ในโลกใบนี้ มีผู้คนมากมายที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ บางคนป่วย บางคนสูญเสีย บางคนรู้สึกไร้ค่า บางคนไม่เห็นทางออก และบางคน…เก็บความทุกข์อยู่ในใจจนไม่มีใครรู้
ท่ามกลางคนที่มีความทุกข์ ยังมีเรื่องราวหนึ่งที่อยากให้คุณได้ฟัง
เรื่องของชายคนหนึ่งชื่อ “กำพล ทองบุญนุ่ม” เขาเคยเป็นครูพละ มีร่างกายแข็งแรง มีอนาคตที่สดใส แต่วันหนึ่ง…เขาประสบอุบัติเหตุจากการกระโดดน้ำ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะมันทำให้เขากลายเป็นผู้พิการ พิการแบบที่ขยับร่างกายแทบไม่ได้ หายใจลำบาก ร่างกายช่วงล่างไม่มีความรู้สึก ต้องนอนอยู่บนเตียง และต้องให้คุณพ่อคุณแม่ที่แก่แล้วคอยดูแลทุกอย่าง
เขาไม่ได้ทุกข์แค่วันสองวัน แต่ทุกข์นานถึง 16 ปี จนเคยคิดว่า “ถ้าฟั่นเฟือนไปเลย…ก็คงจะดี”
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเขา คือ “ความรักจากพ่อแม่” คุณพ่อเริ่มไปวัด คุณแม่สวดมนต์อยู่ข้างเตียงทุกคืน เขาเริ่มฟังธรรมะ อ่านหนังสือ และภาวนา แม้ใจยังไม่สงบ แต่เขาก็พยายาม
เขารู้ว่าเขาหายจากความพิการไม่ได้ แต่เขายังหวังที่จะหายจากความทุกข์
วันหนึ่ง เมื่อพ่อของเขาแนะนำให้รู้จักการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว คนที่เคลื่อนไหวแทบไม่ได้อย่างเขาจึงทดลองทำ และเขียนจดหมายไปขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ
เขาโชคดีที่ได้รับจดหมายตอบ และนั่นก็ทำให้เขามีกำลังใจในการที่จะเจริญสติจนกว่าจะพ้นจากทุกข์ให้ได้
เขาตัดสินใจเดินทางไปยังวัดของหลวงพ่อ วัดอยู่บนภูเขา แม้ร่างกายจะไม่อำนวย แม้จะต้องให้คนช่วยอุ้มทุกขั้นตอน แต่เขาก็ไป เพราะเขารู้ว่า ถ้าไม่ไป…เขาอาจไม่มีวันได้ออกจากนรกในใจ
การขึ้นเขาไม่ง่าย แต่การอยู่ในวัดทั้ง ๆ ที่พิการ…ยากกว่า เขาไม่สามารถเจริญสติเหมือนคนอื่น ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เอง แม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนช่วย แต่เขาไม่เคยบ่น เขาไม่เคยขอให้ใครทำแทน เขาแค่ขอให้มีโอกาสได้ฝึก
เขาเริ่มฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหว โดยพลิกมือช้า ๆ ขณะนอนอยู่ รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว รู้สึกตัวกับความคิดที่พาไป รู้สึกตัวกับความท้อที่แอบเข้ามาเงียบ ๆ
บางวัน…เขาหลงคิดจนหมดแรง บางวัน…เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางวัน…เขาอยากเลิก แต่เขาไม่เลิก เพราะเขารู้ว่า ความทุกข์ที่เขาเผชิญมา 16 ปี มันหนักหนาเกินกว่าจะปล่อยให้มันอยู่กับเขาตลอดชีวิต
เขาใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ความเพียรที่มากกว่าคนทั่วไป เพราะเขาไม่มีแรงกาย แต่เขามีแรงใจที่ไม่ยอมแพ้
และวันหนึ่ง เขาเริ่มเห็นว่า กายกับจิตอยู่กันคนละส่วน ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเข้าไปเป็นผู้ทุกข์ แต่เมื่อเขา “ออกมาเป็นผู้ดู” ทุกข์ก็เริ่มเบาลง
เขาไม่ได้กลับมาเดินได้ แต่เขากลับมามีหัวใจที่เบิกบานได้ เมื่อความพิการทางกายทำให้เขาทุกข์ใจไม่ได้ เขาจึงประกาศลาออกจากความพิการ และอาสาเป็นอุปกรณ์สอนธรรมให้กับคนที่มีความทุกข์
เขาเริ่มบรรยายธรรมผ่านเสียง ผ่านคลิป ผ่านรอยยิ้มที่แจ่มใส
เขากลายเป็นแสงสว่างให้คนที่กำลังมืดมน กลายเป็นครูให้คนที่กำลังหลงทางอยู่ในความทุกข์ และกลายเป็นกำลังใจให้คนได้เห็นว่า “ทางข้างหน้ายังมีแสงสว่าง”
ในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอย แต่หัวใจของเขายังคงเบาสบาย และกลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรมอันทรงคุณค่า ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าทุกข์ของเราไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับคุณกำพล เราก็ยังมีโอกาสพ้นจากความทุกข์นั้นได้ และกลายเป็นบุคคลที่ “อยู่เย็นเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง”
ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของคุณกำพลในเวอร์ชั่นที่มีรายละเอียด อ่านได้โดยกดลิงค์ที่ภาพนี้
