นิทานเรื่อง “ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก” เป็นนิทานเรื่องใหม่เรื่องที่ 5 (เริ่มแต่งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 แต่งเสร็จในวันที่ 12 กันยายน 2566) นิทานเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจากการนำตุ๊กตาเก่า ๆ ที่บ้านมาวางถ่ายรูป ซึ่งเมื่อมองดูตุ๊กตาคุณยายที่มีเด็ก ๆ ปีนป่ายอยู่รอบตัว ทำให้ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) นึกถึงคุณครูตัวใหญ่ ๆ กับลูกศิษย์ซน ๆ และคิดจะแต่งนิทานเกี่ยวกับคุณครูประถมแม่-ลูก ที่พยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องลูกศิษย์ด้วยความรัก
ในตอนที่คิด ผมร่างโครงเรื่องนิทานออกมาจนเสร็จ ซึ่งรู้สึกว่าลงตัวดี น่าจะใช้เวลาแต่งนิทานให้จบเรื่องได้ในเวลาไม่นานนัก แต่เมื่อลงมือแต่งนิทานจริง ๆ ผมเริ่มพิมพ์เนื้อเรื่องไป คิดไป ตามโครงเรื่องที่วางไว้ จนเรื่องราวคืบหน้าไปเกิน 75% แต่กลับรู้สึกว่าไม่ชอบ จึงหยุดแต่งนิทานต่อ แล้วเริ่มแต่งนิทานใหม่ด้วยโครงเรื่องเดิมอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
เมื่อแต่งนิทานรอบที่สองจนใกล้เสร็จ ผมก็รู้สึกว่า มันไม่สนุก ไม่ได้มาตรฐานของนิทานที่ผมตั้งไว้ การแต่งนิทานรอบที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ที่เจ็ด ที่แปด จึงเกิดขึ้น
ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ตั้งแต่เช้า และอยู่หน้าจอคอมจนถึงราว ๆ เที่ยง (บางทีก็บ่าย) เวลาที่รู้สึกกดดันก็จะรีบไปหาอะไรทำ เพื่อไม่ให้ตัวเองเครียด จนในที่สุด ราว ๆ วันที่ 9 กันยายน ผมก็ “หามุม” ในการแต่งนิทานเรื่องนี้เจอ และค่อย ๆ แต่งจนนิทานเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งผมรู้สึกว่า “นิทานประมาณนี้แหละ ที่เรียกว่านิทานนำบุญ”
นิทานเรื่องนี้ มีการพูดถึงรายละเอียดอะไรหลาย ๆ อย่างเอาไว้ ซึ่งผมขอเขียนเป็นบันทึกให้อ่านเล่นที่ท้ายนิทาน คุณผู้อ่านจะได้รู้ถึงที่มาที่ไปของนิทานมากขึ้นอีกนิด และจะได้เข้าใจผมว่าทำไมจึงแต่งนิทานเรื่องนี้ได้ช้ามาก ๆ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิทานเรื่องนี้นะครับ
นิทานเรื่อง ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก
กาลครั้งหนึ่ง มีคุณครูคนหนึ่ง ชื่อว่า “จรัสศรี” แม้คุณครูจรัสศรีจะมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนหมี ไม่ได้สวยหรือดูใจดีแบบนางฟ้า แต่ทุกครั้งที่คุณครูจรัสหมี เอ้ย! จรัสศรีอยู่กับเด็ก ๆ คุณครูจรัสศรีจะเจิดจรัสเหมือนมีแสงระยิบระยับทาบทาอยู่ทั่วตัว เด็ก ๆ ทุกคนรักคุณครูจรัสศรีมาก เพราะคุณครูรอบรู้ สอนสนุก เอาใจใส่ และทำให้ช่วงเวลาที่ได้เรียนหนังสือ กับครูเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุด ส่วนคุณครูจรัสศรีก็รักเด็ก ๆ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่พวกเขา
