Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเด็ก, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

ทิศทางของนิทานนำบุญปี 2568

………

………

………

………

………..

Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, ทิศทางเว็บไซต์นิทานนำบุญ, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

จดหมายน้อย

วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

สวัสดีครับ พี่นำบุญนั่งเขียน “จดหมายน้อย” ฉบับนี้ ในเช้าต้นเดือนกรกฎาคม 2567

อีกราว 10 วัน พี่นำบุญก็จะมีอายุเข้าวัย 54 ปี (เรียกว่า 54 ขวบก็ได้ เพราะใจยังเป็นเด็กอยู่ ฮิฮิ)

หลังจากวัย 50 พี่นำบุญเตือนตัวเองเสมอว่า เราอาจต้อง “เดินทางไกล” ได้ทุกเมื่อ ตามกฎของธรรมชาติ ที่คนทุกคนต่างหนีไม่พ้น

การจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขพอประมาณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

………

หลายปีมานี้ คุณผู้อ่านน่าจะทราบมาบ้างว่า “นิทานนำบุญ” พบปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีคนนำนิทานในเว็บไซต์นี้ไปทำคลิปหรือเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

พี่นำบุญเขียนคำเตือน เขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายและโทษที่หนักมากของการละเมิด แต่ก็ยังคงมีคนนำนิทานไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ในวันที่พี่นำบุญยังมีชีวิตและมีเรี่ยวแรง พี่นำบุญจึงพยายามปกป้องนิทานที่ตัวเองแต่ง ด้วยการเก็บหลักฐาน – แจ้งความ – ติดต่อให้ผู้ละเมิดมาเจรจา – แจ้งระบบให้ลบคลิปละเมิดออกจากแพลตฟอร์มนั้น ๆ ฯลฯ

คลิปการละเมิด มีอยู่เป็นร้อยคลิป คลิปบันทึกหน้าจอเก็บหลักฐานรวม ๆ แล้วก็น่าจะเกิน 100 ชั่วโมง (พี่นำบุญต้องซื้อฮาร์ดดิสมาเก็บข้อมูลเพิ่ม) การแจ้งให้แพลตฟอร์มลบคลิปก็น่าจะเกิน 100 เคส

สิ่งที่พบมาตลอดหลายปี คือ มันเป็นเรื่องที่ “เสียเวลาในชีวิต” และ “เสียความตั้งใจที่ดีในการ ทำงานเด็กมาก ๆ”

การแจ้งความต่อตำรวจ ก็แทบจะเป็นเรื่อง “ว่างเปล่า” เพราะคดีบางคดีแทบไม่คืบหน้านานถึง 2 ปีเศษ (ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานครบถ้วน) พี่นำบุญเคยทำจดหมายติดตามความคืบหน้าไปที่โรงพักหลายครั้ง ทุกอย่างก็ยังคงนิ่ง จนกระทั่งทำจดหมายไปยัง “ตำรวจภูธรภาค” ซึ่งกำกับดูแลโรงพักที่ไปแจ้งความอีกที ตำรวจจึงเริ่มขยับ และให้เดินทางไปเซ็นเอกสาร “ไม่ติดใจเอาเรื่องตำรวจ”

บางครั้งที่ไปแจ้งความ ตำรวจบางคนบอกว่า เคยเห็นมาแจ้งความแล้ว จะแจ้งทำไม แจ้งเอาเงินเหรอ?

คำพูดบางคำที่ได้ฟัง มันไม่น่ารักเลย สิ่งที่พี่นำบุญอยากให้เกิดขึ้น คือ การหยุดยั้งไม่ให้เกิดการละเมิดอีก และถ้าเลือกได้ระหว่างการให้คนทำผิดเสียเงินในคดีแพ่ง กับการให้ติดคุกในคดีอาญา พี่นำบุญขอเลือกอย่างหลัง

การเป็นนักเขียน (โดยเฉพาะนักเขียนนิทานเล็ก ๆ) ที่แม้จะมีกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองผลงาน แต่ในแง่ปฏิบัติ กลับได้รับการดูแลน้อยมาก

พี่นำบุญจึงเริ่มเข้าใจว่า การที่นักเขียนหลายคนจำเป็นต้องมองข้ามเมื่อถูกละเมิดลิขสิทธิ์ น่าจะเป็นเพราะ “มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด”

การเผชิญหน้ากับการละเมิด จะต้องเสียเวลาเก็บหลักฐาน (เช่น แคปหน้าจอ ตามสืบ ตามเก็บข้อมูล) เสียอารมณ์ (ทำให้เขียนงานไม่ออก) เสียความรู้สึก (กับเจ้าหน้าที่ที่แทบไม่ใส่ใจ) เสียสุขภาพ (ในการติดตามเรื่องต่าง ๆ)

แต่…พี่นำบุญในวัย 50 เศษ ไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้เป็นภาระรุงรังกับครอบครัว พี่นำบุญอยากรักษานิทานนำบุญเอาไว้ที่นี่ ให้เด็ก ๆ และคุณผู้อ่านได้เข้ามาอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และไม่อยากให้ใครไม่รู้ “ขโมยนิทานไปใช้ตามอำเภอใจ”

พี่นำบุญจึงตัดสินใจ จ้างทีมทนาย เพื่อปกป้องผลงานนิทานนำบุญ โดยเตรียมเงินเก็บส่วนตัวรวมแล้วประมาณ 6 หลัก ในการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ละเมิดให้ถึงที่สุด

พี่นำบุญเชื่อว่า คงมีนักเขียนไม่มากนัก ที่พร้อมจะใช้เงินหลักแสน ในการต่อสู้กับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะค่าตอบแทนในการเขียนหนังสือมีราคาเพียงหลักพัน และการต้องพัวพันกับการดำเนินคดีน่าจะทำให้นักเขียนหมดแรงในการสร้างผลงานชิ้นใหม่ ๆ เพื่อยังชีพ

แต่พี่นำบุญเป็นคนที่ไม่เคยยอมกับเรื่องเหล่านี้ ยิ่งยากก็จะยิ่งสู้ ถ้าเราไม่ผิด เราก็ต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง

พี่นำบุญทำงานเด็กมาราว 30 ปี ทำงานแต่งนิทานมาราว 20 ปี การทำงานเพื่อเด็กเป็นสิ่งที่พี่นำบุญตั้งใจทำและภูมิใจที่ได้ทำ ถ้ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก พี่นำบุญก็คงหยุดทำงานเด็กไปนานแล้ว พี่นำบุญดีใจที่ตัวเองไม่ยอมแพ้ ทำจนผลงานได้รางวัลรับรองว่านิทานนำบุญเป็น “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน” ทำจนเด็กบางคนโตเป็นคุณแม่แล้วย้อนมาอ่านนิทานนำบุญให้ลูกฟัง ทั้งหมดนี้ คือ ผลจากความตั้งใจในชีวิตนี้ ที่ผลิดอกออกผล ซึ่งทำให้พี่นำบุญอยากดูแลปกป้องผลงานนิทานที่ทำไว้ให้ดีที่สุด โดยสร้างภาระให้ครอบครัวน้อยที่สุด แม้ในวันที่พี่นำบุญจะไม่อยู่แล้ว

