Posted in นิทานก่อนนอนเรื่องยาว, นิทานความรัก, นิทานตลกก่อนนอน, นิทานเชคสเปียร์

ราตรีลวงใจ (Twelfth Night) : นิทานความรัก ความลวง ตลกโรแมนติกจากเชคสเปียร์

Twelfth Night หรือชื่อเต็มว่า Twelfth Night, or What You Will คือบทละครแนวตลกโรแมนติกที่เขียนโดย วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์วรรณกรรมโลก ผลงานชิ้นนี้ถูกเขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1601–1602 เพื่อแสดงในช่วงเทศกาลฉลองหลังคริสต์มาส โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปลอมตัว ความรักที่ซับซ้อน และความเข้าใจผิดอันแสนสนุก

นักวิชาการด้านวรรณกรรมยกย่อง Twelfth Night ว่าเป็นหนึ่งในบทละครที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเชคสเปียร์ในการสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวาและซับซ้อน โดยเฉพาะไวโอลา (Viola) ซึ่งปลอมตัวเป็นชายเพื่อเอาตัวรอด และกลายเป็นศูนย์กลางของความรักที่พันกันอย่างน่าทึ่ง บทละครเรื่องนี้ยังสะท้อนประเด็นเรื่องอัตลักษณ์ ความเท่าเทียม และการให้อภัยอย่างงดงาม จึงเป็นที่นิยมทั้งในวงการละครเวทีและการศึกษาวรรณกรรมทั่วโลก

เราได้นำวรรณกรรมเรื่องนี้มาเรียบเรียงใหม่ในรูปแบบนิทาน โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย โดยเฉพาะเยาวชน วรรณกรรมต้นฉบับเล่าในรูปแบบบทละคร (play) ที่แบ่งเป็นฉากและใช้บทสนทนาเป็นหลัก เราจึงปรับเป็นการเล่าเรื่องแบบนิทานที่มีบรรยายฉาก เหตุการณ์ และอารมณ์ของตัวละครอย่างละเมียดละไม โดยยังคงรักษาเนื้อหาและอารมณ์ตามต้นฉบับอย่างเคร่งครัด การได้รู้เรื่องราวของวรรณกรรมระดับโลกเช่นนี้จะช่วยเปิดโลกทัศน์ เสริมความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ และปลูกฝังความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ หากใครสนใจอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ สามารถหาอ่านได้จาก Shakespeare’s Twelfth Night – Project Gutenberg

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงสาวชื่อไวโอลา (Viola) และเซบาสเตียน (Sebastian) ซึ่งเป็นฝาแฝด พวกเขารักกันมากและเดินทางร่วมกันบนเรือลำหนึ่งที่แล่นข้ามทะเลอันกว้างใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่ง พายุใหญ่ก็พัดกระหน่ำจนเรือแตกกลางทะเล

ไวโอลารอดชีวิตมาได้โดยมีชาวประมงช่วยพาขึ้นฝั่งที่เมืองอิลลีเรีย (Illyria) นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะคิดว่าเซบาสเตียนพี่ชายของตนจมน้ำไปแล้ว

“ข้าคงเหลือตัวคนเดียวในโลกนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตนเองขณะมองทะเลที่เงียบงัน

…….

เมืองอิลลีเรียมีผู้ปกครองคือ ดยุก ออร์ซิโน (Duke Orsino) ขุนนางผู้สูงศักดิ์และมีชื่อเสียง เขาเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความรักและความฝัน เขาหลงรักหญิงสาวชื่อเลดี้โอลิเวีย (Lady Olivia) ซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้เพิ่งสูญเสียพี่ชาย และยังไม่เปิดใจรับรักใคร

“ข้ารักนาง…แต่ดูเหมือนนางไม่เคยเห็นข้าเลย” ดยุกออร์ซิโนกล่าวกับข้ารับใช้

…….

ไวโอลาได้ยินเรื่องราวของ ดยุก ออร์ซิโน และรู้ว่านางไม่อาจใช้ชีวิตในเมืองนี้ในฐานะหญิงสาวได้อย่างปลอดภัย นางจึงตัดสินใจปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม และตั้งชื่อใหม่ว่าเซซาริโอ (Cesario)

“ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของ ดยุก ออร์ซิโน ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

……

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความอ่อนโยน ไวโอลาในนามเซซาริโอได้รับความไว้วางใจจากดยุกออร์ซิโนอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้สนิทที่ดยุกใช้ให้ไปส่งสารรักถึงเลดี้โอลิเวีย

“เจ้ามีถ้อยคำที่อ่อนโยน…จงไปพูดแทนข้าเถิด” ดยุกกล่าว

ไวโอลาแม้จะเจ็บปวดในใจ เพราะนางเริ่มหลงรักดยุกออร์ซิโน แต่ก็ยอมทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์

……..

