Posted in นิทานจากทั่วโลก, นิทานยุโรป, นิทานสอนใจ

พระราชากับปริศนาสามประการ : นิทาน ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)

ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ เกิดในปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) ซึ่งตรงกับปลายรัชกาลที่ 3 ของไทย และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เขาเป็นผู้เขียนวรรณกรรมระดับโลกอย่าง สงครามและสันติภาพ (War and Peace) และ อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) ไม่เพียงแค่เขียนนวนิยายระดับโลก แต่เขายังสร้างสรรค์นิทานสั้นที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตที่เขาหันมาเน้นเรื่องศีลธรรม ความเมตตา และการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง

นิทานเรื่อง พระราชากับปริศนาสามประการ (Three Questions) เป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระราชาผู้แสวงหาคำตอบของชีวิต นิทานในฉบับเรียงเรียงเป็นภาษาไทยใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่แฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง เหมาะสำหรับเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่กำลังค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่งปกครองอาณาจักรด้วยความยุติธรรมและเมตตา พระองค์ปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ที่ไม่เคยทำผิดพลาด พระองค์จึงตั้งคำถามขึ้นสามข้อ คือ ข้อแรก เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด ข้อที่สอง ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด และข้อสุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำคืออะไร

พระราชาเชื่อว่า หากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ พระองค์จะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ และจะนำพาอาณาจักรไปสู่ความสงบสุข

พระราชาส่งข่าวไปทั่วแผ่นดิน ขอให้ผู้รู้มาช่วยตอบคำถาม บางคนกล่าวว่า “เวลาสำคัญที่สุดคือยามรุ่งเช้า” บางคนตอบว่า “คนสำคัญที่สุดคือพระเจ้า” หรือ “คือแม่ของท่าน” และบางคนตอบว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางแผนล่วงหน้า”

คำตอบต่าง ๆ ไม่ทำให้พระราชาพอใจ พระองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปหานักบวชผู้ปลีกตัวจากสังคมเพื่อแสวงหาความสงบและปัญญา นักบวชอาศัยอยู่ในป่าลึก เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิต

พระราชาเดินทางเข้าไปในป่าโดยไม่บอกว่าเป็นกษัตริย์ เมื่อมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ กลางป่า พระองค์เห็นนักบวชกำลังขุดดินอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่

“ข้าพเจ้ามีคำถามสามข้อ” พระราชาตรัส “ได้โปรดช่วยตอบให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

นักบวชไม่ตอบอะไร เขายื่นจอบให้พระราชา พระองค์จึงช่วยขุดดินอย่างเงียบ ๆ จนเหงื่อไหลเต็มใบหน้า

ไม่นานนัก มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ มือกุมท้องที่มีเลือดไหลไม่หยุด พระราชารีบช่วยปฐมพยาบาล ใช้ผ้าพันแผลและดูแลจนชายคนนั้นหลับไปด้วยความอ่อนแรง

รุ่งเช้า ชายคนนั้นตื่นขึ้นและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าเคยเป็นศัตรูของพระองค์ ข้าตั้งใจจะลอบทำร้าย แต่เมื่อพระองค์ช่วยชีวิตข้า ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ข้าได้เป็นข้ารับใช้ของพระองค์เถิด”

พระราชานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าให้อภัยเจ้า แต่เจ้าจงไปจากที่นี่เสียเถิด”

เมื่อชายคนนั้นจากไป พระราชาก็หันไปถามนักบวชอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง?”

นักบวชยิ้มแล้วกล่าวว่า “คำตอบทั้งหมดอยู่ในสิ่งที่ท่านเพิ่งทำ”

“เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘ตอนนี้’ เพราะเป็นเวลาที่เราสามารถทำสิ่งดี ๆ ได้

ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘คนที่อยู่ตรงหน้าเรา’ เพราะเขาคือผู้ที่เราดูแลได้

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำอะไร? คำตอบก็คือ ‘การช่วยเหลือผู้อื่น’ เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน”

