แมวใส่รองเท้าบูท (Puss in Boots) เป็นหนึ่งใน นิทานคลาสสิกจากยุโรป ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งทั่วโลก นิทานเรื่องนี้โดดเด่นด้วยตัวละครแมวผู้ชาญฉลาดและมีไหวพริบเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด โดยมีจุดเริ่มต้นจากนิทานพื้นบ้านของอิตาลีในศตวรรษที่ 16 ก่อนจะถูกเรียบเรียงใหม่โดย Charles Perrault นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นฉบับที่ทำให้นิทานเรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ผู้คนทั่วโลกจดจำ
ในเนื้อเรื่อง Puss in Boots เล่าถึงแมวที่วางแผนอย่างแยบคายเพื่อเปลี่ยนชีวิตเจ้านายผู้ยากไร้ให้กลายเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติ โดยอาศัยทั้งปัญญา กลอุบาย และการสร้างภาพลักษณ์ที่เหนือจริง ซึ่งสะท้อน ค่านิยมของสังคมยุโรปในยุคนั้น ที่เน้นชนชั้น ฐานะ และภาพลักษณ์ทางสังคมอย่างชัดเจน นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนุก แต่ยังแฝงแง่คิดเกี่ยวกับความฉลาดเฉลียว การพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และการใช้ปัญญาแทนพละกำลัง
มาอ่านนิทานเรื่อง “แมวใส่รองเท้าบูท” ด้วยกันนะครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาผู้หนึ่งทำงานหนักมาตลอดชีวิตจนมีทรัพย์สินเก็บอยู่บ้าง เมื่อชาวนาเสียชีวิตไป ทรัพย์สินทั้งหมดถูกแบ่งให้ลูก ๆ 3คนตามลำดับ
ลูกชายคนโตได้รับโรงสีอันเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ลูกชายคนกลางได้รับลาที่ใช้ขนสินค้า ส่วนลูกชายคนสุดท้องกลับได้รับเพียง “แมว” ตัวหนึ่ง แม้แมวตัวนั้นจะมีขนเงางามเป็นพิเศษ แต่เขาก็รู้สึกผิดหวัง
“พี่ชายของข้าได้ทรัพย์สมบัติที่ทำมาหากินได้ แต่ข้ากลับได้เพียงเจ้าแมวที่เอาแต่นั่งเลียขนของมัน” ชายหนุ่มรำพึงอย่างหมดหวัง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ แมวตัวนี้ไม่ใช่แมวธรรมดา มันมีความฉลาดหลักแหลมและพูดได้!
วันหนึ่ง แมวเดินตรงไปหานายของมันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยนายของข้า หากท่านมอบรองเท้าบูทดี ๆ สักคู่ให้ข้า และเชื่อฟังในสิ่งที่ข้าพูด ข้าจะทำให้ท่านร่ำรวยและเป็นที่นับหน้าถือตา”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง แมวพูดได้อย่างนั้นหรือ? แม้เขาจะสงสัย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาจึงตอบแมวไปว่า “ได้ ข้าจะลองดู”
ชายหนุ่มนำหนังเก่ามาตัดเย็บเป็นรองเท้าบูทขนาดเล็กพอดีกับเท้าแมว เมื่อแมวได้สวมรองเท้าคู่นั้น มันก็ดูสง่างามขึ้นทันที มันเดินไปเดินมาอย่างภาคภูมิ จากนั้น มันก็เริ่มแผนการที่วางไว้
แมวเริ่มต้นด้วยการล่ากระต่ายป่าตัวใหญ่ในทุ่งหญ้าแถวบ้าน มันใช้ความว่องไวและไหวพริบจนจับกระต่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้น มันก็นำกระต่ายใส่ถุงผ้า แล้วเดินทางไปยังปราสาทของกษัตริย์
เมื่อแมวไปถึงปราสาทที่สูงตระหง่านและมีธงสะบัดพลิ้วเหนือกำแพง มันก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจพร้อมกับทักทายทหารยามว่า “ข้ามีของขวัญจากนายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส เพื่อมอบให้ฝ่าบาท”
(คำว่า “มาร์ควิส” เป็นยศขุนนางในยุโรป ซึ่งสูงกว่าท่านเคานต์แต่ต่ำกว่าท่านดยุก ส่วน “คาราบาส” เป็นชื่อเมืองที่แมวแต่งขึ้น เพื่อสร้างภาพว่า เจ้านายของมันร่ำรวยและมีเป็นเจ้าของที่ดินอันกว้างใหญ่)
กษัตริย์รับกระต่ายตัวนั้นด้วยความประหลาดใจและพอใจ กษัตริย์เอ่ยชมเจ้าแมวประหลาดที่ใส่รองเท้าบูท โดยกล่าวว่า “นายของเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจ ฝากขอบคุณนายของเจ้าด้วย”