ชื่อเสียงในการสอนและเรื่องความรักเด็กของคุณครูจรัสศรีทำให้ผู้คนในเมืองพาลูกหลานมาเรียนที่โรงเรียนของคุณครูจรัสศรีกันหมด แม้จะมีเด็กมาสมัครเรียนมาก แต่คุณครูจรัสศรีก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบ คุณครูจรัสศรีมักจัดสรรเงินค่าเทอมที่คุณพ่อคุณแม่ให้ นำไปจ้างครู จ้างทีมสนับสนุนการทำงานของครู จ้างทีมแม่ครัวและแม่บ้าน แล้วฝึกอบรมให้ทุกคนดูแลเด็ก ๆ ด้วยหัวใจ โรงเรียนของคุณครูจรัสศรีจึงเป็นโรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้ใหญ่ ซึ่งตั้งใจมอบสิ่งที่ดีให้แก่เด็ก ส่วนเด็ก ๆ ก็มีความสุขทุกวันที่ได้มาใช้เวลาเรียนรู้และเล่นสนุกที่โรงเรียนของพวกเขา
วันหนึ่ง มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ เศรษฐีผู้นี้มีเงินมากจนใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไม่หมด เศรษฐีมุ่งแต่ทำงานหาเงินจนเขาลืมใส่ใจภรรยาและลูกสาวตัวน้อย จนกระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาล้มป่วยและจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เศรษฐีจึงคิดได้ว่า เขาเพลินกับการหาเงินมากเกินไป จนลืมให้เวลากับคนที่เขารักมากที่สุด ดังนั้น เศรษฐีจึงตัดสินใจหยุดทำงาน แล้วย้ายจากเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวาย มาอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ที่มีอากาศสดชื่นกว่า โดยตั้งใจที่จะใช้เงินที่มีเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกสาวสุดที่รัก
เมื่อเศรษฐีย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ในเมืองเล็ก ๆ สิ่งแรกที่เศรษฐีตั้งใจทำ คือการหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ลูกสาวตัวน้อย แต่เมื่อเศรษฐีค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เขาก็พบว่า เมืองทั้งเมืองมีโรงเรียนประถมแค่แห่งเดียว เป็นโรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ ซึ่งมีคุณครูใหญ่ที่สอนชั้นประถมด้วย ชื่อว่า “คุณครูจรัสศรี”
เศรษฐีมองสภาพของโรงเรียนที่ทั้งเล็กและเก่า แถมครูใหญ่ยังต้องมาสอนหนังสือด้วยตัวเอง เศรษฐีจึงคิดว่า โรงเรียนคงเป็นโรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพและไม่เหมาะกับลูกสาวของตนเองแน่ ๆ ด้วยเหตุนี้ เศรษฐีจึงเรียกประชุมผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ให้ช่วยกันคิด “แผนธุรกิจ” ในการสร้างโรงเรียนประถมที่ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรที่สุด โดยมีเป้าหมายสองประการคือ เพื่อใช้เป็นโรงเรียนของลูกสาวสุดที่รัก และเพื่อดึงดูดเด็ก ๆ เข้ามาเรียนให้ได้กำไรมากที่สุด
เมื่อผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ เข้าประชุม ผู้จัดการคนหนึ่งเสนอให้นำหลักสูตรจากต่างประเทศที่มีงานวิจัยยืนยันว่าเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดในโลกมาใช้เป็นหลักสูตรของโรงเรียน เพราะสิ่งนี้จะเป็น “จุดขาย” สำคัญ ที่ทำให้พ่อแม่หลงเชื่อ เอ้ย! เชื่อถือ และยอมจ่ายเงินส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
ผู้จัดการอีกคนหนึ่งเสนอว่า นอกจากหลักสูตรที่โดดเด่นแล้ว หากสร้างอาคารเรียนให้ทันสมัย เป็นตึกสัก 7 ชั้น แต่ละชั้นตกแต่งด้วยรูปแบบที่ต่างกัน เช่น ตกแต่งเป็นชั้นอวกาศ ชั้นวิทยาศาสตร์ ชั้นกีฬา ชั้นสร้างศิลปิน ชั้นของเล่น ชั้นสวนสนุก ชั้นสวนสัตว์ ความทันสมัยและหลากหลายเหล่านี้น่าจะทำให้พ่อแม่แย่งกันส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนของเรา
ผู้จัดการอีกคนรีบเสนอความคิดว่า ถ้าโรงเรียนเน้นเรื่องการนำคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I. มาใช้ในการเรียนการสอนแทนครู โรงเรียนก็จะยิ่งดูล้ำสมัย จนโรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศไม่มีทางตามทัน แล้วเม็ดเงินก็จะหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ
เศรษฐีคิดตามแล้วคำนวณต้นทุนกำไรอยู่สักพัก จากนั้น เศรษฐีก็สั่งให้ผู้จัดการทั้งหมดรีบดำเนินการสร้างโรงเรียนในฝันให้เสร็จสมบูรณ์ภายในเวลา 6 เดือน
เมื่อเศรษฐีทุ่มเงินสร้างโรงเรียนในฝันอย่างเต็มที่ โรงเรียนที่เลิศหรูอลังการไร้เทียมทานจึงเสร็จสมบูรณ์ในเวลาที่กำหนด แต่เมื่อถึงวันเปิดเทอมซึ่งเศรษฐีฝันว่าจะมีเด็ก ๆ แห่กันมาสมัครเรียนอย่างล้นหลาม ผลปรากฏว่า โรงเรียนทั้งโรงเรียนกลับมีนักเรียนเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…ลูกสาวตัวน้อยของเศรษฐี
เศรษฐีแปลกใจมากที่พ่อแม่ในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนในฝันเลย
ช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการเปิดเทอม ในขณะที่ลูกสาวตัวน้อยของเศรษฐีไปเรียนหนังสือตามลำพังในโรงเรียนที่พ่อของเธอสร้างเอาไว้ เศรษฐีได้สั่งให้ผู้จัดการและทีมงานทุกคนจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เพื่อดึงให้พ่อแม่พาลูกย้ายโรงเรียนมาเรียนที่นี่ให้ได้
แต่อนิจจา ไม่ว่าเศรษฐีจะพยายามมากสักเพียงใด พ่อแม่และเด็ก ๆ ต่างก็สมัครใจที่จะเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ แห่งเดิมโดยไม่แปรเปลี่ยน
เศรษฐีโมโหที่คนเก่งอย่างเขาเอาชนะโรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ แบบนั้นไม่ได้ เศรษฐีไม่เคยทำธุรกิจแพ้ใคร ดังนั้น เศรษฐีจึงตัดสินใจส่ง “สายลืบ” เข้าไปล้วงความลับว่า เพราะเหตุใด พ่อแม่และเด็ก ๆ จึงได้ไม่ยอมเปลี่ยนโรงเรียนเลยแม้แต่คนเดียว
เมื่อเศรษฐีมุ่งคิดแต่เรื่องการเอาชนะ เขาจึงตัดสินใจส่งสายลืบที่ดูแนบเนียนที่สุดไปยังโรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ แห่งนั้น ซึ่งสายสืบคนเดียวที่สามารถล้วงความลับได้ดีที่สุดจำเป็นต้องเป็นเด็กประถม และเด็กประถมคนเดียวที่เศรษฐีมีอยู่ ก็คือ “ลูกสาว” ของตัวเอง
เมื่อเศรษฐีตัดสินใจส่งลูกสาวไปเป็นสายสืบ เศรษฐีจึงทำการสมัครให้ลูกสาวเข้าเรียนที่โรงเรียนของคุณครูจรัสศรี พร้อมกับกำชับให้ลูกสาวสืบให้ได้ว่า โรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ แห่งนั้น มีข้อดีอะไรที่ดึงดูดใจพ่อแม่และเด็กคนอื่น ๆ นอกจากนี้ ถ้าสายสืบพบข้อเสียอะไรก็ต้องเก็บหลักฐานมารายงาน เพราะเศรษฐีตั้งใจจะนำหลักฐานมาโจมตีให้โรงเรียนคู่แข่งพ่ายแพ้ในสงครามธุรกิจ
“ลูกต้องสืบให้ได้นะว่า โรงเรียนคู่แข่งของเราตกแต่งโรงเรียนยังไงให้เด็ก ๆ ชอบ ใช้หลักสูตรจากประเทศไหนที่ดึงดูดใจเด็ก ๆ และมีการใช้ A.I.หรือมีอะไรที่ทันสมัยกว่าโรงเรียนของเราหรือเปล่า” เศรษฐีกำชับ