พระราชานิ่งฟังอย่างสงบ คำตอบที่ได้ช่วยไขปริศนาในใจทั้ง 3 ข้อได้อย่างกระจ่างแจ้ง เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นช่วยย้ำความจริงที่หาไม่ได้จากตำรา พระองค์ทรงเข้าใจคำตอบด้วยใจของพระองค์อย่างแท้จริง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • เวลาที่สำคัญที่สุดคือ “ตอนนี้” เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถลงมือทำสิ่งดีได้
  • คนที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเรา” เพราะเขาคือผู้ที่เราต้องดูแล
  • สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำคือ “การช่วยเหลือผู้อื่น” เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานยุโรป, นิทานเด็ก

เจ้าชาย Boots ปราบยักษ์ : นิทานพื้นบ้านนอร์เวย์

นิทานเรื่อง “Jetten uten hjerte” เป็นหนึ่งในนิทานพื้นบ้านนอร์เวย์ที่ทรงคุณค่าที่สุดของชาวนอร์ส ถูกเก็บรวบรวมโดยนักเล่านิทานชื่อดังของนอร์เวย์คือ Peter Christen Asbjørnsen และ Jørgen Moe ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการรวบรวมและเผยแพร่นิทานพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 ผ่านชุดนิทานชื่อ Norske Folkeeventyr

นิทานเรื่องนี้ในเวอร์ชันต้นฉบับของนอร์เวย์ มีจุดเด่นที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและปรัชญาชีวิตอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง “การตอบแทนความดี” ผ่านสัตว์ที่เจ้าชาย Boots เคยช่วยไว้ (อีกา ปลาแซลมอน และหมาป่า) ซึ่งต่อมาได้กลับมาช่วยเหลือเจ้าชายในยามคับขัน นอกจากนี้ ยังจะเห็นได้ว่า เจ้าชายไม่ได้ใช้เวทมนตร์ในการฝ่าฟันอุปสรรค แต่ใช้ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเสียสละ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของชาวนอร์ส และท้ายที่สุด นิทานเรื่องนี้ยังสะท้อนคุณธรรมแบบนอร์สที่เน้นความรักต่อครอบครัว ความกล้าหาญ และการเสียสละเพื่อผู้อื่นอย่างงดงาม

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งมีพระโอรสเจ็ดพระองค์ พระราชารักลูกชายทั้งเจ็ดสุดหัวใจจนไม่อาจทนอยู่ได้โดยอยู่ไกลจากลูก ดังนั้น จึงต้องมีลูกชายอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่เคียงข้างเสมอ

เมื่อเจ้าชายทั้งเจ็ดเติบโตขึ้น พระราชาจึงอนุญาตให้เจ้าชายหกพระองค์ออกเดินทางเพื่อไปหาคู่ครอง ส่วนเจ้าชายองค์สุดท้อง พระราชาทรงขอให้อยู่ที่วัง และสั่งให้พี่ชายทั้งหกหาเจ้าหญิงกลับมาให้เขา

เจ้าชายทั้งหกออกจากวังไปได้สักพัก ก็มีข่าวเล่าลือว่า เจ้าชายทั้งหกถูกยักษ์จับและสาปให้กลายเป็นหิน พระราชาทรงเป็นห่วงลูกชายทั้งหกมาก ในที่สุด พระราชาจึงขอให้เจ้าชายองค์สุดท้องออกเดินทางไปช่วยพี่ ๆ

เมื่อเจ้าชายองค์สุดท้องซึ่งมีชื่อว่า Boots (บู๊ท) ได้รับอนุญาตจากพระราชาให้ออกเดินทางตามหาพี่ชายทั้งหก ม้าที่เหลืออยู่ในวังก็มีแค่ม้าแก่ ๆ ที่โรยแรงและใกล้หมดสภาพ แต่เจ้าชายบู๊ทไม่ได้ใส่ใจ เขาอยากไปช่วยพี่ ๆ เขาจึงกระโดดขึ้นขี่ม้าตัวนั้น แล้วกล่าวว่า “หม่อมฉันจะกลับมาแน่นอน และจะพาพี่ชายทั้งหกกลับมาด้วย!”

