึ่งเคย์ถามขึ้นว่า “ถ้าเราตายไป ดอกไม้พวกนี้จะยังเติบโตอยู่ไหม?” เกอร์ด้ายิ้มและตอบว่า “ถ้าเรารักกัน ดอกไม้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉา” คำตอบนั้นเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง เพราะมันหมายถึงความรักแท้ที่จะไม่จางหาย แม้เวลาจะผ่านไป

แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เศษกระจกวิเศษที่ปีศาจสร้างไว้ปลิวเข้าตาของเคย์ และอีกชิ้นหนึ่งฝังเข้าไปในหัวใจของเขา ตั้งแต่นั้นมา เคย์ก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนเย็นชา พูดจาแข็งกระด้าง และไม่สนใจดอกไม้หรือคำพูดอ่อนโยนของเกอร์ด้าอีกต่อไป เขาหัวเราะเยาะสิ่งที่เคยรัก และมองทุกอย่างด้วยสายตาที่เย็นเฉียบ

“ดอกไม้พวกนี้น่าเบื่อ…” เคย์พูดอย่างเฉยชา โดยไม่แม้แต่จะมองหน้าเกอร์ด้า

เกอร์ด้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคย์ เธอได้แต่เฝ้ามองเขาอย่างเศร้า ๆ และหวังว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หัวใจของเธอยังรักเขาเหมือนเดิม แต่เธอไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไร

แล้ววันหนึ่งในฤดูหนาว เคย์ออกไปเล่นเลื่อนหิมะในถนน เขาเห็นรถเลื่อนคันหนึ่งสีขาวบริสุทธิ์ มีหญิงผู้สูงศักดิ์นั่งอยู่ นางคือราชินีหิมะ ผู้ปกครองแดนเหนือ ราชินีหิมะยิ้มอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “เจ้าหนุ่มน้อย…มานั่งกับข้าเถิด” เคย์ขึ้นไปบนรถเลื่อน และทันใดนั้น รถก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ลอยขึ้นเหนือพื้นหิมะ และหายไปในสายลมหนาว

เมื่อเคย์ไม่กลับบ้าน ยายและเกอร์ด้าก็ออกตามหา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน เกอร์ด้าร้องไห้ “เธอจะหายไปอย่างนี้ไม่ได้นะ…ฉันจะตามหาเธอให้พบ” แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน แต่เธอเชื่อว่า หากหัวใจของเธอยังรักเคย์อยู่ เธอจะพบเขาได้ในที่สุด

และการเดินทางของเด็กหญิงผู้มีหัวใจกล้าหาญก็เริ่มต้นขึ้น…

.

บทที่ 3: สวนดอกไม้และความทรงจำที่เลือนหาย

หลังจากเคย์หายไปกับราชินีหิมะ เกอร์ด้าก็เศร้าใจอย่างมาก เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปเพราะอะไร แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่า เธอคิดถึงเขา และอยากให้เขากลับมาเป็นเหมือนเดิม

เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงอีกครั้ง ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบาน แต่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำพูดอ่อนโยน ไม่มีเคย์นั่งอยู่ข้าง ๆ เกอร์ด้าเฝ้ามองดอกกุหลาบที่เคยปลูกด้วยกัน แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เธอตัดสินใจออกเดินทางตามหาเคย์ แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน เธอเดินผ่านเมือง ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำด้วยหัวใจที่มั่นคง จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังหนึ่งกลางสวนดอกไม้ที่งดงามราวกับภาพฝัน

หญิงชราผู้ใจดีคนหนึ่งออกมาต้อนรับเกอร์ด้า นางมีรอยยิ้มอ่อนโยน และพูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้ามาจากที่ใดกัน เด็กน้อย?” เกอร์ด้าตอบว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาหายไปกับราชินีหิมะ”

หญิงชราพยักหน้าเบา ๆ แล้วใช้ไม้เท้าวิเศษโบกเหนือหัวของเกอร์ด้า ทันใดนั้น ความทรงจำของเด็กหญิงก็เริ่มเลือนราง เธอลืมเรื่องเคย์ ลืมการเดินทาง และอยู่ในสวนดอกไม้โดยไม่รู้ว่าตนเองมาทำอะไร

“ดอกไม้เหล่านี้พูดได้…พวกมันจะเป็นเพื่อนของเจ้า” หญิงชรากล่าว

ดอกไม้ในสวนพูดกับเกอร์ด้าด้วยเสียงอ่อนโยน บางดอกเล่าเรื่องของฤดูใบไม้ผลิ บางดอกพูดถึงสายลมและแสงแดด แต่ไม่มีดอกใดรู้เรื่องเคย์เลย เกอร์ด้าเริ่มรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ แม้เธอจะอยู่ในสวนที่งดงามที่สุดก็ตาม

วันหนึ่ง เธอเห็นดอกกุหลาบสีแดงที่คล้ายกับดอกไม้ที่เคยปลูกกับใครคนหนึ่งที่ริมหน้าต่าง เธอจึงถามดอกกุหลาบว่า “เธอเคยเห็นใครคนหนึ่งไหม?”

ดอกกุหลาบตอบว่า “เราไม่เคยเห็นเขา…แต่เรารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”

คำตอบนั้นปลุกความทรงจำของเกอร์ด้ากลับคืนมา เธอร้องไห้ด้วยความคิดถึง และตัดสินใจออกจากสวนทันที

“หนูต้องไป…หนูต้องตามหาเขาให้พบ” เกอร์ด้ากล่าวอย่างแน่วแน่

หญิงชราพยายามรั้งไว้ แต่เวทมนตร์ของนางไม่อาจหยุดหัวใจที่รักแท้ได้ เกอร์ด้าจึงออกเดินทางต่อด้วยความมุ่งมั่น

.

บทที่ 4: ปราสาทเจ้าชายและเจ้าหญิง

หลังจากออกจากสวนดอกไม้ของหญิงชราผู้มีเวทมนตร์ เกอร์ด้าเดินทางต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง เธอเดินผ่านป่า ผ่านทุ่งหญ้า และข้ามแม่น้ำโดยไม่รู้ทิศทาง เธอไม่รู้ว่าเคย์อยู่ที่ไหน แต่เธอเชื่อว่า หากเธอไม่หยุดเดิน เธอจะพบเขาในที่สุด

วันหนึ่ง เธอมาถึงปราสาทหลังหนึ่งที่งดงามราวกับภาพฝัน ประตูใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และมีทหารเฝ้าอยู่ ทหารมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เดินทางมาเพียงลำพัง แล้วถามว่า “เจ้ามาจากไหน เด็กน้อย?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงเรียบง่ายว่า “หนูกำลังตามหาเพื่อนของหนู…เขาชื่อเคย์”

ทหารพาเกอร์ด้าเข้าไปในปราสาท ซึ่งมีเจ้าชายและเจ้าหญิงผู้ใจดีอาศัยอยู่ ทั้งสองฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าด้วยความสงสาร และพาเธอไปยังห้องนอนเพื่อดูว่าเด็กชายที่นอนอยู่บนเตียงนั้นใช่เคย์หรือไม่

เกอร์ด้ามองด้วยความหวัง หัวใจของเธอเต้นแรง แต่เมื่อเด็กชายหันหน้ามา เธอก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ เขาไม่ใช่เคย์

เจ้าชายและเจ้าหญิงรู้สึกประทับใจในความรักและความกล้าหาญของเกอร์ด้า พวกเขาไม่อาจช่วยเธอหาตัวเคย์ได้ แต่ก็อยากให้เธอเดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย จึงมอบเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าอุ่น ๆ และรถเลื่อนให้แก่เธอ

“เจ้ามีหัวใจที่งดงาม…เราขอให้เจ้าพบเพื่อนของเจ้าโดยเร็ว” เจ้าหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เกอร์ด้าโค้งคำนับอย่างสุภาพ “หนูจะไม่หยุด…จนกว่าจะพบเขา”

เธอออกเดินทางอีกครั้งด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ แม้จะยังไม่พบเคย์ แต่เธอก็ได้พบกับความเมตตา และนั่นทำให้หัวใจของเธออบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

.

บทที่ 5: กลุ่มโจรและเพื่อนใหม่

เกอร์ด้าเดินทางต่อด้วยรถเลื่อนที่เจ้าชายและเจ้าหญิงมอบให้ เธอข้ามป่าใหญ่ที่เต็มไปด้วยหิมะและลมหนาว แม้จะเหนื่อยล้า แต่เธอก็ไม่หยุด เพราะหัวใจของเธอยังคิดถึงเคย์อยู่เสมอ

ระหว่างทาง รถเลื่อนของเธอถูกกลุ่มโจรป่าดักจับ พวกเขาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ และพาเธอไปยังถ้ำที่เต็มไปด้วยเสียงลมและเงามืด หัวหน้าโจรเป็นหญิงชราผู้ดุร้าย นางมีดวงตาแข็งกร้าวและเสียงที่ดังจนสะท้านใจ แต่ในถ้ำแห่งนั้น ยังมีเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของหัวหน้าโจร

เด็กสาวคนนั้นมีดวงตาเฉียบคมและท่าทางแข็งแรง แต่เมื่อเธอมองเกอร์ด้า เธอกลับเห็นบางอย่างที่ต่างออกไป เธอถามด้วยเสียงเรียบว่า “เจ้าคือใคร? ทำไมเจ้ามาในป่าของเรา?”

