Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานนานาชาติ

นิทานอบอุ่นหัวใจ : เจ้าหญิงนิทราและคำสัญญาแห่งรัก : นิทานที่ถูกลืม

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา เป็นหนึ่งในเทพนิยายคลาสสิกที่ถูกเล่าขานและดัดแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานหลายศตวรรษ โดยเวอร์ชันที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักมาจากปลายปากกาของ Charles Perrault (ฝรั่งเศส, ค.ศ. 1697) และ Brothers Grimm (เยอรมนี, ค.ศ. 1812) ซึ่งทั้งสองได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับเด็กและสังคมในยุคนั้น โดยตัดทอนฉากที่อาจขัดแย้งกับจริยธรรมร่วมสมัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงในขณะหลับใหล

แต่ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปี นิทานเรื่องนี้เคยปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในหนังสือชื่อ Perceforest ซึ่งเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส เขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1330–1344 โดยนักเขียนนิรนามในยุคกลาง Perceforest ไม่ใช่ชื่อของนิทาน แต่เป็นชื่อของหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวิน ความรัก และเวทมนตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงตำนานของกษัตริย์อาเธอร์กับประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

หนึ่งในเรื่องราวที่โดดเด่นใน Perceforest คือเรื่องของ เจ้าหญิง Zellandine และ เจ้าชาย Troylus ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องโชคชะตา ความรักที่มั่นคง และคำมั่นสัญญาในบริบทของยุคกลาง โดยเจ้าหญิงตกอยู่ในห้วงนิทราเพราะเสี้ยนป่าน และฟื้นขึ้นมาเมื่อบุตรของเธอดูดนิ้วและดึงเสี้ยนออกโดยบังเอิญ

แม้เรื่องราวจะมีความงดงามในเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ขณะหลับ ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเนื้อหาโดยนักแต่งนิทานรุ่นหลังอย่าง Perrault และ Grimm เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมทางศีลธรรมและการเลี้ยงดูเด็กในยุคของตน

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เป็นการเรียบเรียงใหม่ ที่เลือกจะกลับไปสำรวจความงามในต้นฉบับของ Perceforest ด้วยความเคารพและความเข้าใจในบริบทดั้งเดิม

ผู้เรียบเรียงไม่ได้มองความสัมพันธ์ในห้วงนิทราอย่างผิวเผิน แต่เห็นว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายมีความรักและคำมั่นสัญญาต่อกันก่อนที่เจ้าหญิงจะหลับใหล การมีลูกจึงเป็นผลแห่งรักแท้ ไม่ใช่การละเมิด หากเป็นการรักษาสัญญาอย่างบริสุทธิ์ในรูปแบบที่สะท้อนความรักเหนือกาลเวลา

นิทานฉบับนี้จึงเป็นการตีความใหม่ที่เน้นความอ่อนโยน ความซื่อสัตย์ และการดูแลกันแม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบสนองได้ เป็นการยืนยันว่า “คำมั่นสัญญา” นั้นมีพลังมากกว่าคำพูด—มันคือการกระทำที่ต่อเนื่องและมั่นคง

หากคุณกำลังมองหานิทานที่ไม่เพียงแต่เล่าเรื่อง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้หัวใจได้ไตร่ตรอง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก คือบทกวีแห่งความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นการฟื้นคืนความงามของวรรณกรรมยุคกลางในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเปี่ยมด้วยความเมตตา

นานมาแล้ว ในแผ่นดินที่ห้อมล้อมด้วยป่าใหญ่และท้องทะเล มีเจ้าหญิงนามว่า เซลลันดีน ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ เธออ่อนโยน ชาญฉลาด และเต็มไปด้วยความเมตตา ราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในยามรัตติกาล

เจ้าหญิงมีคู่หมั้นคือ เจ้าชายทรอยลัส ผู้กล้าหาญจากแดนทรอย ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ต่อคำพูดและมีหัวใจที่มั่นคงราวหินผา ทั้งสองพบกันในยามสงบของบ้านเมือง และสัญญาต่อกันว่าจะร่วมสร้างครอบครัวอันเปี่ยมสุข ครองรักด้วยความเท่าเทียมและซื่อสัตย์ต่อกันจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

