ในบรรดานิทานคลาสสิกของพี่น้องกริมม์ (Grimm Brothers) ซึ่งเป็นนักเล่านิทานชาวเยอรมันผู้รวบรวมเรื่องเล่าพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 มีอยู่หลายเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่น ซินเดอเรลล่า, หนูน้อยหมวกแดง, ฮันเซลกับเกรเทล ฯลฯ แต่ยังมีนิทานอีกจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของนิทานยอดนิยมเหล่านั้น หนึ่งในนั้นคือนิทานเรื่อง สาวน้อยนักปั่นด้าย (The Three Spinners) หรือแปลตรง ๆ ตามชื่อภาษาอังกฤษก็คือ “หญิงแก่สามคนกับการปั่นด้าย”
นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของ “นิทานเสียดสีแบบอ่อนโยน” ที่สะท้อนค่านิยมของสังคมในยุคนั้นเกี่ยวกับแรงงานหญิง ความขยัน และรูปลักษณ์ภายนอก ตัวละครหญิงแก่ทั้งสามมีรูปร่างแปลกตาเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับกลายเป็นผู้ช่วยให้หญิงสาวขี้เกียจได้แต่งงานกับเจ้าชายโดยไม่ต้องลงแรงเลย นักวิจารณ์บางคนชี้ว่าเรื่องนี้ตั้งคำถามกับความคาดหวังทางสังคม และเสนอความจริงที่ซ่อนอยู่ในความขบขันอย่างแยบคาย
เว็บไซต์นิทานนำบุญเลือกนำเสนอนิทานเรื่องนี้ เพราะนี่คือนิทานที่ “สนุกมาก” แต่ “คนรู้จักน้อย” ถ้าใครอ่านแล้วชอบ คอมเม้นต์บอกกันด้วยนะครับ
มาอ่านนิทานเรื่อง “สาวน้อยนักปั่นด้าย” ด้วยกันนะครับ
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “ลิซ่า” ลิซ่าอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านไม้หลังเก่า เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก ผิวขาว ผมทอง แต่มีนิสัยขี้เกียจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการปั่นด้าย ซึ่งเป็นงานที่หญิงสาวในหมู่บ้านต้องทำทุกวัน ลิซ่ามักหลบเลี่ยงงานนี้เสมอ และใช้เวลานั่งเล่นริมหน้าต่างหรือเดินเล่นในทุ่งหญ้าแทน
แม่ของลิซ่ารู้สึกเหนื่อยใจและอับอายที่ลูกสาวไม่ยอมทำงานเหมือนคนอื่น วันหนึ่งเมื่อแม่เรียกลิซ่ามาช่วยปั่นด้ายอีกครั้ง และลิซ่าปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แม่จึงโกรธจัดและต่อว่าลูกสาวเสียงดังจนได้ยินไปถึงถนนหน้าบ้าน
ในขณะนั้นเอง รถม้าของพระราชินีเสด็จผ่านหน้าบ้านพอดี พระราชินีได้ยินเสียงแม่ด่าลูกสาว จึงสั่งให้หยุดรถและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ของลิซ่ารู้สึกอับอายที่ลูกขี้เกียจ จึงโกหกไปว่า “ลูกสาวของข้าขยันปั่นด้ายจนข้าต้องห้ามเธอไว้ เพราะกลัวเธอจะทำงานหนักเกินไปจนล้มป่วย”
พระราชินีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประทับใจในความขยันของลิซ่า จึงกล่าวว่า “เด็กสาวเช่นนี้ควรได้รับโอกาสดี ๆ หากเธอสามารถปั่นด้ายได้มากพอ ข้าจะให้เธอแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็สั่งให้พาลิซ่าไปยังพระราชวังทันที โดยไม่ทันให้แม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
ลิซ่ารู้สึกตกใจและหวาดกลัว เธอไม่เคยปั่นด้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงวัง แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธพระราชินี เธอจึงนั่งเงียบอยู่ในรถม้า มองออกไปยังทุ่งหญ้าที่เคยเดินเล่นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เมื่อมาถึงพระราชวัง ลิซ่าถูกพาไปยังห้องเล็ก ๆ ที่มีล้อปั่นด้ายตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกองเส้นใยผ้าจำนวนมาก พระราชินีบอกว่า “เจ้าจะต้องปั่นด้ายทั้งหมดนี้ให้เสร็จภายในสามวัน หากทำได้ ข้าจะให้เจ้าแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็จากไป ทิ้งให้ลิซ่ายืนตัวแข็งอยู่กลางห้องด้วยความตกใจ
ลิซ่านั่งลงข้างล้อปั่นด้ายอย่างหมดหวัง เธอไม่รู้แม้แต่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร น้ำตาเริ่มไหลลงแก้มขาว เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังติดอยู่ในเรื่องโกหกของแม่ และไม่มีทางออกใดเลยในสถานการณ์นี้