เกอร์ด้าตอบด้วยเสียงสั่น “หนูกำลังตามหาเพื่อน…เขาถูกพาไปโดยราชินีหิมะ”

เด็กสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยเห็นใครกล้าหาญเท่าเจ้า…ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า”

เธอพาเกอร์ด้าไปยังห้องของตน และให้พักผ่อนในเปลที่แขวนไว้ท่ามกลางสัตว์ป่าที่เชื่องอย่างประหลาด ในคืนนั้น เด็กสาวเล่าเรื่องของราชินีหิมะให้ฟัง “ข้าเคยได้ยินว่านางอาศัยอยู่ทางเหนือสุด…ในปราสาทน้ำแข็งที่ไม่มีใครกล้าเข้าไป”

เกอร์ด้าฟังด้วยความหวัง “หนูต้องไปที่นั่น…หนูต้องช่วยเคย์ให้ได้”

เด็กสาวนิ่งไปอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ข้าจะช่วยเจ้า…แม้ข้าจะเป็นโจร แต่ข้าก็มีหัวใจ”

รุ่งเช้า เด็กสาวปล่อยเกอร์ด้าออกเดินทางอีกครั้ง พร้อมมอบกวางเรนเดียร์ให้พาไปยังแดนเหนือ

“เจ้าต้องไปยังลัปแลนด์…ที่นั่นมีหญิงชราผู้รู้ทางไปปราสาทของราชินีหิมะ” เด็กสาวกล่าว

เกอร์ด้าขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ แล้วออกเดินทางต่อไปด้วยความหวังที่เริ่มกลับมาอีกครั้ง

.

บทที่ 6: ลัปแลนด์ ฟินแลนด์ และคำตอบของหัวใจ

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางสู่แดนเหนือ พวกเขาข้ามภูเขาสูง ผ่านทุ่งน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ และฝ่าลมหนาวที่พัดแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน เกอร์ด้าหนาวจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เพราะหัวใจของเธอยังมีความหวัง

ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงลัปแลนด์ ดินแดนที่หนาวเหน็บที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นั่นเธอได้พบหญิงชราผู้รู้ทาง หญิงชรานั้นอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ ที่อบอุ่น มีไฟสว่างไสวและกลิ่นหอมของปลาแห้งลอยอยู่ในอากาศ

หญิงชราฟังเรื่องราวของเกอร์ด้าอย่างตั้งใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้ามีหัวใจที่กล้าหาญ…แต่การจะช่วยเคย์ต้องใช้มากกว่าความกล้า” นางเขียนจดหมายถึงหญิงชราอีกคนในฟินแลนด์ ซึ่งรู้เวทมนตร์ลึกซึ้งกว่า และส่งเกอร์ด้าเดินทางต่อไป

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางต่ออีกครั้ง คราวนี้เหนื่อยยิ่งกว่าเดิม แต่เธอก็ยังไม่หยุด จนกระทั่งมาถึงกระท่อมของหญิงชราฟินแลนด์ หญิงชราผู้นี้ไม่พูดมาก นางอ่านจดหมายเงียบ ๆ แล้วมองหน้าเกอร์ด้าอย่างอ่อนโยน

“ข้าไม่มีเวทมนตร์ใดที่เหนือกว่าความรักของเจ้า” หญิงชรากล่าว “จงไปเถิด เด็กน้อย หัวใจของเจ้าคือสิ่งเดียวที่สามารถละลายความเย็นชาได้”

คำพูดนั้นทำให้เกอร์ด้ารู้ว่า เธอไม่ต้องการเวทมนตร์ ไม่ต้องการอาวุธหรือพลังพิเศษใด ๆ สิ่งที่เธอมีอยู่แล้ว ทั้งความรัก ความกล้าหาญ และความจริงใจ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

.

บทที่ 7: ปราสาทน้ำแข็งและการพบกันอีกครั้ง

กวางเรนเดียร์พาเกอร์ด้าเดินทางข้ามทุ่งน้ำแข็งที่เงียบงันและหนาวเหน็บที่สุดในโลก ลมพัดแรงจนแทบยืนไม่อยู่ แต่เด็กหญิงก็ไม่ยอมแพ้ เธอกอดผ้าคลุมแน่น และหลับตาเพื่อไม่ให้หิมะเข้าตา หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความหวังและความกลัวปะปนกัน

ในที่สุด ปราสาทน้ำแข็งของราชินีหิมะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งขาวโพลน งดงามราวกับแก้วใส แต่ก็เย็นเยือกจนแทบไม่มีชีวิต ปราสาทนั้นไม่มีประตู ไม่มีทหาร ไม่มีเสียงใด ๆ มีเพียงความเงียบที่ลึกจนเหมือนจะกลืนทุกอย่างเข้าไป

เกอร์ด้าเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ เท้าของเธอจมลงในหิมะที่หนาและเย็นจัด แต่เธอไม่หยุด เธอเดินผ่านห้องโถงที่เต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งซึ่งมีรูปทรงแปลกตา บางเกล็ดเหมือนดอกไม้ บางเกล็ดเหมือนดาว แต่ทุกชิ้นก็เย็นชาและไม่มีชีวิต

ในห้องกลางของปราสาท มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นน้ำแข็ง เขากำลังจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย เขาไม่พูด ไม่ขยับ และไม่รู้ว่าใครอยู่รอบตัว

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วเรียกเบา ๆ “เคย์…”

เด็กชายไม่ตอบ เธอเรียกอีกครั้ง “เคย์…นี่ฉันเอง เกอร์ด้า…”

เคย์ยังคงนิ่งอยู่เหมือนรูปปั้นน้ำแข็ง เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึก และพยายามจัดมันให้เป็นคำว่า “นิรันดร์” เพราะราชินีหิมะเคยบอกว่า หากเขาสามารถจัดเกล็ดน้ำแข็งให้เป็นคำนั้นได้ เขาจะได้รับอิสรภาพและพลังวิเศษ

แต่เคย์ไม่รู้ว่า เขาไม่ได้ต้องการอิสรภาพจากราชินีหิมะ เขาต้องการอิสรภาพจากความเย็นชาในหัวใจของตนเอง

เกอร์ด้าเข้าไปใกล้ แล้วโอบเขาไว้ด้วยแขนเล็ก ๆ ของเธอ เธอร้องไห้ น้ำตาไหลลงบนแก้มของเคย์ และหยดลงบนหัวใจของเขา

ทันใดนั้น เศษกระจกที่ฝังอยู่ในหัวใจของเคย์ก็ละลายลงอย่างช้า ๆ เขาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วมองหน้าเกอร์ด้า

“เกอร์ด้า…เธอมาได้ยังไง?” เขาถามด้วยเสียงสั่น

“ฉันตามหาเธอมาตลอด…ฉันไม่เคยหยุดรักเธอเลย” เกอร์ด้าตอบ

เคย์หลับตา น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เศษกระจกที่อยู่ในดวงตาของเขาก็หลุดออกมา เขามองโลกอีกครั้งด้วยสายตาเดิม สายตาที่อ่อนโยนและอบอุ่น

เขามองเกล็ดน้ำแข็งตรงหน้า แล้วพูดว่า “มันไม่มีความหมายเลย…”

เกอร์ด้ายิ้ม “เพราะความรักต่างหากที่มีความหมาย”

……

เมื่อเคย์หลุดพ้นจากเวทมนตร์ของราชินีหิมะ เขามองหน้าเกอร์ด้าอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ดวงตาของเขาไม่เย็นชาอีกต่อไป หัวใจของเขาไม่แข็งกระด้างอีกแล้ว เขาจำทุกอย่างได้ ทั้งดอกกุหลาบริมหน้าต่าง เสียงหัวเราะในฤดูใบไม้ผลิ และคำพูดอ่อนโยนที่เคยแลกเปลี่ยนกัน

เขากอดเกอร์ด้าแน่น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ต้องพูดอะไร ทั้งสองคนยืนอยู่กลางปราสาทน้ำแข็งที่เคยเงียบงัน แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ไม่มีใครมองเห็นได้ด้วยตา มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่รับรู้

เกล็ดน้ำแข็งที่เคย์เคยจัดเรียงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น มันไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะคำว่า “นิรันดร์” ที่เขาเคยพยายามสร้าง ไม่ได้อยู่ในรูปทรงของน้ำแข็ง แต่มันอยู่ในความรักที่ไม่ยอมแพ้ของเกอร์ด้า

ทั้งสองออกจากปราสาทน้ำแข็งโดยไม่มีใครขัดขวาง ราชินีหิมะไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย เพราะเธอไม่เคยผูกพันกับใครจริง ๆ เคย์จากไปได้ง่าย เพราะไม่มีใครรั้งเขาไว้ ความงามที่ไร้หัวใจไม่อาจยึดเหนี่ยวใครได้

กวางเรนเดียร์พาทั้งสองกลับสู่แดนใต้ ผ่านลัปแลนด์ ผ่านฟินแลนด์ ผ่านป่าของโจร และกลับไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่พวกเขาเคยอยู่ ดอกไม้ริมหน้าต่างยังคงเบ่งบานเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มันดูงดงามกว่าเดิม เพราะหัวใจของทั้งสองกลับมาเป็นเหมือนเดิม

เคย์กับเกอร์ด้านั่งริมหน้าต่างอีกครั้ง พูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม และหัวเราะเบา ๆ เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครพูดถึงปราสาทน้ำแข็ง ไม่มีใครพูดถึงราชินีหิมะ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป

สิ่งที่มีความหมายคือความรักที่ไม่ยอมแพ้ ความกล้าหาญของหัวใจเด็กหญิงคนหนึ่ง และการกลับมาของเด็กชายที่เคยหลงทาง

และแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ดอกไม้ที่พวกเขาปลูกไว้ก็ยังไม่เหี่ยวเฉา เพราะมันเติบโตจากความรักแท้ที่ไม่มีวันจางหาย.


Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

ความฝันในคืนกลางฤดูร้อน : นิทานตลก ๆ ก่อนนอนจากเชคสเปียร์

A Midsummer Night’s Dream คือบทละครแนวแฟนตาซี-โรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1595–1596 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่มีชีวิตชีวาและเป็นที่รักมากที่สุดของเชคสเปียร์ ด้วยฉากป่าเวทมนตร์ ตัวละครภูติ และความรักที่วุ่นวายระหว่างหนุ่มสาวสี่คนในเมืองเอเธนส์

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง A Midsummer Night’s Dream ว่าเป็นบทละครที่โดดเด่นด้านโครงสร้างและลีลา เพราะสามารถผสมผสานความรัก ความขบขัน และเวทมนตร์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยไม่ลดทอนความลึกของอารมณ์มนุษย์ เรื่องนี้สะท้อนความเปราะบางของความรัก ความเข้าใจผิด และพลังของจินตนาการอย่างแยบคาย หลายคนมองว่าเป็นบทละครที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้สำรวจความจริงและความฝันไปพร้อมกัน

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมจินตนาการ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s A Midsummer Night’s Dream – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… ณ กรุงเอเธนส์ (Athens) เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและความคึกคัก มีเจ้าผู้ครองนครชื่อว่า เธเซอุส (Theseus) กำลังเตรียมพิธีแต่งงานกับหญิงงามผู้กล้าหาญนามว่า ฮิปโปลิตา (Hippolyta) ผู้เป็นราชินีแห่งอเมซอน (Amazon) ทั้งเมืองต่างรอคอยวันแห่งความสุขนี้ด้วยใจเบิกบาน

แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในหัวใจของหนุ่มสาวอีกสี่คน คือ เฮอร์เมีย (Hermia) ไลแซนเดอร์ (Lysander) เดเมเทรียส (Demetrius) และ เฮเลนา (Helena)

เฮอร์เมียเป็นหญิงสาวผู้รักชายชื่อไลแซนเดอร์ แต่บิดาของเธอกลับต้องการให้เธอแต่งงานกับ เดเมเทรียส ชายอีกคนที่เธอไม่รักเลยแม้แต่น้อย

เฮอร์เมียไม่ยอมทำตามคำสั่งของบิดา เธอจึงวางแผนหนีออกจากเมืองไปพร้อมกับไลแซนเดอร์ เพื่อใช้ชีวิตด้วยกันอย่างอิสระในที่ที่ไม่มีใครขัดขวาง

เมื่อเฮเลนาเพื่อนสาวของเฮอร์เมียรู้เรื่อง เธอเกิดความหวังขึ้นในใจ เพราะเธอเองก็หลงรักเดเมเทรียสมานาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยรักเธอกลับเลยก็ตาม เฮเลนาจึงรีบไปบอกเดเมเทรียสว่าเฮอร์เมียหนีไปกับไลแซนเดอร์ เพื่อหวังว่าเขาจะหันมาสนใจเธอแทน

เดเมเทรียสโกรธมากและรีบตามไปยังป่าที่เฮอร์เมียหลบหนีไป เฮเลนาก็ตามไปด้วย หวังว่าจะได้อยู่ใกล้ชายที่เธอรัก แม้จะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเธอเลย

และแล้ว…หนุ่มสาวทั้งสี่ก็หลงเข้าไปในป่าลึกที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์ โดยไม่รู้เลยว่าในป่าแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์อาศัยอยู่ ซึ่งก็คือ…ภูติแห่งความฝันและความรัก

……..

ณ ใจกลางของป่า มีราชาแห่งภูตนามว่า โอเบรอน (Oberon) และราชินีแห่งภูตนามว่า ไททาเนีย (Titania) ทั้งสองมีอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่ในเวลานั้น พวกเขากำลังทะเลาะกันเรื่องเด็กคนหนึ่งที่ไททาเนียรับมาเป็นบุตรบุญธรรม

โอเบรอนไม่พอใจที่ไททาเนียไม่ยอมแบ่งปันเด็กคนนั้นให้เขาดูแลเลย เขาจึงวางแผนใช้เวทมนตร์เพื่อทำให้ไททาเนียหลงรักสิ่งที่น่าขันที่สุดเท่าที่จะหาได้ในป่า

เขาเรียกภูติรับใช้ชื่อ พัค (Puck) ซึ่งเป็นภูติจอมซน ให้ไปหา “ดอกไม้แห่งความหลง” ที่เมื่อหยดน้ำจากดอกไม้ลงบนเปลือกตาของผู้ที่หลับใหล จะทำให้ผู้นั้นหลงรักสิ่งแรกที่เห็นเมื่อตื่นขึ้นมา นอกจากนี้ โอเบรอนยังสั่งให้พัคใช้ดอกไม้นี้กับหนุ่มสาวที่หลงทางในป่า เพื่อช่วยให้ความรักของพวกเขาเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

……..

ในค่ำคืนนั้น ป่าเวทมนตร์เงียบสงบ มีเพียงเสียงใบไม้ไหวและแสงจันทร์ที่ส่องลอดผ่านกิ่งไม้สูงใหญ่ พัคภูติจอมซนบินอย่างว่องไวตามคำสั่งของโอเบรอน พัคพบดอกไม้แห่งความหลงที่มีน้ำวิเศษอยู่ในกลีบ และเขาพยายามมองหาชายหนุ่มที่ควรจะได้รับหยดน้ำจากดอกไม้นี้

แต่เมื่อพัคเห็นชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมาย พัคกลับจำหน้าคนผิด เขาเห็นไลแซนเดอร์ นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ และคิดว่าเขาคือเดเมเทรียส พัคจึงหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ แล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานนัก เฮเลนาก็เดินหลงทางมาใกล้ที่ ๆ ไลแซนเดอร์นอนอยู่ เฮเลนาเห็นไลแซนเดอร์นอนหลับ เธอจึงพยายามปลุกด้วยความเป็นห่วง “ท่านไลแซนเดอร์ ตื่นเถิด ท่านหลับอยู่กลางป่าเช่นนี้ไม่ปลอดภัยเลย”

เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาและเห็นเฮเลนา เขาก็หลงรักเธออย่างไม่มีเหตุผล “โอ เฮเลนา เจ้าเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในโลก ข้ารักเจ้า!”

เฮเลนาตกใจและคิดว่าเขากำลังล้อเล่น “ทำไมท่านพูดเช่นนี้ ท่านรักเฮอร์เมียมิใช่หรือ?

“ข้าไม่เคยรักเฮอร์เมียเลย” ไลแซนเดอร์ตอบ “ข้ารักเจ้าเท่านั้น!”

เฮเลนาสับสนและเสียใจ เธอคิดว่าไลแซนเดอร์กำลังล้อเล่นกับเธอ เธอจึงเดินจากไปทั้งน้ำตา

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่า เดเมเทรียสยังคงตามหาเฮอร์เมียอย่างไม่ลดละ โอเบรอนซึ่งเฝ้าดูอยู่รู้ทันทีว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น โอเบรอนจึงสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษใส่ตาของเดเมเทรียสด้วย เพื่อให้เขาหันมารักเฮเลนาอย่างแท้จริง

พัคทำตามคำสั่ง และเมื่อเดเมเทรียสตื่นขึ้นมา เขาก็เห็นเฮเลนาเดินร้องไห้อยู่ไกลๆ ซึ่งทันใดนั้นเอง เขาก็หลงรักเธออย่างสุดหัวใจ

“เฮเลนา! ข้ารักเจ้า! ข้าขอโทษที่เคยเมินเฉยต่อเจ้า” เดเมเทรียสร้องออกมา

เฮเลนาตกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะตอนนี้มีชายสองคน คือทั้งไลแซนเดอร์และเดเมเทรียส ต่างก็กล่าวว่ารักเธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจเธอเลย

เฮอร์เมียซึ่งตามมาเห็นเหตุการณ์ ก็โกรธและเสียใจอย่างมาก “ไลแซนเดอร์! เจ้าเคยสาบานว่าจะรักข้า แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ?”

ไลแซนเดอร์ไม่ฟังเธอเลย เขาหันไปหาเฮเลนาอย่างเดียว เฮอร์เมียจึงหันไปต่อว่าเฮเลนา “เจ้าแย่งคนรักของข้าไป!”

เฮเลนาร้องไห้ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเลย ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ความรักที่เคยเรียบง่าย กลับกลายเป็นความสับสนวุ่นวาย และป่าเวทมนตร์ก็เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียง เสียงร้องไห้ และความเข้าใจผิด

โอเบรอนเห็นแล้วรู้สึกเสียใจ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องราววุ่นวายเช่นนี้เกิดขึ้น เขาจึงวางแผนให้พัคแก้เวทมนตร์ทั้งหมด เพื่อคืนความรักให้เป็นไปตามธรรมชาติ

แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนั้น ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่เขาต้องจัดการ นั่นคือเรื่องของไททาเนีย (Titania) ราชินีแห่งภูติ ที่กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และกำลังจะตื่นขึ้นมาเห็นสิ่งที่น่าขันที่สุดในป่า…

……….