ปัจจุบัน พี่นำบุญจึงเริ่มให้ทีมทนายช่วยดูแลคดีแรกที่ค้างคามานาน ซึ่งหลังจากคดีนี้ผ่านไป พี่นำบุญตั้งใจจะขอให้ทีมทนายช่วยดูแลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญทั้งหมด เพื่อให้พี่นำบุญไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้อีก (และไม่ต้องคอยห่วงคนละเมิด ว่าจะต้องโดนปรับหรือโดนโทษหนักขนาดไหน คือปล่อยวางไปเลย) พี่นำบุญจะได้กลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ อย่างจริงจัง และใช้เวลาในช่วงบั้นปลายทำสิ่งที่ควรทำเสียที (เช่น การกินขนม)

……

ในวัยใกล้ 54 เป็นวัยที่ยังพอมีเรี่ยวแรงปกป้องผลงานนิทานของตัวเองด้วยกำลังของตัวเอง (คือเดินทางไปขึ้นศาลไหว) พี่นำบุญหวังว่า การตัดสินใจพึ่งทีมทนาย จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่จะช่วยทำให้ “นิทานนำบุญ” ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม และทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์หมดไปเสียที

ท้ายสุด พี่นำบุญต้องขอขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่าน (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ที่ส่งกำลังใจเป็นข้อความในกล่องข้อความ รวมทั้งทุกคนที่สนับสนุน “โครงการนิทานเรื่องละบาท” ที่พี่นำบุญเริ่มต้นในปีนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่นำบุญรู้สึกจริง ๆ ว่า “มีคนรู้และรักในสิ่งที่ตัวเราตั้งใจทำอยู่”

เมื่อต้นปี พี่นำบุญได้ทำเว็บนิทานนำบุญสาขา 2 โดยลงนิทานใหม่มากถึง 40 เรื่อง พร้อมภาพประกอบที่ตรงใจมาก ๆ (แต่ก็เหนื่อยมาก ๆ) พี่นำบุญจึงบอกกับตัวเองว่า ถ้าพี่นำบุญจัดการกับคดีเรียบร้อยและส่งมอบการดูแลนิทานให้ทีมทนายจัดการต่อได้จริง ๆ พี่นำบุญก็จะกลับมาทำให้เว็บนิทานนำบุญ (สาขา 1) มีความสมบูรณ์ สวยงาม น่าอ่านมากขึ้น ให้สมกับที่คุณผู้อ่านหลาย ๆ คน ให้เกียรติรักและให้การสนับสนุนนักเขียนเล็ก ๆ วัย 54 ขวบ….คนนี้

รักและขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับ

นำบุญ นามเป็นบุญ

Posted in การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเด็ก, การละเมิดลิขสิทธิ์และการปกป้องผลงาน, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

สรุปปี 2566 : ยิ้มบ้าง-ไม่ยิ้มบ้าง

สวัสดีครับ

ปี 2566 เป็นปีที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ผมขอเล่าให้คุณผู้อ่านได้ทราบ ดังนี้

-เว็บไซต์นิทานนำบุญเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2017 หรือ พ.ศ.2560 เท่ากับทำมาแล้ว 6 ปีเศษ ยอดการรับชมเป็นไปตามภาพสถิติ ต่อไปนี้

*สังเกตว่า ยอดผู้ชมในปีแรก ๆ มีน้อยมาก ๆ

*วันที่ 20 พฤศจิกา 2566 ยอดผู้ชมพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ คือมียอดผู้ชมมากถึง 4785 คน (ปกติมีราว 3000 คน)

*นิทานที่มีคนอ่านมากที่สุดในปีนี้ คือเรื่อง เมื่อเจ้าหญิงนอนไม่หลับ (น่าทำเป็นหนังสือมาก ๆ)

-ปี 2566 พี่นำบุญได้กลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ อีกครั้ง ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี (ยอดผู้ชมเพิ่มแบบก้าวกระโดดหลังจากลงนิทานเรื่องใหม่ ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่า มีฐานผู้อ่านเก่า ๆ ที่ย้อนกลับมาอ่านนิทานเรื่องใหม่)

-นิทานเรื่องใหม่แต่ละเรื่อง ใช้เวลาคิดและเขียนประมาณ 7-14 วัน เป็นการทำงานที่เกือบเท่ากับสมัยที่เขียนนิทานให้ขวัญเรือน ผลงานในปีนี้ มีดังนี้

-ปี 2566 พี่นำบุญได้ติดตามเอาผิดผู้ละเมิดลิขสิทธิ์รวม 4 เคส :

เคสที่ 1 ละเมิดนิทานมากถึง 30 เรื่อง (สรุปที่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย แต่เหนื่อยในการเจรจามาก)

เคสที่ 2 ละเมิดลิขสิทธิ์ราว 10 เรื่อง (สรุปที่ยอมรับผิดชอบทุกอย่าง จึงจบลงด้วยดี)

เคสที่ 3 ละเมิดนิทาน 4 เรื่อง (สรุป ต้องแจ้งความ เพราะโยกโย้ ไม่ตรงไปตรงมา)

เคสที่ 4 ละเมิดนิทาน 1 เรื่อง (สรุป ต้องแจ้งความ เพราะแจ้งให้ติดต่อกลับ แต่เพิกเฉย)

-การจับคดีลิขสิทธิ์ เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก ๆ เพราะเมื่อพบการละเมิดลิขสิทธิ์ พี่นำบุญต้องเก็บหลักฐานโดยการแคปหน้าจอทั้งหมด แล้วสืบหาเจ้าของช่องที่ละเมิดให้ได้ (ใช้เวลาหลายวัน) จากนั้น ทำการแจ้งให้ผู้ละเมิดติดต่อกลับ เจรจากับผู้ละเมิด โดยเสนอทางเลือกที่เบาที่สุด (เพราะสงสาร) แต่หากจบไม่ได้ ก็จะต้องเสียเวลารวบรวมหลักฐานเป็นไฟล์ แล้วร่างเอกสารทำไทม์ไลน์เพื่อนำเรื่องไปแจ้งความ (ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลามาก และเสียความรู้สึกมาก)

-การทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ซึ่งเกิดจากความตั้งใจที่ดี จึงกลายเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นในวัยที่ควรจะได้พัก ทำให้ต้องเสียอารมณ์ เสียเวลา และเสียเงินหลักแสน ในการติดตามคดีต่าง ๆ (เงินที่เตรียมไว้จ่ายค่าทนาย เป็นเงินเก็บส่วนตัวที่ตั้งใจเก็บไว้ใช้ในยามชรา)

-ปลายปี 2566 มีผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อออนไลน์ (มืออาชีพ) ติดต่อพี่นำบุญเพื่อขอนำนิทานไปพัฒนาเป็นสื่อสำหรับเด็กในรูปแบบต่าง ๆ (แบบหารายได้) ท้ั้งยังจะช่วยดูแลเว็บนิทานนำบุญให้มีรายได้จากโฆษณาเข้ามา ซึ่งในตอนแรก พี่นำบุญปฏิเสธ (เหมือนที่เคยปฏิเสธบริษัทจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์) แต่ครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญที่ติดต่อมาเป็นอาจารย์ที่สอนพี่นำบุญตอนป.โท สุดท้าย พี่นำบุญจึงตกลงในเบื้องต้น (แต่ยังไม่ตกลงเรื่องมีโฆษณาในเว็บไซต์)

……………………………..

