Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก

นางพญางูขาว : นิทานความรักอมตะจากประเทศจีน

ณ เขาเอ๋อเหมยอันเงียบสงบในแผ่นดินจีนโบราณ มีงูขาวตนหนึ่งชื่อ “ไป๋ซู่เจิน” บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลานานนับพันปี ด้วยใจมุ่งหวังจะหลุดพ้นจากสภาพสัตว์เดรัจฉานและได้เกิดเป็นมนุษย์ นางมีจิตใจเมตตา ไม่เคยทำร้ายผู้ใด และปรารถนาเพียงจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกมนุษย์

ในฤดูใบไม้ผลิวันหนึ่ง เมื่อดอกไม้บานสะพรั่งทั่วเขา ไป๋ซู่เจินตัดสินใจแปลงกายเป็นหญิงสาวงาม พร้อมกับ “เสี่ยวชิง” งูเขียวผู้เป็นสหายซึ่งบำเพ็ญตบะร่วมกันมา ทั้งสองลงจากเขาเพื่อสัมผัสโลกมนุษย์ และเลือกเมืองหังโจวอันงดงามริมทะเลสาบซีหูเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง

วันหนึ่ง ขณะที่ฝนโปรยปรายเบา ๆ ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางมาถึงสะพานปั้นหลิน พวกนางไม่มีร่มติดตัว จึงยืนหลบฝนอยู่ใต้ต้นหลิวริมทาง ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินผ่านมา เขาสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา ใบหน้าอ่อนโยน เขายื่นร่มให้หญิงสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“คุณผู้หญิงไม่ควรเปียกฝนเช่นนี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ขอเชิญใช้ร่มของข้าสักครู่” ไป๋ซู่เจินรับร่มด้วยความซาบซึ้ง ใจของนางสั่นไหวอย่างประหลาดเมื่อสบตากับชายผู้นั้น เขาคือ “สวี่เซียน” เภสัชกรหนุ่มผู้มีจิตใจดีและอ่อนโยน

สายฝนยังคงตกพรำ ๆ แต่ในใจของไป๋ซู่เจินกลับอบอุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้ และเมื่อฝนหยุดตก ทั้งสองก็เดินเคียงกันไปจนถึงร้านขายยาเล็ก ๆ ของสวี่เซียน ณ ริมถนนสายหนึ่งในเมืองหังโจว

หลังจากวันฝนตกนั้น ไป๋ซู่เจินและสวี่เซียนเริ่มพบกันบ่อยขึ้น นางแวะมาที่ร้านขายยาทุกวัน บ้างก็ช่วยจัดขวดยา บ้างก็พูดคุยเรื่องสมุนไพรอย่างสนใจ สวี่เซียนรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มของนาง และแม้จะไม่เข้าใจเหตุผล เขาก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีบางสิ่งพิเศษที่ดึงดูดใจเขาอย่างลึกซึ้ง

เสี่ยวชิงมองความสัมพันธ์ของทั้งสองด้วยความยินดี แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พี่ไป๋” นางกล่าวเบา ๆ ในคืนหนึ่ง “หากเขารู้ความจริงว่าเราไม่ใช่มนุษย์ เขาจะยังรักพี่อยู่หรือไม่” ไป๋ซู่เจินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยเสียงเศร้า “ข้ารู้…แต่ข้าไม่อาจห้ามใจได้แล้ว”

ไม่นานนัก สวี่เซียนตัดสินใจขอไป๋ซู่เจินแต่งงาน ทั้งสองจัดพิธีเล็ก ๆ ที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข เสี่ยวชิงเป็นผู้ดูแลทุกอย่างด้วยความเต็มใจ และร้านขายยาก็กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นสำหรับทั้งสามคน ผู้คนในเมืองต่างชื่นชมความเมตตาและความรู้ด้านสมุนไพรของไป๋ซู่เจิน

แต่ความสงบสุขนั้นไม่ยั่งยืน พระสงฆ์นามว่า “ฝาไห่” แห่งวัดจินซานได้ยินข่าวเรื่องหญิงสาวลึกลับที่มีพลังวิเศษ เขาสงสัยว่าไป๋ซู่เจินอาจเป็นปีศาจ จึงเดินทางมายังร้านขายยาเพื่อสังเกตการณ์ “หญิงผู้นั้นมีบางสิ่งไม่ธรรมดา” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าต้องเปิดเผยความจริง”

ฝาไห่ยืนสงบนิ่งใต้ต้นสนหน้าร้าน ดวงตาทอดมองไปยังทะเลสาบซีหูอย่างครุ่นคิด “ปีศาจงูแม้มีใจเมตตา ก็ยังมิอาจละวางสภาพเดรัจฉาน” เขาพึมพำ “หากปล่อยให้มนุษย์หลงใหลในรูปกายที่แปรเปลี่ยนได้ โลกย่อมสับสนระหว่างธรรมกับอธรรม” พระสงฆ์มิได้โกรธเกลียดไป๋ซู่เจิน หากแต่เชื่อมั่นในหลักศีลธรรมที่ต้องปกป้อง

