Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานคลาสสิก, นิทานเชคสเปียร์

เจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) : นิทานก่อนนอนจากบทละครอมตะของเชคสเปียร์

Hamlet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1600–1601 และถือเป็นหนึ่งในบทละครที่ลึกซึ้งและทรงพลังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าชายแห่งเดนมาร์กผู้ต้องเผชิญกับความจริงอันเจ็บปวด การสูญเสีย และความลังเลในการแก้แค้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Hamlet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างหน้าที่ ความรู้สึก และความจริง ตัวละครแฮมเล็ตกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยวเหงา ความคิดลึก และการตั้งคำถามต่อชีวิตและความตาย บทละครเรื่องนี้ยังเป็นแหล่งอ้างอิงสำคัญในวงการปรัชญา จิตวิทยา และศิลปะการละครทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Hamlet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ

ณ ราชอาณาจักรเดนมาร์ก อากาศหนาวเย็นและเงียบงันในยามค่ำคืน ทหารยามสองนาย ชื่อว่า ฟรานซิสโก (Francisco) และบาร์นาร์โด (Bernardo) ยืนเฝ้าบนกำแพงปราสาทเอลซินอร์ (Elsinore) พวกเขาสลับเวรอย่างเคร่งครัด แต่ในคืนหนึ่ง มีบางสิ่งปรากฏขึ้นที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว

“มันมาอีกแล้ว” บาร์นาร์โดกล่าวเสียงสั่น “เงาร่างนั้น…เหมือนพระราชาองค์ก่อนทุกประการ”

วิญญาณเงียบงัน ไม่พูดจา เพียงเดินผ่านกำแพงด้วยท่าทีสงบแต่เยือกเย็น ทหารยามรีบไปแจ้ง ฮอเรชิโอ (Horatio) เพื่อนของเจ้าชายแฮมเล็ต (Hamlet) ผู้มีสติปัญญาและไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ

เมื่อฮอเรชิโอเห็นวิญญาณ เขาก็เปลี่ยนใจทันที “มันคือพระราชาแน่ ข้าต้องบอกแฮมเล็ต”

ในปราสาทเอลซินอร์ เจ้าชายแฮมเล็ต เศร้าโศกอย่างหนัก พระบิดาของเขาเพิ่งสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน และพระมารดาผู้มีพระนามว่า ราชินีเกอร์ทรูด (Gertrude) ได้แต่งงานใหม่กับ คลอเดียส (Claudius) พระอนุชาของพระราชาองค์ก่อน ซึ่งตอนนี้ขึ้นครองราชย์แทน

แฮมเล็ตไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปเร็วเช่นนี้ เขาเฝ้าถามตัวเอง “เหตุใดแม่จึงแต่งงานกับเขา? เหตุใดข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ?”

เมื่อฮอเรชิโอแจ้งเรื่องวิญญาณ แฮมเล็ตรีบไปยังกำแพงปราสาทในคืนถัดมา และแล้ว…วิญญาณก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

วิญญาณหยุดอยู่ตรงหน้าแฮมเล็ต และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าคือบิดาของเจ้า…ข้าถูกฆาตกรรม”

แฮมเล็ตตกใจ “ใครทำเช่นนั้น?”

วิญญาณตอบ “คลอเดียส น้องของข้า เขาเทยาพิษลงในหูข้าขณะหลับ และแย่งบัลลังก์ไป เขาแต่งงานกับแม่ของเจ้า และปิดบังความจริงไว้ทั้งหมด”

แฮมเล็ตนิ่งงัน โลกทั้งใบเงียบลงในใจของเขา

“จงแก้แค้นให้ข้า…แต่อย่าทำร้ายแม่ของเจ้า” วิญญาณกล่าวก่อนจะจางหายไปในความมืด

แฮมเล็ตยืนอยู่ลำพังในราตรีอันหนาวเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยคำถามและความเจ็บปวด “ข้าจะทำเช่นไร…ข้าจะเชื่อสิ่งที่ข้าเห็นหรือไม่?”

