Posted in #นิทานตลก, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

บทสวดหนู – นิทานญี่ปุ่นก่อนนอนแสนสนุก

“บทสวดหนู” (ねずみきょう – Nezumi-kyō) เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่นที่เล่าต่อกันมาในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในหมู่บ้านชนบทที่มีวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างพุทธศาสนาและชินโต เรื่องราวของคุณยายผู้ศรัทธาในศาสนา แม้ไม่รู้บทสวดมนต์ ก็ยังตั้งใจภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จนวันหนึ่งได้พบพระหลงทางที่จำบทสวดไม่ได้ จึงสวดมนต์ด้นสดโดยใช้เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแรงบันดาลใจ กลายเป็นบทสวดแปลก ๆ ที่ฟังดูขบขันแต่กลับมีพลังปกป้องคุณยายจากภัยร้ายอย่างเหลือเชื่อ

จุดเด่นของนิทานเรื่องนี้อยู่ที่การผสมผสานระหว่างอารมณ์ขันและความศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ ตัวละครมีความน่ารักและมีมิติ โดยเฉพาะคุณยายที่แม้จะไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง แต่กลับมีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความตั้งมั่นและเมตตา บทสวดที่ดูไร้สาระในสายตาของบางคน กลับกลายเป็นเครื่องป้องกันภัยจากโจรผู้ไม่รู้จักธรรมะ เป็นการสะท้อนว่า “ศรัทธา” ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ความจริงใจและความตั้งใจในการปฏิบัติ

ในฉบับภาษาไทยที่เรียบเรียงใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มเติมสีสันของภาษาและอารมณ์ขันให้เหมาะกับผู้อ่านไทย โดยยังคงเคารพโครงเรื่องและเจตนารมณ์ของนิทานต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การใช้ภาษาสวดมนต์แบบด้นสดที่มีจังหวะและเสียงที่ฟังแล้วขบขัน ช่วยให้เด็ก ๆ และผู้ใหญ่สามารถเข้าถึงเรื่องราวได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่านได้หัวเราะและไตร่ตรองไปพร้อมกัน นิทานเรื่องนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอ่านในครอบครัว หรือใช้เป็นสื่อเสริมสร้างคุณธรรมในห้องเรียน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ บนภูเขาตามลำพัง คุณยายเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนามาก ทุกเย็น คุณยายจะนั่งพนมมืออยู่ที่หน้าหิ้งพระ ทั้ง ๆ ที่คุณยายไม่รู้จักบทสวดมนต์เลยแม้สักนิด

วันหนึ่ง มีพระ (ในศาสนาชินโต) รูปหนึ่งหลงทางผ่านมาและกำลังลำบาก พระจึงเอ่ยปากขออาศัยที่บ้านของคุณยายหนึ่งคืน เพราะการเดินทางบนภูเขาในยามดึกคงเป็นเรื่องที่อันตรายมากเกินไป

คุณยายนิมนต์พระเข้ามาในบ้านด้วยความยินดี จากนั้น คุณยายก็ขอให้พระ ช่วยสอนถ้อยคำในบทสวดมนต์ให้คุณยายได้รู้

พระหลงทางรูปนั้นเป็นผู้บวชที่มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการภาวนาหรือกิจของพระสงฆ์อย่างที่ควรปฏิบัติ พระหลงทางจึงจำบทสวดไม่ได้ ดังนั้น พระหลงทางจึงต้องทำทีไปนั่งที่หน้าหิ้งพระ แล้วหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ในขณะนั้น พระหลงทางมองเห็นหนูตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากรูที่ผนังบ้าน พระหลงทางจึงแสร้งสวดมนต์ออกมาด้วยสำเนียงการสวดแบบโบราณที่ยานคางแต่เข้มขลังว่า “นะ…..โม…..ตัส….สะ….หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

ทันใดนั้น หนูตัวที่สองก็โผล่ออกมาอีก พระจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

ฉับพลัน หนูตัวที่สามก็โผล่ออกมาอีก พระหลงทางจึงสวดมนต์ต่อไปว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่….ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

เมื่อท่องบทสวดมนต์จบ 3 รอบ พระหลงทางต้องการไล่หนูเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน พระจึงตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ”

พระหลงทางกำชับให้คุณยายสวดมนต์ตามนี้ คุณยายดีใจที่ได้รู้บทสวดมนต๋เสียที หลังจากพระลาจากไปแล้ว คุณยายจึงท่องบทสวดมนต์ทุกวันทั้งเช้าและเย็นเมื่อมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระ

เย็นวันหนึ่ง มีโจร 3 คนแอบย่องเข้ามาที่บ้านของคุณยาย ซึ่งในขณะนั้น คุณยายกำลังท่องบทสวดมนต์อยู่ที่หน้าหิ้งพระอยู่พอดี

เมื่อโจรคนแรกชะโงกเข้าไปดูและเห็นยายนั่งหันหลังทำอะไรบางอย่างอยู่ จู่ ๆ คุณยายที่กำลังสวดมนต์ก็เปล่งเสียงออกมาเป็นทำนองสวดซึ่งฟังดูแปลกหูและน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยว่า ” “นะ….โม….. ตัส….สะ…. หนู…มา…ทำ….ไม…น่ะ”

โจรทั้งแปลกใจทั้งตกใจ เขาไม่แน่ใจว่ายายที่หันหลังอยู่พูดว่าอะไร แต่ในขณะที่โจรคนที่สองชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ทุติ ยัมปิ นะ….โม…..ตัส…..สะ…. มา….อีก…..แล้ว……น่ะ”

โจรทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ และเมื่อโจรคนที่สามชะโงกหน้าเข้ามา คุณยายก็เปล่งเสียงออกมาพอดีว่า “ตติ ยัมปิ นะ…..โม…..ตัส……สะ…. นั่นแน่…..ยัง…..มา…..อีก…..น่ะ ”

โจรทั้งสามคนตกใจและคิดปรุงแต่งไปว่า ยายแก่ที่อาศัยในบ้านบนภูเขาตามลำพังคนนี้ คงไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะดูเหมือนว่ายายจะมี “ตาที่สาม” อยู่ที่ด้านหลัง ทำให้เห็นว่าใครเข้ามาในบ้านบ้าง

ในขณะที่โจรทั้งสามกำลังตื่นกลัวกันอยู่นั้น คุณยายก็สวดมนต์ตามที่พระสอน โดยตะคอกเสียงดังว่า “ไป ๆ อย่าหาทำ อย่าก่อกรรม จำขึ้นใจ”

เมื่อโจรทั้งสามได้ฟัง พวกโจรก็ตกใจจนขาสั่น จากนั้น โจรทั้งสามก็พากันวิ่งหนีออกจากบ้านของคุณยายไปแบบไม่คิดชีวิต

ฝ่ายคุณยายซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เมื่อท่องบทสวดตามที่พระสอนแล้ว คุณยายก็ปิดท้ายการสวดมนต์อย่างอิ่มใจว่า “สา……ธุ สา….ธุ สา…..ธุ” และแล้ว เรื่องราวของคุณยายและบทสวดมนต์แปลก ๆ นี้ ก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ศรัทธาที่บริสุทธิ์ แม้ไม่สมบูรณ์แบบ ก็สามารถปกป้องและนำพาสิ่งที่ดีงามมาสู่ชีวิตได้
  • ความกลัว มักเกิดจากการคิดและปรุงแต่งไปเกินความจริง

Posted in #นิทานอมตะ, นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ

เจ้าชายติ๋มติ๋ม – นิทานกริมส์ The Queen Bee ฉบับเรียบเรียงใหม่

นิทานเรื่อง The Queen Bee หรือที่รู้จักกันว่า “ราชินีผึ้ง” เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ (Grimm’s Fairy Tales) ที่ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมส์ในศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่อง “ความอ่อนโยน เมตตา และความนอบน้อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของความกล้าหาญที่มักถูกยกย่องในนิทานยุโรปโบราณ จุดเด่นของเรื่องคือการที่ตัวละครเอก ไม่ได้ใช้กำลังหรือความห้าวหาญเอาชนะอุปสรรค แต่กลับใช้หัวใจที่อ่อนโยนต่อสัตว์และสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนได้รับความช่วยเหลือและสามารถแก้คำสาปได้สำเร็จ

นิทานกริมส์หลายเรื่องถูกเล่าในโครงสร้างคล้ายกัน เช่น The Golden Goose (ห่านทองคำ), The Three Feathers (ขนนกสามเส้น) หรือ The Simpleton (เจ้าชายซื่อ) ซึ่งล้วนสะท้อนมุมมองว่า “คนที่ดูอ่อนแอหรือถูกมองข้าม” มักจะเป็นผู้ไขปริศนาหรือทำภารกิจสำเร็จ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของ “นิทานอมตะ” ที่คนทั่วโลกจดจำ เพราะนอกจากจะมีความแฟนตาซีและปริศนาแล้ว ยังให้ข้อคิดเรื่องความดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวคนธรรมดา

ในเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ เว็บไซต์ นิทานนำบุญ พยายามคงโครงเรื่องและอารมณ์ตามต้นฉบับเดิมไว้ แต่เพิ่มการตีความใหม่ให้สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น แต่เดิมในฉบับแปลไทยมักใช้คำว่า “เจ้าชายซื่อ” แต่ในการตีความครั้งนี้เลือกใช้คำว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ” เพราะคำว่า “ติ๋ม ๆ” ในภาษาไทยสื่อถึงคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน ไม่โลดโผน และอาจถูกมองว่าเชื่องช้า ไม่ทันคน แต่แท้จริงแล้วสะท้อนบุคลิกที่สงบและเมตตา ซึ่งสอดคล้องกับแก่นแท้ของนิทานกริมส์เรื่องนี้มากกว่า การเรียบเรียงใหม่จึงไม่ใช่เพียงการแปลแบบตรงตัว แต่เป็นการ “ทำความเข้าใจ” ความหมายดั้งเดิม และถ่ายทอดออกมาในแบบที่ผู้อ่านชาวไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระโอรสอยู่สามพระองค์ เจ้าชายองค์โตเป็นคนห้าวหาญและชอบความท้าทาย เจ้าชายองค์รองมีนิสัยคล้ายพี่ชาย คือ ชอบผจญภัยและไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนเจ้าชายองค์เล็กกลับมีนิสัยที่แตกต่าง คือพระองค์เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน และมีจิตใจเมตตาต่อสัตว์ จนผู้คนแอบตั้งสมญาให้เจ้าชายว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ”

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายองค์โตกับเจ้าชายองค์รองทรงออกเดินทางเพื่อผจญภัย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติแต่การเดินทางนี้ ทั้งคู่หายไปนานโดยไม่ส่งข่าวกลับมา ทำให้พระราชาทรงเป็นกังวล พระราชาจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายองค์เล็กออกติดตาม

เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ทราบพระบัญชา เสนาบดีต่างก็ซุบซิบกันว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ คงไม่มีทางตามตัวพี่ชายทั้งสองได้แน่ หนำซ้ำยังอาจเอาตัวไม่รอดจากป่า”

แม้เจ้าชายองค์เล็กจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่พระองค์ก็ไม่เสียกำลังใจ เพราะพระองค์เชื่อว่า เจ้าชายที่มีนิสัยอย่างพระองค์ก็สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ไม่ต่างจากคนอื่น

เจ้าชายองค์เล็กออกเดินทางโดยใช้ความกล้าหาญ ความอ่อนน้อม และหัวใจที่ดีงามเป็นเกราะคุ้มครองตัว พระองค์เลือกเดินตามเส้นทางที่พี่ชายเคยเปรยไว้ และค่อย ๆ สอบถามชาวบ้านด้วยความสุภาพ คำพูดที่อ่อนโยนและสายตาที่จริงใจ ทำให้ผู้คนยินดีให้เบาะแส จนพระองค์ตามตัวพี่ชายทั้งสองได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์รองเห็นน้องเล็กตามมา ต่างก็ประหลาดใจ แต่ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็แอบภูมิใจในตัวน้อง ครั้นเมื่อเจ้าชายองค์เล็กขอให้พี่ทั้งสองรีบกลับวังตามพระบัญชา พี่ชายทั้งสองได้บอกว่า ยังมีภารกิจที่ปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งอยากทำมาก ๆ หากทำสำเร็จแล้วก็จะกลับแต่โดยดี

เจ้าชายองค์เล็กเห็นว่าคงพาพี่ชายกลับวังในทันทีไม่ได้ จึงขอติดตามไปด้วย โดยตั้งใจที่จะเตือนให้พี่ชายกลับวังเมื่อภารกิจสิ้นสุด

เจ้าชายองค์โตและองค์รองไม่ขัดข้องที่น้องเล็กจะร่วมเดินทาง แต่ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเจ้าชายองค์เล็กอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็แกล้งถามว่า “เจ้าจะกลัวเสียงนกกลางคืนไหม” บางครั้งก็แกล้งให้เดินนำในทางรก เจ้าชายองค์เล็กไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ เพราะพระองค์รู้ดีว่า พี่ชายทั้งสองหยอกพระองค์ด้วยความรัก