ฝาไห่แสร้งทำเป็นคนป่วยและขอให้ไป๋ซู่เจินรักษา นางให้ยาด้วยความเมตตา แต่สายตาของพระสงฆ์ยังจับจ้องอย่างไม่วางใจ วันหนึ่ง เขาเชิญสวี่เซียนไปที่วัด และกล่าวว่า “เจ้าถูกหลอกโดยปีศาจงู หากไม่เชื่อ ลองให้ภรรยาเจ้าดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ดูสิ” สวี่เซียนลังเล แต่ความสงสัยเริ่มก่อตัวในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน สวี่เซียนนำสุราศักดิ์สิทธิ์มาให้ไป๋ซู่เจินดื่ม โดยอ้างว่าเป็นของขวัญจากวัด นางรับไว้ด้วยมือที่สั่นไหว “เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าอยากให้ข้าดื่ม?” นางถามด้วยเสียงแผ่วเบา สวี่เซียนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าอย่างลังเล “ข้า…แค่อยากรู้ความจริง”

ไป๋ซู่เจินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วจิบสุราอย่างช้า ๆ ร่างของนางเริ่มสั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นงูขาวขนาดใหญ่กลางห้อง เสียงร้องของสวี่เซียนดังขึ้น “ไม่นะ…นี่มัน…” เขาถอยหลังไปจนชิดผนัง ใบหน้าซีดเผือด “เจ้าคือ…ปีศาจงู?” เขาพึมพำด้วยเสียงสั่น

ไป๋ซู่เจินพยายามแปลงกายกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง ดวงตานางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้าเลย ข้ารักเจ้าอย่างแท้จริง” แต่สวี่เซียนไม่อาจรับความจริงได้ เขาวิ่งออกจากบ้านไปโดยไม่หันกลับมา ทิ้งให้นางทรุดลงกับพื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย

ฝาไห่ปรากฏตัวขึ้นทันที เขาใช้เวทมนตร์สะกดสวี่เซียนและพาไปยังวัดจินซาน ไป๋ซู่เจินเมื่อฟื้นคืนสติ ก็พบว่าสามีของตนหายไป นางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด เสี่ยวชิงพยายามปลอบ “พี่ไป๋ เราต้องไปช่วยเขา” นางกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าเขาจะเกลียดเราหรือไม่ เราก็ต้องไม่ทอดทิ้งเขา”

ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงเดินทางไปยังวัดจินซาน ฝนตกหนักตลอดทาง ฟ้าร้องคำรามราวกับสะท้อนความโกรธของนาง เมื่อถึงวัด นางตะโกนเรียกฝาไห่ “คืนสามีของข้ามา!” พระสงฆ์ตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าคือปีศาจ เจ้าหลอกลวงมนุษย์ ข้าไม่มีวันยอมให้เขากลับไป”

สายฟ้าฟาดลงกลางลานวัดจินซาน ขณะที่ไป๋ซู่เจินและเสี่ยวชิงยืนเผชิญหน้ากับฝาไห่ “ข้าขอเพียงสามีของข้า” นางตะโกน ฝาไห่ยกไม้เท้าขึ้น ท่องมนต์ด้วยเสียงหนักแน่น “ปีศาจไม่ควรข้องเกี่ยวกับมนุษย์!” พลังเวทปะทะกันกลางอากาศ เสี่ยวชิงแปลงร่างเป็นงูเขียวขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่ม่านเวทมนตร์ ขณะที่ไป๋ซู่เจินเรียกพลังจากธรรมชาติ น้ำในทะเลสาบพลุ่งพล่านราวกับโกรธเกรี้ยว

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด เสียงคำรามของฟ้าผ่าดังสะท้อนทั่ววัด เสี่ยวชิงต้านเวทมนตร์ด้วยสุดกำลัง แต่ฝาไห่ก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่นางคาดไว้ ไป๋ซู่เจินเริ่มอ่อนแรง ร่างของนางสั่นไหวด้วยพลังที่ลดลง “พี่ไป๋ หากข้าต้องกลายเป็นปีศาจตลอดกาลเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็ยอม” เสี่ยวชิงตะโกนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ซู่เจินหันมามองน้องสาวด้วยน้ำตา “ข้าไม่เคยขอให้เจ้าทำเช่นนั้น” เสี่ยวชิงยิ้ม “แต่ข้าเลือกเอง เพราะข้ารู้ว่าความรักของพี่คือสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดที่ข้าเคยเห็น” พลังสุดท้ายของทั้งสองพุ่งเข้าหาฝาไห่ แต่พระสงฆ์ใช้เวทสะกดไป๋ซู่เจินไว้ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ร่างของนางหายไปในแสงสีทอง ทิ้งไว้เพียงเสียงสะท้อนแห่งความรัก

ใต้เจดีย์เล่าจินถ่า ไป๋ซู่เจินถูกสะกดไว้ด้วยเวทมนตร์อันแรงกล้า นางไม่อาจขยับเขยื้อนหรือแปลงกายได้อีก เสียงสายฝนยังคงตกกระทบหลังคาเจดีย์ราวกับสะท้อนความเศร้าในใจของนาง “สวี่เซียน…” นางพึมพำเบา ๆ “ข้ายังรักเจ้า แม้เจ้าจะไม่อภัยให้ข้าก็ตาม” ความรักของนางยังคงอยู่ แม้จะถูกจองจำในความเงียบงัน

