นิทานเรื่อง “การผจญภัยของกิลกาเมช” ถือเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ มีต้นกำเนิดจากอารยธรรมสุเมเรียนในแถบเมโสโปเตเมีย ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณประเทศอิรัก นิทานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์กิลกาเมช (The Epic of Gilgamesh) ที่นักประวัติศาสตร์และนักวรรณกรรมทั่วโลกยกย่องว่าเป็น “รากฐานของวรรณกรรมโลกตะวันตก”
แม้จะเป็นเรื่องเล่าจากดินแดนโบราณ แต่ กิลกาเมช กลับสะท้อนคุณค่าร่วมสมัยอย่างน่าทึ่ง ทั้งในด้านความเป็นผู้นำ มิตรภาพ การเรียนรู้จากความผิดพลาด และการแสวงหาความหมายของชีวิต นักวิจารณ์หลายท่านมองว่านิทานเรื่องนี้เปรียบได้กับ “การเดินทางของจิตใจ” ที่เด็กและผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงได้ในระดับที่ต่างกัน
สำหรับพ่อแม่และคุณครู นิทานเรื่องนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะอ่านให้เด็กฟัง เพราะช่วยเปิดโลกแห่งจินตนาการ พร้อมชวนให้ตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับคุณธรรม ความรับผิดชอบ และการเติบโตภายในของมนุษย์
นิทานเรื่อง การผจญภัยของกิลกาเมช
นานมาแล้ว… ณ ดินแดนโบราณชื่อ “อูรุก” มีพระราชาหนุ่มพระองค์หนึ่งนามว่า “กิลกาเมช” เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เขาจึงมีพละกำลังมหาศาล ฉลาดเป็นกรด และกล้าหาญอย่างไม่มีใครเทียบ แต่ถึงจะเก่งเพียงใด เขาก็มีนิสัยที่ไม่ดีอยู่บ้าง นั่นคือความดื้อรั้น เอาแต่ใจ และชอบสั่งคนอื่นโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน ชาวเมืองอูรุกจึงพากันบ่นว่า “กิลกาเมชเก่งก็จริง แต่เอาแต่ใจมากเกินไป”
เสียงบ่นของชาวเมืองอูรุกดังขึ้นไปถึงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าจึงประชุมกันและกล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่กิลกาเมชจะต้องมีใครสักคนคอยตักเตือน”
เทพเอนลิล เทพแห่งพลังธรรมชาติ จึงปั้นชายคนหนึ่งจากดินและน้ำ เขาชื่อว่า “เอนคิดู” เป็นชายผู้มีหัวใจบริสุทธิ์ เติบโตมาในป่า มีเพื่อนเป็นสัตว์ป่านานาชนิด เอนคิดูไม่รู้จักเมือง ไม่รู้จักอำนาจ มีเพียงความรักในชีวิตและธรรมชาติ
วันหนึ่ง ชายเลี้ยงสัตว์นามว่า “แทรปเปอร์” ได้เห็นเอนคิดูดื่มน้ำกับกวางอย่างสนิทสนม และพบว่าเอนคิดูทำลายกับดักของเขาจนหมดป่า ชายเลี้ยงสัตว์จึงแปลกใจ แล้วนำเรื่องไปเล่าให้ผู้รู้ที่เมืองอูรุกฟัง ผู้รู้ทั้งหลายต่างก็แปลกใจ แต่มีผู้รู้คนหนึ่งคาดเดาว่า “ชายหนุ่มผู้รักสัตว์คนนี้น่าจะเกิดจากดินและน้ำ เขามีพลังจากธรรมชาติ และเขาน่าจะมีความแข็งแรงเทียบเท่ากับกิลกาเมช”
ในเวลาต่อมา เอนคิดูได้ทราบถึงเรื่องราวของกิลกาเมชเกี่ยวกับการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง เขารู้สึกไม่พอใจที่มีคนใช้พลังในทางไม่ดี เขาจึงตัดสินใจเดินทางเข้าสู่เมืองอูรุก
และแล้ว… เอนคิดูก็ได้พบกับกิลกาเมซที่กลางเมือง กิลกาเมชมองหนุ่มชาวป่าผู้นี้ด้วยความแปลกใจ ส่วนเอนคิดูก็ยืนนิ่งไม่หวั่นไหว ไม่มีใครยอมหลีกทางให้ใคร ผลก็คือ การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด สะพานพัง กำแพงสั่น และฝุ่นคลุ้งไปทั่วเมือง