เมื่อลูกสาวเศรษฐีได้รับคำสั่งจากพ่อ ลูกสาวเศรษฐีจึงจำใจต้องย้ายโรงเรียบแบบไม่ทันตั้งตัว และต้องกลายเป็นสายสืบแทนที่จะเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ
วันแรกที่ลูกสาวเศรษฐีไปโรงเรียน คุณครูจรัสศรีเป็นคนมารับเด็กหญิงตัวน้อยที่รถของคุณพ่อ และรับปากว่าจะดูแลเด็กหญิงตัวน้อยให้ดีที่สุด เมื่อรถของคุณพ่อขับออกไปจากโรงเรียนแล้ว คุณครูจรัสศรีก็ค่อย ๆ ย่อตัวลงจนครูกับนักเรียนอยู่ในระดับความสูงไล่เลี่ยกัน จากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ทักทายนักเรียนใหม่ผู้น่ารักว่า “สวัสดีจ้ะคนดี ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ ครูชื่อครูจรัสศรี ไม่ใช่จรัสหมีหรือจะจับหมีนะจ๊ะ ถึงครูจะตัวใหญ่เหมือนหมี แต่ครูก็น่ารักไม่แพ้หมีแพนด้านะ” คุณครูจรัสศรีพยายามพูดติดตลกเพื่อสร้างบรรยากาศให้นักเรียนใหม่รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้น คุณครูตัวใหญ่ก็พานักเรียนตัวเล็กเดินไปยังห้องเรียน
ระหว่างทาง ลูกสาวเศรษฐีพยายามสังเกตการตกแต่งของโรงเรียนตามที่พอสั่ง สักพัก เด็กน้อยก็เห็นแปลงดอกไม้ ซึ่งมีเด็ก ๆ ในวัยเดียวกับเธอพากันมาดูแลและรดน้ำอย่างมีความสุข
เมื่อคุณครูจรัสศรีสังเกตเห็นสีหน้าของนักเรียนใหม่มีทีท่าสนใจ คุณครูจรัสศรีจึงเล่าว่า “เด็กนักเรียนที่โรงเรียนของเราจะได้เลือกปลูกต้นไม้ดอกไม้ที่ตัวเองชอบ แล้วคอยดูแลให้ต้นไม้ดอกไม้ของตัวเองเจริญเติบโต โรงเรียนของเราจะสวยและน่าอยู่แค่ไหน ก็เป็นเพราะสองมือของเด็ก ๆ ทุกคนเลยจ้ะ แล้วครูจะพาหนูมาปลูกดอกไม้ของตัวเองด้วยนะ ครูให้สัญญา”
ลูกสาวเศรษฐีรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ปลูกดอกไม้ของตัวเองบ้าง เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่า เธอสามารถมีส่วนร่วมในการทำให้โรงเรียนน่าอยู่ได้ เพราะโรงเรียนของพ่อใช้วิธีจ้างคนให้มาตกแต่งให้ทั้งหมด เด็กน้อยชอบกิจกรรมแบบนี้มาก เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนเพิ่งลงจากรถ เธอรู้สึกว่า คุณครูจรัสศรี มีอะไรบางอย่างที่น่ารักซ่อนอยู่จริง ๆ
เมื่อถึงเวลาเรียน แม้โรงเรียนของคุณครูจรัสศรีจะไม่มีการตกแต่งอาคารเป็นชั้นอวกาศ ชั้นวิทยาศาสตร์ ชั้นกีฬา ชั้นสร้างศิลปิน ชั้นของเล่น ชั้นสวนสนุก ชั้นสวนสัตว์ แต่ระหว่างการเรียน คุณครูจรัสศรีมักชวนเด็ก ๆ ให้ “สมมติ” ว่าห้องเรียนเป็นที่นั่นที่นี่ เช่น เป็นดวงดาวในจักรวาล เป็นดินแดนใต้ท้องทะเลลึก เป็นช่วงเวลาที่เด็กอยู่ในท้องแม่ เป็นดินแดนหนาวเหน็บที่ขั้วโลก ฯลฯ การสมมติทำให้การเรียนสนุกและไม่จำเจ ที่สำคัญ การสมมติยังพาเด็ก ๆ ไปยังทุกสถานที่ได้…แม้สถานที่เหล่านั้นจะไปจริง ๆ ไม่ได้ก็ตาม
ในเรื่องของหลักสูตรที่ใช้ ลูกสาวเศรษฐีรวบรวมความกล้าถามคุณครูจรัสศรีว่า คุณครูจรัสศรีใช้หลักสูตรจากประเทศไหนมาทำการสอน ตอนแรก คุณครูจรัสศรีค่อนข้างแปลกใจกับคำถาม แต่พอนึกทบทวนดู คุณครูจรัสศรีก็ตอบลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “หลักสูตรของครูน่าจะเป็นหลักสูตรจากประเทศหัวใจนะ”
