Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ

นิทานก่อนนอนเรื่อง “เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ” เป็นนิทานแนวนิทานสระ หรือนิทานตลก ๆ ก่อนนอนที่อาจใช้เป็นนิทานสอนอ่าน สำหรับให้เด็กได้ฝึกอ่านภาษาไทย แม้คำศัพท์ในนิทานเรื่องนี้อาจจะยากอยู่สักหน่อย แต่เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังนิทานหลาย ๆ ครั้งและเข้าใจความหมายของคำมากขึ้นแล้ว เมื่อต้องอ่านเอง ถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นคำคล้องจองซึ่งลงท้ายด้วยสระอุทั้งหมด ก็น่าจะทำให้เด็ก ๆ คาดเดาคำที่อ่านได้ไม่ยากเกินไปนัก หวังว่านิทานก่อนนอนเรื่อง “เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ” จะเป็นนิทานอีกเรื่องที่เด็ก ๆ ชื่นชอบนะครับ

นิทานเรื่อง เรื่องเล่าจากเกาะทะลุ

เรื่องจริง…ไม่ใช่เรื่องกุ

มีเด็กน้อยชื่อว่า ‘วสุ’

เป็นเด็กหน้าตาคิขุ

อาศัยอยู่ที่เกาะทะลุ

ในวันแดดร้อนระอุ

เด็กน้อยมักไปนอนอุตุ

หลบแดดที่เพิงผุผุ

ตรงชายหาดใกล้บ่อน้ำพุ

วันหนึ่ง มีฝูงวัตถุ

คลานมาหาเด็กชายวสุ

พวกมันคือเต่าตนุ

ตัวนิดเดียวแต่ดูอ้วนตุ๊

วสุถามเต่าตนุ

“มาจากไหนโปรดจงระบุ”

พวกเต่าบอกเด็กคิขุ

“ช่วยเราด้วย สาธุ…สาธุ…

พวกเราเจอยักษ์ยอดดุ

เขี้ยวแหลมแหลมแถมแก้มฉุฉุ

มันอยากกินเต่าตนุ

จึงไล่จับเราใส่กระชุ

โชคดีกระชุมันผุ

มีไม้ไผ่เป็นวัสดุ

พวกเราลูกเต่าตนุ

จึงมุดหนีตรงรูทะลุ”

เต่าน้อยอ้อนวอนวสุ

ให้ช่วยปราบเจ้ายักษ์ยอดดุ

ไม่นาน…เด็กน้อยคิขุ

ก็ยอมช่วยเต่าตามแรงยุ

ขั้นแรกเจ้าหนูวสุ

เริ่มจากหาตำราในกรุ

เป็นสูตรยาอันเอกอุ

ตำรับของพระวิษณุ

จากนั้น เด็กน้อยคิขุ

ก็ปรุงยาตามสูตรระบุ

ผสม ‘จุนสีสตุ’

ในเตาไฟที่ร้อนคุคุ

เมื่อเสร็จ..เด็กชายวสุ

ก็บอกกับเหล่าเต่าตนุ

ขออึที่เหม็นตุตุ

ใส่เข้าไปเป็นอันล่วงลุ

พวกเต่าหัวเราะหุหุ

เมื่อทราบสูตรยาของวสุ

เด็กน้อยบอกเต่าตนุ

“อย่าเอ็ดไป จุ๊จุ๊จุ๊จุ๊”

จากนั้น เด็กชายวสุ

ก็ทำการห่อพัสดุ

ส่งให้เจ้ายักษ์หน้าฉุ

หลอกว่าเป็นขนมทองพลุ

 เจ้ายักษ์หลงกลวสุ

กินขนมจากพัสดุ

ด้วยความที่มันกินจุ

ฤทธิ์ของยาจึงเริ่มประทุ

สงสาร..เจ้ายักษ์ยอดดุ

ที่ขนพองท้องไส้ระอุ

ฟันฟางก็ค่อยค่อยผุ

หมดเรี่ยวแรงแทบสิ้นอายุ

เมื่อเห็นว่ายักษ์หน้าฉุ

สิ้นฤทธิ์ด้วยยาของวสุ

บรรดาพวกเต่าตนุ

จึงฉลองด้วยการยิงพลุ

นี่คือเรื่องของวสุ

กับการช่วยเหลือเต่าตนุ

จบแล้วนิทานสระอุ

ช่วยหัวเราะ “ฮุฮุฮุฮุ”