ในอีกมุมหนึ่งของป่าเวทมนตร์ มีกลุ่มชาวบ้านธรรมดาๆ กลุ่มหนึ่ง กำลังซ้อมละครเพื่อแสดงในพิธีแต่งงานของเธเซอุส พวกเขาไม่ใช่นักแสดงมืออาชีพ แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจและความขยันขันแข็ง

หนึ่งในนั้นคือชายชื่อ บอทท่อม ชายผู้มีนิสัยชอบอวดเก่งและมักเสนอให้ตนเองรับบทเด่นเสมอ เขาเสนอว่า “ข้าจะเล่นเป็นพระเอกก็ได้ หรือจะเป็นสิงโตก็ได้ ข้าเล่นได้ทุกบท!”

พัคซึ่งบินผ่านมาพอดี ได้ยินเสียงบอทท่อมอวดตัวเอง พัคจึงคิดจะแกล้งเขา พัคใช้เวทมนตร์แปลงหัวของบอทท่อมให้กลายเป็นหัวลา มีหูยาวและเสียงร้อง “ฮี่ ๆ ๆ” ที่แปลกประหลาด

เมื่อบอทท่อมกลับไปซ้อมละคร เพื่อนๆ ต่างตกใจและวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว บอทท่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกว่าทุกคนมองเขาแปลกๆ และเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป

ในขณะเดียวกัน ไททาเนีย ราชินีแห่งภูติ กำลังหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ โอเบรอนจึงแอบเข้ามาหยดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตาของเธอ และรอให้เธอตื่นขึ้นมา

ไม่นานนัก ไททาเนียก็ลืมตาขึ้น และสิ่งแรกที่เธอเห็นก็คือ บอทท่อมหัวลา เธอจ้องมองเขาอย่างหลงใหล และกล่าวว่า “โอ ชายผู้สง่างาม ข้ารักเจ้าเหลือเกิน!”

บอทท่อมตกใจ “ข้า…ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดอะไร”

แต่ไททาเนียไม่ฟัง เธอเรียกภูติรับใช้ให้พาบอทท่อมไปยังที่พักของเธอ ให้อาหารอร่อยๆ และดูแลเขาอย่างดี

บอทท่อมรู้สึกงุนงง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เขาเพลิดเพลินกับการได้รับความสนใจ และพูดกับตัวเองว่า “บางทีข้าอาจจะมีเสน่ห์มากกว่าที่คิดก็ได้”

โอเบรอนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและหัวเราะเบาๆ เขาไม่ได้ต้องการให้ไททาเนียเจ็บปวด เพียงต้องการให้เธอเรียนรู้ว่า ความดื้อรั้นและการยึดติดอาจทำให้เราหลงรักสิ่งที่ไม่ควรรัก

เมื่อโอเบรอนเห็นว่าไททาเนียหลงรักบอทท่อมอย่างจริงจัง เขาจึงเริ่มรู้สึกสงสาร และวางแผนจะคืนทุกอย่างให้เป็นปกติ

ในขณะเดียวกัน ความรักของหนุ่มสาวมนุษย์ก็ยังคงสับสนวุ่นวาย พัคต้องรีบแก้เวทมนตร์ให้ถูกคน ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้

…….

เมื่อความวุ่นวายในป่าเวทมนตร์เริ่มเกินควบคุม โอเบรอนราชาแห่งภูติจึงตัดสินใจแก้ไขทุกสิ่งที่เขาและพัคได้ก่อไว้ เขาไม่ได้ต้องการให้ผู้คนเจ็บปวด เพียงต้องการสอนบทเรียนเรื่องความรักและความยึดมั่น

โอเบรอนสั่งให้พัคหยดน้ำวิเศษอีกชนิดหนึ่งลงบนเปลือกตาของไลแซนเดอร์ ขณะที่เขาหลับ เพื่อถอนเวทมนตร์ที่ทำให้เขาหลงรักเฮเลนา เมื่อไลแซนเดอร์ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กลับมารักเฮอร์เมีย อย่างแท้จริงเหมือนเดิม

เฮอร์เมียดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เธอกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าทอดทิ้งข้าไปแล้ว ข้ากลัวเหลือเกิน”

ไลแซนเดอร์จับมือเธอไว้แน่น “ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าใจของข้าเป็นของเจ้าเท่านั้น”

ในอีกมุมหนึ่ง เดเมเทรียสยังคงหลงรักเฮเลนาอย่างมั่นคง แม้ว่าเวทมนตร์จะเป็นจุดเริ่มต้น แต่ความรู้สึกของเขากลับแน่นแฟ้นขึ้นทุกขณะ เขากล่าวว่า “ข้าเคยมองข้ามเจ้า แต่ตอนนี้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงที่ข้าควรจะรักตั้งแต่แรก”

เฮเลนามองเขาด้วยความลังเล แต่เมื่อเห็นความจริงใจในดวงตา เธอก็ยิ้มออกมา “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจอีกนะ”

โอเบรอนเห็นว่าความรักของหนุ่มสาวกลับคืนสู่ความสมดุลแล้ว เขาจึงหันไปจัดการเรื่องสุดท้าย ซึ่งก็คือเรื่องของไททาเนียราชินีแห่งภูติ

โอเบรอนเดินไปหาเธอขณะที่เธอยังหลงรักบอทท่อมผู้มีหัวเป็นลา และกล่าวเบาๆ “ถึงเวลาที่เจ้าจะตื่นจากความฝันแล้ว”

โอเบรอนหยดน้ำแก้เวทมนตร์ลงบนเปลือกตาของไททาเนีย และเมื่อเธอตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นบอทท่อมหลับอยู่ข้างๆ ด้วยหัวลา เธอร้องออกมาด้วยความตกใจ “ข้า…ข้าหลงรักสิ่งนี้จริงหรือ?”

โอเบรอนยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ และข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจว่า ความรักไม่อาจถูกบังคับ และความดื้อรั้นอาจทำให้เราหลงทาง”

ไททาเนียหัวเราะเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอโทษที่เคยดื้อดึง”

โอเบรอนถอนเวทมนตร์ทั้งหมด และบอททอมก็กลับคืนสู่ร่างเดิมโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าเขาแค่ฝันไป และเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนเพื่อเตรียมแสดงละคร

เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ โอเบรอนและไททาเนียก็คืนดีกัน พวกเขาจับมือกันและบินขึ้นสู่ยอดไม้สูง ราวกับธรรมชาติได้คืนความสมดุลอีกครั้ง

ในป่าเวทมนตร์ที่เคยเต็มไปด้วยความสับสน ตอนนี้มีเพียงเสียงหัวเราะ เสียงเพลง และความรักที่แท้จริง

……..

เมื่อรุ่งเช้าเริ่มส่องแสงผ่านยอดไม้ในป่าเวทมนตร์ หนุ่มสาวทั้งสี่ ได้แก่ เฮอร์เมีย, ไลแซนเดอร์, เฮเลนา และเดเมเทรียส ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสงบ พวกเขาไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นความฝันหรือความจริง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ความรักของพวกเขาได้กลับคืนสู่หัวใจที่ถูกต้อง

เธเซอุส (Theseus) เจ้าผู้ครองนครเอเธนส์ และฮิปโปลิตา (Hippolyta) ว่าที่พระชายา เสด็จมายังป่าเพื่อออกล่าสัตว์ตามธรรมเนียมก่อนพิธีแต่งงาน และพบหนุ่มสาวทั้งสี่นอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อพระองค์ทราบเรื่องราวทั้งหมด เธเซอุสตัดสินใจให้อภัยและอนุญาตให้ทั้งสองคู่รักได้แต่งงานพร้อมกันในพิธีเดียวกับพระองค์

ทุกคนกลับสู่เมืองเอเธนส์ด้วยหัวใจที่เบิกบาน พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างงดงามในพระราชวัง มีเสียงดนตรี การตกแต่งด้วยดอกไม้ และผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดี

กลุ่มชาวบ้านที่ซ้อมละครในป่า รวมถึงบอทท่อมผู้กลับคืนสู่ร่างเดิมแล้ว ได้ขึ้นแสดงละครตลกเรื่อง “พีระมัสและธิสบี” (Pyramus and Thisbe) ซึ่งเต็มไปด้วยความผิดพลาดน่าขันและความตั้งใจจริงที่น่ารัก เธเซอุสและผู้ชมต่างหัวเราะอย่างมีความสุข และชื่นชมความพยายามของพวกเขา

เมื่อค่ำคืนมาถึง และทุกคนกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม โอเบรอนและไททาเนียบินผ่านเมืองอย่างเงียบงัน พวกเขาโปรยน้ำวิเศษแห่งความสงบลงบนบ้านเรือน เพื่อให้ทุกคนหลับฝันดี

พัคภูติจอมซนปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เขากล่าวเบาๆ กับผู้อ่านว่า “หากเรื่องราวนี้ทำให้ท่านยิ้มได้ ก็จงคิดว่าเป็นเพียงความฝัน หากมีสิ่งใดผิดพลาด ก็ขอให้ท่านให้อภัยแก่ภูติผู้นี้ด้วยเถิด”

และแล้ว…เรื่องราวแห่งความรัก ความเข้าใจผิด และเวทมนตร์ก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะและความสุขที่แท้จริง