ระหว่างทางเจ้าชายบู๊ทพบอีกาที่หิวโซจนบินไม่ไหว มันร้องขออาหาร เจ้าชายบู๊ทจึงตอบไปว่า “ข้าไม่มีอาหารมากนัก แต่ข้าจะมอบอาหารให้เจ้า เพราะเห็นว่าเจ้าต้องการมันจริง ๆ” เจ้าชายบู๊ท มอบอาหารทั้งหมดให้อีกา ส่วนอีกาก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

ต่อมาเจ้าชายบู๊ทพบปลาแซลมอนตัวใหญ่พลัดติดอยู่บนพื้นแห้ง มันดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง “ช่วยพาข้ากลับลงน้ำด้วยเถิด แล้วข้าจะช่วยเจ้าในยามจำเป็น” เจ้าชายบู๊ทสงสาร จึงช่วยนำปลาแซลมอนกลับลงน้ำ ปลาแซลมอนจึงเอ่ยปากสัญญาว่าจะช่วยเหลือเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

หลังจากนั้น เจ้าชายบู๊ทก็เดินทางต่อไปอีกสักพัก และพบหมาป่าที่หิวโซจนหมดแรง เมื่อหมาป่าเห็นเจ้าชาย มันจึงพูดขึ้นว่า “ขอม้าของท่านได้ไหม ข้าหิวจนลมพัดผ่านซี่โครงได้แล้ว”

เจ้าชายบู๊ทตอบว่า “ข้าให้อาหารอีกาจนหมด แถมช่วยปลาแซลมอนกลับลงน้ำ และตอนนี้เจ้าจะเอาม้าของข้าอีกเหรอ ข้าจะไม่มีอะไรเหลือเลยนะ”

แต่หมาป่ากล่าวว่า “ข้าสัญญาว่าจะให้ท่านขี่หลังข้าแทน และข้าจะช่วยเจ้าชายหากเจ้าชายร้องขอ

เจ้าชายบู๊ทสงสารหมาป่า และเห็นว่าม้าชราจนใกล้สิ้นอายุขัย เจ้าชายจึงมอบม้าให้หมาป่าใช้ประทังชีวิต

ครั้นเมื่อหมาป่ากลับมามีเรี่ยวแรง เจ้าชายขอให้หมาป่าพาไปหาพี่ชายทัังหกที่ปราสาทของยักษ์ หมาป่ามีความรอบรู้เรื่องราวในป่า มันจึงให้เจ้าชายบู๊ทนั่งบนหลัง แล้ววิ่งไปยังปราสาทของยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับสายลม

หลังจากหมาป่าพาเจ้าชายบู๊ทเดินทางมาได้พักใหญ่ ในที่สุด มันก็หยุดและกล่าวว่า “ดูนั่นสิ นั่นคือปราสาทของเจ้ายักษ์ และนั่นคือพี่ชายทั้งหกของท่านที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน”

เจ้าชายบู๊ทมองไปยังลานหน้าปราสาท พระองค์เห็นรูปปั้นหินของชายหนุ่มหกคนยืนเรียงกันอยู่ พวกเขาคือพี่ชายทั้งหกของเจ้าชายจริง ๆ และข้าง ๆ คือเจ้าหญิงหกองค์ที่ถูกสาปเช่นกัน

เจ้าชายบู๊ทรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่พระองค์ไม่ยอมแพ้ หมาป่ากล่าวว่า “ท่านต้องเข้าไปในปราสาท และตามหาเจ้าหญิงที่ถูกกักขังอยู่ข้างใน เจ้าหญิงอาจช่วยท่านได้”

เจ้าชายบู๊ทลอบเข้าไปในปราสาท และพบเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระองค์หนึ่งนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เจ้าหญิงสะดุ้งเมื่อเห็นเขา แต่เมื่อเจ้าชายบู๊ทบอกว่าพระองค์มาเพื่อช่วยพี่ชายและจะช่วยเจ้าหญิงด้วย เจ้าหญิงจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่มีใครสามารถจัดการเจ้ายักษ์ได้หรอก เพราะมันไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกาย”

เจ้าชายบู๊ทตกใจ “ไม่มีหัวใจอยู่ในร่างกายงั้นหรือ?”

