Posted in เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : จุดจบของแม่มดน้อย | นิทานนำบุญ

ในโลกของนิทานก่อนนอนที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และจินตนาการ มีบางเรื่องที่ไม่เพียงแต่เล่าเพื่อความบันเทิง แต่ยังปลุกหัวใจให้ตื่นขึ้นด้วยความอ่อนโยนและความดีงาม “จุดจบของแม่มดน้อย” คือหนึ่งในนิทานเช่นนั้น—เรื่องราวของแม่มดน้อยผู้ไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายได้สำเร็จ แต่กลับเลือกทำความดีอย่างไม่ลังเล แม้ต้องแลกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็ตาม

นิทานเรื่องนี้ไม่ได้เพียงเล่าถึงการเดินทางของตัวละคร แต่ยังสะท้อนการเดินทางภายในจิตใจของผู้ฟัง จากความเจ็บปวด สู่การให้อภัย และการกลับคืนสู่รากแท้ของความดีงาม ด้วยโครงเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานต่างประเทศอันทรงพลัง ผู้เขียน (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้ถักทอเรื่องใหม่ขึ้นอย่างตั้งใจ เพื่อแสดงความเคารพต่อความทรงจำในวัยเยาว์ และเพื่อมอบนิทานที่อบอุ่นที่สุดในบรรดานิทานแม่มดที่เขาเคยแต่ง

เมื่อนิทานเรื่องนี้ถูกนำมาถ่ายทอดในรูปแบบ “เพลงเล่านิทาน” ความงดงามของเรื่องราวก็ยิ่งทวีคูณ เสียงเพลงและการเล่าเรื่องช่วยเติมอารมณ์ให้ลึกซึ้งขึ้นจากความหนาวเหน็บของภูเขามายา สู่แสงสว่างของดินแดนนางฟ้า ทุกถ้อยคำและท่วงทำนองล้วนสื่อถึงความหวังที่ซ่อนอยู่ในความเศร้า และพลังแห่งความดีที่ไม่เคยสูญหายไปจากโลกใบนี้

ท่านที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

“นานา” แม่มดน้อยกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยแม่มดใจร้าย เติบโตมาท่ามกลางความมืดมนและการเรียนรู้เวทมนตร์เพื่อทำเรื่องชั่วร้าย แม้เธอจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่กลับสอบตกวิชาความชั่ว และไม่เคยทำให้นางแม่มดภูมิใจได้เลย

วันหนึ่ง นานาตัดสินใจออกเดินทางขึ้นภูเขามายาเพื่อนำผลไม้อมตะกลับไปมอบให้นางแม่มดผู้มีพระคุณ ระหว่างทาง เธอได้ช่วยเหลือผู้คนและสัตว์ที่กำลังลำบาก มอบไม้กวาดวิเศษให้เด็กน้อย, ฝากแมวน้อยไว้กับแม่เสือดำที่สูญเสียลูก และสละผ้าคลุมวิเศษให้ครอบครัวกระต่ายที่หนาวเหน็บ

แม้จะเสียสิ่งสำคัญไปทั้งหมด นานายังคงมุ่งมั่นเดินต่อ แต่สุดท้ายเธอก็หมดแรงและสิ้นลมหายใจกลางหิมะหนาวเหน็บ ก่อนถึงยอดเขาเพียงนิดเดียว

ทว่าเรื่องราวยังไม่จบ แสงสีขาวสว่างวาบขึ้น และนานาก็ฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กหญิงที่แท้จริง เธอคือทายาทแห่งดินแดนนางฟ้าที่ถูกแม่มดใจร้ายลักพาตัวไปตั้งแต่แบเบาะ การทำความดีของนานาได้พิสูจน์จิตใจอันงดงามของเธอ และนำเธอกลับคืนสู่บ้านเกิดในฐานะนางฟ้าองค์น้อยอีกครั้ง

ในส่วนของเพลง จุดจบของแม่มดน้อย เพลงนี้เล่าเรื่องในแบบเพลงเล่านิทาน คือ เนื้อเพลงเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ถ้าอ่านนิทานเสร็จแล้วได้ฟังเพลงต่อ ก็จะรู้สึกหรือคิดภาพตามไปได้ง่ายขึ้น

ท่านที่ชอบเพลงนิทาน-นิทานเพลงในคลิป และอยากอ่านนิทานฉบับเต็ม ผมขอนำลิงค์มาแปะไว้ให้ นิทานฉบับเต็มมีรายละเอียดที่สมบูรณ์กว่าฉบับย่อ หวังว่าทุก ๆ คนจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

แม่มดน้อยนานาในชุดคลุมดาว ขี่ไม้กวาดพร้อมแมวดำ ฉากหลังเป็นภูเขาและปราสาท – ภาพประกอบนิทาน จุดจบของแม่มดน้อย โดย นำบุญ
Posted in ธรรมะและการเจริญสติ, บทเรียนชีวิตจริง, บุคคลต้นแบบ

กำพล ทองบุญนุ่ม: ชายผู้ลาออกจากความทุกข์ ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว

บทความนี้ยาวมาก แต่มันมีค่ามีความหมายต่อผมมาก เพราะมันเป็นเรื่องราวของบุคคลที่ต้องพบกับความท้าทายในชีวิต ชนิดที่ผมคิดว่า ถ้าเกิดขึ้นกับผม ผมจะรับมือได้ไหม? ผมอยากให้ทุกคนได้อ่านบทความนี้ เพราะมันอาจทำให้คุณยิ้มและมีกำลังใจ ในวันที่คุณต้องเผชิญกับความทุกข์

ใครที่กำลังมีความทุกข์มาก เครียดมาก และรู้สึกว่าทุกข์ที่ตัวเองพบเจอ เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ ป่วยกาย ป่วยใจ ทุกข์จากการสูญเสีย พลัดพราก ทุกข์จากความรัก ทุกข์จากความผิดหวัง ฯลฯ ผมคิดว่า ความทุกข์ที่อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ต้องเผชิญ “หนักหนาสาหัสไม่แพ้ใคร” และวิธีการที่ทำให้อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม จัดการกับความทุกข์ได้สำเร็จ  รวมถึง “การลาออกจากความพิการ” จนกลายมาเป็น “อุปกรณ์สอนธรรม” ที่ให้ความสว่างและความอบอุ่นแก่คนที่กำลังทุกข์ อาจทำให้หลาย ๆ คน เกิดกำลังใจและเห็นหนทางของการหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้

ผมรู้จัก “ชื่อ” ของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ครั้งแรก ในช่วงที่ผมเริ่มฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ โดยรู้จักจากการฟัง mp3 ที่อาจารย์เล่าประสบการณ์การเจริญสติ การฟัง mp3 ทำให้ผมทราบว่า อ.กำพล ทองบุญนุ่ม เป็นอัมพาตเพราะอุบัติเหตุ และต้องทนทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วงยาวนาน จนกระทั่งอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ จ.ชัยภูมิ  และได้ฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน (ซึ่งถือเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อคำเขียน) จนท้ายที่สุด อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้ลาออกจากความทุกข์ และได้นำเรื่องราวของตนเองและประสบการณ์ที่ตนเองได้จากการเจริญสติ มาแบ่งปันให้แก่ผู้ที่สนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติได้รับรู้

เรื่องราวของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม พอสรุปได้ดังนี้ คือ อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เกิดเมื่อปี 2498 ที่จังหวัดนครสวรรค์ จบการศึกษาปริญญาตรีด้านพลศึกษา แล้วได้รับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดอ่างทอง เมื่ออายุได้ 24 ปี อาจารย์กำพลได้ประสบอุบัติเหตุในขณะสอนว่ายน้ำ โดยการกระโดดพุ่งหลาวลงไปในสระน้ำแล้วศีรษะกระแทกพื้นทำให้เป็นอัมพาต ชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ การเปลี่ยนแปลงจากคนที่แข็งแรง กลายเป็นผู้พิการที่แขนทั้ง 2 ข้างอ่อนแรง นิ้วมือและขาทั้ง 2 ข้างใช้ไม่ได้  ตั้งแต่คอลงไปถึงปลายเท้าแทบไม่มีความรู้สึก ร่างกายชา คุมการขับถ่ายไม่ได้ ต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นส่วนใหญ่ การนั่งบนรถเข็ญทำได้บ้าง (เมื่อมีคนช่วยยกลงนั่ง) แต่ถ้านั่งนานจะหายใจไม่สะดวก ส่วนเรื่องอาชีพและอนาคตก็เหมือนสิ้นสุดไปพร้อม ๆ กับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น เพราะด้วยสภาพร่างกาย ทำให้อาจารย์กำพลต้องลาออกจากงาน อนาคตที่ทำท่าว่าจะสดใสกลับกลายเป็นมืดมนไปในชั่วพริบตา