ลูกสาวเศรษฐีค่อนข้างงงกับคำตอบของคุณครู แต่เมื่อคุณครูจรัสศรีเริ่มสอนด้วยการเล่าเรื่อง ร้องเพลง ถามคำถาม ชวนเล่น ชวนคิด ชวนทำ แถมยังเว้นจังหวะให้เด็กแสดงความเห็น ทั้งยังใช้หู ใช้ตา ใช้ใจ ในการสังเกตและโต้ตอบกับเด็กแบบไม่มีบท ไม่มีตำราบังคับ ลูกสาวเศรษฐีจึงได้สัมผัสว่า การสอนจากหลักสูตรประเทศหัวใจของคุณครูจรัสศรีช่างแตกต่างจากการสอนของคุณครูในโรงเรียนของพ่อ ซึ่งคุณครูทุกคนสอนตามที่หลักสูตรเมืองนอกเขียนไว้ทุกคำ ถามคำถามเด็ก ๆ ตามที่คู่มือบอก กดปุ่มเครื่องมือเครื่องใช้ตามเวลาที่กำหนด เมื่อลูกสาวเศรษฐีมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ครูก็จะพูดซ้ำกับที่สิ่งพูดมาแล้ว เหมือนสอนด้วยการท่องจำ ไม่ใช่สอนจากความเข้าใจ ซึ่งต่างจากคุณครูจรัสศรีมาก
ในเรื่องของการใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือ A.I. ลูกสาวเศรษฐีพยายามสังเกตและหาคำตอบตามที่พ่อมอบหมาย แต่ในห้องเรียนไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยใด ๆ เลย จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ลูกสาวเศรษฐีพบว่า นอกจากทีมแม่ครัวและทีมแม่บ้านที่มารับเด็ก ๆ ไปกินข้าวแล้ว มีทีมครูอีกทีมหนึ่ง ชื่อ ทีมสนับสนุนการทำงานของครู เข้ามาพูดคุยกับคุณครูจรัสศรีพร้อมกับนำเอกสารปึกใหญ่มาด้วย
คุณครูจรัสศรีสังเกตเห็นว่านักเรียนใหม่มองคุณครูเหล่านั้นด้วยสีหน้าสงสัย คุณครูจรัสศรีจึงอธิบายให้ลูกศิษย์ตัวน้อยฟังว่า “คุณครูเหล่านี้เป็นคนคอยช่วยคุณครูทุกคนในโรงเรียนเกี่ยวกับการทำงานเอกสารต่าง ๆ ที่ไม่ใช่งานสอน และคุณครูเหล่านี้จะช่วยใช้คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่ A.I.ในการค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลที่มีความถูกต้องและทันสมัย” คุณครูจรัสศรีหยุดพูดนิดหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแล้วเล่าต่อไปว่า “แต่ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรือการใช้ A.I. บางครั้งก็ไม่ถูกต้องนะ ทีมสนับสนุนครูเคยใช้ A.I.ถามว่า คุณครูจรัสศรีเป็นใคร พอ A.I. ตอบว่า คุณครูจรัสศรีเป็นคุณครูใจดีที่เลี้ยงหมี สอนสนุก ลุกนั่งไม่ค่อยไหว แถมสวยน่ารักเหมือนนางฟ้า ทีมสนับสนุนครูจึงรู้ในทันทีว่า A.I.อาจให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงบางส่วน แต่บางส่วนเชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น ทีมสนับสนุนครูจึงต้องตรวจสอบข้อมูลจากหลายทาง ก่อนที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาส่งต่อให้ครูเพื่อสอนพวกเรา”
ลูกสาวเศรษฐีค่อนข้างตกใจที่เธอเพิ่งรู้ว่า A.I.ที่โรงเรียนของพ่อใช้แทนครู เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือไม่ได้เสมอไป การใช้ A.I. แทนครูจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ในช่วงเย็น ระหว่างที่ลูกสาวเศรษฐีรอให้พ่อมารับกลับบ้าน คุณครูจรัสศรีชวนลูกศิษย์ตัวน้อยไปปลูกต้นไม้ต้นแรกในแปลงที่คุณครูเตรียมไว้ให้ ลูกสาวเศรษฐีดีใจที่จะได้ปลูกต้นไม้ในโรงเรียนแห่งนี้ แต่สิ่งที่ทำเด็กน้อยดีใจมากกว่านั้นก็คือ การที่คุณครูจรัสศรีทำตามคำสัญญาเรื่องปลูกต้นไม้ที่บอกไว้ตั้งแต่เช้า ลูกสาวเศรษฐีอบอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับคุณครูจรัสศรีทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้รู้จักกันเพียงวันเดียว บางทีหัวใจของเด็กน้อยอาจสัมผัสได้ถึงความรักที่คุณครูจรัสศรีส่งออกมาจากหัวใจก็เป็นได้