-ปี 2566 พี่นำบุญได้ทำประกาศขอรับการสนับสนุนจากผู้อ่าน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านตลอดทั้งปี ประมาณ 140 ท่าน (ขอบคุณมาก ๆ นะครับ)

-แม้ยอดจำนวนผู้สนับสนุนและรายได้จะไม่มาก (เมื่อเทียบกับการเปิดให้มีโฆษณาอัตโนมัติ) แต่สิ่งที่พี่นำบุญรับรู้ได้คือ ความรักจากผู้อ่านที่มีต่อผลงานนิทานในเว็บไซต์นี้ (นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีผู้อ่านส่งข้อความเข้ามาให้กำลังใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขอบคุณมาก ๆ นะครับ

-ปี 2566 พี่นำบุญเคยคิดจะแต่งนิทานโดยนำ “มงคลชีวิต38ประการ” มาใช้เป็นแก่นเรื่อง แต่หลังจากพบการละเมิดลิขสิทธิ์บ่อยครั้ง พบการทำงานของตำรวจที่ล่าช้ามาก พบปัญหาเรื่องการเงินที่ตัวเองต้องเตรียมไว้ต่อสู้ในคดีต่าง ๆ พี่นำบุญจึงตัดสินใจ “หยุด” การคิดนิทานเอาไว้ก่อน เพราะหากแต่งนิทานออกมา ก็คงโดนละเมิดอีก และกฎหมายก็ไม่ได้ดูแลอะไรนักเขียนที่ถูกละเมิดเลย

ขอบคุณครับ

Posted in การละเมิดลิขสิทธิ์และการปกป้องผลงาน, ทิศทางเว็บไซต์นิทานนำบุญ, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

วันที่ผมเขียนบทความนี้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2565

ผมเขียนบทความครั้งก่อนเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2564 ตอนนั้น ผมคิดว่าเว็บไซต์นิทานนำบุญคงลงตัวแล้ว เพราะมีนิทานมากถึง 320 เรื่อง น่าจะพอใช้งานได้ทั้งปี แถมมีเงินค่ากาแฟจากผู้อ่านไว้ดูแลเว็บไซต์ ดังนั้น ผมน่าจะปล่อยมือจากการพัฒนาเว็บไซต์ แล้วเอาเวลาไปทำสื่อในช่องทางอื่นเพื่อหารายได้ให้ตัวเองบ้าง

แต่หลังจากที่เขียนบทความในครั้งนั้น จนกระทั่งถึงวันนี้ (ราวปีเศษ) มีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายเรื่อง ทั้งดีและแย่ บางเรื่องทำให้รู้สึกอยากปิดเว็บไซต์ เพราะรู้สึกว่ามันแย่จริง ๆ

วันนี้ ผมจึงขอมาเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงทิศทางที่จะเกิดขึ้นต่อไปในปีหน้าให้ได้ทราบกันครับ

เรื่องทั่วไป

ในเรื่องความเป็นไปของเว็บ นับตั้งแต่ต้นปี 65 ที่ผมโพสต์นิทานไว้ 10 เรื่อง จากนั้น ผมก็แทบจะไม่ได้โพสต์นิทานเรื่องใหม่ ๆ อีกเลย ในตอนแรก ผมคิดว่าคนอ่านจะลดลงเมื่อไม่ได้โพสต์นิทานเรื่องใหม่ แต่ปรากฎว่า ยอดของผู้ที่เข้าใช้งานเว็บไซต์มีมากขึ้น คือมากถึง 3600 คนในบางวัน (แต่เดิมมีราว 3000 คน)

ในเรื่องการขอสปอนเซอร์สนับสนุนเว็บไซต์ หลังจากที่มีผู้สนับสนุนมา 3 ราย ผมก็ไม่เคยขอการสนับสนุนจากที่ไหนอีก ผมคิดว่าการไปขอสปอนเซอร์มาสนับสนุนเว็บไซต์เล็ก ๆ ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ผมสะดวกใจนัก ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างเกรงใจที่จะขอเงินก้อนใหญ่ ๆ จากใครก็ตาม

ในเรื่องการทำเว็บไซต์ใหม่หรือทำช่องยูทูบช่องใหม่ ในช่วง 1ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมเสื่อมลงตามวัย สายตามองจอนาน ๆ ไม่ค่อยไหว เสียงเริ่มไม่ทนทาน เวลาอ่านออกเสียง เสียงมักแหบและทุ้มลง ซึ่งแต่ก่อนทำได้ดีกว่านี้ ส่วนแรงจูงใจในการสร้างคอนเทนต์มีไม่มากเท่ากับตอนที่เริ่มทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ การทำเว็บไซต์ใหม่หรือช่องยูทูบใหม่จึงไม่คืบหน้านัก

เรื่องบั่นทอนจิตใจ

ปีที่ผ่านมา เป็นปีที่มีเรื่องบั่นทอนจิตใจหลายเรื่อง หลัก ๆ คือการถูกละเมิดลิขสิทธิ์โดยนำนิทานไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การนำนิทานนำบุญไปทำคลิป การนำไปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ชื่อดัง การนำไปทำอีบุ๊คแล้วเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต การนำชื่อนิทานนำบุญไปหลอกคน การหารายได้ด้วยการรับจ้างแต่งนิทาน แต่นำนิทานจากในเว็บนี้ไปส่งให้ผู้จ้าง ฯลฯ ซึ่งคนที่ละเมิดลิขสิทธิ์มีทั้งคนทั่วไป อาจารย์มหาวิทยาลัย นักศึกษา นักเรียนมัธยมทั้งม.ต้นและม.ปลาย

การถูกละเมิดลิขสิทธิ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการต้องคอยแจ้งให้ลบหรือหาทางให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ช่วยลบ เป็นเรื่องที่ทำให้เสียทั้งความรู้สึกและเสียเวลามาก บางครั้งผมก็คิดว่า ถ้าตัวเองไม่ทำเว็บไซต์ คนเหล่านี้ก็คงก๊อปปี้นิทานไปเผยแพร่ไม่ได้ การทำเว็บไซต์แบบไม่ได้หวังผลกำไร แค่อยากให้เด็ก ๆ มีนิทานอ่าน กลายเป็นการเปิดช่องให้คนอื่นเอาเปรียบตัวผม เรื่องแบบนี้พอเจอบ่อย ๆ ก็ทำใจยอมรับลำบาก