ทุกค่ำคืน เจ้าหญิงจะนั่งในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ และเจ้าชายจะมาร่วมสนทนา ทั้งสองกล่าวถึงความฝันอันเรียบง่าย คือการมีบ้านที่อบอุ่น มีบุตรชายหรือบุตรสาวที่วิ่งเล่นรอบห้องโถง และมีชีวิตที่มีเพียง “เรา” ไม่ว่าเวลาจะหมุนไปนานเพียงใด

แต่โชคชะตามักเล่นกล วันหนึ่ง เจ้าหญิงเซลลันดีนถูกเสี้ยนเวทมนตร์ตำ ทำให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนาน ไม่มีใครสามารถปลุกเธอให้ตื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา คำวิงวอน หรือเพลงดนตรีจากขลุ่ยและพิณที่บรรเลงข้างพระแท่น

ข่าวแพร่ไปถึงแดนทรอย เมื่อเจ้าชายทรอยลัสได้ยิน เขารีบเดินทางฝ่าภูผาและท้องสมุทรเพื่อมาหาเจ้าหญิง เมื่อได้เห็นคนรักของตนเอนกายหลับนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน ดวงตาของเจ้าชายพรั่งพรูด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด

“โอ เซลลันดีนที่รัก… เหตุใดชะตาจึงโหดร้ายกับเราเช่นนี้ แต่ถึงเจ้าจะหลับใหล ข้าก็จะรักเจ้ามิเปลี่ยนแปร” เจ้าชายกล่าวพร้อมกุมมืออันเย็นชืดของเจ้าหญิง น้ำตาไหลหยดลงบนปลายนิ้วเธออย่างไม่รู้จบ

ด้วยหัวใจที่ไม่เคยสั่นคลอน เจ้าชายจึงทำตามคำมั่นสัญญา เขาจัดพิธีแต่งงาน แม้เจ้าหญิงจะยังคงหลับใหลอยู่บนพระแท่น แต่เขาก็ประกาศต่อฟ้าและแผ่นดินว่า “นับแต่นี้ไป เจ้าหญิงเซลลันดีนคือภรรยาของข้า ผู้เดียวตลอดกาล”

วันคืนล่วงผ่านไป เจ้าชายใช้ชีวิตในฐานะสามีผู้ซื่อสัตย์ เขาดูแลเจ้าหญิงด้วยความอ่อนโยน สวมช่อดอกไม้ไว้ข้างหมอนของเธอทุกเช้า ขับกล่อมด้วยเสียงพิณในยามค่ำคืน และเล่านิทานให้เธอฟังเสมอ แม้จะไม่ได้ยินคำตอบกลับ เขาก็ยังยิ้มให้อย่างมั่นคง

ราชสำนักต่างพากันประหลาดใจว่า ทำไมชายหนุ่มผู้สง่างามนี้จึงยึดมั่นอยู่กับหญิงสาวที่ไม่อาจตื่นขึ้นมา แต่สำหรับเจ้าชายแล้ว คำตอบนั้นง่ายดาย… เพราะเธอคือคำมั่นสัญญาแห่งชีวิต และเขาเลือกที่จะรักโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

กาลเวลาหมุนเวียน ฤดูหนาวแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ และในความเงียบงันนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจ้าหญิงเซลลันดีนเริ่มมีชีวิตใหม่ก่อกำเนิดภายในร่างกายของเธอ แม้เธอจะยังคงหลับใหล แต่สายใยรักได้ผลิบานเป็นดั่งดวงดาวดวงน้อย

วันหนึ่ง เจ้าหญิงให้กำเนิดทารกน้อย ดวงตาสุกใสราวท้องฟ้ายามรุ่ง เด็กน้อยถูกวางไว้ในอ้อมแขนของแม่ผู้ยังคงหลับไหล แต่กลับอบอุ่นดุจเปลแก้ว เจ้าชายทอดมองภาพนั้นด้วยน้ำตาไหลพราก ลูกคือสัญลักษณ์แห่งรักแท้ของเขาและเจ้าหญิง