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

นางพญางูขาว : นิทานความรักอมตะจากประเทศจีน

ณ เขาเอ๋อเหมยอันเงียบสงบในแผ่นดินจีนโบราณ มีงูขาวตนหนึ่งชื่อ “ไป๋ซู่เจิน” บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานนับพันปี ด้วยใจมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสภาพสัตว์เดรัจฉานและได้เกิดเป็นมนุษย์ นางมีจิตใจเมตตา ไม่เคยทำร้ายผู้ใด และปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกมนุษย์

ในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั่วเขา ไป๋ซู่เจินตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงสาวงาม พร้อมกับ “เสี่ยวชิง” งูเขียวผู้เป็นสหายซึ่งบำเพ็ญตบะร่วมกันมา ทั้งสองลงจากเขาเพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ และเลือกเมืองหังโจวอันงดงามริมทะเลสาบซีหูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

วันหนึ่ง ขณะที่ฝนโปรยปรายเบา ๆ ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางมาถึงสะพานปั้นหลิน พวกนางไม่มีร่มติดตัว จึงยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นหลิวริมทาง ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ใบหน้าอ่อนโยน เขายื่นร่มให้หญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิงไม่ควรเปียกฝนเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอเชิญใช้ร่มของข้าสักครู่” ไป๋ซู่เจินรับร่มด้วยความซาบซึ้ง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อสบตากับชายผู้นั้น เขาคือ “สวี่เซียน” เภสัชกรหนุ่มผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน

สายฝนยังคงตกพรำ ๆ แต่ในใจของไป๋ซู่เจินกลับอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้ และเมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองก็เดินเคียงกันไปจนถึงร้านขายยาเล็ก ๆ ของสวี่เซียน ณ ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหังโจว

หลังจากวันฝนตกนั้น ไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนเริ่มพบกันบ่อยขึ้น นางแวะมาที่ร้านขายยาทุกวัน บ้างก็ช่วยจัดขวดยา บ้างก็พูดคุยเรื่องสมุนไพรอย่างสนใจ สวี่เซียนรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง และแม้จะไม่เข้าใจเหตุผล เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีบางสิ่งพิเศษที่ดึงดูดใจเขาอย่างลึกซึ้ง

เสี่ยวชิงมองความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยความยินดี แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พี่ไป๋” นางกล่าวเบา ๆ ในคืนหนึ่ง “หากเขารู้ความจริงว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เขาจะยังรักพี่อยู่หรือไม่” ไป๋ซู่เจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเศร้า “ข้ารู้…แต่ข้าไม่อาจห้ามใจได้แล้ว”

ไม่นานนัก สวี่เซียนตัดสินใจขอไป๋ซู่เจินแต่งงาน ทั้งสองจัดพิธีเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข เสี่ยวชิงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และร้านขายยาก็กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทั้งสามคน ผู้คนในเมืองต่างชื่นชมความเมตตาและความรู้ด้านสมุนไพรของไป๋ซู่เจิน

แต่ความสงบสุขนั้นไม่ยั่งยืน พระสงฆ์นามว่า “ฝาไห่” แห่งวัดจินซานได้ยินข่าวเรื่องหญิงสาวลึกลับที่มีพลังวิเศษ เขาสงสัยว่าไป๋ซู่เจินอาจเป็นปีศาจ จึงเดินทางมายังร้านขายยาเพื่อสังเกตการณ์ “หญิงผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ธรรมดา” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องเปิดเผยความจริง”

ฝาไห่ยืนสงบนิ่งใต้ต้นสนหน้าร้าน ดวงตาทอดมองไปยังทะเลสาบซีหูอย่างครุ่นคิด “ปีศาจงูแม้มีใจเมตตา ก็ยังมิอาจละวางสภาพเดรัจฉาน” เขาพึมพำ “หากปล่อยให้มนุษย์หลงใหลในรูปกายที่แปรเปลี่ยนได้ โลกย่อมสับสนระหว่างธรรมกับอธรรม” พระสงฆ์มิได้โกรธเกลียดไป๋ซู่เจิน หากแต่เชื่อมั่นในหลักศีลธรรมที่ต้องปกป้อง

ฝาไห่แสร้งทำเป็นคนป่วยและขอให้ไป๋ซู่เจินรักษา นางให้ยาด้วยความเมตตา แต่สายตาของพระสงฆ์ยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ วันหนึ่ง เขาเชิญสวี่เซียนไปที่วัด และกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกโดยปีศาจงู หากไม่เชื่อ ลองให้ภรรยาเจ้าดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ดูสิ” สวี่เซียนลังเล แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่เซียนนำสุราศักดิ์สิทธิ์มาให้ไป๋ซู่เจินดื่ม โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากวัด นางรับไว้ด้วยมือที่สั่นไหว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอยากให้ข้าดื่ม?” นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา สวี่เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างลังเล “ข้า…แค่อยากรู้ความจริง”

ไป๋ซู่เจินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วจิบสุราอย่างช้า ๆ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงูขาวขนาดใหญ่กลางห้อง เสียงร้องของสวี่เซียนดังขึ้น “ไม่นะ…นี่มัน…” เขาถอยหลังไปจนชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือด “เจ้าคือ…ปีศาจงู?” เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น

ไป๋ซู่เจินพยายามแปลงกายกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าเลย ข้ารักเจ้าอย่างแท้จริง” แต่สวี่เซียนไม่อาจรับความจริงได้ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้นางทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ฝาไห่ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาใช้เวทมนตร์สะกดสวี่เซียนและพาไปยังวัดจินซาน ไป๋ซู่เจินเมื่อฟื้นคืนสติ ก็พบว่าสามีของตนหายไป นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวชิงพยายามปลอบ “พี่ไป๋ เราต้องไปช่วยเขา” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเขาจะเกลียดเราหรือไม่ เราก็ต้องไม่ทอดทิ้งเขา”

ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางไปยังวัดจินซาน ฝนตกหนักตลอดทาง ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความโกรธของนาง เมื่อถึงวัด นางตะโกนเรียกฝาไห่ “คืนสามีของข้ามา!” พระสงฆ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคือปีศาจ เจ้าหลอกลวงมนุษย์ ข้าไม่มีวันยอมให้เขากลับไป”

สายฟ้าฟาดลงกลางลานวัดจินซาน ขณะที่ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงยืนเผชิญหน้ากับฝาไห่ “ข้าขอเพียงสามีของข้า” นางตะโกน ฝาไห่ยกไม้เท้าขึ้น ท่องมนต์ด้วยเสียงหนักแน่น “ปีศาจไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์!” พลังเวทปะทะกันกลางอากาศ เสี่ยวชิงแปลงร่างเป็นงูเขียวขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ม่านเวทมนตร์ ขณะที่ไป๋ซู่เจินเรียกพลังจากธรรมชาติ น้ำในทะเลสาบพลุ่งพล่านราวกับโกรธเกรี้ยว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังสะท้อนทั่ววัด เสี่ยวชิงต้านเวทมนตร์ด้วยสุดกำลัง แต่ฝาไห่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดไว้ ไป๋ซู่เจินเริ่มอ่อนแรง ร่างของนางสั่นไหวด้วยพลังที่ลดลง “พี่ไป๋ หากข้าต้องกลายเป็นปีศาจตลอดกาลเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็ยอม” เสี่ยวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ซู่เจินหันมามองน้องสาวด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำเช่นนั้น” เสี่ยวชิงยิ้ม “แต่ข้าเลือกเอง เพราะข้ารู้ว่าความรักของพี่คือสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยเห็น” พลังสุดท้ายของทั้งสองพุ่งเข้าหาฝาไห่ แต่พระสงฆ์ใช้เวทสะกดไป๋ซู่เจินไว้ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ร่างของนางหายไปในแสงสีทอง ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนแห่งความรัก

ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ไป๋ซู่เจินถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์อันแรงกล้า นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแปลงกายได้อีก เสียงสายฝนยังคงตกกระทบหลังคาเจดีย์ราวกับสะท้อนความเศร้าในใจของนาง “สวี่เซียน…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้ายังรักเจ้า แม้เจ้าจะไม่อภัยให้ข้าก็ตาม” ความรักของนางยังคงอยู่ แม้จะถูกจองจำในความเงียบงัน

สวี่เซียนเมื่อฟื้นจากมนต์สะกด ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เขาเดินกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับไป๋ซู่เจิน ทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ไร้ชีวิตชีวา เขาเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เคยมี “นางไม่เคยทำร้ายข้าเลย” เขาคิด “ข้าทำผิดไปแล้ว”

ด้วยความสำนึกผิด สวี่เซียนเดินทางไปยังวัดจินซานทุกวัน เขานั่งสวดมนต์หน้าบันไดเจดีย์ ขอให้พระเมตตาปลดปล่อยภรรยาของเขา “นางคือผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” เขากล่าวกับฝาไห่ “หากนางเป็นปีศาจจริง ก็เป็นปีศาจที่มีหัวใจมนุษย์”

วันเวลาผ่านไปหลายปี สวี่เซียนไม่เคยละทิ้งความหวัง เสี่ยวชิงซึ่งรอดพ้นจากการสะกด ได้บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียน นางกลับมาที่วัดจินซานอีกครั้ง และใช้พลังช่วยปลดปล่อยไป๋ซู่เจินจากเจดีย์ เวทมนตร์ของฝาไห่อ่อนกำลังลงตามกาลเวลา และในที่สุด เจดีย์ก็สั่นสะเทือนก่อนจะแตกออก