สวี่เซียนเมื่อฟื้นจากมนต์สะกด ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในใจ เขาเดินกลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับไป๋ซู่เจิน ทุกสิ่งยังคงอยู่เช่นเดิม แต่ไร้ชีวิตชีวา เขาเริ่มคิดถึงรอยยิ้มของนาง เสียงหัวเราะ และความอบอุ่นที่เคยมี “นางไม่เคยทำร้ายข้าเลย” เขาคิด “ข้าทำผิดไปแล้ว”

ด้วยความสำนึกผิด สวี่เซียนเดินทางไปยังวัดจินซานทุกวัน เขานั่งสวดมนต์หน้าบันไดเจดีย์ ขอให้พระเมตตาปลดปล่อยภรรยาของเขา “นางคือผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ” เขากล่าวกับฝาไห่ “หากนางเป็นปีศาจจริง ก็เป็นปีศาจที่มีหัวใจมนุษย์”

วันเวลาผ่านไปหลายปี สวี่เซียนไม่เคยละทิ้งความหวัง เสี่ยวชิงซึ่งรอดพ้นจากการสะกด ได้บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียน นางกลับมาที่วัดจินซานอีกครั้ง และใช้พลังช่วยปลดปล่อยไป๋ซู่เจินจากเจดีย์ เวทมนตร์ของฝาไห่อ่อนกำลังลงตามกาลเวลา และในที่สุด เจดีย์ก็สั่นสะเทือนก่อนจะแตกออก

ไป๋ซู่เจินกลับคืนสู่อิสรภาพอีกครั้ง นางพบสวี่เซียนที่ยังคงรอคอยอยู่หน้าวัด ดวงตาทั้งสองสบกันด้วยความเข้าใจและให้อภัย “ข้ารักเจ้าเสมอ” สวี่เซียนกล่าว “และข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าหายไปอีก” ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ ราวกับโลกทั้งใบหยุดนิ่งเพื่อรับรู้ถึงความรักที่ไม่เคยจางหาย

เรื่องราวของนางพญางูขาวจึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงความเมตตา ความเสียสละ และความจริงใจที่ไม่อาจถูกทำลายด้วยอคติหรือความกลัว ผู้คนเล่าขานถึงสะพานในวันฝนตก วัดจินซาน และเจดีย์เล่าจินถ่า ว่าเป็นพยานแห่งรักแท้ระหว่างปีศาจกับมนุษย์ ที่แม้ต่างเผ่าพันธุ์ ก็ยังรักกันได้ด้วยหัวใจ

Posted in นิทานจากทั่วโลก, นิทานยุโรป, นิทานสอนใจ

พระราชากับปริศนาสามประการ : นิทาน ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)

ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ เกิดในปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) ซึ่งตรงกับปลายรัชกาลที่ 3 ของไทย และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เขาเป็นผู้เขียนวรรณกรรมระดับโลกอย่าง สงครามและสันติภาพ (War and Peace) และ อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) ไม่เพียงแค่เขียนนวนิยายระดับโลก แต่เขายังสร้างสรรค์นิทานสั้นที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตที่เขาหันมาเน้นเรื่องศีลธรรม ความเมตตา และการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง

นิทานเรื่อง พระราชากับปริศนาสามประการ (Three Questions) เป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระราชาผู้แสวงหาคำตอบของชีวิต นิทานในฉบับเรียงเรียงเป็นภาษาไทยใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่แฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง เหมาะสำหรับเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่กำลังค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่งปกครองอาณาจักรด้วยความยุติธรรมและเมตตา พระองค์ปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ที่ไม่เคยทำผิดพลาด พระองค์จึงตั้งคำถามขึ้นสามข้อ คือ ข้อแรก เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด ข้อที่สอง ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด และข้อสุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำคืออะไร

พระราชาเชื่อว่า หากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ พระองค์จะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ และจะนำพาอาณาจักรไปสู่ความสงบสุข

พระราชาส่งข่าวไปทั่วแผ่นดิน ขอให้ผู้รู้มาช่วยตอบคำถาม บางคนกล่าวว่า “เวลาสำคัญที่สุดคือยามรุ่งเช้า” บางคนตอบว่า “คนสำคัญที่สุดคือพระเจ้า” หรือ “คือแม่ของท่าน” และบางคนตอบว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางแผนล่วงหน้า”

คำตอบต่าง ๆ ไม่ทำให้พระราชาพอใจ พระองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปหานักบวชผู้ปลีกตัวจากสังคมเพื่อแสวงหาความสงบและปัญญา นักบวชอาศัยอยู่ในป่าลึก เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิต

พระราชาเดินทางเข้าไปในป่าโดยไม่บอกว่าเป็นกษัตริย์ เมื่อมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ กลางป่า พระองค์เห็นนักบวชกำลังขุดดินอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่

“ข้าพเจ้ามีคำถามสามข้อ” พระราชาตรัส “ได้โปรดช่วยตอบให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