…………

หลังจากคืนที่วิญญาณของพระราชาองค์ก่อนปรากฏตัวต่อหน้าแฮมเล็ต (Hamlet) และเปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึง แฮมเล็ตกลับสู่ปราสาทเอลซินอร์ด้วยจิตใจที่สับสน เขาไม่อาจแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เขาเห็นคือความจริง หรือเป็นภาพลวงจากความเศร้าและความแค้น

“ข้าต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจะลงมือ” เขาพึมพำกับตนเอง “ข้าจะไม่ฆ่าใครด้วยความสงสัย”

เพื่อปกปิดความตั้งใจและสังเกตพฤติกรรมของคลอเดียส แฮมเล็ตจึงเริ่มแสร้งทำเป็นเสียสติ เขาพูดจาแปลกประหลาด เดินไปมาอย่างไร้ทิศทาง และตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่มีใครเข้าใจ

ราชินีเกอร์ทรูดและคลอเดียสเริ่มวิตก พวกเขาเชิญเพื่อนเก่าของแฮมเล็ต คือ โรเซนแครนซ์ (Rosencrantz) และกิลเดนสเติร์น (Guildenstern) ให้มาสังเกตพฤติกรรมของเขา และรายงานกลับ

“ข้ารู้ว่าเขาไม่บ้า” คลอเดียสกล่าว “แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

ในขณะเดียวกัน แฮมเล็ตเริ่มตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัว เขาเฝ้าสังเกตผู้คน และเริ่มเห็นความหลอกลวงที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มและคำพูด

เขาเดินไปยังห้องว่าง และกล่าวกับตัวเองในความเงียบ “To be, or not to be—that is the question…”

แฮมเล็ตครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิต ความตาย และความเจ็บปวดที่มนุษย์ต้องเผชิญ

“การมีชีวิตอยู่คือการทนทุกข์ หรือการสิ้นใจคือการหลุดพ้น?” เขาถามโดยไม่มีคำตอบ

แฮมเล็ตไม่เพียงสงสัยในความจริงของโลกภายนอก แต่ยังสงสัยในความจริงภายในใจของตนเอง เขาเริ่มวางแผนเพื่อเปิดโปงคลอเดียส โดยไม่ใช้ดาบ แต่ใช้การแสดง

“ข้าจะให้คณะละครมาแสดงเรื่องราวของการฆาตกรรม…เหมือนที่วิญญาณเล่าให้ข้าฟัง หากเขามีความผิด เขาจะเผยออกมาเอง”

………….

แฮมเล็ต (Hamlet) เรียกคณะละครเร่ที่เดินทางผ่านเมืองให้มาแสดงในปราสาทเอลซินอร์ เขาเลือกเรื่องที่มีฉากการฆาตกรรมของกษัตริย์โดยน้องชาย เหมือนกับสิ่งที่วิญญาณเล่าให้เขาฟัง และขอให้พวกนักแสดงเพิ่มฉากสำคัญเข้าไป เพื่อให้คลอเดียสได้เห็นภาพสะท้อนของความผิด

“ข้าจะดูปฏิกิริยาของเขา หากเขาสะดุ้งหรือหลบตา ข้าจะรู้ว่าเขามีความผิด” แฮมเล็ตกล่าวกับฮอเรชิโอ (Horatio) ซึ่งนั่งข้างเขาในค่ำคืนแห่งการแสดง

เมื่อการแสดงเริ่มขึ้น แขกในราชสำนักต่างนั่งชมอย่างสงบ ฉากแรกผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อถึงฉากที่กษัตริย์หลับในสวน และน้องชายเทยาพิษลงในหูของเขา คลอเดียสเริ่มขยับตัวอย่างไม่สบายใจ สักพัก คลอเดียสลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตระหนก และกล่าวเสียงดัง “หยุดการแสดงนี้!”