หลังจากที่เด็กน้อยปลูกต้นไม้เสร็จได้ไม่นาน รถของคุณพ่อก็มาถึงที่โรงเรียนพอดี
ทันทีที่เศรษฐีลงจากรถและเดินมาหาลูกสาว แทนที่เศรษฐีจะถามลูกสาวว่าหิวไหม เหนื่อยไหม เศรษฐีผู้ร้อนรนอยากรู้ความลับของโรงเรียนคู่แข่ง ก็รีบกระซิบถามลูกสาวด้วยเสียงที่เบาที่สุดว่า “วันนี้ สืบอะไรมาได้บ้าง”
เศรษฐีไม่รู้เลยว่า คุณครูจรัสศรีเป็นคุณครูที่ตั้งใจสังเกตลูกศิษย์ของตัวเองเสมอ ในจังหวะที่เศรษฐีถามลูกสาวด้วยเสียงที่เบาที่สุด หูของคุณครูจรัสศรีกลับได้ยินคำพูดของเศรษฐีทุกคำอย่างชัดเจน ส่วนตาของคุณครูจรัสศรีก็เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนของลูกศิษย์ตัวน้อย และใจของคุณครูจรัสศรีก็สัมผัสได้ถึงหัวใจของลูกศิษย์ที่ผิดหวัง เพราะแทนที่พ่อจะถามถึงสารทุกข์สุขดิบในการมาโรงเรียนใหม่วันแรก แต่คุณพ่อกลับถามถึงเรื่องอื่นไปเสีย
จริง ๆ แล้ว คุณครูจรัสศรีพอจะทราบว่า คุณพ่อของเด็กน้อยเป็นเศรษฐีซึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เมือง ๆ นี้ได้ไม่กี่เดือน และเป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งใหม่ที่ได้ชื่อว่าทันสมัยมาก ส่วนเด็กน้อยเป็นเด็กกำพร้าที่เพิ่งเสียคุณแม่ไปได้ไม่นานนัก การที่เศรษฐีส่งลูกสาวมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่คุณครูจรัสศรีรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อคุณครูจรัสศรีได้เห็นท่าทีและได้ฟังคำพูดของเศรษฐีที่มีกับลูก คุณครูจรัสศรีจึงมองลูกศิษย์ด้วยความสงสาร จากนั้น คุณครูจรัสศรีจึงตัดสินใจ ปกป้องลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยหัวใจของครูที่รักลูกศิษย์เหมือนลูกแท้ ๆ
สิ่งที่คุณครูจรัสศรีทำ คือการบอกให้ลูกศิษย์ตัวน้อยไปเลือกต้นไม้ดอกไม้ที่ชอบมาอีกต้น เพื่อให้คุณพ่อปลูกคู่กับต้นไม้ของลูกสาวเป็นกรณีพิเศษ เด็กหญิงตัวน้อยดีใจมากที่คุณครูอนุญาตให้คุณพ่อปลูกต้นไม้คู่กับตนเอง เด็กน้อยยิ้มสดใส แล้วรีบเดินไปเลือกต้นไม้เพื่อนำมาปลูกในแปลงอีกต้นหนึ่ง
เมื่อลูกสาวเศรษฐีเดินพ้นสายตาไปแล้ว คุณครูจรัสศรีก็หันมามองเศรษฐีด้วยสีหน้าของคุณครูที่เข้มงวดที่สุด เศรษฐีตกใจและรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปเป็นเด็กที่กำลังจะโดนคุณครูดุ แต่ก่อนที่เศรษฐีจะทันตั้งตัว คุณครูจรัสศรีก็พูดกับเศรษฐีว่า “ครูรู้แล้วนะว่าคุณพ่อส่งลูกสาวมาเรียนที่นี่เพราะอะไร” คุณครูจรัสศรีพูดเสียงดุจนเศรษฐีหน้าซีด จากนั้น คุณครูจรัสศรีก็พูดต่อไปว่า “ครูเอง แม้จะเพิ่งได้เป็นครูของลูกสาวคุณพ่อแค่เพียงวันเดียว แต่ครูก็อยากปกป้องเค้าให้ดีที่สุด ครูจึงอยากเตือนคุณพ่อว่า หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่มีค่ามากนะคะ อย่าเห็นแก่ความต้องการของตัวเอง จนลืมปกป้องหัวใจของเค้า อย่าผลักไสหรือสั่งให้ลูกเป็นอย่างอื่นเลย ให้ลูกได้เป็นลูก เป็นเด็กนักเรียนธรรมดา ๆ แต่เป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อ จะไม่ดีกว่าเหรอคะ”