เมื่อเซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลาในร่างชายหนุ่ม ไปส่งสารรักจาก ดยุก ออร์ซิโน ถึงเลดี้โอลิเวีย นางกลับรู้สึกประหลาดใจกับความอ่อนโยนและความจริงใจของผู้ส่งสารมากกว่าคำพูดของ ดยุก

“เจ้าพูดได้นุ่มนวล…แต่แฝงความเศร้าในดวงตา” เลดี้โอลิเวียกล่าวขณะมองเซซาริโอ

ไวโอลาไม่กล้าสบตานางนานนัก เพราะรู้ดีว่าตนกำลังปลอมตัว และหัวใจของตนก็รัก ดยุก ออร์ซิโนอย่างสุดหัวใจ

“ข้าเพียงทำหน้าที่…ข้าไม่อาจพูดแทนหัวใจของข้าเอง” นางตอบเบาๆ

แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เลดี้โอลิเวียรู้สึกหวั่นไหว นางเริ่มหลงรักเซซาริโอ โดยไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ชายหนุ่มจริงๆ

…….

“ข้าจะไม่รับรักจากดยุก…แต่ข้าจะส่งคนไปหาเซซาริโอแทน” นางกล่าวกับข้ารับใช้

……

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลา ซึ่งไม่ได้จมน้ำตามที่นางเข้าใจ กลับรอดชีวิตมาได้ และเดินทางมาถึงเมืองอิลลีเรียพร้อมกับอันโตนิโอ (Antonio) กะลาสีผู้ช่วยชีวิตเขา

“ข้าจะตามหาน้องสาวข้า…หากนางยังมีชีวิตอยู่” เซบาสเตียนกล่าวอย่างมุ่งมั่น

อันโตนิโอเตือนว่าเมืองนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเขา เพราะเคยมีเรื่องกับทางการมาก่อน แต่เขายอมเสี่ยงเพื่อช่วยเซบาสเตียน

“ข้าจะอยู่ใกล้ๆ เจ้า…แม้จะต้องหลบซ่อนก็ตาม” เขากล่าว

เมื่อเซบาสเตียนเดินในเมือง ผู้คนต่างเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ เพราะทั้งสองเป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันอย่างมาก

ความเข้าใจผิดเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ และความรักก็เริ่มพันกันอย่างไม่อาจคลี่คลายได้ง่าย ๆ

……..

ในวันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ได้รับคำสั่งจาก ดยุก ออร์ซิโน ให้ไปส่งสารรักอีกครั้งถึงเลดี้โอลิเวีย เซซาริโอไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะทุกครั้งที่นางพูดแทนดยุก นางก็ยิ่งรักดยุก มากขึ้น

“ข้าพูดแทนท่าน…แต่ข้าอยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็มีหัวใจ” ไวโอลาพึมพำขณะเดินทางไปยังคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย

เมื่อเลดี้โอลิเวียเห็นเซซาริโออีกครั้ง นางยิ่งแน่ใจว่าตนหลงรักชายหนุ่มผู้นี้อย่างสุดหัวใจ แม้เขาจะพูดถึงความรักของดยุก แต่นางกลับมองเห็นความอ่อนโยนในดวงตาของเขา

“เจ้ามีหัวใจของตนเองหรือไม่…หรือเจ้าคือเงาของชายอื่น?” นางถามอย่างอ่อนโยน

ไวโอลานิ่งงัน นางไม่อาจตอบคำถามนั้นได้ เพราะความจริงของนางยังถูกซ่อนไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม

………

ในเวลาต่อมา ขณะที่เซบาสเตียนผู้เป็นพี่ชายของไวโอลา เดินเล่นอยู่ในเมืองอิลลีเรีย เขาบังเอิญพบกับเลดี้โอลิเวียโดยไม่รู้จักนางมาก่อน เลดี้โอลิเวียเข้าใจผิดว่าเขาคือเซซาริโอ และพูดกับเขาด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม

“ข้าไม่อาจรออีกแล้ว…เจ้าคือผู้ที่ข้ารัก” นางกล่าวอย่างแน่วแน่

เซบาสเตียนตกใจ แต่ก็รู้สึกประทับใจในความจริงใจของนาง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยอมรับคำเชิญของนางอย่างสุภาพ

“ข้าไม่เข้าใจ…แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธความเมตตาของเจ้า” เขาตอบ

ในเวลาไม่นาน เลดี้โอลิเวียก็ขอเซบาสเตียนแต่งงาน โดยนางยังเข้าใจว่าเขาคือเซซาริโอ ซึ่งเซบาสเตียนก็ตอบตกลงด้วยความเคารพ

“ข้าจะเป็นสามีของเจ้า…แม้ข้ายังไม่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงรักข้าเช่นนี้” เขากล่าวอย่างอ่อนโยน

ความรักเริ่มเบ่งบาน แต่ความจริงยังคงซ่อนอยู่ และความเข้าใจผิดก็เริ่มพันกันแน่นขึ้นทุกขณะ

……..