นักบวชไม่ตอบอะไร เขายื่นจอบให้พระราชา พระองค์จึงช่วยขุดดินอย่างเงียบ ๆ จนเหงื่อไหลเต็มใบหน้า

ไม่นานนัก มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ มือกุมท้องที่มีเลือดไหลไม่หยุด พระราชารีบช่วยปฐมพยาบาล ใช้ผ้าพันแผลและดูแลจนชายคนนั้นหลับไปด้วยความอ่อนแรง

รุ่งเช้า ชายคนนั้นตื่นขึ้นและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าเคยเป็นศัตรูของพระองค์ ข้าตั้งใจจะลอบทำร้าย แต่เมื่อพระองค์ช่วยชีวิตข้า ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ข้าได้เป็นข้ารับใช้ของพระองค์เถิด”

พระราชานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าให้อภัยเจ้า แต่เจ้าจงไปจากที่นี่เสียเถิด”

เมื่อชายคนนั้นจากไป พระราชาก็หันไปถามนักบวชอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง?”

นักบวชยิ้มแล้วกล่าวว่า “คำตอบทั้งหมดอยู่ในสิ่งที่ท่านเพิ่งทำ”

“เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘ตอนนี้’ เพราะเป็นเวลาที่เราสามารถทำสิ่งดี ๆ ได้

ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘คนที่อยู่ตรงหน้าเรา’ เพราะเขาคือผู้ที่เราดูแลได้

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำอะไร? คำตอบก็คือ ‘การช่วยเหลือผู้อื่น’ เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน”

พระราชานิ่งฟังอย่างสงบ คำตอบที่ได้ช่วยไขปริศนาในใจทั้ง 3 ข้อได้อย่างกระจ่างแจ้ง เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นช่วยย้ำความจริงที่หาไม่ได้จากตำรา พระองค์ทรงเข้าใจคำตอบด้วยใจของพระองค์อย่างแท้จริง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • เวลาที่สำคัญที่สุดคือ “ตอนนี้” เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถลงมือทำสิ่งดีได้
  • คนที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเรา” เพราะเขาคือผู้ที่เราต้องดูแล
  • สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำคือ “การช่วยเหลือผู้อื่น” เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน
Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, วรรณกรรมคลาสสิก, วรรณกรรมเล่าใหม่, เรื่องเล่าก่อนนอนผู้ใหญ่

80 วันรอบโลก – เรื่องเล่าก่อนนอนแนวผจญภัย | อ่านเพลินก่อนนอน

80 วันรอบโลก (Around the World in 80 Days) คือวรรณกรรมเยาวชนระดับโลกที่เขียนโดย ฌูล แวร์น (Jules Verne) นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวรรณกรรมไซไฟ” หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1872 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ด้วยเนื้อหาที่สนุก เข้มข้น และเปี่ยมแรงบันดาลใจจากการเดินทางรอบโลกในยุคที่เทคโนโลยียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

แวร์นใช้เรื่องราวของ ฟีเลียส ฟ็อก สุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบ และ ปาสปาร์ตู ผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ ร่วมเดินทางข้ามทวีปเพื่อตามให้ทันเดิมพัน 20,000 ปอนด์ ระหว่างทาง พวกเขาต้องเผชิญความล่าช้า พายุ อุปสรรค และการไล่ล่าจากสารวัตรฟิกซ์ ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นโจรปล้นธนาคาร นอกจากนี้ยังมีตัวละครหญิงชาวอินเดียชื่อ อัลดา (จากชื่อเดิม Aouda) ซึ่งฟ็อกช่วยไว้จากพิธีกรรมโบราณกลางป่า

ในเวอร์ชันที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้ทำการ เรียบเรียงใหม่ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานและกลุ่มครอบครัวที่ต้องการอ่านวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบ เรื่องเล่าก่อนนอน

80 วันรอบโลก ฉบับ นิทานนำบุญ คือการเปิดประตูเข้าสู่วรรณกรรมต้นฉบับ ผู้อ่านที่สนใจควรหาวรรณกรรมฉบับดั้งเดิมมาอ่านเพิ่ม เพราะมีรายละเอียดมากกว่า มีภาษาที่งดงามกว่า และมีมุมมองจากยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งอาจสะท้อนภาพของโลกต่างยุคได้ดี

กาลครั้งหนึ่งในกรุงลอนดอน มีสุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบชื่อว่า ฟีเลียส ฟ็อก ทุกเช้า เขาจะตื่นตรงเวลา ดื่มชาตามกิจวัตร และก้าวออกจากบ้านในจังหวะที่นาฬิกาพกบอกเวลาแบบพอดิบพอดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเรื่องจุกจิก แต่รักในความเที่ยงตรง ราวกับชีวิตขับเคลื่อนด้วยเข็มนาฬิกา

ยามบ่ายของวันหนึ่ง ฟ็อกได้ไปที่ รีฟอร์มคลับ ซึ่งเป็นสโมสรของบรรดานักคิดผู้รักการสนทนาและการเดิมพัน วันนั้น มีเสียงฮือฮาเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์เรื่อง “ทางรถไฟสายใหม่ในอินเดียจะทำให้การเดินทางรอบโลกเร็วขึ้นมาก” ฟ็อกฟังคนอื่นคุยอย่างเงียบ ๆ แล้วเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ถ้าอย่างนี้ การเดินทางรอบโลก…ต้องใช้เวลาสักกี่วัน?”