วันเวลาผ่านไป ทารกเติบโตขึ้นในอ้อมกอดของบิดา และบางครั้งในยามหิว เขาจะซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงที่มือของแม่ พลันวันหนึ่ง เด็กน้อยได้ดูดนิ้วของเธอด้วยความไร้เดียงสา เสี้ยนที่ตำอยู่ในเล็บตรงปลายนิ้วหลุดออกโดยบังเอิญ

ราวกับเสียงระฆังจากสวรรค์ เจ้าหญิงกระพริบตาช้า ๆ แสงแห่งชีวิตกลับมาสู่ดวงตาคู่สวย เจ้าชายที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานถึงกับทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความปิติ “เซลลันดีน… ที่รัก เจ้าฟื้นแล้ว”

เจ้าหญิงลืมตาขึ้นพบลูกน้อยในอ้อมแขน เธอปล่อยน้ำตาแห่งความสุขไหลริน พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าชายที่รัก… ข้ารู้สึกถึงเจ้า แม้ในห้วงนิทราอันยาวนาน ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ทอดทิ้ง ขอบคุณที่รักษาคำสัญญา”

เจ้าชายกุมมือของเธอแน่น “ข้าสัญญากับเจ้าในวันที่เราเคยฝัน… ว่าจะรักและสร้างครอบครัวไปกับเจ้า วันนี้สวรรค์ได้โปรดให้คำมั่นนั้นเป็นจริงแล้ว”

ราชสำนักทั้งเมืองร่วมกันเฉลิมฉลองการฟื้นคืนของเจ้าหญิง ทุกผู้คนต่างเห็นว่า ความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าคำสาปหรือเวทมนตร์ใด ๆ ลูกน้อยถูกขนานนามว่า “ดาวแห่งคำมั่น” เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งรักแท้ที่ไม่เสื่อมคลาย

และนับแต่นั้นมา เจ้าหญิงเซลลันดีน เจ้าชายทรอยลัส และลูกน้อยของพวกเขา ได้ครองชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น สมดังความฝันที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า ความรักแท้จะไม่สยบต่อโชคชะตา หากจะส่องสว่างเป็นนิรันดร์

Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานสอนใจ, Charles Perrault, Puss in Boots

นิทานเรื่อง แมวใส่รองเท้าบูท

แมวใส่รองเท้าบูท (Puss in Boots) เป็นหนึ่งใน นิทานคลาสสิกจากยุโรป ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งทั่วโลก นิทานเรื่องนี้โดดเด่นด้วยตัวละครแมวผู้ชาญฉลาดและมีไหวพริบเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด โดยมีจุดเริ่มต้นจากนิทานพื้นบ้านของอิตาลีในศตวรรษที่ 16 ก่อนจะถูกเรียบเรียงใหม่โดย Charles Perrault นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นฉบับที่ทำให้นิทานเรื่องนี้กลายเป็นตำนานที่ผู้คนทั่วโลกจดจำ

ในเนื้อเรื่อง Puss in Boots เล่าถึงแมวที่วางแผนอย่างแยบคายเพื่อเปลี่ยนชีวิตเจ้านายผู้ยากไร้ให้กลายเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติ โดยอาศัยทั้งปัญญา กลอุบาย และการสร้างภาพลักษณ์ที่เหนือจริง ซึ่งสะท้อน ค่านิยมของสังคมยุโรปในยุคนั้น ที่เน้นชนชั้น ฐานะ และภาพลักษณ์ทางสังคมอย่างชัดเจน นิทานเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ให้ความสนุก แต่ยังแฝงแง่คิดเกี่ยวกับความฉลาดเฉลียว การพลิกวิกฤตเป็นโอกาส และการใช้ปัญญาแทนพละกำลัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาผู้หนึ่งทำงานหนักมาตลอดชีวิตจนมีทรัพย์สินเก็บอยู่บ้าง เมื่อชาวนาเสียชีวิตไป ทรัพย์สินทั้งหมดถูกแบ่งให้ลูก ๆ 3คนตามลำดับ