ส่วนอีกเรื่องหนักกว่าและทำให้รู้สึกแย่กว่า คือ ผมได้ไปแจ้งความคดีละเมิดลิขสิทธิ์ไว้ 1 คดี ตอนเดือนธันวาคม ปี 2564 ตอนนี้ เกือบครบหนึ่งปี คดีไม่มีคืบหน้า หลักฐานที่ส่งไปมีความชัดเจนว่าใครเป็นผู้กระทำผิด แต่เรื่องเงียบอย่างประหลาด ทักไลน์สอบถาม เจ้าหน้าที่่ก็ไม่ตอบ ผมเคยไปสอบปากคำ สิ่งที่น่าสนใจคือ ผมต้องหาหลักฐานยืนยันว่าตัวเองเป็นคนแต่งนิทานเอง! (ทำให้ต้องค้นหาไฟล์ต้นฉบับ หาหนังสือที่ตีพิมพ์นิทานครั้งแรกไปยืนยัน) ดูเหมือนว่า อาชีพนักเขียนนิทานนี้ไม่มีค่า และไม่ได้รับการคุ้มครองใด ๆ ทุกขั้นตอน ทั้งเสียเวลาและมีค่าใช้จ่าย ในอนาคต เมื่อต้องฟ้องต่อ ผมก็ต้องจ้างทนายให้ดำเนินการอีก ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่มาก

การทำเว็บไซต์แล้วถูกละเมิด รวมเข้ากับการที่กฎหมายไม่ได้คุ้มครองเราอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ผมถามตัวเองว่า “ผมกำลังทำอะไรอยู่” เพราะเว็บไซต์นิทานนำบุญไม่ใช่เว็บที่ทำขึ้นเพื่อสร้างรายได้ แต่ทำไปทำมา เหมือนตัวผมจะต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียอารมณ์ กับสิ่งที่เกิดตามมา ความรู้สึกแบบนี้บั่นทอนให้ตัวเองอยากปิดเว็บไซต์ครับ มันเป็นความรู้สึกแย่ ๆ ในช่วงปีนี้

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า เด็ก ๆ ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมผมจึงต้องปิดเว็บไซต์ที่ทำให้เขามีช่วงเวลาดี ๆ กับพ่อแม่ล่ะ? ดังนั้น ผมจึงตั้งใจที่จะอดทน และสู้ต่อไปให้สุดทาง

เรื่องที่สร้างกำลังใจ

ในช่วงปีที่รู้สึกแย่ ๆ สิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจเสมอ คือ ข้อความที่คุณพ่อคุณแม่ทักมาเล่าให้ฟังว่า ลูก ๆ มีความสุขกับนิทานในเว็บไซต์นี้มาก หลายคนเล่าว่าลูก ๆ ยังคอยนิทานเรื่องใหม่ ๆ เสมอ บางคนเล่าว่า…นิทานในเว็บไซต์นี้ทำให้ตัวเองซึ่งมีอาการซึมเศร้าจนนอนแทบไม่ได้ ได้ผ่อนคลายจากความทุกข์ไปได้บ้าง

นอกจากนี้ ในปี 2565 เว็บไซต์นิทานนำบุญยังได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในฐานะสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทสื่อออนไลน์ จากกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กระทรวงวัฒนธรรม รางวัลนี้เป็นรางวัลใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งสื่อที่ได้รางวัลต้องผ่านการคัดกรองจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก การได้รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า นิทานและเว็บไซต์นิทานนำบุญมีคุณภาพและดีสำหรับเด็ก

ที่สำคัญ การได้รางวัลนี้ น่าจะเปลียนทัศนติเพื่อนรุ่นน้องป.โทที่เคยดูถูกคนแก่ ๆ อย่างพี่นำบุญว่า “พี่นำบุญได้แต่ชื่นชมผลงานในอดีตของตัวเอง” รางวัลนี้จึงน่าจะทำให้เขาได้เห็นคุณค่าในความพยายามของผู้อื่นได้บ้าง เพราะแม้พี่นำบุญจะเกิดก่อนยุคดิจิทัล แต่เมื่อพี่นำบุญพยายาม มันก็ทำให้เกิดเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้จริง ๆ (ตามกำลังของคนในวัยพี่นำบุญ)

ทิศทางในอนาคตของเว็บไซต์นิทานนำบุญ

หลังจากที่ผมพบเจอเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์และกลไกทางกฎหมายที่ไม่คุ้มครองนักเขียนอย่างที่ควรจะเป็น รวมทั้งได้เห็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องร้อง และหากต้องการพัฒนาเว็บไซต์ต่อ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะเกิดขึ้นอีก ดังนั้น ผมจึงคิดว่า “ถ้าเราอยากให้เว็บไซต์นิทานนำบุญอยู่ได้อย่างมั่นคง เราควรมองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น การปรารถนาดีต่อเด็กแบบเดิมเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรอยู่กับความเป็นจริงมาก ๆ”

หลายคนอาจไม่รู้ว่า อาชีพนักเขียนนิทาน มีรายได้จาก 2 ทาง คือ รายได้ที่เกิดขึ้นตอนส่งต้นฉบับนิทานให้นิตยสาร และ รายได้จากการให้เช่าใช้ลิขสิทธิ์

รายได้แรกเป็นเงินราว 2000 บาทต่อเรื่อง (หักภาษี ณ ที่จ่ายจะเหลือราว 1900 บาท) ถือว่าน้อยมาก

รายได้อีกส่วนมาจากการให้เช่าลิขสิทธิ์ (สมมติมีสำนักพิมพ์อยากนำนิทานไปใช้พิมพ์เป็นหนังสือ นักเขียนจะได้เงินราว 5-10% ของราคาปกหนังสือ คูณด้วยจำนวนพิมพ์ คิดเป็นรายได้คร่าว ๆ อยู่ที่ประมาณ 2-3 หมื่นบาท (ต่อเรื่อง)

อาชีพนักเขียนนิทานจึงคล้ายกับการปลูกต้นไม้ เราได้เงินค่าปลูกต้นไม้เล็กน้อยพอเป็นค่าแรง จากนั้น เราต้องรอให้ต้นไม้ออกดอกออกผล ถ้าคนชอบใจดอกผลแล้วมาขอซื้อ เราจึงจะเริ่มมีรายได้เพิ่มเติมที่อาจเก็บกินไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะช่วยให้ชีวิตบั้นปลายไม่ลำบากมากนัก (แต่ถ้าคนไม่ชอบดอกผลของต้นไม้ที่เราปลูก งานที่ทำก็แทบจะสูญเปล่า)

ผมมองภาพความเป็นจริง แม้ผมพอจะมีเงินดูแลตัวเองอยู่บ้าง แต่เมื่อต้องมีการฟ้องร้องคดีความต่าง ๆ หรือต้องการพัฒนาเว็บไซต์ในอนาคต (เช่น จ่ายเงินค่าแอพพลิเคชั่น ซื้อภาพที่มีลิขสิทธิ์มาใช้งาน หรือจ้างคนมาช่วยทำงานในส่วนที่เราทำไม่ได้) หากผมไม่อยู่กับความเป็นจริง ผมคงต้องนำเงินเก็บมาใช้ ซึ่งอาจทำให้ตัวเองลำบากมากในช่วงบั้นปลายของชีวิต