การต่อสู้ของทั้งสองยืดเยื้อยาวนาน ไม่มีผู้ชนะ ไม่มีผู้แพ้ มีเพียงหัวใจที่เหนื่อยล้า และสายตาที่มองกันด้วยความเข้าใจ
“เจ้ากล้าหาญจริง ๆ” กิลกาเมชพูด
“เจ้าก็มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่าพละกำลัง” เอนคิดูตอบ
การต่อสู้ที่เริ่มต้นด้วยความขัดแย้ง จบลงด้วยมิตรภาพอันลึกซึ้ง
จากวันนั้นเป็นต้นมา กิลกาเมชและเอนคิดูก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองต่างเรียนรู้จากกันและกัน เอนคิดูช่วยให้กิลกาเมชเรียนรู้ที่จะรับฟังผู้อื่น ทั้งยังเป็นตัวอย่างให้กิลกาเมซได้รู้จักถึงความเมตตา ส่วนกิลกาเมชก็เปิดประสบการณ์ให้เอนคิดูได้รู้จักกับโลกที่กว้างใหญ่ ทั้งยังชวนเอนคิดูออกผจญภัยไปยังดินแดนต่าง ๆ
จนกระทั้่งวันหนึ่ง กิลกาเมชอยากพิสูจน์ความกล้าหาญ เขาจึงชวนเอนคิดูเดินทางไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์ของเทพ เพื่อปราบยักษ์ผู้เฝ้าป่าชื่อว่า “ฮุมบาบา” ยักษ์ตนนี้มีหน้าตาน่ากลัว มีเสียงคำรามก้องป่า และมีลมหายใจที่ร้อนแรงเหมือนดั่งไฟแผดเผา ทั้งเทพและคนต่างก็หวั่นเกรงมัน
หลังจากได้ฟังคำชวน เอนคิดูลังเลใจ เขาเตือนกิลกาเมชว่า “ฮุมบาบาเป็นผู้เฝ้าป่าของเทพเจ้านะ เราไม่ควรลบหลู่” แต่กิลกาเมชพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ถ้าเราทำเพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่เมืองอูรุก มันก็คุ้มค่า”
พวกเขาจึงออกเดินทาง ฝ่าภูเขา ลำธาร และต้นไม้ยักษ์ จนไปถึงใจกลางป่า แล้วการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น
เสียงดาบที่ฟาดฟันและเสียงคำรามของฮุมบาบาดังเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งป่า ในที่สุด พวกเขาก็รวมพลังกันปราบยักษ์ฮุมบาบาได้สำเร็จ
แม้ชัยชนะจะยิ่งใหญ่ แต่เอนคิดูก็ยังไม่สบายใจ เขาหันไปมองร่างฮุมบาบาแล้วพูดว่า “บางที เราอาจล้ำเส้นเกินไป”
เมื่อกิลกาเมชและเอนคิดูกลับมาถึงเมือง ชื่อเสียงของกิลกาเมชก็โด่งดังไปทั่ว แม้กระทั่ง เทพีอิชตาร์ เทพแห่งความรักและสงคราม ก็ยังตกหลุมรักกิลกาเมช นางเสนอจึงเสนอว่าจะอวยพรให้เขามีชีวิตอมตะ หากเขายอมแต่งงานเป็นเจ้าชายแห่งสวรรค์กับนาง
แต่กิลกาเมชปฏิเสธเทพีอิชตาร์ เขาไม่อยากอยู่บทสวรรค์ที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์สารพัด เทพีอิชตาร์เสียหน้าและโกรธมาก นางจึงขอวัวสวรรค์จากพ่อของตน แล้วปล่อยมันลงมาทำลายเมืองอูรุกทันที
วัวสวรรค์เป็นวัวตัวใหญ่เท่าภูเขา ทุกย่างก้าวที่มันเหยียบพื้นจะทำให้แผ่นดินแยกออกจากกัน กิลกาเมชกับเอนคิดูจึงต้องออกโรงอีกครั้ง พวกเขาร่วมแรงกันปราบวัวสวรรค์ จนในที่สุด พวกเขาก็จัดการวัวสวรรค์ได้สำเร็จ
แต่เหตุการณ์นี้…ทำให้เทพเจ้าโกรธมาก เพราะมันถือเป็นการลบหลู่พลังแห่งสวรรค์ เหล่าเทพจึงประชุมกัน แล้วตัดสินว่า “จะมีหนึ่งในสองคนนี้ที่ต้องตาย”
ไม่นานหลังจากนั้น เอนคิดูก็ล้มป่วย ร่างกายเขาอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง…ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เอนคิดูมองหน้าเพื่อนแล้วพูดว่า “อย่าเสียใจกับความตายเลย ข้าไม่กลัวตาย กิลกาเมช… แต่ข้ากลัวว่าจะไม่มีใครเตือนเจ้าต่อไป” ”
กิลกาเมชนั่งเฝ้าเพื่อส่งเพื่อนรักจนวินาทีสุดท้าย เขาไม่เคยเศร้าเท่านี้มาก่อน เมื่อเอนคิดูจากไป โลกทั้งใบของกิลกาเมชก็ดูเงียบงันและว่างเปล่า