เจ้าหญิงพยักหน้า “ใช่ ยักษ์ซ่อนหัวใจของมันเอาไว้ที่อื่น และไม่มีใครรู้ว่ามันซ่อนหัวใจไว้ที่ไหน”

เจ้าชายบู๊ทจึงขอร้องให้เจ้าหญิงช่วยหาทางล้วงความลับจากยักษ์ให้ เจ้าหญิงตกลงจะช่วยเจ้าชายบู๊ท เมื่อยักษ์กลับมาถึงปราสาท เจ้าหญิงจึงแกล้งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าฝันถึงท่านเมื่อคืน และในฝัน ข้าเห็นหัวใจของท่านอยู่ใต้ธรณีประตู”

ยักษ์หัวเราะเสียงดัง พลางคิดในใจว่า “โง่จริง ใครจะเอาหัวใจไปซ่อนไว้ตรงนั้น”

เจ้าหญิงแสร้งทำเป็นคนใสซื่อ วันรุ่งขึ้น เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยไว้ที่ธรณีประตู เมื่อยักษ์กลับมาอีกครั้ง มันถามว่า “เจ้าทำอะไร?” เจ้าหญิงตอบว่า “ข้าโปรยดอกไม้ไว้ตรงที่หัวใจของท่านอยู่ เพื่อให้มันมีความสุข”

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าก็ยังเชื่ออยู่นั่นเอง หัวใจของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก มันอยู่ที่ตู้ในห้องนอนของข้า”

วันต่อมา เจ้าหญิงจึงนำดอกไม้ไปโปรยที่ตู้อีก เมื่อยักษ์เห็น ยักษ์จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรอีกแล้ว?”

“ข้าอยากให้หัวใจของท่านมีความสุข” เจ้าหญิงตอบ

ยักษ์หัวเราะอีกครั้ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง ข้าบอกเจ้าตามตรงนะ หัวใจของข้าอยู่ไกลจากที่นี่มาก มันอยู่ในไข่ ไข่อยู่ในเป็ด เป็ดอยู่ในบ่อน้ำใต้โบสถ์ บนเกาะกลางทะเลสาบที่ไม่มีใครหาเจอ”

เจ้าหญิงจำคำพูดนั้นไว้ และเมื่อยักษ์หลับ พระองค์จึงแอบไปบอกเจ้าชายบู๊ทถึงที่ซ่อนหัวใจของยักษ์

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ฟัง เจ้าชายก็ยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วพระองค์ก็รีบขี่หลังหมาป่าเพื่อออกเดินทางไปยังเกาะกลางทะเลสาบตามคำบอกของเจ้าหญิง

เมื่อหมาป่าพาเจ้าชายไปถึงเกาะ บนเกาะมีโบสถ์เก่าแก่ตั้งอยู่ และในโบสถ์ก็มีบ่อน้ำซึ่งมีเป็ดตัวหนึ่งว่ายน้ำอยู่ เมื่อเจ้าชายเห็นเช่นนั้น เจ้าชายบู๊ทจึงส่งสัญญาณเรียกอีกาที่พระองค์เคยช่วยไว้ให้มาหา จากนั้น เจ้าชายก็ขอให้อีกาช่วยบินเข้าไปในโบสถ์และนำกุญแจมาให้

เมื่อเจ้าชายเข้าไปในโบสถ์ได้ เจ้าชายก็เห็นเป็ดว่ายอยู่ในบ่อน้ำ เจ้าชายเพยายามจับเป็ดเพื่อเอาไข่ของเป็ดออกมาจากท้อง แต่เป็ดตกใจ จึงปล่อยไข่ออกมาทำให้ไข่จมลงไปที่ก้นบ่อน้ำซึ่งลึกมาก

เจ้าชายบู๊ทไม่สามารถดำน้ำลงไปเก็บไข่นั้นมาได้ พระองค์จึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากปลาแซลมอนที่พระองค์เคยช่วยไว้ เมื่อปลาแซลมอนรู้ว่าเจ้าชายต้องการความช่วยเหลือ มันจึงหาทางว่ายน้ำผ่านซอกหลืบต่าง ๆ จนเข้าไปถึงก้นบ่อน้ำ แล้วนำไข่ขึ้นมาให้เจ้าชายได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทได้ไข่มา พระองค์จึงถามหมาป่าว่า “ข้าควรทำอย่างไร?”