วันหนึ่ง เจ้าชายทั้งสามเดินผ่านเนินดินที่มีฝูงมดตัวเล็ก ๆ กำลังขนไข่ของพวกมันอย่างขะมักเขม้นเจ้าชายองค์โตหัวเราะแล้วพูดว่า “ลองเหยียบรังมันดูสิ จะได้เห็นพวกมันวิ่งกันวุ่น” เจ้าชายองค์เล็กรีบยกมือห้าม “อย่ารบกวนพวกมันเลย ปล่อยให้พวกมันอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์โตชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้น ก็ยอมเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังมด

อีกวันหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านทะเลสาบที่เงียบสงบ มีฝูงเป็ดว่ายน้ำอย่างสบายใจ เจ้าชายองค์รองพูดขึ้นว่า “จับมาสักสองตัวไปย่างกินกันเถอะ” เจ้าชายองค์เล็กส่ายหน้า “อย่าฆ่าพวกมันเลย ให้พวกมันว่ายน้ำอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์รองถอนใจ “เจ้าช่างอ่อนโยนเกินไป” แต่ก็ยอมถอยห่างจากฝูงเป็ด

เมื่อเดินทางต่อไปอีก เจ้าชายทั้งสามก็พบต้นไม้ใหญ่ที่มีรังผึ้งอยู่เต็มโพรง น้ำผึ้งไหลลงมาตามลำต้นจนชวนให้ลิ้มลอง เจ้าชายองค์โตพูดขึ้นว่า “จุดไฟรมควันเถอะ จะได้เอาน้ำผึ้งมากิน” แต่เจ้าชายองค์เล็กยืนขวาง “อย่าทำลายบ้านของพวกมันเลย ปล่อยให้ผึ้งอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างเสียดาย แต่ก็วางไฟลง และเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังผึ้ง

เมื่อเจ้าชายทั้งสามเดินทางมาถึงปราสาทกลางหุบเขา ซึ่งเป็นจุดหมายของเจ้าชายองค์โตและองค์รอง พวกเขายืนอยู่หน้าประตูหินสูงใหญ่ที่ปิดสนิท เจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์ทรงร้องตะโกนเรียกให้ผู้ที่อยู่ด้านในเปิดประตูด้วยน้ำเสียงห้าวหาญราวกับเป็นการออกคำสั่ง แต่ไม่ว่าเจ้าชายจะตะโกนดังสักเพียงใด ประตูก็ยังคงปิดอยู่เช่นนั้น เจ้าชายองค์เล็กจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ขออภัยเถิด หากเป็นไปได้ พวกเราอยากขอเข้าไปพักในปราสาทได้ไหม” เสียงพูดที่นอบน้อมของเจ้าชายองค์เล็กไม่ได้ดังมากนัก แต่มันกลับก้องกังวาลอยู่ในความเงียบ และเพียงครู่เดียว ประตูปราสาทก็ค่อย ๆ เปิดออก

ทันทีที่ประตูเปิด เจ้าชายทั้งสามก็เห็นชายชราร่างเล็กนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง ชายชราไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำเจ้าชายทั้งสามไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างเรียบง่าย และหลังอาหาร ชายชราก็พาเจ้าชายแต่ละพระองค์ไปยังห้องพักโดยไม่เอ่ยคำใด

เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราพาเจ้าชายทั้งสามไปยังลานหินหน้าปราสาท ที่นั่นมีแผ่นหินสลักข้อความไว้ว่า “ผู้ใดต้องการถอนคำสาปของปราสาทนี้ ต้องทำภารกิจสามอย่างให้สำเร็จ หากล้มเหลว จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน” ชายชราอธิบายเงื่อนไขอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้อหนึ่ง จงเก็บไข่มุกพันเม็ดในป่าให้ครบก่อนพระอาทิตย์ตก ข้อสอง จงนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ ข้อสาม จงเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงจากเจ้าหญิงสามองค์ที่หน้าตาเหมือนกัน ผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจเหล่านี้ หากทำสำเร็จก็จะได้รับรางวัล แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็จะถูกสาปให้กลายเป็นหินตลอดกาล”

เจ้าชายองค์โตเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยาก จึงตัดสินใจทำภารกิจแรก โดยพระองค์ออกเดินเข้าไปในป่าอย่างมั่นใจ แต่เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์กลับเก็บไข่มุกได้เพียงหนึ่งร้อยเม็ดเท่านั้น ร่างของพระองค์จึงแข็งทื่อ และกลายเป็นหินอยู่กลางป่า