เมื่อคุณครูจรัสศรีพูดจบ ลูกสาวเศรษฐีก็นำต้นไม้ต้นเล็ก ๆ สำหรับคุณพ่อกลับมาที่แปลงดอกไม้พอดี
หลังจากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ปล่อยให้เศรษฐีปลูกต้นไม้กับลูกสาวกันตามลำพัง ครั้นเมื่อสองพ่อลูกปลูกต้นไม้เสร็จ พวกเขาก็ลาคุณครูขึ้นรถกลับบ้าน โดยที่เศรษฐีไม่ได้ถามเรื่องภารกิจลับใด ๆ กับลูกสาวอีก
ระหว่างทาง ลูกสาวเศรษฐีเล่าเรื่องสนุก ๆ ที่ได้พบในโรงเรียนให้เศรษฐีฟังไม่หยุดปาก แต่เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณครูจรัสศรีที่รูปร่างเหมือนหมี แต่น่ารักเหมือนหมีแพนด้า
เศรษฐีนึกขอบคุณคุณครูจรัสศรีที่เตือนสติเขา เศรษฐีรับรู้ได้ว่า คุณครูหวังดีและพยายามปกป้องลูกสาวของเขาจากพ่อที่ไม่เอาไหน เศรษฐีรู้แล้วว่า เพราะเหตุใดผู้คนจึงพาเด็ก ๆ มาเรียนหนังสือกันที่นี่
เศรษฐีกอดลูกสาวเอาไว้ในอ้อมอก ในขณะที่เด็กน้อยเล่าเรื่องจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อเศรษฐีก้มมองหน้าของลูกสาว เขาก็มองเห็นรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าของลูกสาวสุดที่รัก…ซึ่งเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว
#นิทานนำบุญ
บันทึกท้ายนิทาน
นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผมแต่งขึ้นใหม่ และพบว่ามันแต่งยากมาก สาเหตุอาจเนื่องมาจาก มันเป็นนิทานเกี่ยวกับครูและเกี่ยวกับเรื่องของการศึกษา ซึ่งผมดันมีส่วนเกี่ยวข้องเยอะ รู้สึกร่วมเยอะ และรู้อะไร ๆ เยอะ พอมีเรื่องที่อยากจะบอกเยอะ มันจึงเรียบเรียงให้อยู่ในนิทานเรื่องเดียวได้ยาก
ต้องออกตัวก่อนว่า ผมเคยเรียนหนังสือกับคุณครูแบบคุณครูจรัสศรี (คือคุณครูแบบไทยเมื่อสมัยที่ผมเป็นเด็ก คือราว ๆ เกือบ 50 ปีก่อน) และผมก็เคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ที่เป็นอย่างครูจรัสศรี จนเมื่อเด็กที่ผมสอนโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กย้อนกลับมาหาผมเพื่อว่าบอก “ช่วงเวลาที่ได้เรียนกับครู เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในวัยเด็กของผม”
ประเด็นเรื่องโรงเรียนที่ตกแต่งหรูหรา แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ผมอยากเขียนเพราะเคยไปโรงเรียนบางแห่ง ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร มีห้องเรียนที่น่าสนใจหลายรูปแบบ แต่คุณครูบางคนกลับขู่เด็กว่าถ้าดื้อจะเอาเข็มทิ่ม หรือถ้าดื้อจะยัดเข้ากล่อง (การได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำให้ผมอยากสะท้อนว่า ความหรูหราอลังการของอาคาร ไม่ได้สำคัญเท่าจิตใจของความเป็นครูที่รักเด็กเลย)
ประเด็นเรื่อง หลักสูตรจากเมืองนอก ในสมัยที่ผมคลุกคลีในวงการศึกษา ผมพบว่ามีการนำหลักสูตรจากยุโรปมาจัดการศึกษาในไทย หลักสูตรดูดี มีสื่อยืนยันว่าดี มีนักวิชาการยืนยันว่าดี แต่เมื่อผมได้ไปสัมผัสกับโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรดังกล่าว ผมพบว่า ครูยังฝึกใช้ฝึกทำตามหลักสูตรอยู่เลย (เด็กจึงกลายเป็นหนูทดลอง) เมื่อผมไปอยู่ในต่างประเทศและได้อาศัยอยู่ในบ้านที่เรียนด้วยหลักสูตรดังกล่าว ผมก็พบว่า คนที่เรียนจากหลักสูตรแบบนี้ก็คือคนปกติ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ (บางทีเรามองข้ามสิ่งดี ๆ ที่เรามีอยู่แล้ว แล้วไปชื่นชมสิ่งที่อยู่ไกลตัว สิ่งที่เราไม่รู้จักมันอย่างรอบด้าน ผมจึงอยากสื่อสารในเรื่องนี้ ให้พ่อแม่พิจารณาดี ๆ ก่อนให้ลูกไปเรียนที่ไหน บางทีสิ่งที่ไม่มีโฆษณามาเชียร์ อาจดีด้วยตัวมันอยู่แล้ว)