ใครที่กำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม หากลองเปรียบเทียบความทุกข์ที่ตัวเองต้องเผชิญกับกรณีที่อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ต้องพบเจอ ผมเชื่อว่า ทุกข์ของเราอาจกลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ และไม่มีใครอยากแลกความทุกข์กับอาจารย์กำพลแน่ ๆ ดังนั้น หากใครท้อกับความทุกข์ของตัวเอง ลองอ่านบทความนี้ต่อไปนะครับ เพราะในตอนท้าย อาจารย์กำพลลาออกจากความทุกข์ที่หนักหน่วงนี้ได้สำเร็จ!

กลับมาที่เรื่องราวของอาจารย์กำพลกันต่อ ในช่วงเวลานั้น อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ผิดหวังกับชีวิตมาก ความทุกข์ที่บีบคั้นทางร่างกาย (ที่เหมือนตายทั้งเป็น) ทำให้อาจารย์คิดฟุ้งซ่านถึงขั้นอยากเป็นคนฟั่นเฟือน เพื่อให้ลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อาจารย์กำพลรู้สึกท้อแท้ ว้าเหว่ เหมือนเป็นคนเดียวในโลกที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ อาจารย์กำพลเชื่อว่าตนเองคงมีอายุไม่ยืนยาวนัก จึงตั้งใจที่จะทำให้ชีวิตให้เป็นประโยชน์และมีคุณค่ามากกว่าการคิดฟุ้งซ่านไปวัน ๆ ในขณะที่อาจารย์กำพลทุกข์ คุณพ่อคุณแม่ของอาจารย์เองก็ทุกข์ไม่แพ้กัน แต่นับว่าอาจารย์กำพลโชคดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งญาติพี่น้อง ช่วยกันดูแลอาจารย์กำพล รวมถึงนำพาอาจารย์กำพลให้สนใจในเรื่องธรรมะ

ในช่วงแรก คุณพ่อของอาจารย์มักไปวัดและกลับมาพร้อมเทปธรรมะกับหนังสือธรรมะ รวมทั้งเล่าเรื่องราวที่ได้ไปพบเจอให้อาจารย์กำพลได้ฟัง ส่วนคุณแม่ซึ่งมีศรัทธาในธรรมะอยู่ก่อนแล้ว ได้แนะนำให้อาจารย์กำพลภาวนาพุทโธตามลมหายใจเข้าออก และคุณแม่ยังสวดมนต์แผ่เมตตาให้อาจารย์ทุกวัน ซึ่งสิ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ทำให้อาจารย์กำพล ส่งผลให้อาจารย์เกิดความคิดที่จะศึกษาธรรมะจากหนังสือและเทปที่คุณพ่อหามาให้ โดยหวังให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต ดีกว่าการปล่อยจิตใจให้เลื่อนลอยฟุ้งซ่านอย่างหาสาระอะไรไม่ได้

ความทุกข์ครั้งใหญ่ในชีวิต และความรักจากคุณพ่อคุณแม่ ทำให้อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ก้าวเข้าสู่ต้นทางในการรับมือกับความทุกข์ ซึ่งในช่วงแรกเป็นการเรียนรู้ธรรมะจากการอ่านและการฟัง (ไม่ใช่การปฏิบัติ) ที่ส่งผลให้ลืมความทุกข์ไปได้บ้าง ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลาย ทำให้สนใจและศรัทธาในหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามากขึ้น อย่างไรก็ตาม การอ่านและการฟังอาจทำให้ได้ความรู้ในเรื่องธรรมะมากขึ้น ได้พักใจในช่วงที่ฟังธรรมหรือขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน แต่เมื่ออาจารย์กำพลหวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง ความทุกข์ก็ยังคงอยู่ตรงนั้น อาจารย์กำพลใช้เวลาอ่านและฟังธรรมะนานถึง 16 ปี ในที่สุด อาจารย์กำพลจึงคิดที่จะเริ่มปฏิบัติธรรมะ