ไป๋ซู่เจินกลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง นางพบสวี่เซียนที่ยังคงรอคอยอยู่หน้าวัด ดวงตาทั้งสองสบกันด้วยความเข้าใจและให้อภัย “ข้ารักเจ้าเสมอ” สวี่เซียนกล่าว “และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก” ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งเพื่อรับรู้ถึงความรักที่ไม่เคยจางหาย

เรื่องราวของนางพญางูขาวจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความเมตตา ความเสียสละ และความจริงใจที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยอคติหรือความกลัว ผู้คนเล่าขานถึงสะพานในวันฝนตก วัดจินซาน และเจดีย์เล่าจินถ่า ว่าเป็นพยานแห่งรักแท้ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ที่แม้ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังรักกันได้ด้วยหัวใจ

Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

ตำนานรักทะเลสาบหงส์ : สวอนเลค | นิทานความรักคลาสสิกจากยุโรปที่งดงามเหนือกาลเวลา

“เจ้าหญิงหงส์” (The Swan Princess) เป็นนิทานพื้นบ้านที่ปรากฏในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออกและแถบสแกนดิเนเวีย เรื่องราวของหญิงสาวผู้ถูกสาปให้กลายเป็นหงส์ และชายหนุ่มผู้มอบความรักแท้เพื่อปลดปล่อยนาง นิทานเรื่องนี้ได้รับการเล่าขานผ่านบทกวี นิทานพื้นบ้าน และการแสดงศิลปะหลากรูปแบบ ซึ่งนิทานเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุด ได้แก่บทของบัลเลต์เรื่อง Swan Lake ซึ่งประพันธ์ดนตรีโดย พีทอร์ อิลิช ไชคอฟสกี คีตกวีเอกแห่งรัสเซียในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19

เนื้อเรื่องของ Swan Lake ถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าชายซิกฟรีด ผู้พบหญิงสาวชื่อโอเดตต์ที่ถูกสาปให้เป็นหงส์ขาวในยามกลางวัน และกลับเป็นมนุษย์เมื่อแสงจันทร์ส่องถึง ความรักของทั้งสองถูกทดสอบเมื่อแม่มดส่งหญิงสาวอีกคนมาแอบอ้างเป็นโอเดตต์ ทำให้เจ้าชายประกาศรักผิดคน และคำสาปกลายเป็นนิรันดร์

ในการเรียบเรียงนิทานเวอร์ชั่นนี้ ผมยึดโครงสร้างและอารมณ์ของเรื่องราวตามบทของการแสดงบัลเลต์ โดยถ่ายทอดเป็นร้อยแก้วที่อ่านง่ายสำหรับผู้อ่านร่วมสมัย แต่ยังคงรักษาความเศร้า ความงาม และความลึกซึ้งของต้นฉบับไว้อย่างครบถ้วน หากท่านต้องการสัมผัสความงดงามของนิทานฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาบัลเลต์ Swan Lake โดย Pyotr Ilyich Tchaikovsky ได้จากแหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น วิดีโอบันทึกการแสดงใน YouTube, เว็บไซต์ของโรงละครบัลเลต์ระดับโลก หรือบทวิเคราะห์ทางดนตรีและวรรณกรรมในหอสมุดดิจิทัล

ณ อาณาจักรอันเงียบสงบที่ล้อมรอบด้วยป่าอันเขียวชอุ่มและทะเลสาบที่มีน้ำใสกระจ่าง มีเจ้าชายองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “ซิกฟรีด” (Siegfried) ผู้เติบโตมาในวังที่งดงาม พระราชินีทรงรักพระโอรสยิ่งนัก และเมื่อเจ้าชายเติบโตเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงาม พระราชินีจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อให้เจ้าชายเลือกคู่ครอง

เจ้าชายซิกฟรีดทรงยิ้มรับข้อเสนอของพระราชินีด้วยความเคารพ แต่ในพระทัยกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เจ้าชายมิได้ปรารถนาการครองราชย์หรือพิธีอภิเษก หากแต่ปรารถนาความรักแท้ที่มิได้ถูกกำหนดด้วยหน้าที่หรือชาติกำเนิด

คืนนั้น เจ้าชายเสด็จออกจากวังพร้อมธนูคู่ใจ แล้วมุ่งหน้าสู่ป่าลึกที่ทอดตัวไปจนถึงทะเลสาบกลางหุบเขา พระองค์มิได้ทรงล่าสัตว์ หากแต่ทรงล่าความเงียบ เพื่อฟังเสียงของหัวใจตนเอง

แสงจันทร์สาดส่องลงบนผิวน้ำ เจ้าชายทรงยืนเงียบอยู่ริมทะเลสาบ ทันใดนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นหงส์ขาวตัวหนึ่งลอยอยู่กลางน้ำอย่างสง่างาม ดวงตาของหงส์สะท้อนแววเศร้าและความโดดเดี่ยวที่พระองค์ไม่เคยพบในสัตว์ใดมาก่อน

เมื่อเจ้าชายยกธนูขึ้น หงส์ขาวกลับว่ายน้ำเข้าใกล้โดยไม่แสดงความหวาดกลัว และในชั่วขณะนั้น แสงจันทร์ก็เปลี่ยนรูปร่างของหงส์ให้กลายเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉม ผิวขาวดุจหิมะ ดวงตาเศร้าดุจดวงดาว นางยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าชาย ราวกับเป็นภาพฝันที่หลุดออกมาจากบทกวี

เจ้าชายซิกฟรีดทอดพระเนตรหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละสายตาได้ พระองค์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำว่า “ความงาม” นางมิใช่เพียงภาพฝัน หากเป็นความเศร้าที่มีชีวิต ความเงียบที่เปล่งเสียง และความโดดเดี่ยวที่เรียกร้องการเข้าใจ

“อย่ากลัวเลยเพคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันชื่อโอเดตต์ (Odette) เป็นเจ้าหญิงผู้ถูกสาปให้เป็นหงส์ในยามกลางวัน และกลับเป็นมนุษย์เมื่อแสงจันทร์ส่องถึง” เจ้าชายมิได้ทรงหวาดกลัว หากแต่พระทัยเต็มไปด้วยความสงสารและความใคร่รู้ พระองค์ทรงถามอย่างอ่อนโยนว่า “ใครเป็นผู้สาปนาง?”

โอเดตต์เล่าเรื่องราวของแม่มดผู้ชั่วร้ายที่สาปนางและเหล่าสหายให้กลายเป็นหงส์ขาว ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้โดยไม่มีวันหลุดพ้น เว้นแต่จะมีชายผู้ซื่อสัตย์ ประกาศรักแท้ต่อหน้านาง และไม่หันไปหาหญิงอื่นอีกเลย เจ้าชายทรงฟังด้วยหัวใจที่สั่นไหว เพราะความรักเริ่มผลิบานในความเงียบของค่ำคืน

คืนแล้วคืนเล่า เจ้าชายเสด็จกลับมายังทะเลสาบ เพื่อพบโอเดตต์ในยามจันทร์ส่อง ทั้งสองสนทนากันด้วยถ้อยคำอ่อนโยน บางครั้งก็เพียงนั่งเงียบ ๆ เคียงข้างกัน ฟังเสียงน้ำกระเพื่อมและเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ความผูกพันค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างลึกซึ้งและมั่นคง

แต่ในเงามืดของป่า แม่มดผู้ชั่วร้ายเฝ้ามองอยู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว นางล่วงรู้ถึงความรักที่กำลังเบ่งบานระหว่างเจ้าชายกับโอเดตต์ และรู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ คำสาปจะถูกทำลาย นางจึงวางแผนส่งบุตรสาวของตนชื่อ โอดีล (Odile) หญิงสาวผู้มีรูปลักษณ์คล้ายโอเดตต์ ไปยังงานเลี้ยงในวัง เพื่อหลอกลวงให้เจ้าชายหลงเชื่อ

เมื่อถึงวันงานเลี้ยงในวัง เจ้าชายซิกฟรีดทรงจำต้องเลือกพระชายาต่อหน้าขุนนางและพระราชินี พระองค์มิได้ทรงปรารถนาให้ถึงวันนั้น แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ขณะงานเริ่มขึ้น หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในฉลองพระองค์สีดำสนิท ดวงตาและรอยยิ้มของนางช่างคล้ายโอเดตต์อย่างน่าประหลาด

หญิงสาวผู้นั้นคือโอดีล บุตรสาวของแม่มดผู้ชั่วร้าย นางได้รับคำสั่งให้หลอกลวงเจ้าชายให้หลงเชื่อว่านางคือโอเดตต์ เพื่อทำลายคำมั่นแห่งรักแท้ โอดีลมิได้เพียงแค่เลียนแบบรูปลักษณ์ของโอเดตต์ หากแต่ฝึกฝนถ้อยคำ ท่าทาง และแม้แต่แววตาให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้

เจ้าชายซิกฟรีดทรงทอดพระเนตรโอดีลด้วยความลังเล พระองค์รู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม แต่ความคล้ายคลึงนั้นก็ทำให้พระทัยสั่นไหว โอดีลยิ้มอย่างอ่อนโยน พูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้เชื่อ “หม่อมฉันมาแล้วเพคะ คืนนี้ หงส์ขาวมิได้อยู่ในน้ำอีกต่อไป”