วันหนึ่ง เซซาริโอ ซึ่งแท้จริงคือไวโอลา ถูกขอให้ไปพบเลดี้โอลิเวียอีกครั้ง ไวโอลาลังเล เพราะรู้ดีว่าหญิงผู้นั้นหลงรักตนโดยไม่รู้ความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของ ดยุก ออร์ซิโนได้

“ข้าจะไป…แม้หัวใจของข้าจะสับสน” นางกล่าวเบาๆ

เมื่อไปถึงคฤหาสน์ของเลดี้โอลิเวีย นางพบว่าเลดี้โอลิเวียมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางพูดถึงการแต่งงานที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน และเรียกเซซาริโอว่า “สามี”

ไวโอลาตกใจ “ข้าไม่เคยแต่งงานกับเจ้า…ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด”

เลดี้โอลิเวียเองก็สับสน “เจ้าคือชายที่ข้าแต่งงานด้วย…เจ้าคือเซซาริโอ”

ในขณะเดียวกัน เซบาสเตียน (Sebastian) พี่ชายของไวโอลาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ และเมื่อทั้งสองฝาแฝดเผชิญหน้ากัน ทุกคนในห้องต่างตกตะลึง

“เจ้าคือ…ข้า?” เซบาสเตียนถามอย่างงุนงง

ไวโอลาน้ำตาไหล “ข้าไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าอีก…ข้าคือไวโอลา…น้องสาวของเจ้า”

ในที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าเกิดความเข้าใจผิดจากการปลอมตัว แต่ความรักที่เบ่งบานนั้นเกิดจากความจริงใจ แม้จะมีเงาของความลวงซ้อนอยู่

ดยุก ออร์ซิโน ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มองไวโอลาอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยตลอด…แม้ข้าจะไม่เคยเห็นเจ้าในร่างที่แท้จริง”

ไวโอลายิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ารักท่าน…แม้ข้าจะต้องพูดแทนหัวใจของท่านทุกวัน”

…….

เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่าเซซาริโอคือไวโอลา และชายที่เลดี้โอลิเวียแต่งงานด้วยคือเซบาสเตียนพี่ชายฝาแฝดของไวโอลา ทุกคนในเมืองอิลลีเรียต่างตกตะลึง แต่ก็เต็มไปด้วยความยินดี

ดยุก ออร์ซิโนมองไวโอลา แล้วพูดกับนางว่า “เจ้าคือหญิงสาวที่ข้ารู้จักมาโดยไม่รู้ตัว…เจ้าคือผู้ที่ข้าสนิทใจและ….รักที่สุด”

ไวโอลายิ้มด้วยน้ำตา “ข้ารักท่านมาโดยตลอด…แม้ข้าจะต้องซ่อนหัวใจไว้ใต้เสื้อผ้าของชายหนุ่ม”

ดยุกออร์ซิโนจึงขอไวโอลาแต่งงาน และนางก็ตอบตกลงด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

“ข้าจะเป็นภรรยาของท่าน…ในร่างที่แท้จริงของข้า” นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

……

ในขณะเดียวกัน เลดี้โอลิเวียและเซบาสเตียนก็เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความเข้าใจและความรักที่เกิดจากความจริงใจ แม้จะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจผิด แต่ก็จบลงด้วยความสุขแท้จริง

…….

ส่วนอันโตนิโอ (Antonio) ซึ่งเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเซบาสเตียน ก็ได้รับการให้อภัยจากทางการ และได้รับเกียรติในฐานะผู้มีคุณธรรม

“ข้าไม่เคยหวังสิ่งใด…ข้าเพียงทำในสิ่งที่ถูกต้อง” เขากล่าวอย่างสงบ

ทุกคนในเมืองอิลลีเรียร่วมฉลองการแต่งงานของทั้งสองคู่ด้วยความยินดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะแผ่ไปทั่วคฤหาสน์

เรื่องราวของไวโอลาและเซบาสเตียนกลายเป็นตำนานแห่งเมืองอิลลีเรีย ที่ผู้คนเล่าขานว่า “ความรักแท้…ย่อมพบทางของมันเสมอ แม้จะต้องผ่านพายุและการปลอมตัว”

Posted in นิทานกริมม์, นิทานคลาสสิก, นิทานตลกก่อนนอน

สาวน้อยนักปั่นด้าย : นิทานตลกก่อนนอนของพี่น้องกริมส์

ในบรรดานิทานคลาสสิกของพี่น้องกริมม์ (Grimm Brothers) ซึ่งเป็นนักเล่านิทานชาวเยอรมันผู้รวบรวมเรื่องเล่าพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 มีอยู่หลายเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่น ซินเดอเรลล่า, หนูน้อยหมวกแดง, ฮันเซลกับเกรเทล ฯลฯ แต่ยังมีนิทานอีกจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของนิทานยอดนิยมเหล่านั้น หนึ่งในนั้นคือนิทานเรื่อง สาวน้อยนักปั่นด้าย (The Three Spinners) หรือแปลตรง ๆ ตามชื่อภาษาอังกฤษก็คือ “หญิงแก่สามคนกับการปั่นด้าย”

นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของ “นิทานเสียดสีแบบอ่อนโยน” ที่สะท้อนค่านิยมของสังคมในยุคนั้นเกี่ยวกับแรงงานหญิง ความขยัน และรูปลักษณ์ภายนอก ตัวละครหญิงแก่ทั้งสามมีรูปร่างแปลกตาเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับกลายเป็นผู้ช่วยให้หญิงสาวขี้เกียจได้แต่งงานกับเจ้าชายโดยไม่ต้องลงแรงเลย นักวิจารณ์บางคนชี้ว่าเรื่องนี้ตั้งคำถามกับความคาดหวังทางสังคม และเสนอความจริงที่ซ่อนอยู่ในความขบขันอย่างแยบคาย

เว็บไซต์นิทานนำบุญเลือกนำเสนอนิทานเรื่องนี้ เพราะนี่คือนิทานที่ “สนุกมาก” แต่ “คนรู้จักน้อย” ถ้าใครอ่านแล้วชอบ คอมเม้นต์บอกกันด้วยนะครับ

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “ลิซ่า” ลิซ่าอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านไม้หลังเก่า เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก ผิวขาว ผมทอง แต่มีนิสัยขี้เกียจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการปั่นด้าย ซึ่งเป็นงานที่หญิงสาวในหมู่บ้านต้องทำทุกวัน ลิซ่ามักหลบเลี่ยงงานนี้เสมอ และใช้เวลานั่งเล่นริมหน้าต่างหรือเดินเล่นในทุ่งหญ้าแทน

แม่ของลิซ่ารู้สึกเหนื่อยใจและอับอายที่ลูกสาวไม่ยอมทำงานเหมือนคนอื่น วันหนึ่งเมื่อแม่เรียกลิซ่ามาช่วยปั่นด้ายอีกครั้ง และลิซ่าปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แม่จึงโกรธจัดและต่อว่าลูกสาวเสียงดังจนได้ยินไปถึงถนนหน้าบ้าน

ในขณะนั้นเอง รถม้าของพระราชินีเสด็จผ่านหน้าบ้านพอดี พระราชินีได้ยินเสียงแม่ด่าลูกสาว จึงสั่งให้หยุดรถและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ของลิซ่ารู้สึกอับอายที่ลูกขี้เกียจ จึงโกหกไปว่า “ลูกสาวของข้าขยันปั่นด้ายจนข้าต้องห้ามเธอไว้ เพราะกลัวเธอจะทำงานหนักเกินไปจนล้มป่วย”

พระราชินีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประทับใจในความขยันของลิซ่า จึงกล่าวว่า “เด็กสาวเช่นนี้ควรได้รับโอกาสดี ๆ หากเธอสามารถปั่นด้ายได้มากพอ ข้าจะให้เธอแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็สั่งให้พาลิซ่าไปยังพระราชวังทันที โดยไม่ทันให้แม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

ลิซ่ารู้สึกตกใจและหวาดกลัว เธอไม่เคยปั่นด้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงวัง แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธพระราชินี เธอจึงนั่งเงียบอยู่ในรถม้า มองออกไปยังทุ่งหญ้าที่เคยเดินเล่นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลิซ่าถูกพาไปยังห้องเล็ก ๆ ที่มีล้อปั่นด้ายตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกองเส้นใยผ้าจำนวนมาก พระราชินีบอกว่า “เจ้าจะต้องปั่นด้ายทั้งหมดนี้ให้เสร็จภายในสามวัน หากทำได้ ข้าจะให้เจ้าแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็จากไป ทิ้งให้ลิซ่ายืนตัวแข็งอยู่กลางห้องด้วยความตกใจ

ลิซ่านั่งลงข้างล้อปั่นด้ายอย่างหมดหวัง เธอไม่รู้แม้แต่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร น้ำตาเริ่มไหลลงแก้มขาว เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังติดอยู่ในเรื่องโกหกของแม่ และไม่มีทางออกใดเลยในสถานการณ์นี้

ขณะที่เธอกำลังร้องไห้ เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น เมื่อเปิดออก เธอเห็นหญิงแก่สามคนยืนอยู่หน้าห้อง คนแรกมีเท้ากว้างและแบนจนแทบไม่เห็นข้อเท้า คนที่สองมีริมฝีปากหนาและยาวจนเกือบถึงคาง ส่วนคนที่สามมีนิ้วโป้งใหญ่และหยาบกร้านราวกับไม้เก่า

หญิงแก่คนแรกพูดว่า “เราได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้า และรู้ว่าเจ้าเดือดร้อน” คนที่สองเสริมว่า “เรามีความสามารถในการปั่นด้าย และยินดีจะช่วยเจ้า” คนที่สามกล่าวว่า “แต่มีข้อแลกเปลี่ยน คือ หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าต้องเชิญพวกเราไปงานแต่งงานของเจ้า และแนะนำเราต่อเจ้าชายว่าเป็นญาติของเจ้า”

ลิซ่ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบพยักหน้าอย่างดีใจ “ข้าสัญญา” เธอกล่าว หญิงแก่ทั้งสามจึงเข้ามาในห้อง และเริ่มปั่นด้ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงล้อหมุนดังเป็นจังหวะ และเส้นใยผ้าค่อย ๆ กลายเป็นด้ายเรียบงามในมือของพวกเธอ ลิซ่านั่งมองด้วยความทึ่งและโล่งใจ

ภายในสามวัน หญิงแก่ทั้งสามช่วยกันปั่นด้ายจนเสร็จเรียบร้อย เส้นด้ายที่ได้มีความเรียบงามและแข็งแรงจนช่างในวังยังเอ่ยปากชม ลิซ่าไม่ต้องแตะล้อปั่นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกทั้งโล่งใจและละอายใจในคราวเดียวกัน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกความจริงกับใคร

เมื่อพระราชินีเห็นงานที่เสร็จเรียบร้อย ก็พอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์กล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ลิซ่า ข้าจะจัดงานแต่งงานให้เจ้าในเร็ววันนี้ เจ้าชายจะต้องดีใจแน่” ลิซ่ารู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่น เพราะเธอยังไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงแก่ทั้งสาม

ในวันงานแต่งงาน ลิซ่าสวมชุดเจ้าสาวสีขาวเรียบหรู ผมทองถูกรวบอย่างงดงามด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อน แขกเหรื่อมากมายมาร่วมงาน และเจ้าชายก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แต่ลิซ่ายังไม่สบายใจนัก เพราะเธอรู้ว่าต้องทำตามคำสัญญาให้ครบถ้วน

เมื่อพิธีแต่งงานจบลง ลิซ่าจึงเชิญหญิงแก่ทั้งสามเข้ามาในงาน และกล่าวกับเจ้าชายว่า “นี่คือญาติของข้า ผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าในยามลำบาก” เจ้าชายมองหญิงแก่ทั้งสามด้วยความสงสัย เขาเห็นเท้าที่แบน ริมฝีปากที่ยาว และนิ้วโป้งที่ใหญ่เกินธรรมดา จึงถามอย่างสุภาพว่า “เหตุใดท่านจึงมีรูปร่างเช่นนี้”

หญิงแก่คนแรกตอบว่า “ข้าใช้เท้ากดล้อปั่นทุกวันจนเท้ากลายเป็นเช่นนี้” คนที่สองกล่าวว่า “ข้าต้องเป่าลมใส่เส้นใยผ้าอยู่เสมอ ริมฝีปากจึงยืดยาว” ส่วนคนที่สามพูดว่า “ข้าต้องใช้นิ้วโป้งกดเส้นด้ายตลอดเวลา จนมันใหญ่และหยาบกร้าน” เจ้าชายฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาลิซ่าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะไม่ให้เจ้าปั่นด้ายอีกเลยตลอดชีวิต”

หลังจากเจ้าชายประกาศว่าจะไม่ให้ลิซ่าปั่นด้ายอีกเลย ทุกคนในงานต่างหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู หญิงแก่ทั้งสามยิ้มอย่างพอใจ และกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าที่รักษาสัญญา” ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกจากงาน ลิซ่ามองตามด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ

ลิซ่าใช้ชีวิตในวังอย่างสงบสุข เธอไม่ต้องปั่นด้ายอีกเลยตามคำสั่งของเจ้าชาย แต่เธอก็ไม่ลืมบทเรียนจากเหตุการณ์ทั้งหมด เธอเริ่มหัดทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องปั่นด้าย แต่เธอก็อยากเป็นคนที่เจ้าชายภูมิใจ

  • การโกหกอาจทำให้เราเดือดร้อนมากขึ้น
  • ความขี้เกียจไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
  • การรักษาสัญญาคือคุณธรรมที่มีค่า
  • ทุกประสบการณ์คือบทเรียนสอนใจ
Posted in นิทานตลกก่อนนอน, นิทานพื้นบ้าน, นิทานสอนใจ

นิทานญี่ปุ่น สามคนร้องไห้ : เรื่องเล่าพื้นบ้านสอนใจพร้อมข้อคิด

นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เป็นนิทานพื้นบ้านจากประเทศญี่ปุ่น ที่เล่าขานสืบต่อกันมาอย่างยาวนานในหมู่ชาวบ้าน แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีผู้แต่งคนใด แต่เนื้อหาของเรื่องสะท้อนอารมณ์ขันและมุมมองชีวิตแบบเรียบง่ายที่เป็นเอกลักษณ์ของนิทานญี่ปุ่น ซึ่งมักเล่าถึงคนธรรมดาในชีวิตประจำวัน ผ่านเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่กลับสร้างเสียงหัวเราะและข้อคิดที่น่าจดจำ

เสน่ห์ของนิทานประเภทนี้อยู่ที่การใช้ ความเข้าใจผิดและการกระทำเกินเหตุ มาสร้างความสนุกสนานและแฝงข้อคิดให้ผู้อ่านได้เห็นว่า บางครั้งความเศร้าเสียใจหรือความกังวลอาจไม่ได้มีเหตุผลที่แท้จริงเสมอไป แต่เป็นเพียงการ “เผลอไหลตามอารมณ์” เท่านั้น นิทานแนวนี้จึงไม่ได้มุ่งสอนตรง ๆ แต่ใช้เหตุการณ์ชวนขำขันให้ผู้อ่านได้เรียนรู้ว่า ก่อนจะเชื่อหรือตัดสินสิ่งใด ควรหยุดคิดและมองให้ชัดเจนก่อน

