นิทานเรื่องนี้เรียบเรียงจากวรรณกรรมคลาสสิกระดับโลก Dracula เขียนโดย Bram Stoker นักเขียนชาวไอริช ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1897 ถือเป็นหนึ่งในนิยายแนวโกธิกและสยองขวัญที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมตะวันตก
Dracula ไม่เพียงสร้างภาพจำของ “แวมไพร์” ที่ดูดเลือดและกลัวแสงแดด แต่ยังสะท้อนความกลัวในจิตใจมนุษย์ ความลุ่มหลงในอำนาจ และการต่อสู้ระหว่างแสงสว่างกับเงามืด นิยายเรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละคร และงานศิลปะนับไม่ถ้วนทั่วโลก
นิทานฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ได้รับการเรียบเรียงใหม่ให้เหมาะกับผู้อ่านร่วมสมัย โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้อ่านทุกวัยสามารถเข้าถึงเรื่องราว อารมณ์ ความลุ้นระทึก และความงามของเรื่องได้อย่างเต็มที่
หากผู้อ่านชื่นชอบนิทานฉบับนี้ ขอแนะนำให้ลองอ่าน Dracula ฉบับเต็ม เพื่อสัมผัสความลุ่มลึกของตัวละครและบรรยากาศที่เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้จดหมายและบันทึกที่สร้างความตึงเครียดอย่างมีชั้นเชิง
มาอ่านวรรณกรรมเรื่อง “แดรกคูลา” ฉบับเรื่องเล่าก่อนนอนไปด้วยกัน
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีทนายหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ โจนาธาน ฮาร์เกอร์ เขาได้รับมอบหมายจากบริษัทในกรุงลอนดอน ให้เดินทางไปยังดินแดนทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย เพื่อจัดการเรื่องซื้อขายปราสาทให้กับลูกค้าผู้ลึกลับนามว่า เคานต์ แดรกคูลา
โจนาธานออกเดินทางด้วยความตื่นเต้น เขาจดบันทึกทุกสิ่งที่พบระหว่างทาง ทั้งเรื่องผู้คนที่พูดภาษาต่างถิ่น อาหารที่ไม่คุ้นเคย และภูเขาที่สูงชันราวกับจะทะลุฟ้า แต่เมื่อเขาเข้าใกล้หมู่บ้านที่อยู่ใกล้ปราสาท ความรู้สึกไม่สบายใจก็เริ่มก่อตัวขึ้น ผู้คนหลบสายตา และเมื่อเขาเอ่ยชื่อ “แดรกคูลา” ทุกคนก็เงียบงันราวกับเสียงพูดได้ถูกขโมยไป
ในคืนสุดท้ายก่อนถึงปราสาท เจ้าของโรงแรมยื่นไม้กางเขนให้เขา พร้อมพูดด้วยเสียงสั่นว่า “จงพกสิ่งนี้ไว้ใกล้ตัวเสมอ” โจนาธานรับไม้กางเขนไว้ด้วยความงุนงง และออกเดินทางต่อด้วยรถม้าที่แล่นฝ่าหมอกหนา เสียงหมาป่าหอน และลมเย็นเฉียบพัดผ่านราวกับเตือนเขาว่า เขากำลังเข้าใกล้สิ่งที่ไม่ควรพบ
ปราสาทของเคานต์ แดรกคูลา ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา ล้อมรอบด้วยป่าไม้หนาทึบและหน้าผาสูงชัน เมื่อรถม้าจอดสนิท โจนาธานมองขึ้นไปยังประตูรั้วเก่าแก่ที่เปิดออกอย่างช้า ๆ และเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืด
เคานต์ แดรกคูลา ออกมาต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพ ดวงตาของเขาแดงวาว และมีสีผิวขาวซีดเหมือนไร้ชีวิต เมื่อโจนาธานจับมือทักทาย เขารู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นราวน้ำแข็งที่ไม่เหมือนมือของมนุษย์ทั่วไป เคานต์เชิญเขาเข้าไปในปราสาท และบอกว่า “ขอให้ท่านพักอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ…แต่ห้ามออกจากปราสาทโดยไม่ได้รับอนุญาต”
โจนาธานแปลกใจ แต่ก็ยอมรับด้วยความเกรงใจ เขาได้รับห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีอาหารจัดเตรียมไว้ทุกมื้อ แต่ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีเสียงพูดคุย และไม่มีใครนอกจากเคานต์ที่เขาเคยเห็น
วันเวลาผ่านไป โจนาธานเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศในปราสาทนั้นเงียบเกินไป เงียบจนเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองสะท้อนกลับจากกำแพงหิน ต่อมา เขาพบว่าประตูทุกบานถูกล็อก หน้าต่างถูกปิดแน่น และทางเดินบางแห่งนำไปสู่ทางตัน
ในยามค่ำคืน เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา เสียงฝีเท้าที่ไม่ใช่ของเขา และเงาที่เคลื่อนไหวผ่านผนังโดยไม่มีตัวตน เขาเริ่มจดบันทึกทุกสิ่งที่พบ และตั้งคำถามว่า “นี่คือการต้อนรับแขก หรือการกักขังกันแน่”
เขาพยายามถามเคานต์ แดรกคูลา ถึงเรื่องการออกจากปราสาท แต่เคานต์ทำหน้านิ่ง และพูดว่า “ที่นี่ปลอดภัยที่สุดสำหรับท่าน…โลกภายนอกอาจไม่เมตตาเท่าที่นี่” คำพูดนั้นทำให้โจนาธานรู้ว่า เขาไม่ได้เป็นแขกอีกต่อไป แต่เป็นนักโทษในปราสาทที่เต็มไปด้วยเงามืด
ในคืนหนึ่ง ขณะที่โจนาธานนอนหลับอยู่ในห้องนอน เขารู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ในความฝันที่ชวนให้อึดอัด มีหญิงสาวสามคนที่แต่งตัวยั่วยวนปรากฏตัวขึ้น พวกเธอมองมาที่เขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหิวกระหาย
พวกเธอเดินเข้ามาใกล้เตียงนอนของเขา และโน้มตัวลงมาอย่างช้า ๆ ริมฝีปากของหญิงสาวคนหนึ่งเข้าใกล้ลำคอของเขา และเขารู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นเฉียบราวกับความตาย
แต่ทันใดนั้น เคานต์แดรกคูลาก็ปรากฏตัวขึ้นในเงามืด “หยุดเดี๋ยวนี้ เขาคือเหยื่อของข้า” แดรกคูลาตวาดเสียงต่ำ ผีสาวทั้งสามจึงถอยออกไปอย่างไม่พอใจ และเคานต์ก็ล็อกประตูจากด้านนอก ทิ้งโจนาธานไว้ในห้องนอนที่เต็มไปด้วยความกลัว
เวลาผ่านไปนาน โจนาธานค่อย ๆ ชันตัวลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าของเคานต์ห่างออกไปจนเงียบสนิท เขารู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีก เขาจึงเริ่มสำรวจปราสาทอย่างละเอียด และพบทางเดินลับที่นำไปสู่ห้องใต้ดิน