เจ้าชายทรงหลงเชื่อว่าหญิงตรงหน้าคือโอเดตต์ และเมื่อถึงเวลาประกาศเลือกคู่ พระองค์ตรัสต่อหน้าทุกคนว่า “ข้าขอเลือกนางเป็นพระชายา” เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วท้องพระโรง แต่ในห้วงเวลานั้นเอง แสงจันทร์ก็ส่องผ่านหน้าต่าง และเจ้าชายทรงเห็นภาพของโอเดตต์ที่แท้จริงปรากฏขึ้นกลางอากาศ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เจ้าชายซิกฟรีดทรงตกตะลึง พระทัยแตกสลายเมื่อทรงรู้ว่าพระองค์ได้ทำลายคำสัญญาโดยไม่ตั้งใจ คำสาปที่พันธนาการโอเดตต์จึงกลายเป็นนิรันดร์ ในภาพฝัน โอเดตต์กลายร่างเป็นหงส์ขาวอีกครั้ง แล้วลอยห่างออกไปจากพระองค์ด้วยความเศร้าและความสิ้นหวัง ในขณะที่โอดีลหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหายไปในเงามืดของงานเลี้ยง

เมื่อเจ้าชายซิกฟรีดทรงตั้งสติได้ พระองค์รีบเสด็จออกจากงานเลี้ยง แล้วมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบด้วยใจที่แตกสลาย พระองค์ทรงเรียกชื่อโอเดตต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่มีเพียงเสียงลมและคลื่นน้ำที่ตอบกลับ พระองค์ทรงรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดสามารถย้อนคืนคำสัญญาที่ผิดพลาดนั้นได้

แสงจันทร์สาดส่องลงบนผิวน้ำอีกครั้ง เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นหงส์ขาวว่ายน้ำอยู่กลางทะเลสาบอย่างเงียบงัน ดวงตาของหงส์สะท้อนแววเศร้าและความเจ็บปวดที่พระองค์จำได้ดี พระองค์ทรงก้าวลงสู่ผิวน้ำอย่างสงบ หงส์ขาวว่ายน้ำเข้าใกล้ริมฝั่งราวกับรับรู้ถึงความจริงในถ้อยคำที่พระองค์กำลังจะเอื้อนเอ่ย

“โอเดตต์… ฉันขอโทษ” เจ้าชายตรัสเสียงแผ่วเบา “ฉันมิได้ตั้งใจจะผิดคำสัญญา ฉันถูกหลอก… แต่ความรักของฉันยังคงเป็นของเธอเพียงผู้เดียว” หงส์ขาวมิได้ตอบ หากแต่โน้มคอลงอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเปล่งแสงจาง ๆ รอบกาย ราวกับยอมรับความรักนั้น แม้จะสายเกินไป

เจ้าชายซิกฟรีดทรงรู้ดีว่าไม่มีเวทมนตร์ใดสามารถลบล้างความผิดพลาดได้ แต่พระองค์ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่สามารถมอบให้นางได้ นั่นคือการเสียสละ เจ้าชายจึงตัดสินใจก้าวลงสู่ทะเลสาบอย่างสงบโดยมีหงส์ขาวว่ายน้ำเคียงข้างพระองค์ แสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างของทั้งสอง และในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง คำสาปก็สลายไป ไม่ใช่ด้วยเวทมนตร์ หากด้วยความรักแท้ที่ไม่หวั่นไหวต่อความผิดพลาดและความตาย

รุ่งเช้า ชาวบ้านพบว่าทะเลสาบเงียบงันกว่าทุกวัน ไม่มีหงส์ขาว ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีเสียงใดนอกจากสายลมที่พัดผ่านเบา ๆ บางคนกล่าวว่าเห็นหงส์คู่โบยบินขึ้นสู่ฟากฟ้า บางคนกล่าวว่าได้ยินเสียงเพลงแผ่วเบาในสายลม แต่ทุกคนรู้ว่า ณ ที่แห่งนั้น ความรักแท้ได้เกิดขึ้น และยังคงอยู่ตลอดไป

เจ้าชายซิกฟรีดอยู่ระหว่างเจ้าหญิงโอเดตต์ในชุดขาวและหญิงสาวในชุดดำ โอดีล ตัวแทนความรักและการหลอกลวง จากนิทานตำนานรักทะเลสาบหงส์ Swan Lake
ภาพประกอบนิทาน “ตำนานรักทะเลสาบหงส์ : Swan Lake” แสดงเจ้าชายซิกฟรีดกับเจ้าหญิงโอเดตต์และโอดีล ผู้เป็นเงาของกันและกันภายใต้คำสาปแห่งความรัก
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานความรัก, นิทานแอนเดอร์สัน

ใต้ร่มหลิว : นิทานความรักก่อนนอนที่ทำให้หัวใจสั่นไหว จาก ฮันน์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน

ใต้ร่มหลิว (Under the Willow Tree) เป็นหนึ่งในนิทานที่งดงามและละเมียดละไมที่สุดของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน (Hans Christian Andersen) นักเขียนชาวเดนมาร์กผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนิทานสำหรับเด็ก” และเป็นผู้แต่งนิทานอมตะอย่าง เงือกน้อย, ลูกเป็ดขี้เหร่, เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว ซึ่งล้วนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่ในบรรดานิทานทั้งหมด ยังมีนิทานบางเรื่องที่งดงามแต่ไม่ค่อยถูกหยิบมาเล่า เช่น ใต้ร่มหลิว (Under the Willow Tree)

นักวิชาการหลายท่านมองว่า ใต้ร่มหลิว เป็นหนึ่งในนิทานความรักที่ “ซื่อตรงต่อความรู้สึกของมนุษย์” มากที่สุดของแอนเดอร์สัน แม้จะไม่มีจุดหักเหแรง ๆ หรือฉากแฟนตาซี แต่กลับมีพลังทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง นักอ่านบางคนกล่าวว่า “นี่คือเรื่องรักที่จริงที่สุดในนิทานของแอนเดอร์สัน”

เว็บไซต์นิทานนำบุญเลือกนำเสนอนิทานเรื่อง ใต้ร่มหลิว เพราะนี่คือนิทานความรักที่มีแง่มุมอันน่าสนใจ ทั้งในด้านความงาม ความจริง และความเศร้าอันละเมียดละไม ซึ่งการเรียบเรียงพยายามรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับ โดยมีการเพิ่มรายละเอียดในบางฉากเพื่อให้ผู้อ่านร่วมสมัยเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ไม่แต่งเติมโครงเรื่องหรือเปลี่ยนเจตนาดั้งเดิมของผู้แต่ง

หากคุณชอบนิทานเรื่องนี้ และต้องการอ่านฉบับดั้งเดิมของแอนเดอร์สัน สามารถค้นหาได้โดยใช้คำว่า “Under the Willow Tree by Hans Christian Andersen” ในเว็บไซต์วรรณกรรมต่างประเทศหรือฐานข้อมูลนิทานคลาสสิก

ณ เมืองเล็กริมทะเลชื่อเคอเกอ (Kjøge) ที่ตั้งอยู่ในเดนมาร์ก มีบ้านเรือนเรียงรายอย่างเงียบสงบ ทุ่งหญ้ากว้างไกลทอดตัวออกไปจนสุดสายตา และลำธารเล็กๆ ไหลผ่านกลางเมืองอย่างอ่อนโยน ริมลำธารนั้นมีต้นหลิวเก่าแก่ต้นหนึ่งยืนต้นอยู่อย่างโดดเด่น กิ่งก้านของมันห้อยระย้าลงมาเหมือนม่านธรรมชาติที่โอบล้อมพื้นที่เล็ก ๆ ใต้ร่มเงาไว้อย่างอบอุ่น

ใต้ต้นหลิวนั้น เด็กชายคนุด (Knud) และเด็กหญิงโยฮันนา (Johanne) มักใช้เวลาร่วมกันในวัยเยาว์ พวกเขาเป็นเพื่อนบ้านที่เติบโตเคียงกัน บ้านของทั้งคู่อยู่ติดกันโดยมีพุ่มกุหลาบป่าคั่นกลาง เด็กทั้งสองชอบเล่นใต้ต้นหลิว พูดคุยกันอย่างไร้เดียงสา และมองดูน้ำในลำธารไหลผ่านไปอย่างสงบเงียบ

คนุดเป็นเด็กชายที่เงียบขรึม มีจิตใจอ่อนโยนและช่างคิด ส่วนโยฮันนาเป็นเด็กหญิงสดใส ร่าเริง และกล้าหาญกว่าคนุดอยู่มาก เธอมักเล่าเรื่องที่ฝันให้คนุดฟัง และชวนเขาจินตนาการถึงโลกที่อยู่ไกลออกไปจากเมืองเล็ก ๆ ของพวกเขา ต้นหลิวกลายเป็นสถานที่แห่งความฝัน เป็นที่ที่พวกเขาได้แบ่งปันความคิด ความรู้สึก และความหวังในแบบที่เด็ก ๆ เท่านั้นจะเข้าใจ

แม้จะอยู่ใกล้น้ำ แต่เด็กทั้งสองไม่เคยตกลงไป เพราะโยฮันนามักพูดว่า “พระเจ้าคอยเฝ้ามองเราอยู่เสมอ” คำพูดนั้นกลายเป็นคำปลอบโยนที่คนุดจดจำไว้ในใจ เขาไม่กล้าลงเล่นน้ำเหมือนเด็กคนอื่น และมักถูกล้อว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่โยฮันนาไม่เคยหัวเราะเยาะเขา เธอกลับบอกว่า “ในฝันของฉัน เธอกล้าพอจะจมน้ำเพื่อช่วยฉันเลยนะ”

คำพูดนั้นกลายเป็นสิ่งที่คนุดภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเพียงภาพในฝันของโยฮันนา แต่เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนกล้าหาญในสายตาของเธอ ต้นหลิวจึงไม่ใช่แค่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นที่ที่ความรัก ความกล้าหาญ และความผูกพันได้เติบโตขึ้นอย่างเงียบ ๆ และงดงามในหัวใจของเด็กทั้งสอง

เมื่อฤดูใบไม้ผลิผ่านไปและฤดูร้อนมาเยือน เด็กทั้งสองก็เติบโตขึ้น คนุดเริ่มช่วยงานในบ้านและเรียนรู้การทำงานจากพ่อ ส่วนโยฮันนาเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น และมีความฝันที่จะไปเรียนต่อในเมืองหลวง ต้นหลิวยังคงเป็นที่พักใจของทั้งสอง แม้จะมีภาระมากขึ้น แต่พวกเขายังหาเวลามานั่งใต้ร่มหลิว และพูดคุยกันถึงอนาคตที่ยังไม่ชัดเจน

วันหนึ่ง โยฮันนาได้รับข่าวดีว่าเธอจะได้ไปเรียนในโคเปนเฮเกน เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยโอกาสและความฝัน คนุดยิ้มให้เธออย่างยินดี แม้ในใจจะรู้สึกหวิว ๆ คนุดไม่กล้าบอกความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ เขาเพียงพูดว่า “เธอจะได้เห็นโลกกว้างแล้ว ฉันดีใจด้วยจริง ๆ” โยฮันนาเพียงยิ้มตอบ และบอกว่า “ฉันจะเขียนจดหมายถึงเธอทุกเดือนนะ”

หลังจากโยฮันนาเดินทางไป คนุดยังคงใช้ชีวิตในเมืองเล็กอย่างเรียบง่าย เขาทำงานหนัก ช่วยพ่อแม่ และเฝ้ารอจดหมายจากเธอทุกเดือน คนุดเก็บจดหมายไว้ในกล่องไม้เล็ก ๆ ใต้เตียง และมักจะอ่านซ้ำในคืนที่คิดถึงเธอมากที่สุด ต้นหลิวกลายเป็นที่ที่เขาไปนั่งเงียบ ๆ เพื่อระลึกถึงวันเก่า ๆ และจินตนาการถึงเสียงหัวเราะของโยฮันนา

เวลาผ่านไป…หลายปี คนุดกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีความสามารถ เขาตัดสินใจเดินทางไปโคเปนเฮเกนเพื่อพบโยฮันนาอีกครั้ง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหวังและความกล้า เขาเดินทางด้วยรถม้า ผ่านทุ่งหญ้าและเมืองต่าง ๆ จนมาถึงเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงจอแจ เขารู้สึกตัวเล็ก…ในโลกที่กว้างใหญ่ แต่เขายังคงมั่นใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ

เมื่อคนุดได้พบโยฮันนาอีกครั้ง เธอเปลี่ยนไปมาก เธอกลายเป็นหญิงสาวผู้สง่างาม มีมารยาทและมีความรู้ที่ลึกซึ้ง เธออยู่ในสังคมที่คนุดไม่คุ้นเคย และดูเหมือนว่าเธอจะลืมวันเก่า ๆ ไปแล้ว คนุดไม่กล้าพูดถึงต้นหลิว หรือจดหมายที่เขาเก็บไว้ เขาเพียงยิ้มและฟังเธอเล่าเรื่องชีวิตในเมืองหลวงโดยไม่พูดอะไร

หลังจากพบกันครั้งนั้น คนุดกลับมายังเมืองเคอเกอด้วยหัวใจที่เงียบงัน เขาไม่พูดถึงโยฮันนาให้ใครฟังอีก และไม่เขียนจดหมายถึงเธอเช่นเคย เขาเก็บกล่องไม้ที่บรรจุจดหมายไว้ในลิ้นชักลึกสุดของโต๊ะทำงาน และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนเดิม ต้นหลิวยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เขาไม่ไปนั่งใต้ร่มเงาอีกต่อไป ราวกับว่าความทรงจำที่เคยงดงามได้กลายเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแตะต้อง

วันเวลาผ่านไปนานแสนนาน คนุดกลายเป็นชายชราผู้เงียบขรึม เขาไม่แต่งงาน และไม่มีครอบครัวของตนเอง แต่เขาเป็นที่รักของผู้คนในเมืองเล็ก ๆ ด้วยความซื่อตรงและเมตตา เขามักช่วยเหลือเด็ก ๆ และเล่าเรื่องต้นหลิวให้ฟังอย่างอ่อนโยน แม้จะไม่เอ่ยชื่อโยฮันนา แต่ทุกคนรู้ว่าเรื่องนั้นมีใครบางคนซ่อนอยู่ในความเงียบของเขา

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อคนุดรู้ว่าตนเองอาจมีเวลาเหลือไม่มาก คนุดได้ขอให้เพื่อนบ้านฝังเขาไว้ใต้ต้นหลิวต้นเดิม เขาบอกกับเพื่อนบ้านว่า “ที่นั่นคือที่ที่ผมเคยมีความสุขที่สุด” คำพูดนั้นเรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความหมาย ทุกคนในเมืองเข้าใจ และเมื่อเขาจากไป หลุมศพของเขาก็ถูกวางไว้ใต้ร่มเงาของต้นหลิวที่เคยเป็นที่พักใจของเขาในวัยเยาว์

………

…………

……………

หลายปีต่อมา โยฮันนาในวัยชราได้กลับมาเยี่ยมเมืองเคอเกออีกครั้ง เธอเดินผ่านบ้านเก่า ผ่านพุ่มกุหลาบป่าที่ยังคงเติบโต และมาหยุดอยู่ใต้ต้นหลิว เธอเห็นหลุมศพเรียบง่ายที่มีชื่อ “คนุด” สลักไว้ และเห็นพวงดอกไม้สีขาวที่ใครบางคนเพิ่งวางไว้ เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงและวางมือบนหินหลุมศพอย่างแผ่วเบา

“เขาเป็นคนที่ฉันรักที่สุดในชีวิต” เธอกล่าวเบา ๆ กับต้นหลิวที่ไหวตามสายลม ราวกับต้นไม้รับรู้และตอบรับคำพูดนั้น ใบหลิวปลิวไหวอย่างอ่อนโยน แสงแดดยามเย็นส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ลงบนหลุมศพและใบหน้าของหญิงชราอย่างละเมียดละไม มันเป็นภาพที่สงบงามและเปี่ยมไปด้วยความทรงจำที่ไม่เคยจางหาย

หลังจากโยฮันนาได้พบหลุมศพของคนุด เธอนั่งลงใต้ต้นหลิวอย่างเงียบ ๆ สายลมพัดใบหลิวปลิวไหวเหนือศีรษะของเธอ ราวกับต้นไม้กำลังเล่าเรื่องราวที่เธอเคยลืมไป เธอหลับตาและปล่อยให้ความทรงจำในวัยเยาว์ไหลกลับมาอย่างช้า ๆ ทั้งเสียงหัวเราะ การเล่นริมลำธาร และคำพูดของคนุดที่เคยบอกว่า “ฉันดีใจที่เธอจะได้เห็นโลกกว้าง”

เธอรู้สึกถึงความเงียบที่ไม่ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยความหมาย ความรักที่ไม่เคยเอ่ยออกมา และการรอคอยที่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทน หลุมศพนั้นเรียบง่าย ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีคำสรรเสริญ มีเพียงชื่อเดียวที่สลักไว้ และดอกไม้ป่าที่ขึ้นเองรอบ ๆ ราวกับธรรมชาติได้ดูแลเขาแทนเธอในวันที่เธอไม่อยู่

โยฮันนาเอื้อมมือไปแตะหินหลุมศพอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เธอเดินออกจากใต้ต้นหลิวโดยไม่หันกลับไปมองอีก แต่ในใจของเธอ ต้นหลิวยังคงอยู่ และคนุดก็ยังคงนั่งอยู่ใต้ร่มเงานั้น รอเธออย่างเงียบงันเหมือนเดิม เธอรู้ดีว่าเธอไม่ได้กลับมาเพื่อพบเขา แต่เพื่อยืนยันว่าเขาไม่เคยหายไปจากใจเธอเลย

เมื่อเธอเดินกลับไปยังเมืองเล็กที่เธอเคยจากมา ทุกสิ่งดูเล็กลงแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ผู้คนยังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย เด็ก ๆ ยังเล่นกันริมลำธาร และต้นหลิวยังคงยืนต้นอยู่ที่เดิม ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด

เรื่องราวของคนุดและโยฮันนาไม่ได้จบลงด้วยการครองคู่ หรือคำสัญญาใด ๆ หากแต่จบลงด้วยความรักที่เงียบงามและมั่นคง ความรักที่ไม่ต้องการคำตอบ และไม่ต้องการการครอบครอง เป็นความรักที่เติบโตใต้ต้นหลิว และยังคงอยู่ที่นั่นเสมอ ในสายลม ใบไม้ และความทรงจำของผู้ที่เคยหยุดยืนใต้ร่มเงานั้น