กิลกาเมชเดินไปตามท้องถนนโดยไม่พูดจา เขาไม่ยิ้ม ไม่กิน ไม่นอน สิ่งเดียวที่เขาคำคือ เพียงนั่งมองท้องฟ้า พร้อมกับคำถามที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดในใจว่า “ทำไมชีวิตต้องจบลงด้วยความตาย”
การสูญเสียเพื่อนรักทำให้เขาตระหนักว่า แม้ตัวเขาจะเป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ แม้ตัวเขาจะเก่งกล้ากว่าใคร ๆ ในโลก แต่เขาก็ไม่อาจปกป้องผู้เป็นที่รักจากเงื้อมมือของความตายได้
ความกลัวจึงคืบคลานเข้าสู่หัวใจของกิลกาเมชเป็นครั้งแรก เขาจึงตัดสินใจเออกเดินทางครั้งใหม่ มันจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการเดินทางที่ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง ไม่ใช่เพื่อชัยชนะเหนือศัตรู แต่เป็นการเดินทางเพื่อแสวงหา “ชีวิตอมตะ” ซึ่งเขามั่นใจว่า จะต้องมีใครสักคนในโลกนี้ ที่บอกวิธีในการมีชีวิตอมตะให้เขาได้
กิลกาเมชออกเดินทางลำพัง ฝ่าภูเขาสูงและทะเลทรายกว้างใหญ่ เขาเดินข้ามดินแดนรกร้างและป่ามืดลึกลับ จนมาถึงประตูหินสองบานที่เฝ้าโดยสิ่งมีชีวิตอมตะ
กิลกาเมชกล่าวกับพวกมันว่า เขาต้องการพบ “อุทนาปิชทิม” ชายคนเดียวในโลกที่ได้รับพรจากเทพเจ้าให้มีชีวิตอมตะ (เพราะเขาเคยรอชีวิดจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อน) เมื่อประตูเปิดออก กิลกาเมชเดินต่อไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางที่อ้างว้าง แปลกประหลาดและมหัศจรรย์ กิลกาเมชเดินทางผ่านทะเลมรณะ สวนดอกไม้เรืองแสง และหมอกควันแห่งการลืมเลือน จนในที่สุด เขาก็เดินทางไปถึงปลายทาง
ณ ที่แห่งนั้น กิลกาเมชได้พบกับอุทนาปิชทิม อุทนาปิชทิมเป็นชายชราผู้เงียบขรึม เขานั่งอยู่ริมฝั่งน้ำในเกาะแห่งนิรันดร์ เมื่ออุทนาปิชทิมได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของกิลกาเมช ชายชราก็พยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเจ้า แต่เทพเจ้าเลือกให้ข้ารอดพ้นจากน้ำท่วมและประทานชีวิตอมตะให้ ข้าไม่ได้ขอชีวิตอมตะ แต่ข้าถูกเลือกให้มีชีวิตอมตะ และนั่นมิใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะได้รับ”
อุทนาปิชทิมกล่าวต่อไปว่า “ความตายไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ไม่ใช่ศัตรู แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และสิ่งที่แท้จริงที่จะทำให้มนุษย์คงอยู่ตลอดไปได้ คือสิ่งดีงามที่พวกเขาสร้างไว้ ความรักที่พวกเขามอบให้ผู้อื่น และความทรงจำที่คนอื่นมีต่อพวกเขา”
คำพูดของอุทนาปิชทิมเปลี่ยนหัวใจของกิลกาเมชอย่างหมดจด แม้อุทนาปิชทิมจะไม่ได้มอบชีวิตอมตะให้แก่เขา แต่เขากลับไม่กลัวความตาย แต่กลายเป็นกษัตริย์ที่เข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่
กิลกาเมชเดินทางกลับเมืองอูรุกด้วยจิตใจที่สงบและแกร่งกล้ายิ่งกว่าครั้งใด เขาเดินดูสิ่งที่ตนเคยสร้างเอาไว้ ทั้งกำแพงเมืองที่มั่นคง วัดวาอารามอันงดงาม และผู้คนที่ยังจดจำเรื่องราวของเขากับเอนคิดูด้วยรอยยิ้ม
กิลกาเมชยิ้มให้กับตัวเองอย่างเข้าใจ แล้วพูดกับตนเองว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องเป็นอมตะด้วยร่างกายหรอก ตราบใดที่ข้าทำให้โลกนี้ดีขึ้น… ข้าก็จะอยู่ในใจของผู้คนตลอดไป”