สำหรับเวอร์ชันที่เว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ เราตั้งใจถ่ายทอดด้วยภาษาที่อ่านง่าย เห็นภาพ และเข้าใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เนื้อเรื่องยังคงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม แต่เพิ่มเติมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ตัวละครมีมิติและบรรยากาศชัดเจนขึ้น ทำให้นิทานเรื่อง “สามคนร้องไห้” เวอร์ชันนี้ ไม่เพียงแต่สร้างรอยยิ้ม แต่ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณและมองโลกด้วยความเข้าใจมากขึ้น

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณยายคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ตามลำพัง เพราะลูกชายคนเดียวไปทำงานอยู่ในเมืองที่ห่างไกล

วันหนึ่ง มีจดหมายจากลูกชายของคุณยายส่งมา คุณยายดีใจมาก แต่เพราะคุณยายไม่รู้หนังสือ จึงอ่านจดหมายไม่ได้ พอดีก็ซามูไรคนหนึ่งเดินผ่านมา คุณยายจึงขอร้องให้ซามูไรอ่านจดหมายให้ฟ้ง

“นี่ ๆ ท่านซามูไร ข้าได้รับจดหมายจากลูกชาย แต่ข้าไม่รู้หนังสือ ช่วยอ่านจดหมายให้ข้าทีเถอะ”

คุณยายยื่นจดหมายให้ซามูไร ซามูไรก้มมองจดหมาย สักครู่หนึ่ง เขาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา

คุณยายตกใจจึงรีบถามซามูไรว่า “มีข่าวร้ายเขียนไว้เหรอ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าก็รับได้ กรุณาอ่านให้ข้าฟังด้วย”

แต่ซามูไรเอาแต่ร้องไห้โดยไม่ยอมปริปากพูด

“มันต้องเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากแน่ ๆ” คุณยายคิด จากนั้น คุณยายก็เริ่มร้องไห้บ้าง

ในขณะนั้นเอง มีคนขายหม้อดินคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อคนขายหม้อดินเห็นซามูไรและคุณยายกำลังร้องไห้ เขาจึงถามคุณยายว่า “ท่านทั้งสองเป็นอะไรไปเหรอ”

ซามูไรกับคุณยายไม่ตอบ คนขายหม้อดินเห็นจดหมาย จึงหยิบมาดู จากนั้น เขาก็เริ่มร้องไห้

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างแปลกใจที่่เห็นคนทั้งสามร้องไห้ ผู้คนจึงพากันมามุง แล้วถามไถ่ว่า “อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ เกิดอะไรขึ้นเหรอ ถ้าลำบากหรือติดขัดตรงไหน พวกเราจะช่วยเอง”

คนขายหม้อดินจึงพูดว่า “เมื่อปีก่อน ข้าไปขายหม้อดิน ระหว่างทาง ข้าหกล้มทำให้หม้อดินแตกหมด ข้าเสียใจมาก แต่ก็ยุ่งมากจนลืมร้องไห้ พอมาเห็นสองคนนี้ร้องไห้ ข้าจึงนึกขึ้นได้ถึงความเสียใจที่ข้าลืมไปแล้ว ดังนั้น ข้าก็เลยร้องไห้ยังไงล่ะ”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ผู้คนมองคนขายหม้อดินด้วยความระอาใจ จากนั้น พวกเขาก็ถามคุณยายว่า “แล้วคุณยายร้องไห้ทำไม”

คุณยายกลั้นน้ำตา แล้วตอบไปว่า “ในตอนแรก ข้าได้จดหมายจากลูกชายที่ไปทำงานในที่ที่ไกลมาก แต่ข้าอ่านหนังสือไม่ออก เลยให้ซามูไรท่านนี้อ่านให้ แต่พอซามูไรท่านนี้ก้มมองจดหมายได้ครู่เดียว ท่านซามูไรก็ร้องไห้ ข่าวคราวในจดหมายต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ ๆ พอคิดแบบนั้น ข้าก็เลยกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่”

“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ผู้คนทั้งหลายเพิ่งเข้าใจ จากนั้น พวกเขาก็พูดกับซามูไรว่า “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ท่านซามูไรช่วยหยุดร้องไห้เถิด แล้วบอกคุณยายกับพวกเราให้รู้หน่อยว่า ในจดหมายเขาเขียนว่าอะไรบ้าง”

ซามูไรปาดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองมายังทุก ๆ คน จากนั้น เขาก็บอกว่า “ที่ข้าร้องไห้ ไม่ได้เกี่ยวกับข่าวคราวในจดหมาย แต่พอดีข้านึกถึงสมัยที่ข้ายังเด็ก ตอนเด็ก…ข้ายังอ่านหนังสือไม่ได้เพราะเป็นคนที่ไม่ขยันเรียน ตอนนั้นข้าจำได้ว่า..ข้าเจ็บใจที่ตัวเองอ่านหนังสือไม่ได้ พอนึกถึงความหลังก่อนที่จะมาขยันเรียนหนังสือ ข้าก็เลยร้องไห้ออกมา”