ผมจึงนั่งคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายวัน ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจว่า ผมอยากลองสมมติให้เว็บไซต์นิทานนำบุญ เป็นเหมือนบ้านหรือออฟฟิศของนักเขียนนิทานคนหนึ่ง (ผมเอง) ในบ้านจะมีผลงานนิทานจัดแสดงไว้ ให้ผู้อ่านที่แวะเข้ามาได้เยี่ยมชม หากได้อ่านนิทานเรื่องไหนแล้วชอบใจ ก็สามารถโอนเงินให้กำลังใจนักเขียนได้ตามสะดวก (ถ้าไม่สะดวก ก็ไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอครับ)

กรณีนี้อาจดูคล้ายกับโครงการเลี้ยงกาแฟ (ตามที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว) แต่คราวนี้ เป็นการใช้คุณค่าของนิทานแต่ละเรื่อง เพื่อตอบแทนการทำงานของผู้แต่งนิทาน (ผมเอง) ซึ่งมันก็น่าจะคล้าย ๆ กับเป็นค่าลิขสิทธิ์ หรือทรัพย์สินทางปัญญา ที่ตอบแทนผู้สร้างผลงานนั่นเอง 🙂

ภาพน่าจะออกมาประมาณนี้ครับ ซึ่งผมจะลงไว้ในตอนท้ายของนิทานแต่ละเรื่อง เพื่อไม่ให้รบกวนสายตาของผู้อ่าน ใครสะดวกจะสนับสนุนก็ยินดี ส่วนใครไม่สะดวกก็ไม่มีปัญหาใด ๆ ครับ

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็อยากรู้ว่า เมื่อเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่ง ผลงานนิทานหรือผลของต้นไม้ที่ผมได้ปลูกเอาไว้ มีค่าจริง ๆ รึเปล่า มีค่ามากน้อยแค่ไหน และผมจะดูแลชีวิตบั้นปลายของตัวเองด้วยนิทานเหล่านี้ได้ไหม

………

ทิศทางของปีหน้า (2566) และน่าจะเป็นปีต่อ ๆ ไป จึงเป็นการจัดระบบเว็บไซต์นิทานนำบุญให้เป็นจริงเป็นจังมากขึ้น หากที่นี่เป็นเสมือนบ้านหรือออฟฟิศ (ที่มีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงมากพอ และผมสามารถปกป้องผลงานจากการละเมิดลิขสิทธิ์ได้โดยที่ไม่ลำบากตัวเองมากนัก) บางที ผมอาจมีกำลังในการทำอะไร ๆ ต่อไปได้อีก

อย่างไรก็ตาม ปี 2566 ผมจะพยายามทำคลิปวิดีโอเล่านิทานลงในช่องยูทูบมากขึ้น และคงทำไปเรื่อย ๆ ตามกำลัง จนกว่าเว็บตัดต่อที่เข้าไปใช้งานจะเริ่มเก็บเงิน ก็คงต้องพัก เพราะผมไม่เคยเตรียมทุนในส่วนนี้ไว้เลย (ปัจจุบัน เขายังให้ใช้แบบฟรีอยู่ครับ)

ส่วนนิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมเตรียมนิทานที่ตัวเองแต่งไว้ส่วนหนึ่ง เตรียมลงในช่วงปีใหม่ (ความล่าช้าเกิดจากการหาภาพปกทีตรงกับนิทานไม่ได้) และในระหว่างปี หากมีเงินเข้ามาสนับสนุนมากพอ ผมก็อาจจะจ้างคนมาช่วยพิมพ์นิทาน แปลนิทานพื้นบ้านหรือนิทานนานาชาติ เพื่อนำมาลงในเว็บไซต์เพิ่มเติมอีก

ส่วนการแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ มาลงในเว็บไซต์ ถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ผมยังไม่กล้ารับปาก เพราะปกติแล้ว ผมแต่งนิทานได้ราวเดือนละ 2 เรื่อง (เดือนละ 2 เรื่องก็เครียดแล้ว) การแบกความเครียดโดยไม่มีรายได้ ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในวัยขนาดนี้ (52 ขวบ) และการแต่งนิทาน 2 เรื่องต่อเดือนเพื่อให้เลี้ยงตัวเองให้ได้ ผมคิดว่าราคาค่าแต่งคงต้องแพงพอสมควร ซึ่งก็เป็นเรื่องที่…เป็นไปได้ยาก ดังนั้น จึงขอดูสถานการณ์ไปก่อนนะครับ หากต้นไม้ที่ปลูกไว้งอกงามดี ผมอาจใช้เวลาช่วงบั้นปลายชีวิต แต่งนิทานในแบบที่ไม่เคยแต่งมาให้อ่านกันขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนนะครับ

ท้ายนี้ เนื่องในโอกาสใกล้วันปีใหม่ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ให้ช่วยคุ้มครองทุก ๆ ท่าน ให้มีความสุขกายสบายใจ คิดสิ่งดี ๆ สิ่งใด ก็ขอให้สมความปรารถนา

ด้วยความรัก

นำบุญ นามเป็นบุญ

……..

#อ่านเรื่องเล่าของปีก่อนได้จากลิงค์ข้างล่างนี้ครับ

https://bit.ly/3ma2RI9

Posted in เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

วันที่ผมเขียนบทความนี้ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม 2564

หากย้อนไปในเดือนตุลาคมเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นช่วงที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) เพิ่งเริ่มหัดทำเว็บไซต์นี้ในวิชาเรียนระดับปริญญาโท โดยเป็นการทำเว็บไซต์ที่ผมไม่มีความรู้พื้นฐานใด ๆ เลย ทั้งในแง่การสร้างเว็บไซต์ การเขียนคอนเทนต์ การทำภาพประกอบ การหา KEYWORD การทำ SEO และอื่น ๆ

ในตอนนั้น ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่ผมมี คือ การเสียบปลั๊ก กดปุ่มสตาร์ท เปิด Word พิมพ์นิทาน กดเข้าเฟซบุ๊ก  กดดูยูทูบ และการโหลดคลิปจากยูทูบมาดู (ซึ่งตอนนั้น ผมยังใช้การแชร์ไวไฟจากโทรศัพท์มือถือเพื่อการเล่นเน็ต และไปใช้เน็ตความเร็วสูงที่มหาวิทยาลัยในการโหลดคลิปยูทูบมาดูที่บ้าน เพราะเสียดายเงิน) เรียกได้ว่า ผมเป็นคุณลุงตกยุคที่เริ่มมาทำสื่อดิจิทัลเป็นครั้งแรกแบบงงที่สุด