ทุกคนในห้องเงียบงัน คลอเดียสเดินออกจากห้องอย่างรีบร้อน ทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง


แฮมเล็ตหันไปหาฮอเรชิโอ “เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม? เขาไม่อาจทนดูฉากนั้นได้”

“ข้าเห็นชัดเจน” ฮอเรชิโอตอบ “เขามีความผิดในใจแน่นอน”

แฮมเล็ตมั่นใจแล้วว่า วิญญาณพูดความจริง เขาเริ่มวางแผนต่อไป แต่ความลังเลยังคงอยู่ในใจของเขา เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าโดยไม่คิด เขาเป็นชายที่ต้องเข้าใจทุกสิ่งก่อนลงมือ

ในขณะเดียวกัน คลอเดียสเองก็เริ่มหวาดกลัว เขารู้ว่าแฮมเล็ตสงสัย และอาจลงมือเมื่อใดก็ได้ เขาจึงวางแผนส่งแฮมเล็ตไปยังอังกฤษ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย

“ข้าจะส่งเขาไปพร้อมกับโรเซนแครนซ์และกิลเดนสเติร์น…และข้าจะให้จดหมายลับไปด้วย” คลอเดียสกล่าวกับราชินี

แฮมเล็ตรู้ทันแผนนี้ และเริ่มเตรียมใจสำหรับการเดินทางที่อาจไม่มีวันกลับ

……

แฮมเล็ต (Hamlet) ออกเดินทางไปอังกฤษตามคำสั่งของคลอเดียส แม้จะรู้ว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ในแผนนี้ เขายังลังเลว่าจะลงมือแก้แค้นหรือไม่ เขาไม่ใช่ชายที่ฆ่าเพราะโกรธ แต่เป็นผู้ที่ต้องเข้าใจความจริงอย่างลึกซึ้งก่อนจะตัดสินใจ

ในขณะเดียวกันนั้น โอฟีเลีย (Ophelia) หญิงสาวผู้เคยใกล้ชิดกับแฮมเล็ต กำลังเผชิญความเจ็บปวดจากการสูญเสียโปลอเนียส (Polonius) ผู้เป็นบิดา ซึ่งถูกแฮมเล็ตแทงโดยไม่ตั้งใจขณะซ่อนตัวอยู่หลังม่านในห้องของราชินี

โอฟีเลียไม่อาจรับมือกับความเศร้าได้ นางเริ่มพูดจาเลื่อนลอย ร้องเพลงเศร้า และเดินไปมาในสวนอย่างไร้จุดหมาย

“เขาฆ่าพ่อข้า…แต่ข้าก็ยังรักเขา” นางพึมพำกับดอกไม้ในมือ

เมื่อ ลาร์ทีส (Laertes) พี่ชายของโอฟีเลีย กลับมาจากต่างเมืองและรู้ข่าวการตายของบิดา รวมทั้งเรื่องอาการของน้องสาว เขาโกรธแฮมเล็ตอย่างรุนแรง ดังนั้น เขาจึงไปหาคลอเดียสเพื่อขอความยุติธรรม

“ข้าจะสู้กับเขา…ข้าจะล้างแค้นให้พ่อข้า” ลาร์ทีสกล่าวด้วยดวงตาแข็งกร้าว

คลอเดียสเห็นโอกาส จึงเสนอให้จัดการประลองดาบระหว่างลาร์ทีสกับแฮมเล็ต โดยแอบชโลมพิษไว้ที่ปลายดาบของลาร์ทีส และเตรียมถ้วยไวน์ผสมยาพิษไว้ให้แฮมเล็ตดื่ม หากเขารอดจากดาบ

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จู่ ๆ ข่าวการตายของโอฟีเลียก็แพร่ไปทั่วปราสาท นางจมน้ำในลำธารขณะเก็บดอกไม้ แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจ

เมื่อแฮมเล็ตทราบข่าว เขารับกลับมาที่เดนมาร์ก…ทันเวลาเห็นพิธีฝังศพของโอฟีเลีย เขายืนอยู่ข้างหลุมศพด้วยหัวใจที่แตกสลาย

“ข้ารักนางมากกว่าที่ใครเคยรัก…ไม่มีใคร แม้แต่พี่ชาย ที่จะรักนางได้เท่าข้า” เขากล่าวเสียงสั่น

ลาร์ทีสซึ่งอยู่ในพิธีด้วย โกรธแฮมเล็ตอย่างสุดขั้ว ทั้งสองเผชิญหน้ากัน และการประลองได้ถูกกำหนดให้จัดขึ้นในวันถัดไป

……………………..

ในวันแห่งการประลอง แฮมเล็ตและลาร์ทีส ยืนเผชิญหน้ากันกลางห้องโถงของปราสาทเอลซินอร์ ผู้คนในราชสำนักต่างมาชมด้วยความตึงเครียด คลอเดียสและราชินีเกอร์ทรูดนั่งอยู่บนบัลลังก์ โดยมีถ้วยไวน์วางอยู่ข้างกาย

แฮมเล็ตกล่าวอย่างสงบ “ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของเจ้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

ลาร์ทีสพยักหน้าเล็กน้อย แต่ความแค้นยังคงอยู่ในดวงตา “ข้าจะสู้เพื่อเกียรติของครอบครัวข้า”

การประลองเริ่มขึ้น ดาบฟาดกันอย่างรวดเร็ว เสียงเหล็กกระทบกันดังก้องไปทั่วห้อง ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด และในจังหวะหนึ่ง ลาร์ทีสแทงแฮมเล็ตด้วยดาบที่ชโลมพิษไว้

แต่แล้ว ดาบหลุดจากมือของลาร์ทีส และแฮมเล็ตหยิบขึ้นมาแทงกลับโดยไม่รู้ว่ามีพิษเช่นกัน

ราชินีเกอร์ทรูดซึ่งไม่รู้เรื่องยาพิษในไวน์ ดื่มถ้วยที่คลอเดียสเตรียมไว้ให้แฮมเล็ต และล้มลงทันที

“ไวน์นั้นมีพิษ!” ลาร์ทีสร้องขึ้นด้วยความสำนึก “ข้าถูกหลอก…ข้ากับเจ้า…เราทั้งคู่กำลังจะตาย”

แฮมเล็ตหันไปหาคลอเดียสด้วยดวงตาแข็งกร้าว “เจ้าคือผู้วางแผนทั้งหมดนี้” แล้วแฮมเล็ตก็แทงคลอเดียสด้วยดาบพิษ และบังคับให้เขาดื่มไวน์ถ้วยนั้น

คลอเดียสสิ้นใจ ราชินีสิ้นใจ ลาร์ทีสสิ้นใจ และแฮมเล็ตเองก็ล้มลงเช่นกัน

ก่อนสิ้นลมหายใจ แฮมเล็ตเรียกฮอเรชิโอ “อย่าตายตามข้า…จงเล่าเรื่องของข้าให้โลกฟัง…ให้คนรู้ว่าความจริงคืออะไร”

ฮอเรชิโอพยักหน้า น้ำตาไหล “ข้าจะเล่า…ข้าสัญญา”

…….

เสียงแตรดังขึ้น และม่านแห่งโศกนาฏกรรมก็ปิดลง

Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานเชคสเปียร์, วรรณกรรมคลาสสิก

โรมิโอกับจูเลียต | นิทานก่อนนอนความรักจากเชคสเปียร์

Romeo and Juliet คือบทละครโศกนาฏกรรมที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และกลายเป็นหนึ่งในบทละครที่โด่งดังที่สุดของเชคสเปียร์ ถ่ายทอดเรื่องราวความรักอันเร่าร้อนระหว่างหนุ่มสาวจากสองตระกูลที่เป็นศัตรูกันในเมืองเวโรนา ประเทศอิตาลี