ลูกชายคนโตได้รับโรงสีอันเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ลูกชายคนกลางได้รับลาที่ใช้ขนสินค้า ส่วนลูกชายคนสุดท้องกลับได้รับเพียง “แมว” ตัวหนึ่ง แม้แมวตัวนั้นจะมีขนเงางามเป็นพิเศษ แต่เขาก็รู้สึกผิดหวัง

“พี่ชายของข้าได้ทรัพย์สมบัติที่ทำมาหากินได้ แต่ข้ากลับได้เพียงเจ้าแมวที่เอาแต่นั่งเลียขนของมัน” ชายหนุ่มรำพึงอย่างหมดหวัง แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ แมวตัวนี้ไม่ใช่แมวธรรมดา มันมีความฉลาดหลักแหลมและพูดได้!

วันหนึ่ง แมวเดินตรงไปหานายของมันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไปเลยนายของข้า หากท่านมอบรองเท้าบูทดี ๆ สักคู่ให้ข้า และเชื่อฟังในสิ่งที่ข้าพูด ข้าจะทำให้ท่านร่ำรวยและเป็นที่นับหน้าถือตา”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้ง แมวพูดได้อย่างนั้นหรือ? แม้เขาจะสงสัย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เขาจึงตอบแมวไปว่า “ได้ ข้าจะลองดู”

ชายหนุ่มนำหนังเก่ามาตัดเย็บเป็นรองเท้าบูทขนาดเล็กพอดีกับเท้าแมว เมื่อแมวได้สวมรองเท้าคู่นั้น มันก็ดูสง่างามขึ้นทันที มันเดินไปเดินมาอย่างภาคภูมิ จากนั้น มันก็เริ่มแผนการที่วางไว้

แมวเริ่มต้นด้วยการล่ากระต่ายป่าตัวใหญ่ในทุ่งหญ้าแถวบ้าน มันใช้ความว่องไวและไหวพริบจนจับกระต่ายได้อย่างง่ายดาย จากนั้น มันก็นำกระต่ายใส่ถุงผ้า แล้วเดินทางไปยังปราสาทของกษัตริย์

เมื่อแมวไปถึงปราสาทที่สูงตระหง่านและมีธงสะบัดพลิ้วเหนือกำแพง มันก็เดินเข้าไปอย่างมั่นใจพร้อมกับทักทายทหารยามว่า “ข้ามีของขวัญจากนายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส เพื่อมอบให้ฝ่าบาท”

(คำว่า “มาร์ควิส” เป็นยศขุนนางในยุโรป ซึ่งสูงกว่าท่านเคานต์แต่ต่ำกว่าท่านดยุก ส่วน “คาราบาส” เป็นชื่อเมืองที่แมวแต่งขึ้น เพื่อสร้างภาพว่า เจ้านายของมันร่ำรวยและมีเป็นเจ้าของที่ดินอันกว้างใหญ่)

กษัตริย์รับกระต่ายตัวนั้นด้วยความประหลาดใจและพอใจ กษัตริย์เอ่ยชมเจ้าแมวประหลาดที่ใส่รองเท้าบูท โดยกล่าวว่า “นายของเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจ ฝากขอบคุณนายของเจ้าด้วย”

ในวันถัด ๆ มา แมวจะแวะมามอบของขวัญเพิ่มเติมให้แก่กษัตริย์อีก ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าหรือนกกระทาที่มันจับได้ ซึ่งทุกครั้ง มันจะกล่าวว่า ของกำนัลเหล่านี้เป็นน้ำใจจากมาร์ควิสแห่งคาราบาส ส่งผลให้กษัตริย์หลงเชื่อว่า มาร์ควิสผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญ ซึ่งพระองค์ควรทำความรู้จักเอาไว้

วันหนึ่ง แมวได้ข่าวว่ากษัตริย์พร้อมกับเจ้าหญิงผู้เลอโฉมจะเสด็จประพาสผ่านแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทุ่งหญ้า แมวจึงรีบวางแผน โดยมันบอกนายของมันว่า “ท่านจงไปลงเล่นน้ำในแม่น้ำ โดยทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้ ที่เหลือ…ข้าจะจัดการเอง”

ชายหนุ่มทำตามที่แมวบอก เมื่อเขาลงไปเล่นน้ำ แมวก็นำเสื้อผ้าของเขาไปซ่อน แล้วรีบวิ่งไปตะโกนขอความช่วยเหลือจากขบวนของกษัตริย์

“ช่วยด้วย! นายของข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส กำลังจะจมน้ำ!”