ในตอนนั้น อาจารย์ให้ทำเว็บไซต์ด้วย WordPress โดยให้คิดแนวทางของเว็บไซต์ ตั้งชื่อเว็บไซต์ และต้องมีคอนเทนต์ 2-3 คอนเทนต์อยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งในการสร้างเว็บไซต์ อาจารย์ได้เชิญอาจารย์พิเศษมาเป็นคนแนะนำและให้เริ่มสร้างไปทีละขั้นตอนพร้อม ๆ กัน (ผมเลยเปิดเว็บไซต์ได้สำเร็จ)

เมื่อสร้างเว็บไซต์ได้แล้ว นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเขียนคอนเทนต์เพื่อนำมาใส่ในเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งผมไม่เคยอ่านบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ มาก่อน (ปกติอ่านหนังสือกับเนื้อหาในเพจต่าง ๆ) จึงนึกภาพไม่ออกเลยว่า บทความในเว็บไซต์ควรเขียนอย่างไร ใช้ภาษาอย่างไร ทำภาพประกอบอย่างไร พาดหัวอย่างไร แถมยังไม่เข้าใจว่า “คอนเทนต์” หมายถึงอะไร (ตอนนั้นผมแปลว่า บทความ จึงคิดว่า คือ ข้อเขียนเหมือนบทความในหนังสือ ไม่เกี่ยวกับภาพประกอบ และคงใช้วิธีเขียนแบบการเขียนเรียงความก็ได้)

ผมใช้เวลาทำเว็บไซต์และลงคอนเทนต์ 2-3 คอนเทนต์นานมาก ปุ่มต่าง ๆ ในการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เป็นเรื่องใหม่ที่ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ (โชคดีที่มีเพื่อนบางคนช่วยแนะนำและปรับแก้ให้ในเบื้องต้น) หนำซ้ำ ผมเข้าเว็บหา Keyword เพื่อนำมาเขียนคอนเทนต์ตามที่อาจารย์สั่ง แต่ด้วยความไม่เข้าใจ ผมจึงหา Keyword ในเว็บนั้นนานเกินไป (คือหาติดต่อกันราว 8 ชั่วโมง) จนเว็บขึ้นข้อความว่า “ลุงค้นหาKeyword มากเกินไป ต้องหยุดพักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงจึงจะกลับมาใช้งานได้ใหม่” และผมอาจกดอะไรผิดพลาดไป ทำให้ต้องเสียเงินเพิ่ม จนเป็นเรื่องเป็นราวต้องขอยกเลิกการใช้งานกับทาง Google (เพราะกลัวจะทำผิดแล้วเขาตัดเงินจนหมดบัญชี)

หลังจากที่ส่งเว็บไซต์ให้อาจารย์ตรวจและจบวิชานั้นไป ผมก็ทิ้งเว็บไซต์ไว้เฉย ๆ มุ่งเรียนปริญญาโทให้จบ ตั้งใจทำวิทยานิพนธ์ และมุ่งที่จะนำวุฒิไปสมัครเป็นอาจารย์สอนด้านนิเทศศาสตร์ดิจิทัลในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด

เมื่อผมเรียนจบปริญญาโท และรอเวลาที่ทางมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครอาจารย์ ผมมีเวลาว่างจึงคิดว่า ถ้าเราอยากเป็นอาจารย์ด้านนี้ นอกจากความรู้เชิงวิชาการแล้ว เราก็ควรมีทักษะในการทำสื่อดิจิทัลที่ดีพอที่จะนำไปแนะนำนักศึกษาได้ ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจกลับมาทำเว็บไซต์อีกครั้ง (หลังจากหยุดไปเกือบ 2 ปี) โดยตั้งใจว่า จะทำเว็บไซต์นี้ให้เป็นเว็บไซต์นิทาน เพื่อให้เด็ก ๆ มีแหล่งรวมนิทานดี ๆ เอาไว้อ่านแบบฟรี ๆ โดยที่ตัวผมไม่คาดหวังว่าจะต้องได้อะไรตอบแทน (ยกเว้นแค่คาดหวังว่าตัวเองจะได้เรียนรู้วิธีทำสื่อเว็บไซต์เพื่อนำความรู้ไปบอกเล่าให้นักศึกษาฟัง) ซึ่งในช่วงแรก ผมก็ยังคงทำคอนเทนต์อย่างงง ๆ เหมือนเดิม ทำทั้งคอนเทนต์นิทานและบทความเกี่ยวกับความรู้ด้านการศึกษาปฐมวัย (เพื่อดึงคนเข้ามาอ่านให้ได้มากที่สุด) ซึ่งหลังจากที่ทำไปหลายเดือน ยอดผู้ชมก็ขึ้นมาที่ 20 คนต่อวัน หรือราววันละ 70 วิว (ตอนนั้นคือดีใจมากแล้ว)

ในช่วงนั้น ผมพยายามทำภาพประกอบเพิ่ม โดยหาภาพฟรีจากเว็บไซต์ Pixabay การหาภาพให้ตรงกับนิทานหรือบทความที่เขียนเป็นเรื่องยาก แต่ผมก็พยายามทำ ทำจนมีคนเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ราว 50 คนต่อวัน หรือราววันละ 100 วิว ผมดีใจมากจึงนำตัวเลขไปอวดเพื่อน แต่ต่อมา เพื่อนได้นำตัวเลขยอดผู้รับชมและยอดวิวของเว็บท่องเที่ยวที่เพื่อนทำมาให้ดู ซึ่งตัวเลขยอดผู้เข้าชมราว 1000 คนของเพื่อน ทำให้ผมได้รู้ว่า “ผมเหมือนกบในกะลา” เพราะโลกเกี่ยวกับสื่อดิจิทัลของผมคับแคบมาก (แล้วยังคิดจะไปเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาอีก) เมื่อผมรู้แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจครั้งสำคัญ โดยการหาคอร์สเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ และการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์เข้าถึงผู้อ่านได้มากขึ้น จากนั้น ผมก็ปรับปรุง Content และเรียนรู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นในการสร้างภาพปก ซึ่งภาพปกที่ผู้อ่านเห็นอยู่ในปัจจุบัน บางภาพเกิดจากการนำภาพฟรีไปปรับแต่งผ่านแอพต่าง ๆ มากถึง 5 แอพ!