#นิทานนำบุญ

—————————

คำศัพท์น่ารู้ :

กระชุ    หมายถึง ภาชนะสานอย่างหนึ่งใช้บรรจุของ

กรุ       หมายถึง ห้องที่ทำไว้ใต้ดิน

คิขุ       หมายถึง น่ารัก (ใช้ในภาษาพูด)

จุนสีสตุ  หมายถึง สารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งเป็นส่วนผสมของทองแดงและกำมะถัน 

พระวิษณุ หมายถึง เทพเจ้าฮินดูผู้ปกปักรักษาโลก

เอกอุ     หมายถึง เป็นเลิศ

Posted in ครอบครัว, นิทาน

ความฝันของนักเขียนนิทาน

ความฝันของนักเขียนนิทาน

คำว่า “นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” ถ้าจะบอกว่าเป็น “อาชีพ” มันก็ดูจะแปลก ๆ อยู่สักหน่อย เพราะถ้ามันเป็นอาชีพ มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำเงินเลี้ยงชีวิตได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว…ไม่ใช่

“นักเขียนนิทาน” หรือ “นักแต่งนิทาน” จึงน่าจะเป็นสถานะหรือบทบาทอะไรสักอย่าง ที่เวลาคนถามเราว่า “คุณทำงานอะไร” แม้ผมจะตอบว่า “เป็นนักเขียนนิทานครับ” แต่ความรู้สึกลึก ๆ ผมไม่ได้บอกว่า “ผมมีอาชีพเป็นนักเขียนนิทานครับ” ผมอยากสื่อสารเหมือนเวลาที่บอกว่า “ผมเป็นผู้ชายครับ ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนครับ ผมเป็นนักเขียนนิทานครับ” อะไรทำนองนี้

การบังเอิญได้เป็นนักเขียนนิทาน แถมบังเอิญเป็นอยู่นาน จนแต่งนิทานเอาไว้เยอะมาก ทำให้ผมแอบมีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นความฝันที่ไม่สลักสำคัญอะไร แค่อยากเฉย ๆ นั่นคือ การรวบรวมนิทานที่ผมแต่งเอาไว้ทั้งหมด พิมพ์ออกมาเป็นหนังสือเล่มหนา ๆ แบบหนังสือโบราณที่เห็นในหนังหรือเห็นในรูปภาพต่าง ๆ

ความฝันนี้อาจมีที่มาจากการที่ผมเป็นคนชอบหนังสือ (ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือนะครับ ผมชอบความเป็นหนังสือ ชอบกระดาษ ชอบรูปเล่ม ชอบสิ่งที่มันเป็น) ตอนเด็ก ๆ ผมชอบไปซื้อหนังสือการ์ตูนที่แผงหนังสือ พอเข้าชั้นมัธยมต้น ก็หัดเข้าร้านหนังสือ ในช่วงเดียวกัน ผมก็เริ่มรู้จักการเข้าไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด เพื่อค้นหนังสือเก่า ๆ ตามชั้นหนังสือมามานั่งดู มันเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจเหมือนการค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตแบบในสมัยนี้ และการที่ผมได้เห็นหนังสือโบราณเล่มหนา ๆ จากต่างประเทศ (ซึ่งสมัยนั้นการได้สัมผัสสื่อจากต่างประเทศเป็นเรื่องยาก) มันจึงทำให้ผมแอบรู้สึกว่า ถ้าตัวเองมีหนังสือแบบนั้นบ้างก็คงจะดีทีเดียว