กษัตริย์ได้ฟังดังนั้นก็รีบสั่งให้ทหารเข้าช่วยเหลือทันที

แต่เมื่อกษัตริย์ได้ทราบจากทหารว่า นายของแมวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ (เพราะแมวแกล้งบอกว่าถูกขโมยไป) กษัตริย์จึงมอบเสื้อผ้าหรูหราให้ชายหนุ่มสวม

ครั้นเมื่อเจ้าหญิงมองเห็นชายหนุ่มในชุดใหม่ พระองค์ก็ประทับใจในความหล่อเหลาและสง่างามของเขา

หลายวันต่อมา แมวใส่รองเท้าบูทได้วางแผนเชิญกษัตริย์และเจ้าหญิงไปยังปราสาทของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส (ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีอยู่จริง) เพราะมาร์ควิสต้องการเลี้ยงน้ำชาเพื่อขอบคุณ กษัตริย์จึงตอบตกใจ

เมื่อกษัตริย์หลงกล แมวใส่รองเท้าบูทผู้เฉลียวฉลาดก็ดำเนินการตามแผน โดยวิ่งนำหน้ารถม้าของกษัตริย์และเจ้าหญิง ผ่านทุ่งกว้างที่ทอดยาวไปสุดสายตา เมื่อมันวิ่งผ่านชาวนาที่กำลังไถนาบนที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ มันก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “เจ้าชาวนา! หากกษัตริย์ถามว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินนี้ จงตอบว่ามันเป็นของ มาร์ควิสแห่งคาราบาส มิฉะนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ!”

ชาวนาเบิกตากว้าง มองเจ้าแมวในรองเท้าบูทที่ดูราวกับขุนนางสูงศักดิ์ด้วยความหวาดกลัวแกมสงสัย แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง

“ข้าจะทำตาม! ข้าจะทำตาม!” ชาวนาตอบพร้อมโค้งศีรษะ

เมื่อกษัตริย์และเจ้าหญิงเสด็จมาถึงและเห็นทุ่งกว้างอันเขียวขจี กษัตริย์จึงถามชาวนาว่า “ที่ดินกว้างใหญ่นี้เป็นของใครกัน?”

“เป็นของมาร์ควิสแห่งคาราบาส ฝ่าบาท!” ชาวนาตอบด้วยเสียงดังฟังชัด

กษัตริย์ประทับใจยิ่งนักในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาส “นอกจากเขาจะมีน้ำใจแล้ว เขายังร่ำรวยมากอีกด้วย” กษัตริย์คิดอยู่ในใจ

แมวใส่รองเท้าบูทยังไม่หยุดแค่นั้น มันรีบวิ่งล่วงหน้าจนถึงปราสาทของยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ปราสาทแห่งนั้นสูงตระหง่านเสียดฟ้า บนยอดมีควันสีดำลอยขึ้นมาจากปล่องไฟ แมวไต่ปราสาทและเดินเข้าไปในปราสาทอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด

“ใครกล้าบุกรุกอาณาเขตของข้า!” ยักษ์คำรามเมื่อเห็นแมวเดินผ่านประตูด้วยท่าทางมั่นใจ แม้ยักษ์จะโกรธที่มีผู้ล่วงล้ำเข้ามา แต่มันก็อดแปลกใจไม่ได้กับแมวที่ใส่รองเท้าบูทไม่เหมือนใคร

“โอ้ ท่านยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่!” แมวกล่าวพร้อมโค้งคำนับ “ข้าได้ยินกิตติศัพท์ถึงพลังเวทมนตร์ของท่าน ข้าจึงอยากมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง”

ยักษ์เลิกคิ้วและคำรามเบา ๆ “เจ้ามีความกล้ามากที่เข้ามา ข้าสามารถบดขยี้เจ้าได้ด้วยมือเดียว!”