หลังจากการเรียนวิชาทำเว็บไซต์และการทำ SEO เรียบร้อย ผมก็ลองนำความรู้มาใช้ ซึ่งผลที่ตามมาคือ ยอดผู้ชมพุ่งจาก 50 คนต่อวัน กลายเป็น 1000 คนต่อวัน และทะยานขึ้นสู่ยอดราว 2000 คนต่อวันในเวลาแค่ 1-2 เดือน

ในช่วงนั้น ผมพยายามสร้างคอนเทนต์โดยลงนิทานมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำภาพปกอย่างเต็มความสามารถ(ในขณะนั้น) รวมทั้งมีการปรับปรุงเว็บไซต์ จัดหมวดหมู่นิทานใหม่หลายรอบ จนปัจจุบัน มียอดเข้าชมนิทานราว 2800-3600 คนต่อวัน และมียอดวิวราว 10,000 วิวทุกวัน (ปัจจุบัน ยอดวิวรวมของเว็บไซต์อยู่ที่ 4 ล้านเศษ)

การทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำสื่อดิจิทัลในหลายแง่มุม ผมได้เข้าใจความหมายของคำว่า “Content is the king” ชัดเจนขึ้น เข้าใจความสำคัญของการทำ SEO และการทำงานของ Google รวมทั้งได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญและมีค่ามากที่สุด ในชีวิตของคนทำสื่อสำหรับเด็ก นั่นก็คือ……เมื่อเราตั้งใจทำสื่อที่มีคุณภาพดีสำหรับเด็กและทำด้วยความจริงใจ ทำเพื่อให้ ไม่ใช่ทำเพื่อหาประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่และเด็ก ๆ (รวมทั้งผู้อ่านท่านอื่น ๆ ) สัมผัสได้ ซึ่งมันทำให้ผมได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากพ่อแม่และผู้อ่านจำนวนมาก และทำให้ผมได้พบว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่ของเว็บไซต์คือ คุณพ่อคุณแม่ที่นำนิทานในเว็บไซต์ไปอ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

ในช่วงหนึ่ง ที่ผมนำคอนเทนต์ไปแชร์ในเพจนิทานนำบุญ ช่วงนั้น มีคุณพ่อคุณแม่ คุณครู และผู้อ่านที่ติดตามนิทานทักมาพูดคุยในกล่องข้อความและชื่นชมนิทานนำบุญเป็นจำนวนมาก (ทำให้ผมรู้ว่า ผู้อ่านถนัดสื่อสารกับเราผ่านทางเพจมากกว่าทางเว็บไซต์ และมีผู้อ่านจำนวนมากติดตามนิทานนำบุญมานานเกิน 2 ปี และอยากขอบคุณการทำเว็บไซต์นี้มาโดยตลอด) การที่นิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาพิเศษของหลาย ๆ ครอบครัว ทำให้ผม (ในฐานะผู้แต่งนิทานและผู้ทำเว็บไซต์) รู้สึกขอบคุณและรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อผู้อื่น

หลังจากที่เว็บไซต์เริ่มมีผู้ชมเข้ามาติดตามเป็นจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอราว 3000 คน ผมจึงเกิดความคิดว่า ถ้าผมทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่าน ก็คงจะดีมาก ๆ กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ ผมจะนำเงินของตัวเองจ่ายค่าแพคเกจของ WordPress และค่า URL ชื่อเว็บไซต์ (ราว 4000 บาทต่อปี) เงิน 4000 บาทต่อปีสำหรับผมถือเป็นเงินก้อนใหญ่พอสมควร และถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่แล้ว เว็บไซต์นี้ก็อาจล้มหายตายจากไปด้วย ดังนั้น ช่วงปลายปี 2563 ผมจึงคิดโครงการเชิญชวนให้ผู้อ่าน ช่วยเลี้ยงกาแฟผมคนละ 1 บาทต่อปี เพื่อที่ผมจะได้นำเงินค่ากาแฟนั้นมาจ่ายเป็นค่าดูแลเว็บไซต์ ซึ่งหลังจากที่ผมเริ่มโครงการดังกล่าวไปได้ราว 1 ปี ผลที่เกิดขึ้น ปรากฏตามข้อความที่ผมโพสต์ไว้ในเพจนิทานนำบุญ วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ดังต่อไปนี้

ภาพการคำนวณค่าใช้จ่าย หลังจากไปอัพเดทสมุดบัญชีธนาคาร


วันนี้ พี่นำบุญแวะไปธนาคารเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
เป้าหมายหลักในการแวะไป คือ การอัพเดทสมุดบัญชี ที่ใช้รับค่ากาแฟจากทุก ๆ คน
ยอดตัวเลขล่าสุด ทำให้ตกใจนิดหน่อย คือยอดขึ้นมาที่เลข 5
แต่บัญชีนี้ เป็นบัญชีที่มีเงินส่วนตัวของพี่นำบุญค้างอยู่ (เพราะเป็นบัญชีที่ใช้จ่ายค่าตู้นิรภัยของธนาคาร)
และในเดือนกรกฎา พี่นำบุญได้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตเป็นค่าดูแลเว็บ ด้วยเงินตัวเองในอีกบัญชีหนึ่ง
สรุปว่า ยอดเงินค่ากาแฟที่เหลือสุทธิในบัญชีนี้ เป็นเงิน
31, 036 บาท
…..
ปกติค่าแพกเกจและค่าโฮสต่อปีที่ใช้จะอยู่ที่ปีละ 3, 978 บาท ดังนั้น ยอดเงินที่มีอยู่ จึงน่าจะใช้ดูแลเว็บนิืทานนำบุญให้อยู่ต่อไปได้อีกอย่างน้อย 8 ปีครับ
…..
ขอบคุณกำลังใจและความเชื่อใจที่มอบให้นะครับ พี่นำบุญยังคงยืนยันว่า เงินค่ากาแฟทั้งหมด จะไม่เอามาใช้ส่วนตัว แต่ขอใช้ดูแลเว็บตามที่เคยให้สัญญาไว้
ถ้าวันนึงไม่อยู่ ก็จะฝากน้องชายให้ช่วยดูแลต่อ
ความตั้งใจที่ดี ทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญ กลายเป็นเว็บไซต์สำหรับเด็กและครอบครัว ที่อยู่ได้ด้วยกำลังของคนอ่านอย่างแท้จริง
ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ช่วยกันสร้างตำนานสื่อสำหรับเด็กบทนี้ให้เกิดขึ้นนะครับ

(หมายเหตุ : วันที่ 1 มกราคม 2565 ผมตัดสินใจปิดโครงการเลี้ยงกาแฟ เพราะคิดว่าได้รับการสนับสนุนมามากพอสมควรแล้ว ถ้าในช่วงปีที่ 7หรือ 8 หากจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อดูแลเว็บไซต์ต่อไป ผมก็อาจจะมาขอการสนับสนุนใหม่นะครับ)

…………………………………..

หลังจากที่ผมได้เห็นว่า โครงการเลี้ยงกาแฟทำให้เว็บไซต์นิทานนำบุญ กลายเป็นเว็บไซต์ที่อยู่ได้ด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างค่อนข้างยั่งยืนได้ ผมก็นึกถึงข้อความของผู้อ่านบางคนที่โอนเงินมาและถามผมเมื่อทราบว่า ผมจะนำเงินทั้งหมดไว้ใช้เพื่อดูแลเว็บ โดยไม่นำเข้ากระเป๋า ผู้อ่านถามว่า “แล้วพี่นำบุญเอาเงินที่ไหนใช้จ่ายคะ”

คำถามจากความห่วงใยในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน เพราะตอนที่เริ่มทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ผมก็คิดว่า ทำเพื่อให้เด็ก ๆ มีแหล่งรวมนิทานเอาไว้อ่าน ซึ่งเมื่อพ่อแม่จำนวนมากได้มาเห็นและนำไปอ่านให้ลูกฟังก่อนนอนจริง ๆ มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้มันประสบความสำเร็จแล้ว (ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องรายได้ของตัวเองเลย)