นักวิชาการด้านวรรณกรรมทั่วโลกยกย่อง Romeo and Juliet ว่าเป็นบทละครที่สะท้อนความซับซ้อนของอารมณ์มนุษย์อย่างลึกซึ้ง ทั้งความรัก ความเกลียดชัง ความเข้าใจผิด และความสูญเสีย โดยไม่พยายามสอนหรือชี้นำ แต่ปล่อยให้ผู้อ่านสัมผัสความจริงของชีวิตผ่านชะตากรรมของตัวละคร เชคสเปียร์ใช้บทสนทนาและฉากที่ทรงพลังในการสร้างอารมณ์โศกนาฏกรรมที่ยังคงสะเทือนใจผู้ชมทุกยุคทุกสมัย

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างกลมกลืน โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Romeo and Juliet – Project Gutenberg หรือแหล่งวรรณกรรมคลาสสิกอื่นๆ ที่เผยแพร่แบบสาธารณะ.

ณ เมืองเวโรนา (Verona) อันงดงามในอิตาลี มีสองตระกูลใหญ่ที่เกลียดชังกันอย่างรุนแรง—มอนตากิว (Montague) และ คาปูเล็ต (Capulet) ความบาดหมางระหว่างพวกเขากินเวลายาวนานจนแม้แต่คนรับใช้ก็พร้อมจะทะเลาะกันกลางถนน

ในเช้าวันหนึ่ง เกิดการวิวาทขึ้นอีกครั้ง ผู้คนต่างแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนาต้องออกมาห้ามปราม และประกาศว่า หากมีการต่อสู้กันอีก เขาจะลงโทษอย่างหนัก

ในบ้านมอนตากิว โรมิโอ (Romeo) บุตรชายคนเดียวของตระกูล กำลังเศร้าใจ เขาไม่ได้สนใจความขัดแย้งของครอบครัว แต่กลับหม่นหมองเพราะความรักที่ไม่สมหวัง เขาหลงรักหญิงสาวชื่อ โรซาลีน (Rosaline) ซึ่งไม่สนใจเขาเลย

เพื่อนของโรมิโอ ชื่อเบนโวลิโอ (Benvolio) และ เมอร์คูชิโอ (Mercutio) พยายามปลอบใจ และชวนเขาไปงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต ซึ่งจัดขึ้นในคืนนั้น แม้จะเป็นงานของศัตรู แต่พวกเขาแอบปลอมตัวเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นบ้านคาปูเล็ต จูเลียต (Juliet) บุตรีวัยเยาว์ของเจ้าบ้าน กำลังเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน เธอไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน และครอบครัวกำลังวางแผนให้เธอแต่งงานกับชายหนุ่มชื่อ ปารีส (Paris) ซึ่งเป็นญาติของเจ้าชาย

เมื่อค่ำคืนมาถึง งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างงดงาม มีเสียงดนตรี แสงเทียน และผู้คนมากมาย โรมิโอซึ่งปลอมตัวเข้ามาในงาน เดินผ่านผู้คนอย่างเงียบๆ และทันใดนั้น เขาก็เห็นจูเลียต

โรมิโอตกตะลึง ราวกับโลกทั้งใบเงียบลง “เธอคือแสงสว่างในราตรีอันมืดมน” เขาพึมพำ

จูเลียตก็เห็นโรมิโอเช่นกัน และรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรงกว่าที่เคย “ข้าไม่เคยเห็นชายใดที่งามเช่นนี้มาก่อนเลย”

ทั้งสองเดินเข้าหากันอย่างช้าๆ และเริ่มพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยน ราวกับวิญญาณของพวกเขาเข้าใจกันตั้งแต่แรกพบ

แต่เมื่อจูเลียตกลับไปถามพี่เลี้ยงว่าเขาเป็นใคร คำตอบนั้นทำให้เธอสะเทือนใจ “เขาคือโรมิโอ บุตรของมอนตากิว”

จูเลียตตกใจ “ข้ารักศัตรูของครอบครัวข้าแล้วหรือ?”