ในช่วงเวลานั้น (ราวปี 2525) คุณพ่อของอาจารย์กำพลได้ไปที่วัดสนามใน และได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ จากนั้น คุณพ่อได้นำหนังสือและเทปเกี่ยวกับการเจริญสติแบบเคลื่อน ไหวตามแนวของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ มาให้อาจารย์กำพลได้ศึกษา

การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เป็นวิธีการเจริญสติที่สบาย ๆ ใช้การเคลื่อนไหวมือ 14 จังหวะ และการให้มีความรู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว โดยหลวงพ่อเทียนยืนยันว่า ถ้าปฏิบัติตามแนวทางนี้แล้ว จะทำให้ความทุกข์ลดน้อยลงได้

ในตอนแรก อาจารย์กำพลทดลองนอนปฏิบัติ และดูความคิด (ตามความเข้าใจจากการอ่านหนังสือและการฟังเทป) แต่อาจารย์เข้าใจผิด เพราะเมื่อดูความคิด ความคิดจึงพาไป-ปรุงแต่งไป จนมีแต่ความหลง เมื่ออาจารย์กำพลสังเกตเห็นความไม่ปกติ จึงคิดอยากมีครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำ ซึ่งอาจารย์กำพลโชคดีมากที่ได้รับคำแนะนำจากกลุ่มศึกษาและปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง ให้เขียนจดหมายไปขอคำแนะนำจากหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ  วัดภูเขาทอง จ. ชัยภูมิ  และในเดือนกรกฎาคม 2538 อาจารย์กำพลได้เขียนจดหมายไปกราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม (สำหรับผู้พิการ) จากหลวงพ่อคำเขียน ซึ่งหลังจากนั้นราว 12 วัน อาจารย์กำพลก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากหลวงพ่อคำเขียนที่ยินดีเป็นกัลยาณมิตรให้ ทั้งยังแนะนำวิธีการเจริญสติ โดยให้อาจารย์กำพลนอนปฏิบัติได้ แต่ในขณะพลิกมือเล่นก็ให้อยู่กับความรู้สึกตัว เวลาเผลอคิด ก็ให้กลับมา “รู้สึกตัว” กับการเคลื่อนไหวของมือ (หลวงพ่อคำเขียนใช้คำว่า กลับมากำหนดรู้อยู่ที่กาย) ให้ขยันรู้สึกตัวอยู่เรื่อย ๆ แต่อย่าเข้าไปในความสงบ เมื่อหมั่นกลับมาที่ความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ๆ ความหลงก็จะลดน้อยลงหรือหมดไป แล้วก็จะเห็นความเป็นจริงมากขึ้น ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับจิตใจ เห็นความสุข ความทุกข์ ความอึดอัดขัดเคือง ว่าเป็นอาการทางจิต เห็นแล้วก็อย่าเข้าไปเป็น ให้เราปฏิบัติไป เจริญสติ สร้างความรู้สึกตัวไป

เมื่ออาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ได้หลวงพ่อคำเขียนเป็นครูบาอาจารย์ อาจารย์กำพลก็เริ่มต้นฝึกการเจริญสติที่บ้าน โดยการนอนพลิกมือคว่ำและหงายให้มีสติเข้าไปรู้ แน่นอนว่าในการเจริญสติใหม่ ๆ ผู้ปฏิบัติมักถูกความคิดนำพาออกไปจากความรู้สึกตัวอยู่เกือบตลอดเวลา ความไม่ก้าวหน้ามักทำให้หลาย ๆ คนท้อและเลิกการเจริญสติไปในที่สุด แต่อาจารย์กำพลไม่คิดที่จะท้อถอย (อาจท้อ แต่ถอยไม่ได้ เพราะทุกข์ที่มีอยู่มันหนักหนาสาหัสมาก) อาจารย์กำพลจึงหมั่นฝึกไปเรื่อย ๆ ใช้คำแนะนำของหลวงพ่อคำเขียนเรื่องที่ให้ดูกายเคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียวเป็นแนวทาง จนสติคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวของกายมากขึ้น มีสติมากขึ้น มีความคิดปรุงแต่งน้อยลง มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน  ไม่คิดเรื่องอดีตหรืออนาคต  จิตใจจึงผ่อนคลายและได้สัมผัสกับ “ของจริง” จากการปฏิบัติธรรม ซึ่งหาไม่ได้จากการอ่านหนังสือหรือการฟังเทปธรรมะใด ๆ

อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม เห็นความสำคัญของการเจริญสติมาก เพราะตระหนักว่ามันเป็นทางออก-ทางรอดของชีวิตที่ไม่มีทุกข์ อาจารย์กำพลจึงปรารภความเพียร โดยเจริญสติอย่างต่อเนื่องทั้งวัน เมื่อติดขัดหรือมีข้อสงสัย ก็จะเขียนจดหมายไปถามหลวงพ่อคำเขียน ซึ่งท่านแนะนำให้สังเกตดูอาการ โดยเน้น “ให้เป็นผู้ดู  อย่าเข้าไปอยู่ ไปเป็น”  ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญาที่เป็นปัญญาจากการภาวนา ไม่ใช่ปัญญาจากการใช้ความคิดหาเหตุผลประกอบ

ยิ่งเจริญสติมากขึ้น ๆ อาจารย์กำพลก็ยิ่งรู้แจ้ง-รู้จริงว่า กายและจิตอยู่กันคนละส่วน ส่วนตัวเราทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเข้าไปเป็นผู้ทุกข์ แต่ทุกข์จะหายไปทันทีที่เราออกมาเป็นผู้ดู ไม่ใช่ผู้เป็น เมื่ออาจารย์กำพลรู้แจ้งในสิ่งนี้ จิตใจของอาจารย์กำพลจึงลาออกจากความทุกข์และความพิการได้อย่างถาวร และกลายมาเป็นกัลยาณมิตรผู้ให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจแก่ผู้ที่กำลังปฏิบัติธรรมจำนวนมาก

หากพิจารณาชีวิตของอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ที่พลิกผันจากคนที่มีความแข็งแรง มีอนาคต กลายมาเป็นผู้พิการ ที่มองไม่เห็นอนาคตใด ๆ แต่แล้วจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของการเจริญสติ อาจารย์กำพลก็พลิกชีวิตจากคนที่ดูเหมือนไม่มีคุณค่า กลายมาเป็น “อุปกรณ์สอนธรรม” ที่มีค่ายิ่งสำหรับคนที่ทุกข์และพยายามจะฝ่าฟันให้พ้นจากทุกข์ไปให้ได้

ในช่วงที่ผมเริ่มฝึกการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว และได้ฟัง MP3 ธรรมะของอาจารย์กำพล สิ่งที่ผมได้จากการฟังคือความสบายใจและกำลังใจบางอย่าง เพราะเหมือนมีรุ่นพี่ที่พบเจอความทุกข์และผ่านมันมาได้ด้วยการเจริญสติ มาเล่าประสบการณ์ให้เราได้ฟัง เสมือนยืนยันว่าเส้นทางนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ต่อมา หลังจากที่ผมได้ฝึกเจริญสติราว 1-2 ปี (โดยที่ยังไม่เคยพบอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม มาก่อน) อยู่มาวันหนึ่ง พระอาจารย์เอนก เตชะวโร ผู้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเทียนและเป็นพระอาจารย์ของผม ได้เดินทางไปเยี่ยมอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม (แถว ๆ ย่านอรุณอัมรินทร์) เนื่องจากช่วงนั้นอาจารย์กำพลป่วยมาก (หมอวินิจฉัยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน) แต่เมื่อได้ไปพบ ผมในฐานะผู้ติดตามได้เห็นภาพที่คล้ายกับตอนที่ผมได้ติดตามพระอาจารย์ ไปเยี่ยมหลวงพ่อคำเขียนในช่วงที่ท่านพักฟื้นหลังผ่าตัดมะเร็งที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กล่าวคือ ทั้งอาจารย์กำพลและหลวงพ่อคำเขียน ดูเป็นปกติ สดชื่น ไม่มีความทุกข์ร้อนใด ๆ และดูไม่เหมือนคนที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเลย!

ความจริงที่ผมได้เห็นกับตา ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่า การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อเทียน เป็นวิธีภาวนาที่ไม่ผิดทางแน่ แต่ผมเองได้หยุดการเจริญสติไปราว 5 ปี จนกระทั่งคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ควรกลับมาเจริญสติอย่างจริงจังอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ ผมบังเอิญได้ฟังคลิปเสียงของอาจารย์กำพลจากยูทูบ และได้ดูคลิปวิดีโอที่อาจารย์กำพลไปออกรายการเจาะใจ สิ่งที่ผมคิดคือ ผมอยากนำเรื่องราวของอาจารย์กำพล และนำคลิปที่มีค่าเหล่านี้มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูได้ฟังกัน รวมทั้งอยากเขียนบทความเกี่ยวกับอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ด้วยความเคารพอย่างสูง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวของท่านให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน

ผมเชื่อว่า เรื่องราวของอาจารย์กำพล และคลิปที่ผมคัดเลือกมาประกอบในบทความนี้ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ถ้าบุคคลที่มีข้อจำกัดทางร่างกายมากมายยังสามารถเจริญสติจนลาออกจากความทุกข์ได้ พวกเราทุกคนก็ต้องทำให้ได้เช่นกัน

ขอขอบพระคุณอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม ที่ “ยังอยู่” เป็นกำลังใจในการเจริญสติให้แก่ผู้สนใจในการเจริญสติ และขอบพระคุณที่ทำให้เห็นว่า “ชีวิตของคนเรานั้นมีคุณค่าได้มากมายเพียงไร”

ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของคุณกำพลในเวอร์ชั่นกระชับ อ่านได้โดยกดลิงค์ที่ภาพนี้

กำพล ทองบุญนุ่ม ชายผู้พิการที่เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นธรรมะ พร้อมรอยยิ้มเบิกบานในสวนดอกไม้
“ทุกข์สาหัส ก็ขจัดไปได้” — กำพล ทองบุญนุ่ม ผู้พิการที่กลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรม

Posted in บทเรียนชีวิตจริง, เรื่องจริงให้กำลังใจ

ทุกข์สาหัสก็ขจัดไปได้ : กำพล ทองบุญนุ่ม ชายผู้ลาออกจากความทุกข์

ในโลกใบนี้ มีผู้คนมากมายที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ บางคนป่วย บางคนสูญเสีย บางคนรู้สึกไร้ค่า บางคนไม่เห็นทางออก และบางคน…เก็บความทุกข์อยู่ในใจจนไม่มีใครรู้

ท่ามกลางคนที่มีความทุกข์ ยังมีเรื่องราวหนึ่งที่อยากให้คุณได้ฟัง

เรื่องของชายคนหนึ่งชื่อ “กำพล ทองบุญนุ่ม” เขาเคยเป็นครูพละ มีร่างกายแข็งแรง มีอนาคตที่สดใส แต่วันหนึ่ง…เขาประสบอุบัติเหตุจากการกระโดดน้ำ ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะมันทำให้เขากลายเป็นผู้พิการ พิการแบบที่ขยับร่างกายแทบไม่ได้ หายใจลำบาก ร่างกายช่วงล่างไม่มีความรู้สึก ต้องนอนอยู่บนเตียง และต้องให้คุณพ่อคุณแม่ที่แก่แล้วคอยดูแลทุกอย่าง

เขาไม่ได้ทุกข์แค่วันสองวัน แต่ทุกข์นานถึง 16 ปี จนเคยคิดว่า “ถ้าฟั่นเฟือนไปเลย…ก็คงจะดี”

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไปจากชีวิตของเขา คือ “ความรักจากพ่อแม่” คุณพ่อเริ่มไปวัด คุณแม่สวดมนต์อยู่ข้างเตียงทุกคืน เขาเริ่มฟังธรรมะ อ่านหนังสือ และภาวนา แม้ใจยังไม่สงบ แต่เขาก็พยายาม