ขณะที่เธอกำลังร้องไห้ เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น เมื่อเปิดออก เธอเห็นหญิงแก่สามคนยืนอยู่หน้าห้อง คนแรกมีเท้ากว้างและแบนจนแทบไม่เห็นข้อเท้า คนที่สองมีริมฝีปากหนาและยาวจนเกือบถึงคาง ส่วนคนที่สามมีนิ้วโป้งใหญ่และหยาบกร้านราวกับไม้เก่า
หญิงแก่คนแรกพูดว่า “เราได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้า และรู้ว่าเจ้าเดือดร้อน” คนที่สองเสริมว่า “เรามีความสามารถในการปั่นด้าย และยินดีจะช่วยเจ้า” คนที่สามกล่าวว่า “แต่มีข้อแลกเปลี่ยน คือ หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าต้องเชิญพวกเราไปงานแต่งงานของเจ้า และแนะนำเราต่อเจ้าชายว่าเป็นญาติของเจ้า”
ลิซ่ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบพยักหน้าอย่างดีใจ “ข้าสัญญา” เธอกล่าว หญิงแก่ทั้งสามจึงเข้ามาในห้อง และเริ่มปั่นด้ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงล้อหมุนดังเป็นจังหวะ และเส้นใยผ้าค่อย ๆ กลายเป็นด้ายเรียบงามในมือของพวกเธอ ลิซ่านั่งมองด้วยความทึ่งและโล่งใจ
ภายในสามวัน หญิงแก่ทั้งสามช่วยกันปั่นด้ายจนเสร็จเรียบร้อย เส้นด้ายที่ได้มีความเรียบงามและแข็งแรงจนช่างในวังยังเอ่ยปากชม ลิซ่าไม่ต้องแตะล้อปั่นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกทั้งโล่งใจและละอายใจในคราวเดียวกัน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกความจริงกับใคร
เมื่อพระราชินีเห็นงานที่เสร็จเรียบร้อย ก็พอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์กล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ลิซ่า ข้าจะจัดงานแต่งงานให้เจ้าในเร็ววันนี้ เจ้าชายจะต้องดีใจแน่” ลิซ่ารู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่น เพราะเธอยังไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงแก่ทั้งสาม
ในวันงานแต่งงาน ลิซ่าสวมชุดเจ้าสาวสีขาวเรียบหรู ผมทองถูกรวบอย่างงดงามด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อน แขกเหรื่อมากมายมาร่วมงาน และเจ้าชายก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แต่ลิซ่ายังไม่สบายใจนัก เพราะเธอรู้ว่าต้องทำตามคำสัญญาให้ครบถ้วน
เมื่อพิธีแต่งงานจบลง ลิซ่าจึงเชิญหญิงแก่ทั้งสามเข้ามาในงาน และกล่าวกับเจ้าชายว่า “นี่คือญาติของข้า ผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าในยามลำบาก” เจ้าชายมองหญิงแก่ทั้งสามด้วยความสงสัย เขาเห็นเท้าที่แบน ริมฝีปากที่ยาว และนิ้วโป้งที่ใหญ่เกินธรรมดา จึงถามอย่างสุภาพว่า “เหตุใดท่านจึงมีรูปร่างเช่นนี้”
หญิงแก่คนแรกตอบว่า “ข้าใช้เท้ากดล้อปั่นทุกวันจนเท้ากลายเป็นเช่นนี้” คนที่สองกล่าวว่า “ข้าต้องเป่าลมใส่เส้นใยผ้าอยู่เสมอ ริมฝีปากจึงยืดยาว” ส่วนคนที่สามพูดว่า “ข้าต้องใช้นิ้วโป้งกดเส้นด้ายตลอดเวลา จนมันใหญ่และหยาบกร้าน” เจ้าชายฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาลิซ่าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะไม่ให้เจ้าปั่นด้ายอีกเลยตลอดชีวิต”
หลังจากเจ้าชายประกาศว่าจะไม่ให้ลิซ่าปั่นด้ายอีกเลย ทุกคนในงานต่างหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู หญิงแก่ทั้งสามยิ้มอย่างพอใจ และกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าที่รักษาสัญญา” ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกจากงาน ลิซ่ามองตามด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ
ลิซ่าใช้ชีวิตในวังอย่างสงบสุข เธอไม่ต้องปั่นด้ายอีกเลยตามคำสั่งของเจ้าชาย แต่เธอก็ไม่ลืมบทเรียนจากเหตุการณ์ทั้งหมด เธอเริ่มหัดทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องปั่นด้าย แต่เธอก็อยากเป็นคนที่เจ้าชายภูมิใจ
ข้อคืดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้
- การโกหกอาจทำให้เราเดือดร้อนมากขึ้น
- ความขี้เกียจไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
- การรักษาสัญญาคือคุณธรรมที่มีค่า
- ทุกประสบการณ์คือบทเรียนสอนใจ