มีเสียงหนึ่งตอบเขาว่า “อย่างเก่งที่สุด ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 80 วัน…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเลย”

ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “ถ้าเช่นนั้น ผมขอเดิมพัน…ผมจะเดินทางรอบโลกภายใน 80 วันให้สำเร็จ” สมาชิกในสโมสรต่างพากันหัวเราะ บางคนบอกว่าเขาบ้า บางคนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฟ็อกยังยืนยัน “เรามาเดิมพันกันสัก 20,000 ปอนด์ดีไหม”

เมื่อกลับถึงบ้าน ฟ็อกไม่รีรอใด ๆ เขาหันไปพูดกับผู้ช่วยคนใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา ชายคนนี้ชื่อว่า ปาสปาร์ตู เป็นคนจิตใจดี มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เก็บกระเป๋าเถอะ” ฟ็อกพูด “เราจะออกเดินทางทันที”

“ออกเดินทาง…ตอนนี้เลยหรือครับ?” ปาสปาร์ตูเบิกตาโต ฟ็อกพยักหน้า “ใช่ เราต้องไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว เพราะเวลา…คือสิ่งมีค่าที่สุด”

และแล้ว การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันที ทั้งสองโดยสารรถไฟจากลอนดอนไปยังเมืองโดเวอร์ ข้ามเรือสู่ฝรั่งเศส แล้วต่อรถไฟผ่านปารีสสู่ตูริน ประเทศอิตาลี

ในรถไฟ ปาสปาร์ตูถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คุณฟ็อก เราจะไปที่ไหนกันแน่ครับ?”

“บรินดีซี” ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “เมืองที่เราจะลงเรือกลไฟต่อไปยังบอมเบย์ ประเทศอินเดีย”

ปาสปาร์ตูได้แต่มองออกนอกหน้าต่าง รถไฟพุ่งผ่านทุ่งหญ้ากว้าง เมืองเล็ก และหมู่บ้านแสนเงียบสงบ เขาไม่เคยไปไกลขนาดนี้มาก่อน หัวใจของเขาจึงเต้นแรง เหมือนจะบอกว่า…ชีวิตกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

เมื่อถึงฝรั่งเศสและอิตาลี พวกเขาพบเจอกับพายุ ฝน และทางรถไฟที่ต้องซ่อมแซม แต่ฟ็อกไม่เคยบ่น เขายังคงดูนาฬิกาพกเรือนเก่าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “ทุกนาทีล้วนมีค่า”

เมื่อมาถึงบรินดีซี ทั้งคู่ขึ้นเรือกลไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังบอมเบย์ เมืองหลวงทางตะวันตกของประเทศอินเดีย กลางคืนบนดาดฟ้าเรือ ปาสปาร์ตูยืนมองดวงดาวที่พร่างพรายอยู่ทั่วฟากฟ้า ลมทะเลพัดเย็นจนเสื้อคลุมปลิวไปมาตามจังหวะ

เขาหลับตา พึมพำเบา ๆ กับตัวเองว่า…“ขอให้เราทำสำเร็จเถอะนะ… การเดินทาง 80 วันรอบโลก”

เมื่อฟีเลียส ฟ็อกและปาสปาร์ตูเดินทางถึงเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย กลิ่นเครื่องเทศตลบอบอวลอยู่ทุกทิศทาง เสียงรถลาก เสียงม้า และเสียงผู้คนเจรจาซื้อขายดังไม่หยุด ฟ็อกยังคงเงียบขรึม ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เขาดูนาฬิกา และพึมพำกับตัวเองว่า “ไปกัลกัตต้า…ต่อเรือสู่อีสเทิร์นเอเชีย”

แต่เมื่อไปถึงสถานีรถไฟ ข้าราชการในชุดขาวแจ้งข่าวไม่คาดฝัน “ขออภัยครับ…รางรถไฟยังสร้างไม่เสร็จในบางช่วง ท่านจะไปถึงกัลกัตต้าไม่ได้ในตอนนี้”

ปาสปาร์ตูอุทาน “ถ้าอย่างนั้น…เราจะเดินทางต่อยังไงล่ะครับ?” ฟ็อกไม่ตอบทันที เขาเพียงนิ่งคิด แล้วเดินตรงไปยังตลาดที่มีช้างให้เช่า

หน้าตลาด มีช้างตัวโตชื่อ “คีโอนี” ยืนอยู่อย่างสง่างาม ฟ็อกจ่ายเงินทันที พร้อมจ้างควาญช้างที่ชื่อว่า “กีซาล” จากนั้น ทั้งสามคนก็ออกเดินทางฝ่าแดดร้อน ผ่านป่ารก ผ่านต้นไทรใหญ่ และแม่น้ำที่ใสเย็น มุ่งหน้าไปทางตะวันออก

กลางป่า มีเสียงนกและเสียงลิงดังแว่วมาเป็นระยะ ลมพัดใบไม้ไหว ปาสปาร์ตูตื่นเต้น มือของเขาลูบเบา ๆ ที่คอคีโอนีแล้วพูดว่า “เจ้านี่น่ารักจังเลย”