หมาป่าผู้รอบรู้จึงแนะนำว่า “บีบมัน”

เจ้าชายบู๊ทจึงบีบไข่เบา ๆ และทันใดนั้น ยักษ์ที่อยู่ในปราสาทก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เสียงร้องของยักษ์ดังมาถึงโบสถ์ที่เจ้าชายยืนอยู่ หมาป่ารู้ในทันทีว่าในไข่มีหัวใจของยักษ์ซ่อนอยู่จริง ๆ มันจึงแนะนำเจ้าชายว่า “ขว้างไข่ลงที่พื้นให้ไข่แตก”

เมื่อเจ้าชายทำตามโดยขว้างไข่ลงที่พื้นจนไข่แตกกระจาย หัวใจของยักษ์ก็แตกสลายไปพร้อมกับร่างของมัน

เมื่อร่างของยักษ์ล้มลง พลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่มันใช้สาปเจ้าชายและเจ้าหญิงทุกพระองค์ก็สลายไปสิ้น พี่ชายทั้งหกของเจ้าชายบู๊ทและเจ้าหญิงทั้งหกจึงได้กลับคืนสู่ร่างปกติ ทุกคนต่างโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ

เมื่อเจ้าชายบู๊ทกลับไปที่ปราสาทของยักษ์ เจ้าหญิงที่ช่วยเจ้าชายบู๊ทยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับเจ้าชายว่า “ท่านคือผู้กล้าที่ช่วยเหลือพวกเรา”

เจ้าชายบู๊ทตอบอย่างถ่อมตัวว่า “ข้าแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ คือทำเพื่อครอบครัวและทำเพื่อความยุติธรรม”

หลังจากเรื่องราวทั้งหมดสิ้นสุดลง เจ้าชายบู๊ทและพี่ชายทั้งหก พร้อมกับเจ้าหญิงทุกพระองค์เดินทางกลับสู่อาณาจักร เมื่อพระราชาเห็นลูกชายทั้งหมดกลับมาอย่างปลอดภัย พระองค์ก็ทรงหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก” พระราชาตรัสกับเจ้าชายบู๊ท

หลังจากนั้น พระราชาก็จัดงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ โดยเจ้าชายบู๊ทได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่พระองค์ช่วยไว้ และเจ้าชายทั้งหกก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงของตนเช่นกัน

และแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน อาจกลายเป็นพลังช่วยชีวิตในยามคับขัน
  • ความกล้าหาญและความเสียสละ คือคุณสมบัติของผู้กล้าที่แท้จริง
  • สติปัญญาและไหวพริบสามารถเอาชนะพลังอำนาจที่ดูน่ากลัวได้
Posted in นิทานนานาชาติ, นิทานยุโรป, นิทานสอนใจ, Grimm's Fairy Tales

ชาวประมง ภรรยา และปลาวิเศษ : นิทานก่อนนอนจากยุโรปที่ให้ข้อคิดล้ำค่า

นิทานเรื่อง “ชาวประมง ภรรยา และปลาวิเศษ” เป็นหนึ่งในเรื่องเล่าคลาสสิกจากนิทานกริมส์ (Grimm’s Fairy Tales) ที่ถ่ายทอดเรื่องราวแห่งความปรารถนาและผลลัพธ์ที่ตามมาได้อย่างแยบยล จุดเด่นของเรื่องนี้อยู่ที่การใช้สัญลักษณ์เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ถ่ายทอดผ่านตัวละครอย่าง “ชาวประมง” และ “ปลาวิเศษ” ที่มีบทบาทมากกว่าการสร้างความอัศจรรย์

แม้จะมีที่มาจากยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 แต่เนื้อเรื่องยังคงความร่วมสมัย และสามารถตีความในหลากหลายมุม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การตัดสินใจ หรือการสะท้อนความคิดของผู้คนในสังคม นิทานกริมส์ต้นฉบับนั้นเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าชาวบ้านโดยสองพี่น้องชาวเยอรมัน คือ ยาค็อบ และวิลเฮล์ม กริมส์ ซึ่งตั้งใจเก็บรวบรวมเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นและแฝงข้อคิดเชิงศีลธรรมในแต่ละเรื่อง

การเรียบเรียงในฉบับนี้มีการปรับภาษาให้น่าอ่านสำหรับคนรุ่นใหม่ เสริมจินตนาการด้วยภาพประกอบที่สวยงาม และคงไว้ซึ่งสาระสำคัญของนิทานต้นฉบับ โดยไม่เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด จึงเหมาะสำหรับการเล่าให้เด็กฟังก่อนนอน หรือใช้เป็นสื่อสร้างแรงบันดาลใจในชั้นเรียน