การทำหนังสือรวมนิทานเล่มหนา ๆ ขายเป็นเรื่องที่….ผมไม่ทำแน่ ๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยทำสำนักพิมพ์เล็ก ๆ และพิมพ์นิทานรวมเล่มของตัวเองมาหลายเล่ม ซึ่งประสบการณ์ตอนนั้นสอนให้รู้ว่า อย่าทำอีก

แต่ความฝันในการรวมผลงานนิทานเป็นหนังสือเล่มหนา ๆ แบบหนังสือโบราณเป็นความคิดที่ต่างออกไป เพราะผมไม่ได้คิดจะทำขาย แต่เป็นการทำเพื่อรวบรวม “งานชีวิต” ที่ตัวเองได้ทำเอาไว้ ให้ตัวเองได้ภูมิใจในสิ่งเล็ก ๆ ที่ตัวเองทำฝากไว้ให้เด็ก ๆ

ก่อนหน้าที่ผมจะได้เริ่มทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ ความฝันเรื่องการรวมผลงานในลักษณะนี้ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะนิทานมีมากถึง 417 เรื่อง แถมมีความหลากหลายจนผมคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า จะจัดเรียงนิทานและจัดรูปเล่มของหนังสืออย่างไรให้เหมาะสม แต่เมื่อผมได้ทำเว็บไซต์นิทานนำบุญ และได้แบ่งนิทานออกเป็นหมวดหมู่ (ตาม Keyword เพื่อทำ SEO) ผลที่ตามมาคือ มันทำให้ผมเห็นแนวทางการจัดเรียงนิทานในเล่มได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

บทความนี้จึงเป็นเสมือนบันทึกความคิดของผมเกี่ยวกับโครงสร้างของหนังสือรวมนิทานที่ผมแอบฝันเอาไว้ ผมคงเขียนและแก้ไขไปเรื่อย ๆ เท่าที่คิดได้ ซึ่งเมื่อลงตัวเมื่อไหร่ ก็คงนำสิ่งที่เขียนไปเป็นแนวทางในการจัดรูปเล่มของหนังสือต่อไป ดังนั้น บทความนี้อาจไม่มีสาระมากนักสำหรับคุณผู้อ่าน แต่สำหรับผมนั้น ผมเชื่อว่าอย่างน้อยผมก็ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการทบทวนความคิด และอาจใช้เป็นแนวทางในการพิมพ์หนังสือ หากผมไม่ได้เป็นคนจัดการเอง (เพราะชีวิตไม่แน่นอน)

หากไม่นับหน้าคำนำและสารบัญของหนังสือ ผมอยากเริ่มต้นหนังสือของผมด้วยการเขียน “บทเกริ่นนำ” เพื่อเล่าความรู้สึกนึกคิดของการได้มาเป็นนักเขียนนิทาน รวมถึงแนวทางที่ผมใช้ในการแต่งนิทาน ให้คนอ่านได้รู้ ผมว่าการบอกเล่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่า เพราะมันทำให้คนอ่านเข้าใจ “โลกของคนเขียน” ชัดเจนยิ่งขึ้น (ผมเองก็อยากรู้ความคิดของนักแต่งนิทานในอดีตมาก ๆ แต่ก็หาอ่านไม่ค่อยได้)

ลำดับถัดไป ผมอยากเริ่มนิทานเรื่องแรกของเล่ม ด้วยนิทานเรื่อง “ชายผู้ปลูกดอกไม้สีจาง” และปิดท้ายเล่ม ด้วยนิทานเรื่อง “ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง” เพราะนิทานทั้งสองเรื่อง เป็นนิทานแทนตัวผม

https://bit.ly/3uEaiJ8
https://bit.ly/2RKj9KJ

เนื้อหาของเล่ม ผมอยากเริ่มด้วย “นิทานแสนรัก” ซึ่งผมอยากคัดเลือกนิทานที่ผมแต่งโดยมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตตัวเอง คนในครอบครัว หรือนิทานเรื่องพิเศษบางเรื่องที่มีความหมายกับชีวิตบางช่วงของผมมาก ๆ มาให้อ่านกันเป็นหมวดแรก เพราะนิทานเหล่านี้สะท้อนตัวตนภายในของผมในฐานะนักแต่งนิทานได้มาก