โรมิโอก็รู้ความจริงเช่นกัน และกล่าวเบาๆ “ข้าพบรักแท้ในบ้านของศัตรู ข้าจะทำเช่นไรดี?”

……….

หลังจากค่ำคืนแห่งการพบกัน โรมิโอ (Romeo) ไม่อาจหยุดคิดถึงจูเลียต (Juliet) ได้เลย เขาเดินกลับไปยังบ้านคาปูเล็ตในยามค่ำ เพื่อแอบมองนางจากสวนใต้ระเบียง และแล้ว…เขาได้ยินเสียงของจูเลียตพูดกับดวงดาว

“โอ โรมิโอ โรมิโอ เหตุใดเจ้าจึงเป็นโรมิโอ? จงปฏิเสธนามของเจ้าเสีย หรือหากเจ้าไม่ยอม ข้าจะละทิ้งนามของข้าแทน…”

โรมิโอซ่อนตัวอยู่ในเงาไม้ เขาไม่อาจทนฟังคำพูดนั้นโดยไม่ตอบ “ข้าจะละทิ้งนามของข้า หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าคือผู้ที่รักเจ้า ไม่ใช่ศัตรูของครอบครัวเจ้า”

จูเลียตตกใจที่เขาอยู่ใกล้เพียงนั้น แต่หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความสุข ทั้งสองพูดคุยกันด้วยถ้อยคำอ่อนโยนและจริงใจ ราวกับโลกทั้งใบมีเพียงพวกเขา

เมื่อรุ่งเช้าใกล้เข้ามา โรมิโอรีบไปหา ลอเรนซ์ (Friar Laurence) นักบวชผู้มีเมตตา และขอให้เขาช่วยจัดพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ ลอเรนซ์ลังเล แต่เมื่อเห็นความรักที่แท้จริงของทั้งสอง เขาก็ยอมช่วย โดยหวังว่าการแต่งงานนี้จะช่วยสมานรอยร้าวระหว่างสองตระกูล

ในวันเดียวกันนั้น จูเลียตส่งพี่เลี้ยงไปพบโรมิโอ เพื่อรับคำตอบเรื่องพิธีแต่งงาน โรมิโอบอกสถานที่และเวลาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลา ทั้งสองก็แต่งงานกันอย่างเงียบงันในโบสถ์เล็กๆ โดยมีลอเรนซ์เป็นพยาน

หลังพิธี โรมิโอและจูเลียตต่างกลับบ้านของตน โดยไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว

แต่ในเมืองเวโรนา ความขัดแย้งยังคงคุกรุ่น เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ และเดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต ต่างมีความแค้นต่อกัน และกำลังจะเผชิญหน้ากันในถนนกลางเมือง

……..

ณ ถนนในเมืองเวโรนา แสงแดดส่องแรงในยามบ่าย เมอร์คูชิโอ (Mercutio) เพื่อนของโรมิโอ (Romeo) เดินไปพร้อมกับเบนโวลิโอ (Benvolio) เขาอารมณ์ขุ่นมัว และกล่าวว่า “อากาศร้อนเช่นนี้ทำให้เลือดเดือดง่าย ข้าไม่อยากเจอใครจากคาปูเล็ตเลย”

แต่แล้ว เดเมโท (Tybalt) ญาติของจูเลียต (Juliet) ก็ปรากฏตัวขึ้น เขาโกรธที่โรมิโอแอบเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลคาปูเล็ต และต้องการท้าทายเขาให้สู้

โรมิโอซึ่งเพิ่งแต่งงานกับจูเลียตอย่างลับ ๆ ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ เขากล่าวอย่างสงบ “ข้าไม่มีเหตุผลจะสู้กับเจ้า เดเมโท ข้าเคารพเจ้าอย่างที่ญาติควรเคารพกัน”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้เดเมโทโกรธ เขาคิดว่าโรมิโอเยาะเย้ยเขา เมอร์คูชิโอจึงเข้ามาขวาง และท้าสู้แทน

การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบฟาดกันกลางถนน โรมิโอพยายามห้าม แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเข้าไปขวางในจังหวะที่เดเมโทแทงเมอร์คูชิโอเข้าที่ท้อง

เมอร์คูชิโอล้มลง เขาหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าโดนแทงแล้ว…ไม่ใช่แผลลึก แต่ลึกพอจะทำให้ข้าตาย”

โรมิโอตกใจและโกรธอย่างสุดขั้ว เขาไม่อาจอดกลั้นได้อีก เขาหยิบดาบขึ้นและไล่ตามเดเมโท ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือด และในที่สุด โรมิโอก็แทงเดเมโทจนสิ้นใจ

เสียงร้องดังไปทั่วเมือง ผู้คนแตกตื่น เจ้าชายแห่งเวโรนามาถึง และเมื่อรู้ว่าโรมิโอฆ่าเดเมโท เขาจึงสั่งเนรเทศโรมิโอออกจากเมืองทันที

โรมิโอกลับไปหาลอเรนซ์ด้วยหัวใจที่แตกสลาย “ข้าฆ่าญาติของภรรยา ข้าถูกเนรเทศ ข้าจะไม่ได้เห็นจูเลียตอีกแล้ว”

ลอเรนซ์พยายามปลอบ “เจ้าจะได้พบจูเลียตอีกครั้งก่อนจากไป และข้าจะหาทางให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”

ในบ้านคาปูเล็ต จูเลียตรู้ข่าวการตายของเดเมโท และรู้ว่าโรมิโอเป็นผู้ลงมือ นางร้องไห้ด้วยความสับสน “ข้าควรโกรธเขา…แต่ข้ารักเขา ข้าจะทำเช่นไรดี?”

ในคืนนั้น โรมิโอแอบกลับมาพบจูเลียตเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากเมือง ทั้งสองโอบกอดกันด้วยน้ำตา และสัญญาว่าจะหาทางกลับมาหากันอีกครั้ง

…….

เมื่อโรมิโอ (Romeo) ถูกเนรเทศออกจากเวโรนา เขาหลบไปยังเมืองมานทัว (Mantua) ด้วยหัวใจที่แตกสลาย จูเลียต (Juliet) เองก็ถูกบีบให้แต่งงานกับปารีส (Paris) โดยไม่รู้ว่าโรมิโอยังมีชีวิตอยู่ นางพยายามปฏิเสธ แต่ครอบครัวไม่ฟังเสียงใด

จูเลียตจึงไปหาลอเรนซ์ (Friar Laurence) ด้วยความสิ้นหวัง “ข้าไม่อาจแต่งงานกับชายอื่นได้ ข้าเป็นภรรยาของโรมิโอแล้ว”

ลอเรนซ์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเสนอแผนลับ “ข้าจะให้เจ้าดื่มยานี้ มันจะทำให้เจ้าดูเหมือนสิ้นใจไปชั่วคราว เมื่อครอบครัวพบเจ้า พวกเขาจะคิดว่าเจ้าตายแล้ว และจะนำร่างเจ้าไปฝังในสุสานของตระกูล ข้าจะส่งข่าวไปหาโรมิโอให้มารับเจ้าเมื่อเจ้าตื่นขึ้น”

จูเลียตยอมรับแผนด้วยความกล้าหาญ นางกลับบ้านและแสร้งทำเป็นยอมแต่งงานกับปารีส แต่ในคืนก่อนพิธี นางดื่มยาตามที่ลอเรนซ์ให้ไว้ และล้มลงอย่างเงียบงัน

รุ่งเช้า ครอบครัวคาปูเล็ตพบจูเลียตนอนนิ่งไร้ลมหายใจ พวกเขาร้องไห้ด้วยความเศร้า และจัดพิธีฝังศพอย่างเร่งรีบ