ในห้องใต้ดินนั้น โจนาธานพบโลงศพหลายใบเรียงรายอยู่ในความมืด บางใบเปิดอยู่ และภายในมีดินดำจากทรานซิลเวเนียที่มีกลิ่นอับเฉพาะตัวอยู่ในนั้น ในขณะที่สำรวจโลงศพ เขาเห็นโลงศพใบหนึ่งที่มีร่างของเคานต์แดรกคูลานอนนิ่งอยู่ ดวงตาของเคานต์ปิดสนิท ผิวซีดขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากยังมีคราบเลือดติดอยู่ โจนาธานรู้ทันทีว่าแดรกคูลาไม่ใช่เพียงเจ้าของปราสาท แต่คือสิ่งมีชีวิตอมตะที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเลือดของมนุษย์
โจนาธานรีบกลับขึ้นห้อง นำผ้าปูที่นอนผูกเป็นเชือก แล้วปีนลงจากหน้าต่างสูงชันท่ามกลางลมหนาวและเสียงหมาป่าหอน เมื่อเท้าแตะพื้น เขาหลบเข้าไปในเงามืดของสวนปราสาท และวิ่งไปยังประตูรั้วที่เขาเคยเห็นจากหน้าต่าง เขาพบว่ามันถูกล็อก แต่ด้วยแรงฮึดสุดท้าย เขาใช้หินทุบกลอนจนหลุดออก และหนีออกมาได้
ที่ลอนดอน มีนา เมอร์เรย์ คู่หมั้นของโจนาธาน กำลังดูแลเพื่อนสนิทชื่อ ลูซี เวสเทนร่า หญิงสาวอ่อนหวานที่เริ่มมีอาการแปลกประหลาด คือเธอฝันร้ายทุกคืน อ่อนแรง และมีรอยกัดที่คอซึ่งไม่มีใครอธิบายได้ นอกจากนี้ ลูซียังมีพฤติกรรมที่แปลกไป คือมักเดินละเมอออกไปในสวนยามค่ำคืน และกลับมาด้วยท่าทีเหม่อลอย
ดร.แวน เฮลซิง ศาสตราจารย์ชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงด้านพยาธิวิทยาและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ได้รับเชิญมาดูอาการของลูซี เขาเคยศึกษาตำนานแวมไพร์จากยุโรปตะวันออก และรู้ทันทีว่าอาการของลูซีไม่ใช่โรคธรรมดา เขาสังเกตว่ารอยกัดที่คอมีลักษณะเฉพาะ คือเป็นรอยเขี้ยวที่ลึกและไม่ได้เกิดจากสัตว์ทั่วไป เขาจึงเริ่มวางกระเทียมไว้รอบเตียง ใช้ไม้กางเขนวางไว้ใต้หมอน และสั่งห้ามเปิดหน้าต่างในเวลากลางคืน
แม้จะมีการป้องกันอย่างเข้มงวด แต่ลูซีก็มีอาการทรุดลงเรื่อย ๆ เพราะแม่ของเธอไม่เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์และเปิดหน้าต่างห้องนอนเพื่อให้ลูซี “ได้สูดอากาศดี ๆ” แต่นั่นคือช่องโหว่ที่ทำให้แดรกคูลาที่ออกล่าเหยื่อไปทั่ว สามารถเข้ามาในห้องนอนของลูซี่ได้ และเขาก็กลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อดูดเลือดของเธอ จนในที่สุด ลูซีก็เสียชีวิต
แต่การตายของลูซีไม่ใช่จุดจบ หลังจากนั้นไม่นาน มีข่าวว่าเด็ก ๆ ในเมืองถูกหญิงสาวในชุดขาวล่อลวงไปในยามค่ำคืน ดร.แวน เฮลซิงมั่นใจว่า ลูซีกลายเป็นแวมไพร์ เขาและโจนาธานจึงร่วมกันขุดหลุมศพของลูซี และพบว่าโลงศพว่างเปล่า พวกเขารอจนกลางคืน และเมื่อลูซีกลับมา เขาจึงใช้ลิ่มไม้ตอกผ่านหัวใจของเธอ พร้อมวางไม้กางเขนไว้บนหน้าอก เพื่อปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระ
หลังจากเหตุการณ์ของลูซี มีนาก็เริ่มมีอาการคล้ายกัน คือเธอฝันถึงปราสาทบนยอดเขา เห็นภาพเลือด และได้ยินเสียงเรียกจากเงามืดที่ไม่มีใครเห็น โจนาธานเริ่มสังเกตว่าเธอมีรอยกัดที่คอ และบางครั้งดวงตาเธอจะเปลี่ยนเป็นสีแดงวาวในยามค่ำคืน เธอเริ่มพูดภาษาที่ไม่เคยเรียนรู้ และละเมอเรียกชื่อแดรกคูลาในยามหลับ
ดร.แวน เฮลซิง อธิบายว่า การถูกดูดเลือดจากแวมไพร์ไม่ได้ทำให้กลายเป็นผีดิบทันที แต่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพจิตใจและร่างกายของเหยื่อ ซึ่งหากปล่อยไว้นานเกินไป เหยื่อจะกลายเป็นบริวารของแวมไพร์โดยสมบูรณ์ และไม่มีวันกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีก
ดร.แวน เฮลซิง อธิบายด้วยความมั่นใจว่า “เลือดคือสื่อกลางของคำสาป เมื่อแวมไพร์ดูดเลือดจากเหยื่อ มันไม่ได้เอาแค่ชีวิต แต่ฝากเงามืดไว้ในจิตใจด้วย” ด้วยความรู้จากตำราโบราณและประสบการณ์ในยุโรปตะวันออก ดร.แวน เฮลซิงจึงเสนอแผนการที่กล้าหาญ คือการเดินทางกลับไปยังทรานซิลเวเนีย เพื่อทำลายโลงศพทั้งหมดที่แดรกคูลาใช้หลบภัย และตอกลิ่มไม้ผ่านหัวใจของแดรกคูลาก่อนที่มีนาจะกลายเป็นแวมไพร์โดยสมบูรณ์
เมื่อถึงวันเดินทาง คณะเดินทางประกอบด้วย โจนาธาน, มีนา, ดร.แวน เฮลซิง, อาเธอร์ โฮล์มวูด (คู่หมั้นเก่าของลูซี), และควินซี มอร์ริส (นักล่าชาวอเมริกันผู้กล้าหาญ) พวกเขาพามีนาไปด้วย เพราะเธอมีสายสัมพันธ์ทางจิตกับแดรกคูลา ซึ่งสามารถใช้ติดตามร่องรอยของแดรกคูลาได้
ในบางคืน ดร.แวน เฮลซิงจะทำพิธีเชื่อมจิต โดยให้มีนานั่งหลับตาและพูดสิ่งที่เห็นในความฝัน เธอสามารถบอกได้ว่าแดรกคูลาอยู่ที่ไหน เคลื่อนไหวอย่างไร และกำลังเตรียมอะไรอยู่ ราวกับเธอเป็นกระจกสะท้อนเงามืดของเขา
การเดินทางผ่านภูเขาและหุบเขาอันหนาวเหน็บเต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งสภาพอากาศที่โหดร้าย และความรู้สึกว่ามีบางสิ่งกำลังติดตามพวกเขาอยู่ตลอดเวลา มีนาเริ่มอ่อนแรงลงทุกวัน และเวลาของเธอกำลังจะหมดลง
เมื่อคณะเดินทางมาถึงปราสาทของเคานต์แดรกคูลาในทรานซิลเวเนีย พวกเขาไม่พบใครออกมาต้อนรับ มีเพียงความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ และหมอกหนาที่ลอยต่ำจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน
พวกเขาเข้าไปในปราสาทอย่างระมัดระวัง มีนาเริ่มตัวสั่นและพูดพึมพำถึงห้องใต้ดินที่เธอเห็นในความฝัน ดร.แวน เฮลซิงจึงเชื่อว่าจิตของเธอยังเชื่อมโยงกับแดรกคูลาอยู่ และใช้สิ่งนั้นนำทางไปยังห้องลับใต้ปราสาท
เมื่อพวกเขาเปิดประตูหินเก่า ๆ ลงไปยังห้องใต้ดิน พวกเขาพบโลงศพหลายใบเรียงรายอยู่ในความมืด และในโลงหนึ่ง เคานต์แดรกคูลานอนนิ่งอยู่ ดวงตาปิดสนิท ผิวซีดขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากยังมีคราบเลือด
ดร.แวน เฮลซิงอธิบายเบา ๆ ว่า “เมื่อแวมไพร์หลับในโลงศพที่บรรจุดินจากบ้านเกิด มันจะอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องลงมือ”