ประเด็นเรื่องครูทำตามหลักสูตรที่อ่านเป๊ะ ๆ เรื่องนี้ผมพบตอนเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์เหมือนรู้ทุกอย่างที่พูด แต่เวลาถูกถาม กลับตอบแบบที่ตำราบอก แค่พลิกคำไปมา แต่ไม่สามารถยกตัวอย่างอื่น ๆ ให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ ผมมองว่าครูที่สอนจนเข้าใจสิ่งที่สอนจริง ๆ จะอธิบายทุกเรื่องให้เข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาง่าย ๆ แต่บ่อยครั้งที่เราเชื่อคนใช้ภาษาวิชาการ ภาษาที่ฟังเหมือนมีแต่คนฉลาดที่จะเข้าใจ แต่ในมุมมองของผม คนที่รู้จริงจะแปลงเรื่องยาก ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายเสมอ
ประเด็นเรื่อง การใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ A.I. แทนคน เรื่องนี้ ผมพบตัวเอง คือ ตอนผมพิมพ์ถาม A.I. เกี่ยวกับนิทานที่ผมแต่ง A.I. ตอบเหมือนรู้ ดูน่าเชื่อถือมาก แต่ข้อมูลผิดครึ่งนึง ถูกครึ่งนึง ดังนั้น มันจึงเป็นเครื่องมือที่อันตราย แต่หลายคนเชื่อมันโดยไม่รู้ว่า ข้อมูลจาก A.I.หรือแม้แต่ในสื่อออนไลน์ มีข้อมูลที่เป็นเท็จอยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้คือเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ การรู้เท่าทันเทคโนโลยี และการรู้เท่าทันข่าวสาร (เป็นคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของคนในศตวรรษนี้ที่ควรจะมี)
ประเด็นเรื่อง ทีมสนับสนุนคุณครู เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจอยากเขียนไว้ในนิทาน เพราะผมเคยได้ยินว่า สมัยนี้ครูมีภาระงาน (นอกเหนือจากการสอน) มากกว่าครูสมัยก่อน ผมคิดว่า ถ้าโรงเรียนเติมทีมสนับสนุนให้เข้ามาช่วยงานของครู แล้วให้ครูได้เป็นครูจริง ๆ แบบสมัยก่อน มันก็คงจะดีมาก ๆ (หากทำได้) เวลาแต่งนิทานผมมักใส่ความคิดต่าง ๆ ของตัวเองเติมเข้าไป นิทานนำบุญเลยมีจุดที่ต่างจากนิทานของคนอื่นอยู่พอสมควรครับ
ส่วนเนื้อหาในช่วงที่ คุณครูจรัสศรีย่อตัวลงจนครูกับนักเรียนอยู่ในระดับความสูงไล่เลี่ยกัน จากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ทักทายนักเรียนใหม่ผู้น่ารักเพื่อสร้างบรรยากาศให้นักเรียนใหม่รู้สึกผ่อนคลาย ผมตั้งใจสอดแทรกวิธีการที่ครูหรือผู้ใหญ่ควรใช้เมื่อต้องสื่อสารกับเด็ก (โดยเฉพาะการพบกันครั้งแรก ๆ ที่เด็กยังรู้สึกไม่คุ้นเคย)
จริง ๆ แล้วมีประเด็นเกี่ยวกับการศึกษาอีกหลายเรื่องที่ผมอยากบอกเล่า แต่เมื่อบอกเล่าผ่านนิทาน มันจึงต้องหาวิธีเล่าที่เหมาะสม พอมีเรื่องอยากเล่าเยอะ การแต่งนิทานเรื่องนี้จึงยาก ผมจึงขอเขียนบันทึกนี้ไว้ให้อ่านกันเล่น ๆ เพื่อสื่อสารให้คุณผู้อ่านเห็นถึงความตั้งใจ (และความคิดเยอะ) ที่ทำให้ผมแต่งนิทานเรื่องนี้ได้ช้ามาก ๆ
หมดแรงเลยครับกับนิทานเรื่องนี้
#นิทานนำบุญ