แต่แล้ว…ก็มีเสียงกลองดังมาแต่ไกล เสียงโห่ร้อง และเสียงเครื่องเป่าดังขึ้นเรื่อย ๆ

ควาญช้างกีซาลขมวดคิ้ว “มีพิธีกรรมบางอย่างเกิดขึ้นที่วัดร้างข้างหน้า…บางทีพวกเขากำลังประกอบพิธีบูชายัญ”

เมื่อพวกเขาแอบมองจากพุ่มไม้ ก็เห็นกลุ่มคนพื้นเมืองรายล้อมอยู่รอบหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้สวมชุดส่าหรีสีขาว หลับตาอยู่กลางพิธี “เธอชื่อ อัลดา” กีซาลกระซิบ “เธอถูกบังคับให้ตามสามีที่ล่วงลับเข้าสู่ไฟมรณะ…”

ปาสปาร์ตูอุทาน “เราต้องช่วยเธอ” ฟ็อกไม่พูด เขาพยักหน้า แล้ววางแผนลอบเข้าไปช่วยในช่วงกลางคืน

ยามค่ำ ท้องฟ้าสีดำสนิท ดาวประดับอยู่เบื้องบน ปาสปาร์ตูแอบคลานเข้าไปแทนที่นักบวชคนหนึ่งในพิธี ส่วนฟ็อกรอเวลาอยู่ด้านหลังวัด

เมื่อถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนเปลวไฟจะถูกจุด ปาสปาร์ตูลุกขึ้นอุ้มอัลดา แล้ววิ่งเต็มฝีเท้า ฝูงชนแตกฮือ เสียงตะโกนลั่นวัด ฟ็อกกระโดดขึ้นหลังคีโอนี พร้อมปาสปาร์ตูและอัลดา แล้วช้างก็กระโจนฝ่าความมืดด้วยฝีเท้าที่แข็งแรง

เสียงไล่หลังและกลองเบาลงเรื่อย ๆ ในขณะที่คีโอนีวิ่งเข้าสู่แสงแรกของยามเช้า อัลดาน้ำตาคลอ เธอกล่าวแบบคนเสียขวัญว่า “ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้…ฉันจะเดินทางไปกับคุณ ไม่ว่าจะต้องไปที่ใด”

ฟ็อกเพียงพยักหน้า ส่วนปาสปาร์ตูยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา

การเดินทางที่เริ่มด้วยผู้ชายสองคน บัดนี้มีผู้ร่วมทางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง… และบางที หัวใจที่เคยเงียบงันก็เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นทีละน้อยโดยไม่อาจอธิบายได้

หลังจากช่วยชีวิตอัลดาออกจากพิธีบูชายัญได้อย่างหวุดหวิด ฟีเลียส ฟ็อก ปาสปาร์ตู และอัลดา ก็เดินทางต่อไปยังเมืองฮ่องกง เมืองท่าซึ่งเต็มไปด้วยเรือสำเภา เสียงระฆังดังจากร้านค้า และกลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยฟุ้งบนถนน

ฟ็อกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาดูนาฬิกาเป็นระยะ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เราต้องขึ้นเรือ คาร์นาติก เพื่อไปโยโกฮามาให้ทันวันพรุ่งนี้”

แต่เมื่อมาถึงบริษัทเรือ กลับพบว่ามีพายุเข้า และเรือจะออกคืนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้

ฟ็อกรีบกลับโรงแรมเพื่อเก็บของ ส่วนปาสปาร์ตูซึ่งคิดว่าฟ็อกขึ้นเรือไปแล้ว ก็วิ่งขึ้นเรือ คาร์นาติกโดยไม่รู้ว่าเจ้านายและอัลดายังมาไม่ถึง

เมื่อฟ็อกกลับมาถึงท่าเรือ เขาเห็นเรือออกไปแล้ว พร้อมผู้ช่วยของเขาที่อยู่บนเรือลำนั้น

แทนที่จะสิ้นหวัง ฟ็อกกลับหันไปเช่าเรือเล็กชื่อ แทงกาแดร์ แล้วลงเรือไม้ฝ่าคลื่นลมในคืนเดือนมืด เพื่อไล่ตามเรือใหญ่สู่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น

อัลดานั่งเงียบอยู่ข้างฟ็อก เธอมองบุรุษผู้นิ่งเฉย แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรค สายลมพัดปลายผมของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอเอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณยอมเสี่ยงขนาดนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เสียเวลา…หรือเพื่อช่วยคนที่คุณห่วงใยกันแน่?”

ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบเรียบ ๆ ว่า “เวลาเป็นสิ่งมีค่า…แต่บางคนที่ร่วมเดินทางก็มีค่ามากกว่าเวลาเสียอีก”

เมื่อถึงโยโกฮามา เมืองแห่งโคมแดง เสียงเครื่องดนตรีที่เรียกว่าซามิเซ็น และรอยยิ้มของชาวญี่ปุ่น ฟ็อกกับอัลดารีบเดินหาเบาะแสของปาสปาร์ตู จนพบว่า…ผู้ช่วยของเขากำลังแสดงเป็นตัวตลกอยู่ในโรงละครสัตว์

เมื่อฟ็อกกับอัลดาไปที่โรงละครสัตว์ พวกเขาพบว่าปาสปาร์ตูกำลังแสดงเป็นตัวตลกในฉากสัตว์ประหลาด เพื่อหาเงินกลับบ้าน

เมื่อปาสปาร์ตูเห็นฟ็อก เขาก็ตะลึงจนน้ำตาไหล พร้อมกับพูดออกมาว่า “เจ้านาย ผมดีใจที่ยังได้เจอทุกคนอีกครั้ง”

ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มดูนาฬิกาของเขา

การเดินทางยังต้องดำเนินต่อไป แม้อุปสรรคยังมีอีกมาก แต่ความผูกพันของผู้ร่วมทางทั้งสาม ก็แน่นแฟ้นและแข็งแกร่งจนไม่น่าจะแพ้อะไรไปง่าย ๆ

หลังจากเดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น ฟีเลียส ฟ็อก, ปาสปาร์ตู และอัลดา ได้โดยสารเรือชื่อ เจนเนอรัล แกรนท์ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งสู่ฝั่งอเมริกา

ทันทีที่ถึงเมืองซานฟรานซิสโก พวกเขาก็กระโจนขึ้นรถไฟสายข้ามทวีป ด้วยเป้าหมายคือเมืองนิวยอร์ก เพื่อขึ้นเรือกลับอังกฤษให้ทันกำหนด

แต่การเดินทางในทวีปอเมริกาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด พวกเขาต้องเผชิญกับพายุหิมะ หมอกหนา และควายป่านับร้อยตัวที่วิ่งขวางทางรถไฟกลางทุ่ง รถไฟต้องจอดชั่วคราว ปาสปาร์ตูหายใจแรงเมื่อเห็นฝูงสัตว์โถมมาแบบไม่หยุดยั้ง

“เราต้องรอ…ทุกชีวิตมีสิทธิ์เดินทางเหมือนกัน” ฟ็อกพูดเรียบ ๆ ขณะมองเวลาที่เดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง

และเมื่อรถไฟกลับมาแล่นต่อ จู่ ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น “ปัง! ปัง!” กลุ่มโจรพุ่งขึ้นรถไฟกลางสายฝน พวกเขาพยายามปล้นของมีค่าและข่มขู่ผู้โดยสาร

ฟ็อกคว้าร่มไม้เก่าขึ้นมา “หลบอยู่ด้านหลังฉันนะอัลดา” เขาตะโกน ปาสปาร์ตูปีนขึ้นหลังคารถไฟ วิ่งฝ่าลมและความกลัว ไล่ตามโจรจนตกลงข้างทาง

แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ความกล้าหาญและสามัคคีของผู้โดยสารช่วยกันสกัดโจรเอาไว้ได้ ทว่าหลังเหตุการณ์สงบ…ปาสปาร์ตูกลับหายตัวไปอีกครั้ง

แม้เวลาจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่วัน แต่ฟ็อกก็ตัดสินใจกระโดดลงจากรถไฟ ฝ่าหิมะและความมืดเพื่อออกตามหาเพื่อน เวลาเป็นสิ่งมีค่า แต่เพื่อนก็มีค่าไม่แพ้เวลา หลังจากความพยายามอย่างเต็มที่ ในที่สุด ฟ็อกก็พบปาสปาร์ตูถูกขังอยู่ในกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ และเขาก็ช่วยปาสปาร์ตูให้รอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด แต่รถไฟเที่ยวสุดท้ายที่จะไปนิวยอร์ก…ได้ออกเดินทางไปเสียแล้ว!

ท่ามกลางความสิ้นหวัง แต่ฟ็อกกลับไม่ยอมแพ้ เขารีบหาเรือเล็ก เพื่อใช้เดินทางลัดเลาะผ่านแม่น้ำและเส้นทางในป่า จนในที่สุด เขาก็พาอัลดาและปาสปาร์ตูมาถึงนิวยอร์กได้สำเร็จ

แต่ความท้าทายยังไม่จบ เพราะเรือกลไฟลำสุดท้ายที่มุ่งสู่อังกฤษได้ออกจากท่าไปแล้ว ปาสปาร์ตูถึงกับหมดแรง “พลาดแล้ว…ยังไงเราก็คงไปไม่ทัน”

แต่ฟ็อกกลับตรงดิ่งไปหาเรือขนถ่านลำหนึ่งชื่อ The Henrietta เขาขอเช่าเรือทั้งลำ พร้อมขอเปลี่ยนเส้นทางเดิมให้มุ่งหน้าสู่ลิเวอร์พูลทันที

“แต่เรือของฉันไม่ได้มีไว้สำหรับผู้โดยสาร” กัปตันร้อง ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “ถ้าอย่างนั้น…ก็เปลี่ยนมันซะ” พร้อมจ่ายทองคำจำนวนมหาศาล

เรือแล่นท่ามกลางพายุ มหาสมุทรแอตแลนติกเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ มันต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมากกว่าที่คิด และในช่วงกลางของการเดินทาง…เชื้อเพลิงก็หมด!