ในวันถัด ๆ มา แมวจะแวะมามอบของขวัญเพิ่มเติมให้แก่กษัตริย์อีก ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าหรือนกกระทาที่มันจับได้ ซึ่งทุกครั้ง มันจะกล่าวว่า ของกำนัลเหล่านี้เป็นน้ำใจจากมาร์ควิสแห่งคาราบาส ส่งผลให้กษัตริย์หลงเชื่อว่า มาร์ควิสผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งพระองค์ควรทำความรู้จักเอาไว้
วันหนึ่ง แมวได้ข่าวว่ากษัตริย์พร้อมกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะเสด็จประพาสผ่านแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทุ่งหญ้า แมวจึงรีบวางแผน โดยมันบอกนายของมันว่า “ท่านจงไปลงเล่นน้ำในแม่น้ำ โดยทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้ ที่เหลือ…ข้าจะจัดการเอง”
ชายหนุ่มทำตามที่แมวบอก เมื่อเขาลงไปเล่นน้ำ แมวก็นำเสื้อผ้าของเขาไปซ่อน แล้วรีบวิ่งไปตะโกนขอความช่วยเหลือจากขบวนของกษัตริย์
“ช่วยด้วย! นายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส กำลังจะจมน้ำ!”
กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นก็รีบสั่งให้ทหารเข้าช่วยเหลือทันที
แต่เมื่อกษัตริย์ได้ทราบจากทหารว่า นายของแมวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ (เพราะแมวแกล้งบอกว่าถูกขโมยไป) กษัตริย์จึงมอบเสื้อผ้าหรูหราให้ชายหนุ่มสวม
ครั้นเมื่อเจ้าหญิงมองเห็นชายหนุ่มในชุดใหม่ พระองค์ก็ประทับใจในความหล่อเหลาและสง่างามของเขา
หลายวันต่อมา แมวใส่รองเท้าบูทได้วางแผนเชิญกษัตริย์และเจ้าหญิงไปยังปราสาทของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส (ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีอยู่จริง) เพราะมาร์ควิสต้องการเลี้ยงน้ำชาเพื่อขอบคุณ กษัตริย์จึงตอบตกใจ
เมื่อกษัตริย์หลงกล แมวใส่รองเท้าบูทผู้เฉลียวฉลาดก็ดำเนินการตามแผน โดยวิ่งนำหน้ารถม้าของกษัตริย์และเจ้าหญิง ผ่านทุ่งกว้างที่ทอดยาวไปสุดสายตา เมื่อมันวิ่งผ่านชาวนาที่กำลังไถนาบนที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ มันก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “เจ้าชาวนา! หากกษัตริย์ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินนี้ จงตอบว่ามันเป็นของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส มิฉะนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ!”
ชาวนาเบิกตากว้าง มองเจ้าแมวในรองเท้าบูทที่ดูราวกับขุนนางสูงศักดิ์ด้วยความหวาดกลัวแกมสงสัย แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง
“ข้าจะทำตาม! ข้าจะทำตาม!” ชาวนาตอบพร้อมโค้งศีรษะ
เมื่อกษัตริย์และเจ้าหญิงเสด็จมาถึงและเห็นทุ่งกว้างอันเขียวขจี กษัตริย์จึงถามชาวนาว่า “ที่ดินกว้างใหญ่นี้เป็นของใครกัน?”
“เป็นของมาร์ควิสแห่งคาราบาส ฝ่าบาท!” ชาวนาตอบด้วยเสียงดังฟังชัด
กษัตริย์ประทับใจยิ่งนักในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาส “นอกจากเขาจะมีน้ำใจแล้ว เขายังร่ำรวยมากอีกด้วย” กษัตริย์คิดอยู่ในใจ
แมวใส่รองเท้าบูทยังไม่หยุดแค่นั้น มันรีบวิ่งล่วงหน้าจนถึงปราสาทของยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ปราสาทแห่งนั้นสูงตระหง่านเสียดฟ้า บนยอดมีควันสีดำลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ แมวไต่ปราสาทและเดินเข้าไปในปราสาทอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
“ใครกล้าบุกรุกอาณาเขตของข้า!” ยักษ์คำรามเมื่อเห็นแมวเดินผ่านประตูด้วยท่าทางมั่นใจ แม้ยักษ์จะโกรธที่มีผู้ล่วงล้ำเข้ามา แต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับแมวที่ใส่รองเท้าบูทไม่เหมือนใคร
“โอ้ ท่านยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่!” แมวกล่าวพร้อมโค้งคำนับ “ข้าได้ยินกิตติศัพท์ถึงพลังเวทมนตร์ของท่าน ข้าจึงอยากมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง”
ยักษ์เลิกคิ้วและคำรามเบา ๆ “เจ้ามีความกล้ามากที่เข้ามา ข้าสามารถบดขยี้เจ้าได้ด้วยมือเดียว!”