ยิ่งพอเว็บไซต์อยู่ได้ด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างยั่งยืน ผมก็ยิ่งรู้สึกว่า นี่คือความสำเร็จจริง ๆ ของคนทำสื่อ เพราะเว็บไซต์นิทานนำบุญเป็นสื่อสำหรับเด็ก ต้นทุนต่ำ แต่มีความตั้งใจสูง การที่เว็บไซต์นี้อยู่ได้อย่างค่อนข้างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่าน จึงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า สื่อที่ดีและมีประโยชน์ต่อเด็ก ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เว็บไซต์นิทานนำบุญจึงเป็นเสมือนโมเดลของการทำเว็บไซต์ต้นทุนต่ำที่มีประโยชน์ต่อสังคม และอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วยกำลังของผู้อ่านอย่างแท้จริง (ซึ่งสิ่งนี้คือความภูมิใจมาก ๆ ของผมครับ)

เมื่อผมนึกถึงสิ่งที่ผู้อ่านทักถาม ผมจึงคิดต่อไปว่า หากผมลองทำโครงการหารายได้จากเว็บไซต์ เพื่อพิสูจน์แนวคิดบางอย่างว่า หากมีคนทำเว็บไซต์ขึ้นมาโดยเริ่มจากการคิดถึงประโยชน์ของผู้อ่าน เมื่อมีผู้อ่านพอสมควรและเว็บไซต์ได้รับการสนับสนุนจากผู้อ่านให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนแล้ว หากคนทำเว็บไซต์จะหารายได้ให้ตัวเอง (เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าอาหาร ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าซ่อมคอมพิวเตอร์) มันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน (ถ้าทำให้เกิดรายได้จริง มันอาจเกิดโมเดลของการทำสื่อเพื่อส่วนรวม แต่สามารถหล่อเลี้ยงคนทำสื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่สนใจหันมาทำสื่อแนวนี้มากขึ้นก็ได้ครับ)

แนวทางการหารายได้จากเว็บไซต์ที่ผมคิด ประกอบด้วย

  1. การขายสินค้า (เช่น ทำอีบุ๊คขาย หรือ หาสินค้ามาขาย)
  2. การขายพื้นที่โฆษณาให้ผู้ประกอบการรายย่อย (โดยเลือกที่เหมาะกับเด็กและครอบครัว)
  3. หาองค์กรธุรกิจมาเป็นผู้สนับสนุนเว็บไซต์ ในรูปแบบการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility)

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ผมได้ทำคลิปวิดีโอที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ไว้ ดังนี้ครับ

หลังจากทำคลิปออกมาแล้ว ผมได้นำสินค้าชิ้นแรกที่ทำไว้ออกมาวางจำหน่ายที่หน้าเพจ คือ หนังสืออีบุ๊กเรื่อง “นักเขียนนิทานและวิธีแต่งนิทานของเขา” ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสำคัญที่ผมดีใจมากที่ได้เขียนออกมาจนจบ เพราะมันเป็นเสมือนหนังสือบันทึกวิธีคิดและการทำงานในฐานะนักเขียนนิทานของผม ผมคิดว่า โลกของเรามีนักเขียนนิทานสำหรับเด็กไม่มากนัก การที่ผมเป็นนักเขียนนิทานและได้เล่าเรื่องราวรวมถึงวิธีคิดนิทานในแบบของผมให้ทุกคนได้อ่าน จึงเป็นหนังสือที่มีความหมายต่อตัวผม (อีบุ๊กฉบับนี้จะขายถึงวันที่ 31 มกราคม 2565 เท่านั้นครับ)

https://bit.ly/3qE5yT5

ในส่วนของการขายโฆษณา เมื่อผู้อ่านไม่ได้คัดค้านเรื่องการหารายได้จากขายพื้นที่โฆษณา ผมจึงลองกำหนดเงื่อนไขในการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ โดยเป้าหมายไม่ใช่เรื่องการทำกำไรแบบร่ำรวย (สังเกตได้จากอัตราค่าโฆษณาที่ถูกมาก คือ 200 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 6 บาทเศษ) ซึ่งการตั้งราคาแบบนี้ น่าจะช่วยให้ผู้อ่านที่มีกิจการเล็ก ๆ หรือทำสินค้าขายในครัวเรือน สามารถซื้อโฆษณาได้โดยไม่ลำบากเกินไป ซึ่งการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญ ที่มียอดวิววันละ 10000 วิว ก็อาจช่วยให้กิจการหรือสินค้านั้น ๆ เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้มากขึ้น

ผลจากการชักชวนให้ผู้สนใจลงโฆษณา ปรากฏว่า ณ วันนี้ มีผู้สนใจลงโฆษณาแล้ว 2 ราย ซึ่งทั้งสองรายมีความปรารถนาดีและอยากสนับสนุนการทำเว็บไซต์นิทานสำหรับเด็ก โดยข้าวมันไก่ไหหน่ำหนั่ง ต้องการให้กำลังใจเว็บไซต์เล็ก ๆ ที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม ส่วนกิจการ Rose Corner เป็นธุรกิจของคุณแม่ที่อ่านนิทานนำบุญกับลูกอยู่แล้ว เมื่อเห็นการเปิดรับโฆษณาจึงให้การสนับสนุนทันที (ขอบคุณมาก ๆ นะครับ)

https://www.facebook.com/hainumnangchickenrice
https://www.facebook.com/rosecornergarden

ในขณะเดียวกัน รุ่นพี่ของผมซึ่งเป็นนักเขียนนิทานก็เอ่ยปากว่า อยากซื้อโฆษณาด้วย โดยโฆษณาชิ้นแรกจะเป็นการโฆษณาให้ร้านขนมเบเกอรี่เล็ก ๆ ที่รู้จักกัน ส่วนอีกชิ้นจะขอซื้อโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์นิทานของตัวเอง (จริง ๆ คืออยากสนับสนุนการทำงานของผม)

https://bit.ly/3qoMfi8

ผมไม่แน่ใจว่าโครงการลงโฆษณาในเว็บไซต์นิทานนำบุญจะดำเนินไปได้ด้วยดีขนาดไหน แต่เมื่อครบ 1 ปี ผมจะมาสรุปผลว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “คนทำเว็บไซต์จะหารายได้ให้ตัวเองจากการทำเว็บไซต์ได้จริงหรือไม่” ยังไงรอติดตามกันนะครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ช่วยทำให้นิทานที่ผมแต่งมีค่ามากขึ้น เพราะนิทานที่เขียนเสร็จแล้วและวางไว้เฉย ๆ คงไม่มีค่าเท่ากับนิทานที่มีคุณพ่อคุณแม่นำไปอ่านกับลูก หรือ นิทานที่คุณครูนำไปอ่านกับนักเรียน รวมทั้งการที่น้อง ๆ บางคนนำนิทานนำบุญไปอ่านให้แฟนฟังก่อนนอน ขอบคุณทุก ๆ คนนะครับ

#นิทานนำบุญ

…………………