ในภาวะวิกฤต ฟ็อกนิ่งคิด แล้วสั่งด้วยเสียงแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่มีถ่านหิน…ก็ใช้ไม้บนเรือแทน”

ปาสปาร์ตูตกใจ “หมายถึง ให้รื้อเสาไม้ พื้นเรือ แล้วต้มเป็นไอน้ำหรือครับ?”

ฟ็อกพยักหน้า “เราต้องแล่นต่อไปให้ถึง แม้จะต้องแล่นด้วยหัวใจแทนเครื่องจักร”

ไม้บนเรือค่อย ๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือ แต่เรือก็ยังแล่นไปข้างหน้า จนในที่สุด…เรือก็เทียบท่าที่ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในช่วงเช้ามืด

ฟ็อกรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟ เพื่อตรงกลับลอนดอนซึ่งเป็นจุดหมายให้ทัน แต่ที่สถานีรถไฟ มีเสียงหนึ่งตะโกนลั่นว่า “คุณฟ็อก! ผมขอจับคุณในนามของกฎหมาย”

สารวัตรฟิกซ์ซึ่งเป็นตำรวจปรากฏตัวขึ้น พร้อมหมายจับเรื่องปล้นธนาคาร แม้ทุกคนจะอธิบายว่าเขาจับผิดคน แต่ฟ็อกก็ถูกควบคุมตัวไว้ชั่วคราว และเวลาก็ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด

หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับข่าวดีว่า ตำรวจที่ลอนดอนจับโจรตัวจริงได้แล้ว เขาถูกปล่อยตัวทันที และเขาก็รีบขึ้นรถไฟกลับบ้านด้วยหัวใจที่ยังพอมีหวัง

แต่เมื่อฟ็อกมาถึงลอนดอน นาฬิกาในบ้านบอกเวลา 20 นาฬิกา 47 นาที ของวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม

ตามเงื่อนไขการเดิมพัน เขาต้องกลับถึง สโมสรรีฟอร์มคลับ ภายในเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม ฟ็อกนิ่งเงียบ ดูเหมือนเขาจะสายไปแล้ว หนึ่งวันกับสองนาที

ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาถอดหมวกอย่างสงบ แล้วนั่งลงข้างนาฬิกาพกที่เคยพาเขาท่องโลก ปาสปาร์ตูได้แต่นั่งเงียบอยู่มุมห้อง ในใจมีเพียงประโยคเดียว “เรามาช้าเกินไป…”

เช้าวันรุ่งขึ้น… บรรยากาศยังเงียบเหมือนเดิม แต่เมื่อปาสปาร์ตูหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เขากลับต้องเบิกตาโพลง

“หนังสือพิมพ์ระบุว่า วันนี้คือ วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม

เขาหยิบหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่มีอยู่มาดู วันที่ในนั้นตรงกันหมด “เดี๋ยวก่อน…เราคิดผิด” เขาร้องอย่างตกใจ “คุณฟ็อกครับ เรากลับถึงลอนดอน ทันเวลา…มันไม่ได้ช้าเกินไปอย่างที่เราคิด”

ฟ็อกหันมา สีหน้าสงสัย

ปาสปาร์ตูจึงรีบอธิบายว่า “ตอนที่เราเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตก เราเดินตามแสงอาทิตย์ทุกวัน เวลาในแต่ละวันของเราถูก ‘ยืดออก’ ทีละนิด โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อครบ 80 วัน…เราจึงได้เวลาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งวันเต็ม ๆ”

ฟ็อกนิ่งไปครู่หนึ่ง…แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถ้าวันนี้ยังเป็นวันเสาร์ และตอนนี้เพิ่ง 8 นาฬิกา เรายังมีเวลาเหลืออีก 12 ชั่วโมงกับ 45 นาทีนี่นา”

ฟ็อกหยิบหมวก หยิบไม้เท้า และออกจากบ้านอย่างไม่รอช้า

เมื่อฟ็อกเดินเข้าสู่สโมสรรีฟอร์มคลับ เสียงนาฬิกากลางห้องก็ดังขึ้นพอดี “ติ๊ง…ติ๊ง…” นาฬิกาบอกเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวัน เสาร์ที่ 21 ธันวาคม

เสียงคนในสโมสรเฮลั่น “เขามาทันเวลาจริง ๆ”

ในที่สุด ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับรางวัลจากการเดิมพัน

หลังจาก 80 วันแห่งการเดินทาง ฟีเลียส ฟ็อกได้กลับมาสู่บ้านของเขาอีกครั้ง แต่ในบ้านหลังนั้น คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเดิม วันนี้ เขามีปาสปาร์ตู ผู้ซื่อสัตย์คอยรินชาให้ด้วยรอยยิ้ม เขามีอัลดาหญิงสาวผู้เคยเกือบสูญเสียทุกสิ่ง คอยอยู่เป็นกำลังใจให้เขา ดังนั้น สิ่งที่เขาได้รับจากการเดินทาง 80 วันรอบโลก จึงไม่ใช่แค่เงินเดิมพัน แต่คือชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มด้วยความรักจากคนที่อยู่เคียงข้างและหัวใจของตัวเองที่กล้าหาญแต่อ่อนโยนกว่าเดิม