“อะไรนะ ร้องไห้ด้วยเหตุแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ” ทุกคนทำหน้าระอาใจ

ซามูไรหัวเราะแหะ ๆ จากนั้น เขาก็อ่านจดหมายของลูกชายคุณยายให้คุณยายฟังว่า “ลูกสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง ใกล้จะได้กลับบ้านในเร็ววันนี้แล้ว แล้วจะหาของไปฝากแม่ด้วยนะ”

ในที่สุด เรื่องราวก็จบลงด้วยดี

ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้

  • ก่อนจะเศร้าหรือกังวลในเรื่องใด ๆ ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน
  • บางครั้งอารมณ์ก็ทำให้เราคิดปรุงแต่งหรือตัดสินใจผิดโดยไม่มีเหตุผลรองรับ
  • การมีสติไตร่ตรอง เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราไม่หลงเชื่อหรือเข้าใจผิดอะไรง่าย ๆ
Posted in นิทานตลกก่อนนอน, นิทานนำบุญ, นิทานอบอุ่นหัวใจ

ยักษ์ตุ้มตุ้ยกับลูกชายพระอาทิตย์ : นิทานชวนยิ้มแนว The Lucky Fool

ในโลกของนิทานพื้นบ้านยุโรป มีตัวละครประเภทหนึ่งที่ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง คือ “คนโง่ผู้โชคดี” หรือที่เรียกกันว่า the lucky fool ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ “Emelya the Fool” จากนิทานรัสเซียที่ Alexander Afanasyev รวบรวมไว้ ซึ่งเล่าเรื่องชายหนุ่มขี้เกียจที่ดูเหมือนไม่มีอะไรดี แต่กลับได้รับพรวิเศษจากปลาวิเศษ และใช้มันอย่างไม่คาดคิดจนกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด

นิทานแนวนี้มักสะท้อนความเชื่อว่า ความดี ความจริงใจ หรือแม้แต่ความซื่อ อาจนำพาโชคดีมาให้โดยไม่ต้องใช้ไหวพริบหรือความกล้าหาญแบบฮีโร่ทั่วไป ตัวละคร “คนโง่” จึงไม่ใช่คนโง่จริง ๆ หากแต่เป็นตัวแทนของคนเรียบง่ายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งโลกมักมองข้าม

หลังจากที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ได้อ่านนิทานยุโรปเก่า ๆ หลายเรื่อง และพบว่านิทานแนวนี้เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมในอดีต ผมจึงนึกสนุกอย่างแต่งนิทานแบบนี้ออกมาบ้าง

นานมาแล้ว ในดินแดนที่แสงอาทิตย์ส่องถึงทุกซอกทุกมุม มียักษ์ตนหนึ่งอาศัยอยู่กลางหุบเขา ยักษ์ตนนั้นมีรูปร่างอ้วนกลมตุ้มตุ้ยจนดูเหมือนลูกบอลยักษ์ และมีนิสัยประหลาด คือ เขาหลงใหลในการชิมของอร่อย ๆ เป็นที่สุด

ถ้าใครบอกว่ามีอะไรอร่อย ยักษ์ตุ้มตุ้ยจะดั้นด้นไปชิมให้ได้ ไม่ว่าจะต้องว่ายน้ำ ปีนเขา ลุยป่า หรือแอบยื่นมือเข้าไปในครัวของชาวบ้านกลางดึก แต่ถ้าไม่มีใครแนะนำอะไรใหม่ ๆ เขาก็จะชิมทุกอย่างที่ขวางหน้า ตั้งแต่ขนม ถุงเท้า ผ้าขาวม้า ไปจนถึง…กางเกงลิง!

ชาวบ้านจึงเดือดร้อนกันทั่ว เมื่อพระอาทิตย์ทราบเรื่อง พระอาทิตย์ซึ่งเป็นเทพที่ดูแลผู้คนในดินแดนแห่งนั้นจึงเรียกลูก ๆ ทุกคนมาหารือ

ลูกของพระอาทิตย์แต่ละคนต่างเสนอวิธีจัดการกับเจ้ายักษ์ด้วยวิธีที่รุนแรง บางคนบอกว่าจะใช้เปลวไฟเผาเจ้ายักษ์ บางคนเสนอว่าจะใช้แสงส่องให้แสบตาจนมองอะไรไม่เห็น

พระอาทิตย์ได้ฟังแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมกล่าวว่า “เอะอะก็จะใช้แต่ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เขาไม่ใช่ยักษ์ชั่วร้ายสักหน่อย เขาแค่หลงใหลในรสชาติและการกินเท่านั้น”

ในขณะนั้นเอง ลูกชายคนเล็กของพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นเด็กน้อยที่มีผิวสีแดงอมส้มคล้ายเปลวเพลิง ได้อาสาไปจัดการกับยักษ์ โดยสัญญาว่าจะไม่ใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด

พระอาทิตย์รู้ดีว่าลูกคนเล็กเป็นคนฉลาดและรักษาคำพูด จึงอนุญาตให้เขาไปจัดการเรื่องนี้

เมื่อลูกชายพระอาทิตย์เหาะไปถึงหุบเขา เขาพบยักษ์ตุ้มตุ้ยกำลังเคี้ยวเปลือกไม้อย่างเอร็ดอร่อย เขาจึงเข้าไปกระซิบว่า “ฮัลโหล ตุ้มตุ้ย ฉันคือลูกชายพระอาทิตย์ ฉันเป็นมิตรนะ ฉันมาเพื่อบอกความลับว่า…มีของอร่อยที่สุดในโลกอยู่อย่างหนึ่ง ที่น้อยคนจะรู้จัก นั่นคือ ‘เงาของยักษ์’ ล่ะ”

ยักษ์ตุ้มตุ้ยเบิกตากว้าง “เงาของยักษ์เหรอ…มันอร่อยยังไง?”

“หวาน หอม ละมุนละไม แถมอิ่มเอมใจ เหมือนดั่งรสชาติแห่งความรัก” ลูกชายพระอาทิตย์บอก

ยักษ์ตุ้มตุ้ยมีทีท่าสนใจจนเนื้อตัวสั่น นับตั้งแต่เกิดมา…ยักษ์ยังไม่เคยรู้เลยว่า รสชาติแห่งความรักนั้นเเป็นอย่างไร ลูกชายพระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยส่องแสงจากร่างกายให้เกิดเงาของยักษ์บนพื้นหญ้า

เมื่อยักษ์เห็นเงาทอดยาวอยู่บนพื้น มันก็รีบวิ่งไล่เพื่อจะจับเงามากิน ยักษ์วิ่ง…วิ่ง…วิ่ง ไล่เงาอย่างไม่ย่อท้อ จากหนึ่งชั่วโมง เป็นหนึ่งวัน จากหนึ่งวัน เป็นหนึ่งสัปดาห์ จากหนึ่งสัปดาห์ กลายเป็นหนึ่งเดือน

ยักษ์ตุ้มตุ้ยวิ่งไม่หยุด เหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนไขมันที่พุง ที่ต้นแขนต้นขา ค่อย ๆ เผาผลาญ พุงค่อย ๆ ยุบ แขนขากระชับ แก้มห้อย ๆ ก็หายไป จนในที่สุด…ยักษ์ตุ้มตุ้ยกลายเป็น “ยักษ์รูปหล่อ” โดยไม่รู้ตัว

ถึงอย่างนั้น ยักษ์ก็ยังคงวิ่ง…วิ่ง…แล้วก็วิ่ง เพราะมันอยากรู้จริง ๆ ว่า “รสชาติของความรัก” เป็นอย่างไรกันแน่ ยักษ์ติดต่อกันยาวนานจนแรงหมด จากนั้น ยักษ์ทรุดตัวลงนอนหอบอยู่ที่สนามหญ้า

ในช่วงเวลานั้นเอง มียักษ์สาวแสนสวยเดินผ่านมา เธอเป็นนางพยาบาล เมื่อเห็นคนที่ไม่สบาย เธอจึงรีบเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลด้วยความเมตตา

ยักษ์หนุ่มมองหน้ายักษ์สาวที่สวยเหมือนนางฟ้า แล้วก็ตกหลุมรักทันที แต่เมื่อเธอจากไป เขาก็ได้แต่มองตามอย่างเศร้า ๆ พลางพูดว่า “ถ้าฉันไม่อ้วนตุ้มตุ้ย ฉันคงจีบเธอแน่ ๆ…”

ลูกชายพระอาทิตย์มองแล้วยิ้มเบา ๆ ก่อนจะส่งกระจกให้ยักษ์ดูหน้าตัวเอง

เมื่อยักษ์ดูกระจก เขาก็ตกใจ เหมือนเห็นดาราอย่างเจมส์จิปรากฏอยู่ตรงหน้า “นั่นใครกัน?” เจ้ายักษ์คิด

และทันใดนั้น…เขาก็รู้ตัวว่า ตอนนี้ได้กลายเป็นยักษ์หุ่นดีไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ!

ยักษ์หนุ่มจึงมีความกล้า และมีกำลังใจที่จะไปจีบยักษ์สาว เขาสัญญากับตัวเองว่าจะกินแต่อาหารดี ๆ และไม่กินอะไรมั่วซั่วอีกต่อไป

หลังจากวันนั้น ไม่มีใครรู้ว่า ยักษ์หนุ่มจะจีบยักษ์สาวได้สำเร็จไหม แต่ที่ทุก ๆ คนรู้ก็คือ ลูกชายพระอาทิตย์ช่วยให้ชาวบ้านกลับมามีชีวิตที่สงบสุขได้อีกครั้ง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
  • ความรุนแรงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ควรยอมรับ
  • ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