“แน่นอน ท่านมีพลังมากมายจนไม่มีใครกล้าเทียบ” แมวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ข้ารู้ว่าท่านสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ในโลกนี้ อย่างเช่นสิงโตหรือช้างตัวใหญ่ ข้าจึงต้องมาดูให้เห็นจริง”
ยักษ์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่าข้าทำได้ ดูนี่สิ!”
ในชั่วพริบตา ยักษ์ก็แปลงร่างเป็นสิงโต แล้วคำรามเสียงดังจนกำแพงปราสาทสั่นสะเทือน แมวกระโดดถอยหลังแสร้งทำเป็นตกใจ “ช่างน่าทึ่งนัก!” มันอุทาน “แต่ข้ามีข้อสงสัยอีกข้อ ท่านแปลงเป็นสัตว์ใหญ่ได้แน่นอน แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างหนูตัวจิ๋วล่ะ ท่านจะแปลงเป็นมันได้ไหม?”
“ฮึ! เรื่องเล็กน้อย” ยักษ์กล่าวด้วยความมั่นใจ ก่อนแปลงร่างเป็นหนูตัวเล็กในพริบตา
และในเสี้ยววินาทีนั้น แมวก็กระโดดตะครุบหนูตัวจิ๋ว แล้วกินมันลงไปทันที
หลังจากนั้น แมวใส่รองเท้าบูทก็ส่งสัญญาณให้นายของมันเดินเข้ามายังปราสาทตามที่นัดแนะกันไว้ ครั้นเมื่อขบวนของกษัตริย์มาถึงปราสาท แมวก็ออกมาต้อนรับ โดยที่มีนายของมันเดินตามออกมาด้วย จากนั้น มันก็พูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของนายข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส!”
กษัตริย์มองปราสาทหินที่ใหญ่โตและงดงาม เขารู้สึกประทับใจในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาสยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนเจ้าหญิงก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจ
“ท่านเป็นคนที่น่าชื่นชมยิ่ง” กษัตริย์กล่าว “ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากให้เจ้าหญิงได้แต่งงานกับท่าน และข้าจะมอบความสนับสนุนทั้งหมดให้ท่านปกครองดินแดนนี้ต่อไป”
แม้ชายหนุ่มจะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่แมวใส่รองเท้าบูทไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ มันจึงรีบตอบรับแทนชายหนุ่ม และเร่งรัดให้พระราชาจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่โดยเร็ว
ครั้นเมื่อถึงวันแต่งงาน ในงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นในปราสาท ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสุข เจ้าหญิงยิ้มหวานให้มาร์ควิสแห่งคาราบาส ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงไม่อยากเชื่อว่า เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ชายหนุ่มมองไปที่แมวใส่รองเท้าบูทซึ่งนั่งกินไก่อบอย่างสบายใจ
“ขอบคุณเจ้านะ ข้าคงไม่มีวันนี้หากไม่มีเจ้า” ชายหนุ่มกล่าวกับแมวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง
“ข้าเพียงทำในสิ่งที่แมวฉลาดพึงกระทำ นายของข้า” แมวตอบพลางยิ้มกว้าง
เสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งปราสาท บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข แมวใส่รองเท้าบูทกลายเป็นที่ชื่นชมในความเฉลียวฉลาด และชายหนุ่มผู้เคยหมดหวังในชีวิตก็ได้พบทั้งความมั่งคั่งและความรัก
และแล้ว…นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข.
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- ความฉลาดและไหวพริบสามารถพลิกชีวิตจากยากไร้สู่ความรุ่งเรืองได้
- การสร้างภาพลักษณ์และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองของผู้คน
- อย่าดูถูกสิ่งที่ดูไม่มีค่า เพราะอาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิต