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเล มีชาวประมงยากจนคนหนึ่ง ชื่อว่า “อันเซิล” อันเซิลใช้ชีวิตอยู่กับ “เกรธ่า” ผู้เป็นภรรยาในกระท่อมไม้เก่า ๆ ที่ผุพังจากลมทะเล อันเซิลเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตนมี เขายินดีแม้จะต้องกินขนมปังแห้ง ๆ และปลาตัวเล็ก ๆ ที่จับได้ในแต่ละวัน แต่เกรธ่าไม่ได้มีความคิดเหมือนกับสามีเลย

ทุกเช้า เกรธ่ามักนั่งอยู่ที่หน้าต่างเล็ก ๆ ของกระท่อม แล้วมองออกไปยังทะเลอันกว้างใหญ่ พร้อมกับถอนหายใจ “ชีวิตแบบนี้มันน่าเบื่อเกินไป! ถ้าเรามีบ้านที่สวยงามกว่านี้ ฉันจะไม่บ่นอีกเลย” เกรธ่าพูดซ้ำ ๆ อยู่เช่นนี้ทุกวัน จนกลายเป็นถ้อยคำที่อันเซิลฟังจนชินชา

วันหนึ่ง ในขณะที่อันเซิลออกไปหาปลาเหมือนเช่นเคย ทะเลในยามเช้าดูสงบ สายลมอ่อน ๆ พัดเย็นสบาย อันเซิลรู้สึกว่ามันอาจเป็นวันที่โชคดีอีกวันหนึ่งของเขา

หลังจากอันเซิลเฝ้ารอสัญญาณว่าปลากินเหยื่ออยู่นาน ในที่สุด แหก็เริ่มกระตุก อันเซิลรีบดึงมันขึ้นมา “วันนี้ ข้าต้องได้ปลาตัวใหญ่แน่ ๆ” อันเซิลรำพึงอย่างมีความหวัง แต่เมื่อแหพ้นน้ำ สิ่งที่ติดมากับแหกลับเป็นปลาสีทองตัวหนึ่งที่ดูแปลกตาไม่เหมือนปลาตัวไหน ๆ เพราะเกล็ดของมันเป็นประกายระยิบระยับเหมือนทองคำ และที่น่าประหลาดกว่านั้นก็คือ มันเป็นปลาที่พูดได้!

“ข้าขอร้องล่ะ ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่ใช่ปลาธรรมดา แต่ข้าเป็นเจ้าชายที่ต้องคำสาป หากเจ้าช่วยข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยการให้พร”

อันเซิลผู้มีจิตใจเมตตารู้สึกว่า ปลาตัวนี้ไม่ควรอยู่ในหม้อของเขา เขาจึงบอกกับปลาว่า “ข้าไม่ต้องการอะไรตอบแทนหรอก ขอให้เจ้าปลอดภัยนะ” จากนั้น อันเซิลก็ปล่อยปลากลับสู่ท้องทะเล

เมื่ออันเซิลกลับถึงบ้าน เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เกรธ่าฟัง เมื่อฟังจบ เกรธ่าเบิกตากว้างด้วยความโกรธ “เจ้าบ้า! เจ้ามีโอกาสขออะไรก็ได้ แล้วเจ้ากลับไม่ขออะไรเลย! รีบไปตามหาปลาตัวนั้นให้พบ แล้วขอบ้านใหม่ที่งดงามมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

อันเซิลพยายามอธิบายว่าเขาไม่ต้องการอะไรจากปลา แต่เกรธ่าไม่ฟัง เธอได้แต่ตะคอกใส่เขาว่า “หุบปาก! จงไปขอบ้านใหม่จากปลามาให้ฉันเดี๋ยวนี้!”

เมื่ออันเซิลเห็นว่าเกรธ่าโกรธและต้องการให้เขาไปขอพรจากปลาสีทองตัวนั้นจริง ๆ อันเซิลจึงต้องยอมทำตามคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

อันเซิลกลับไปที่ทะเล ซึ่งท้องทะเลยามเย็นมีสีเทาหม่น ๆ ไม่สดใสเหมือนท้องทะเลในยามเช้า เมื่ออันเซิลพายเรือไปถึงบริเวณที่เขาได้พบและปล่อยปลาไป เขาก็ส่งเสียงพูดกับปลาว่า “เจ้าปลาเอ๋ย! ภรรยาของข้าต้องการบ้านใหม่ที่สวยงาม ข้าจึงจำเป็นต้องกลับมา เจ้าพอจะช่วยให้พรข้อนี้แก่ข้าจะได้ไหม?”

เจ้าปลาสีทองโผล่ขึ้นมาจากน้ำ มันมองอันเซิลด้วยสายตาอบอุ่นและเต็มไปด้วยความเข้าใจ จากนั้น ปลาสีทองก็พูดกับอันเซิลว่า “ตอนนี้ บ้านใหม่ของเจ้า รอเจ้าอยู่แล้วนะ”

เมื่ออันเซิลกลับถึงไปยังชายฝั่ง เขาพบว่ากระท่อมไม้เก่า ๆ ที่เขาอาศัยได้เปลี่ยนเป็นบ้านหินหลังงามที่มีหน้าต่างบานใหญ่ และมีสวนเล็ก ๆ ดูร่มรื่น

ในตอนแรก เกรธ่ามองบ้านหลังใหม่ด้วยความพอใจ แต่ไม่นาน เธอก็เริ่มบ่นว่า “บ้านหลังนี้ยังเล็กไปนะ คนอย่างฉันควรได้อยู่ในคฤหาสน์หรูหรา จงไปขอคฤหาสน์หลังใหญ่จากปลามาให้ฉันเดี๋ยวนี้!!”

อันเซิลจำใจต้องกลับไปที่ทะเลอีกครั้ง ซึ่งในคราวนี้ ท้องทะเลดูน่ากลัวขึ้น น้ำทะเลกลายเป็นสีดำ และคลื่นก็ซัดแรงกว่าที่เคย อันเซิลรู้สึกหนักใจมาก แต่เขาก็ต้องทำตามคำสั่งของภรรยา เมื่ออันเซิลพายเรือไปถึงบริเวณที่เขาได้พบและปล่อยปลาไป เขาก็ส่งเสียงพูดกับปลาว่า “เจ้าปลาเอ๋ย! ภรรยาของข้าต้องการคฤหาสน์ใหญ่โต ข้าจึงจำเป็นต้องกลับมา เจ้าพอจะช่วยให้พรข้อนี้แก่ข้าจะได้ไหม?”

ปลาสีทองปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตามันดูเศร้า มันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงความโลภที่เพิ่มขึ้นในใจของภรรยาเจ้า มันเหมือนเงาดำที่ขยายตัว ข้าเกรงว่ามันจะไม่หยุดง่าย ๆ แต่ข้าจะทำตามคำขอ กลับไปเถอะ ตอนนี้ คฤหาสน์ใหม่ของเจ้า รอเจ้าอยู่แล้วนะ”

เมื่ออันเซิลกลับถึงไปยังชายฝั่ง เขาพบว่าบ้านหลังงามได้เปลี่ยนเป็นคฤหาสน์หรูหรา ที่มีห้องหลายสิบห้องและสวนดอกไม้ขนาดใหญ่

ในตอนแรก เกรธ่ามองคฤหาสน์ด้วยความพอใจ แต่ไม่นาน เธอก็เริ่มรู้สึกว่า แม้จะมีคฤหาสน์ เธอก็ยังคงเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา ดังนั้น เธอจึงไม่พอใจแล้วบ่นออกมาว่า “คฤหาสน์แบบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย! สิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ ก็คือ … ฉันต้องการเป็นราชินี!”

“ราชินี?” อันเซิลอุทานด้วยความตกใจ “แต่นี่มันก็ดีมากแล้วนะ!”

“หุบปาก! รีบไปตามหาปลาตัวนั้น แล้วไปบอกมันว่า ฉันต้องการเป็นราชินี!” เกรธ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

อันเซิลถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขารู้ว่าเขาไม่สามารถห้ามภรรยาได้ เขาจึงต้องกลับไปที่ทะเลอีกครั้ง ซึ่งทะเลในขณะนั้นมีคลื่นสูง ลมแรง และปั่นป่วนจนแทบพยุงตัวเอาไว้ไม่อยู่ เมื่ออันเซิลพายเรือไปถึงบริเวณที่เขาได้พบและปล่อยปลาไป เขาก็ส่งเสียงพูดกับปลาว่า “เจ้าปลาเอ๋ย! ภรรยาข้าต้องการเป็นราชินี เจ้าพอจะช่วยให้พรข้อนี้แก่ข้าจะได้ไหม?”

เจ้าปลาสีทองปรากฏตัวขึ้นจากน้ำ แต่ครั้งนี้แววตามันดูเหนื่อยล้า มันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ข้ารับรู้ถึงความโลภที่กำลังกัดกินภรรยาของเจ้า ข้าจะให้พรแก่เจ้า แต่มันอาจนำพาพวกเจ้าไปสู่จุดจบ”

เมื่ออันเซิลกลับถึงไปยังชายฝั่ง เขาพบว่าคฤหาสน์ได้กลายเป็นพระราชวังที่งดงามมาก ส่วนเกรธ่าได้สวมมงกุฎทองคำและนั่งอยู่บนบัลลังก์ตามที่เธอปรารถนา ในที่สุด เกรธ่าก็ได้เป็นราชินีสมดังใจ

ในตอนแรก เกรธ่าก็มีความสุขที่ได้เป็นราชินี แต่ไม่นาน เธอก็เริ่มรู้สึกว่า แม้จะได้เป็นราชินี แต่ก็ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่าเธอ ยิ่งใหญ่กว่าเธอ มีคนเคารพมากกว่าเธอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่พอใจแล้วบ่นออกมาว่า “การเป็นราชินีไม่มีความหมายอะไรเลย! ถ้ายังมีใครที่เหนือกว่าฉัน สิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ ก็คือ … ฉันต้องการเป็นพระเจ้า!” เกรธ่าหันมาออกคำสั่งกับสามีด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังว่า “ไปขอปลาเดี๋ยวนี้ ไปบอกมันว่า ฉันต้องการควบคุมทุกสิ่ง ฉันต้องการเป็นพระเจ้า!”

อันเซิลรู้สึกหมดหนทาง เขารู้ว่าเขาไม่สามารถห้ามภรรยาได้ เขาจึงจำใจกลับไปที่ทะเลอีกครั้ง ซึ่งทะเลในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป น้ำทะเลสีดำสนิทราวกับหมึก คลื่นซัดโหมกระหน่ำเหมือนอยากจะกลืนกินทุกสิ่ง

เมื่ออันเซิลพายเรือไปถึงบริเวณที่เขาได้พบและปล่อยปลาไป เขาตะโกนเรียกปลาแข่งกับเสียงพายุว่า “เจ้าปลาเอ๋ย! ภรรยาข้าต้องการเป็นพระเจ้า เจ้าพอจะช่วยให้พรข้อนี้แก่ข้าจะได้ไหม?

เจ้าปลาปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันดูอ่อนแรงและเศร้ายิ่งกว่าเดิม “ข้าให้พรข้อนี้ไม่ได้หรอก เพราะผู้ที่โลภเกินไป มักจบลงด้วยการสูญเสียทุกสิ่ง” ปลามองอันเซิลด้วยความเวทนา “กลับไปเถอะ แล้วเจ้าจะพบกับสิ่งที่เหมาะกับเจ้าและภรรยาอย่างแท้จริง”

เมื่ออันเซิลกลับถึงไปยังชายฝั่ง เขาพบว่าคฤหาสน์ พระราชวัง และสิ่งเนรมิตต่าง ๆ ได้หายไปจนหมด เหลือก็แต่กระท่อมไม้โทรม ๆ ที่พวกเขาเคยอาศัย

เกรธ่านั่งนิ่ง มองท้องทะเลอย่างไร้ความรู้สึก เธอไม่พูดอะไรอีก ส่วนอันเซิลกลับรู้สึกโล่งใจเพราะคิดว่า “บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว”

ตั้งแต่นั้นมา อันเซิลใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนเดิม เขาไม่เคยไปรบกวนเจ้าปลาอีก ส่วนเกรธ่าก็ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิต.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความพอใจในสิ่งที่ตนมี นำไปสู่ความสงบในชีวิต
  • ความโลภที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ทำให้สูญเสียสิ่งดี ๆ ที่เคยมี
  • อำนาจและฐานะไม่สามารถเติมเต็มหัวใจที่ไม่รู้จักพอ
  • สิ่งวิเศษไม่มีคุณค่าถ้าใช้อย่างไร้ความหมาย