“แน่นอน ท่านมีพลังมากมายจนไม่มีใครกล้าเทียบ” แมวตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ข้ารู้ว่าท่านสามารถแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็ได้ในโลกนี้ อย่างเช่นสิงโตหรือช้างตัวใหญ่ ข้าจึงต้องมาดูให้เห็นจริง”

ยักษ์ได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ “แน่นอนว่าข้าทำได้ ดูนี่สิ!”

ในชั่วพริบตา ยักษ์ก็แปลงร่างเป็นสิงโต แล้วคำรามเสียงดังจนกำแพงปราสาทสั่นสะเทือน แมวกระโดดถอยหลังแสร้งทำเป็นตกใจ “ช่างน่าทึ่งนัก!” มันอุทาน “แต่ข้ามีข้อสงสัยอีกข้อ ท่านแปลงเป็นสัตว์ใหญ่ได้แน่นอน แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างหนูตัวจิ๋วล่ะ ท่านจะแปลงเป็นมันได้ไหม?”

“ฮึ! เรื่องเล็กน้อย” ยักษ์กล่าวด้วยความมั่นใจ ก่อนแปลงร่างเป็นหนูตัวเล็กในพริบตา

และในเสี้ยววินาทีนั้น แมวก็กระโดดตะครุบหนูตัวจิ๋ว แล้วกินมันลงไปทันที

หลังจากนั้น แมวใส่รองเท้าบูทก็ส่งสัญญาณให้นายของมันเดินเข้ามายังปราสาทตามที่นัดแนะกันไว้ ครั้นเมื่อขบวนของกษัตริย์มาถึงปราสาท แมวก็ออกมาต้อนรับ โดยที่มีนายของมันเดินตามออกมาด้วย จากนั้น มันก็พูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทของนายข้า มาร์ควิสแห่งคาราบาส!”

กษัตริย์มองปราสาทหินที่ใหญ่โตและงดงาม เขารู้สึกประทับใจในความมั่งคั่งของมาร์ควิสแห่งคาราบาสยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนเจ้าหญิงก็มองชายหนุ่มด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจ

“ท่านเป็นคนที่น่าชื่นชมยิ่ง” กษัตริย์กล่าว “ถ้าท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากให้เจ้าหญิงได้แต่งงานกับท่าน และข้าจะมอบความสนับสนุนทั้งหมดให้ท่านปกครองดินแดนนี้ต่อไป”

แม้ชายหนุ่มจะไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่แมวใส่รองเท้าบูทไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ มันจึงรีบตอบรับแทนชายหนุ่ม และเร่งรัดให้พระราชาจัดงานแต่งงานให้ทั้งคู่โดยเร็ว

ครั้นเมื่อถึงวันแต่งงาน ในงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นในปราสาท ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสุข เจ้าหญิงยิ้มหวานให้มาร์ควิสแห่งคาราบาส ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงไม่อยากเชื่อว่า เขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ชายหนุ่มมองไปที่แมวใส่รองเท้าบูทซึ่งนั่งกินไก่อบอย่างสบายใจ

“ขอบคุณเจ้านะ ข้าคงไม่มีวันนี้หากไม่มีเจ้า” ชายหนุ่มกล่าวกับแมวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง

“ข้าเพียงทำในสิ่งที่แมวฉลาดพึงกระทำ นายของข้า” แมวตอบพลางยิ้มกว้าง

เสียงเพลงและเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งปราสาท บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข แมวใส่รองเท้าบูทกลายเป็นที่ชื่นชมในความเฉลียวฉลาด และชายหนุ่มผู้เคยหมดหวังในชีวิตก็ได้พบทั้งความมั่งคั่งและความรัก

และแล้ว…นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข.

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดและไหวพริบสามารถพลิกชีวิตจากยากไร้สู่ความรุ่งเรืองได้
  • การสร้างภาพลักษณ์และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมมีพลังในการเปลี่ยนมุมมองของผู้คน
  • อย่าดูถูกสิ่งที่ดูไม่มีค่า เพราะอาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

แมวใส่รองเท้าบูทตัวเอกในนิทาน Puss in Boots ฉบับภาษาไทย – เวอร์ชันนิทานนำบุญ