พวกเขาเตรียมตัวอย่างเงียบ ๆ โจนาธานถือไม้กางเขนและลิ่มไม้ไว้ในมือ ขณะที่อาเธอร์และควินซีคอยเฝ้าทางเข้าออก ดร.แวน เฮลซิงวางแผนอย่างแม่นยำ เขารู้ว่าต้องลงมือก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เพราะเมื่อรัตติกาลมาเยือน แดรกคูลาอาจฟื้นขึ้นพร้อมพลังเต็มเปี่ยม
ขณะที่แสงสุดท้ายของวันสาดเข้ามาในห้องใต้ดิน โจนาธานเดินเข้าไปใกล้โลงศพ เขามองใบหน้าที่เคยหลอกหลอนเขาในฝัน และยกลิ่มไม้ขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา
“เพื่อมีนา เพื่อทุกคนที่เขาทำร้าย” โจนาธานพึมพำ แล้วตอกลิ่มไม้ลงกลางอกของแดรกคูลาอย่างแรง
เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังก้องไปทั่วห้อง ร่างของแดรกคูลากระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะนิ่งลงและสลายไปในเถ้าธุลี เสียงหมาป่าหอนเงียบลงทันที และหมอกที่ปกคลุมปราสาทก็เริ่มจางหาย
หลังจากแดรกคูลาสลายไปเป็นเถ้าธุลี ความเงียบงันก็ปกคลุมทั่วห้องใต้ดิน มีนาเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็น เธอทรุดตัวลงกับพื้น หายใจลึกอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาที่เคยแดงวาวกลับมาเป็นประกายแห่งชีวิตอีกครั้ง รอยกัดที่คอเริ่มจางลงราวกับไม่เคยมีอยู่
ดร.แวน เฮลซิงเดินเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบ ๆ เขาเอื้อมมือแตะหน้าผากของมีนาเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เธอผ่านความมืดมาแล้ว และยังคงเป็นมนุษย์อยู่”
คณะเดินทางออกจากปราสาทในเช้าวันใหม่ หมอกจางลงจนเห็นทิวเขาไกลโพ้น เสียงนกร้องกลับมาอีกครั้ง และแสงแดดอ่อน ๆ สาดลงบนเส้นทางที่เคยเต็มไปด้วยเงามืด พวกเขาเดินทางกลับอังกฤษด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง แม้จะเหนื่อยล้า แต่ทุกคนรู้ว่าพวกเขาได้ทำในสิ่งที่จำเป็น
หลายเดือนต่อมา โจนาธานและมีนาแต่งงานกันในฤดูใบไม้ผลิ ท่ามกลางสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง พวกเขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้น มีนาเขียนบันทึกไว้ว่า “ความกลัวไม่อาจชนะความรักได้ หากเรากล้าหาญพอที่จะเผชิญหน้า”
ปราสาทแดรกคูลาในทรานซิลเวเนียยังคงตั้งอยู่บนยอดเขาเงียบงัน ไม่มีเสียงหอน ไม่มีเงาเคลื่อนไหว และไม่มีเลือดหลั่งอีกต่อไป และในทุกค่ำคืนที่ดาวส่องแสง มีนาและโจนาธานจะมองขึ้นไปบนฟ้า และรู้ว่าแม้เงามืดจะเคยครอบงำโลก แต่แสงแห่งความรักจะไม่มีวันดับสูญ
ข้อคิดจากวรรณกรรมเรื่องนี้ :
- ความกลัวจะครอบงำเราได้ ก็ต่อเมื่อเราไม่กล้าเผชิญหน้า
- ความรักแท้สามารถปลดปล่อยจิตใจจากเงามืดได้
- ความรู้และสติปัญญาคืออาวุธสำคัญในการแก้ปัญหา