ลำดับถัดไป ผมอยากนำนิทานแต่ละหมวดในเว็บไซต์นิทานนำบุญ มาจัดเรียงนำเสนอที่ละหมวด ซึ่งนิทานในแต่ละหมวดจะมีอยู่ราว 10 เรื่อง (ยกเว้นบางหมวดที่อาจมีไม่ถึง 10 เรื่อง) เช่น นิทานก่อนนอนสั้น ๆ นิทานตลก ๆ ก่อนนอน นิทานก่อนนอนความรัก นิทานธรรมะก่อนนอน นิทานพ่อมดแม่มด นิทานปรับพฤติกรรมเด็ก (ควรปรับชื่อใหม่) ฯลฯ โดยนิทานแต่ละหมวดควรมีหน้าเปิด 1 หน้าเป็นหน้าคั่น เพื่อแยกนิทานแต่ละหมวดออกจากกัน และหากเป็นไปได้ ผมอยากให้นิทานทุกเรื่องมีภาพประกอบลายเส้นขาวดำ เรื่องละอย่างน้อย 1 ภาพ และอาจเขียนเกริ่นนำเกี่ยวกับนิทานในแต่ละชุด เพื่อให้ผู้อ่านได้พักอารมณ์จากนิทานในชุดก่อนหน้าสักนิด และเป็นพื้นที่ที่ให้ผมได้สื่อสารความรู้สึกนึกคิดกับผู้อ่านเกี่ยวกับมุมมองของผมที่มีต่อนิทานเหล่านั้น

เมื่อนำเสนอนิทานทีละหมวด ๆ หนังสืออาจคั่นนิทานเหล่านั้นด้วยนิทานหมวดพิเศษ คือ หมวดของนิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้หนังสือไม่ราบเรียบจนเกินไป

https://bit.ly/33rHXdm

หลังจากนั้น จึงค่อยนำเสนอนิทานในหมวดอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ หรือหากรวมเป็นหมวดไม่ได้ ก็อาจนำเสนอนิทานที่เหลือในรูปแบบของคลังนิทานที่เรียงลำดับนิทานที่เหลือตามลำดับตัวอักษร (แต่วิธีการนี้อาจทำให้นิทานกระจัดกระจายไม่น่าอ่าน ดังนั้น จึงควรพิจารณาอีกครั้ง)

ก่อนเข้าสู่นิทานเรื่องสุดท้าย (ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง) ผมอยากปิดเล่มด้วยหมวดของ “นิทานที่เป็นเกียรติต่อชีวิตนักเขียนนิทานอย่างผม” ซึ่งได้แก่นิทานเรื่อง “พระราชาผู้เป็นที่รัก”และนิทานที่เคยพิมพ์เป็นเล่มในชุดตามรอยพระราชา เช่น “ของขวัญแด่พระราชา” และ “คนต่อเทียน” รวมทั้งนิทานเรื่องอื่น ๆ ที่ให้แง่คิดสอนใจในลักษณะเดียวกัน เพราะนิทานเหล่านี้มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผมมาก

ท้ายเล่ม หลังจบนิทานเรื่อง “ความฝันของชายผู้รักดอกไม้สีจาง” หากมีโอกาส ผมก็อยากเขียนขอบคุณบุคคลทุกคนที่เกี่ยวกับการที่ผมได้มาเป็นนักเขียนนิทาน ทั้งครอบครัว ครูบาอาจารย์ นิตยสารขวัญเรือน เพื่อน และผู้อ่าน

ความฝันเรื่องการทำหนังสือรวมผลงานนิทานของชีวิต ดูแล้วน่าจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น แถมปัจจุบัน การพิมพ์หนังสือก็ทำได้ง่ายขึ้นมาก ผมจึงเชื่อว่า ฝันนี้น่าจะเป็นจริงได้ในสักวัน

#นิทานนำบุญ