เขารู้ว่าเขาหายจากความพิการไม่ได้ แต่เขายังหวังที่จะหายจากความทุกข์

วันหนึ่ง เมื่อพ่อของเขาแนะนำให้รู้จักการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว คนที่เคลื่อนไหวแทบไม่ได้อย่างเขาจึงทดลองทำ และเขียนจดหมายไปขอคำแนะนำจากพระอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ

เขาโชคดีที่ได้รับจดหมายตอบ และนั่นก็ทำให้เขามีกำลังใจในการที่จะเจริญสติจนกว่าจะพ้นจากทุกข์ให้ได้

เขาตัดสินใจเดินทางไปยังวัดของหลวงพ่อ วัดอยู่บนภูเขา แม้ร่างกายจะไม่อำนวย แม้จะต้องให้คนช่วยอุ้มทุกขั้นตอน แต่เขาก็ไป เพราะเขารู้ว่า ถ้าไม่ไป…เขาอาจไม่มีวันได้ออกจากนรกในใจ

การขึ้นเขาไม่ง่าย แต่การอยู่ในวัดทั้ง ๆ ที่พิการ…ยากกว่า เขาไม่สามารถเจริญสติเหมือนคนอื่น ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เอง แม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนช่วย แต่เขาไม่เคยบ่น เขาไม่เคยขอให้ใครทำแทน เขาแค่ขอให้มีโอกาสได้ฝึก

เขาเริ่มฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหว โดยพลิกมือช้า ๆ ขณะนอนอยู่ รู้สึกตัวกับการเคลื่อนไหว รู้สึกตัวกับความคิดที่พาไป รู้สึกตัวกับความท้อที่แอบเข้ามาเงียบ ๆ

บางวัน…เขาหลงคิดจนหมดแรง บางวัน…เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางวัน…เขาอยากเลิก แต่เขาไม่เลิก เพราะเขารู้ว่า ความทุกข์ที่เขาเผชิญมา 16 ปี มันหนักหนาเกินกว่าจะปล่อยให้มันอยู่กับเขาตลอดชีวิต

เขาใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ความเพียรที่มากกว่าคนทั่วไป เพราะเขาไม่มีแรงกาย แต่เขามีแรงใจที่ไม่ยอมแพ้

และวันหนึ่ง เขาเริ่มเห็นว่า กายกับจิตอยู่กันคนละส่วน ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเข้าไปเป็นผู้ทุกข์ แต่เมื่อเขา “ออกมาเป็นผู้ดู” ทุกข์ก็เริ่มเบาลง

เขาไม่ได้กลับมาเดินได้ แต่เขากลับมามีหัวใจที่เบิกบานได้ เมื่อความพิการทางกายทำให้เขาทุกข์ใจไม่ได้ เขาจึงประกาศลาออกจากความพิการ และอาสาเป็นอุปกรณ์สอนธรรมให้กับคนที่มีความทุกข์

เขาเริ่มบรรยายธรรมผ่านเสียง ผ่านคลิป ผ่านรอยยิ้มที่แจ่มใส

เขากลายเป็นแสงสว่างให้คนที่กำลังมืดมน กลายเป็นครูให้คนที่กำลังหลงทางอยู่ในความทุกข์ และกลายเป็นกำลังใจให้คนได้เห็นว่า “ทางข้างหน้ายังมีแสงสว่าง”

ในวาระสุดท้ายของชีวิต แม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอย แต่หัวใจของเขายังคงเบาสบาย และกลายเป็นอุปกรณ์สอนธรรมอันทรงคุณค่า ที่ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าทุกข์ของเราไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับคุณกำพล เราก็ยังมีโอกาสพ้นจากความทุกข์นั้นได้ และกลายเป็นบุคคลที่ “อยู่เย็นเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง”

ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวของคุณกำพลในเวอร์ชั่นที่มีรายละเอียด อ่านได้โดยกดลิงค์ที่ภาพนี้

ภาพวาดอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม กับคุณพ่อที่คอยดูแล สื่อถึงความอบอุ่นและกำลังใจจากบทเรียนชีวิตจริงที่เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นธรรมะ
กำพล ทองบุญนุ่ม – บทเรียนชีวิตจริงที่เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นธรรมะ ด้วยการเจริญสติแบบเคลื่อนไหว