เจ้าชายองค์รองอยากช่วยพี่ชาย วันต่อมา เจ้าชายองค์รองจึงขอลองทำภารกิจเดียวกัน ซึ่งเมื่อพระองค์ออกไปค้นหาไข่มุก และพยายามเร่งมืออย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พระองค์ก็ยังทำไม่สำเร็จ ร่างของพระองค์จึงกลายเป็นหินอยู่ข้างพี่ชาย

เจ้าชายองค์เล็กมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร วันต่อมา พระองค์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ คิดว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำภารกิจได้สำเร็จเพื่อที่จะช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากการกลายเป็นหินได้ แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ ฝูงมดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็กรูกันออกมา พวกมันช่วยกันค้นหาไข่มุกอย่างขะมักเขม้น มดตัวเล็ก ๆ วิ่งไปทั่วพื้นป่า คาบไข่มุกทีละเม็ดมาวางรวมกัน และก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เจ้าชายก็ได้ไข่มุกจำนวนหนึ่งพันเม็ดโดยที่พระองค์ไม่ต้องออกแรงเลย

หลังจากภารกิจแรกสำเร็จ วันต่อมา เจ้าชายองค์เล็กได้ไปยังทะเลสาบใสกลางหุบเขาเพื่อทำภารกิจที่สองคือ การนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ เมื่อไปถึงทะเลสาป เจ้าชายยืนครุ่นคิดหาวิธีเก็บกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบอยู่เงียบ ๆ แต่ทันใดนั้นเอง ฝูงเป็ดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็ว่ายน้ำเข้ามา จากนั้น พวกมันก็ผลัดกันดำน้ำอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุด เป็ดตัวหนึ่งก็พบกุญแจทองคำ และนำขึ้นมาให้เจ้าชาย

หลังจากเจ้าชายนำกุญแจทองคำไปไขหีบสมบัติที่ปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายชราก็พาเจ้าชายองค์เล็กไปยังห้องลับของปราสาท ซึ่งที่นั่นมีเจ้าหญิงสามองค์นอนหลับอยู่บนเตียงเรียงกัน และใบหน้าของเจ้าหญิงทั้งสามก็เหมือนกันทุกประการ ภารกิจสุดท้ายที่เจ้าชายต้องทำก็คือ การเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงให้ถูกต้อง ถ้าหากเลือกผิด ทุกสิ่งที่เจ้าชายทำมาก็จะสูญเปล่า

เจ้าชายองค์เล็กยืนลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก่อนที่เจ้าชายจะต้องตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีผึ้งตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องลับแห่งนั้น แล้วค่อย ๆ โบยบินไปเกาะลงที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เหมือนจงใจที่จะบอกให้เจ้าชายได้รู้ว่าใครคือเจ้าหญิงตัวจริง

เจ้าชายองค์เล็กมองผึ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น จากนั้น พระองค์ก็ชี้ไปยังเจ้าหญิงตามที่ผึ้งบอกใบ้

ทันใดนั้น ประกายแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นในห้อง แล้วเจ้าหญิงทั้งสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ส่วนเจ้าชายทั้งสององค์ที่กลายเป็นหินก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จ ปราสาทที่เคยเงียบงันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แสงสว่างสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มกลับมา และดอกไม้ในสวนก็ผลิบานรับแสงอรุณ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จและสามารถช่วยพี่ชายทั้งสองได้ เจ้าชายทั้งสามก็พากันเดินทางกลับสู่พระราชวังทันที

เมื่อเจ้าชายทั้งสามกลับถึงพระราชวัง พระราชาทรงดีใจมาก และยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ทราบว่า เจ้าชายองค์เล็กที่หลายคนมองว่าเป็นเจ้าชายติ๋มติ๋ม แต่พระองค์คือผู้ที่ทำภารกิจสำคัญได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากอันตราย พระราชามีรับสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองทั่วทั้งแผ่นดิน

ตั้งจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าชายองค์เล็กก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในแผ่นดิน และบุคลิกของพระองค์ก็ทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของคนที่อ่อนโยนไม่แพ้คนที่มีความห้าวหาญ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความอ่อนโยนและเมตตา อาจนำมาซึ่งพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความแข็งแกร่ง
  • อย่าดูถูกคนที่ดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น เพราะพวกเขาอาจทำสิ่งสำคัญได้
  • การช่วยเหลือสิ่งเล็กน้อยในวันนี้ อาจกลายเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่ในวันหน้า
  • ความดี ความสุภาพ และความจริงใจ คือกุญแจไขปริศนาและอุปสรรคทั้งปวง