แต่ในเมืองมานทัว ข่าวที่ไปถึงโรมิโอไม่ใช่ข่าวจากลอเรนซ์ หากเป็นข่าวลือจากผู้เดินทางผ่าน เขาได้ยินว่า “จูเลียตสิ้นใจแล้ว”

โรมิโอช็อก เขาไม่รู้ถึงแผนลับของลอเรนซ์ และคิดว่าความรักของเขาได้จบลงแล้ว เขาจึงรีบกลับไปยังเวโรนา พร้อมกับยาพิษที่เขาซื้อมาด้วยความตั้งใจแน่วแน่

“หากนางไม่อยู่ ข้าก็ไม่ควรอยู่เช่นกัน” เขาพึมพำขณะเดินเข้าสู่สุสานของตระกูลคาปูเล็ต

ในสุสาน เขาพบจูเลียตนอนอยู่ในความเงียบงัน และกล่าวคำอำลาด้วยน้ำตา “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ แม้ในความตาย”

แล้วเขาก็ดื่มยาพิษ และล้มลงข้างร่างของนาง

ไม่นานหลังจากนั้น จูเลียตฟื้นขึ้นมา และพบโรมิโอนอนนิ่งอยู่ข้างๆ นางรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น และหัวใจของนางก็แตกสลาย

“โอ โรมิโอ…เจ้าจากข้าไปแล้วจริงหรือ?” นางกล่าวเบาๆ แล้วหยิบกริชของเขาขึ้นมา และจบชีวิตของตนเองเคียงข้างเขา

……….

เมื่อเจ้าชายแห่งเวโรนา (Prince of Verona) มาถึงสุสาน เขาพบร่างของโรมิโอ (Romeo) และจูเลียต (Juliet) นอนเคียงกันอย่างสงบ ข้างๆ มีปารีส (Paris) ผู้ถูกโรมิโอสังหารขณะพยายามปกป้องสุสานของหญิงที่เขารัก

ลอเรนซ์ (Friar Laurence) ซึ่งมาถึงช้าไปเพียงครู่เดียว ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าชายและครอบครัวทั้งสองฟัง ตั้งแต่เรื่องความรักที่เป็นความลับ การแต่งงาน การเนรเทศ และแผนการหลบหนีที่ผิดพลาด

ทุกคนเงียบ ไม่มีเสียงโต้เถียง ไม่มีคำกล่าวโทษ มีเพียงความเศร้าและความเสียใจที่แผ่ไปทั่วสุสาน

ลอร์ดมอนตากิว (Lord Montague) และลอร์ดคาปูเล็ต (Lord Capulet) มองดูร่างของลูกทั้งสอง และรู้ทันทีว่า ความเกลียดชังที่พวกเขาสร้างขึ้นคือสาเหตุของโศกนาฏกรรมนี้

“ข้าจะสร้างรูปปั้นทองคำให้จูเลียต เพื่อให้ผู้คนจดจำความงามและความรักของนาง” ลอร์ดมอนตากิวกล่าว

“และข้าจะทำเช่นเดียวกันกับโรมิโอ” ลอร์ดคาปูเล็ตตอบ

เจ้าชายกล่าวอย่างหนักแน่น “ความรักของหนุ่มสาวสองคนนี้ได้ดับความแค้นของครอบครัวทั้งสองลงแล้ว แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นสูงเกินไป”

เมื่อพิธีฝังศพจัดขึ้นอย่างเงียบงัน ผู้คนในเวโรนาต่างมาร่วมไว้อาลัย ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีเสียงดนตรี มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านสุสาน และแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องลงบนหลุมศพของโรมิโอกับจูเลียต

เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้จบด้วยความสุข แต่จบด้วยความจริง ความรักที่กล้าหาญ ความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน และความสงบที่เกิดขึ้นจากการยอมรับ