Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ทำไม คุณพ่อคุณแม่ถึงทน…

นิทานเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) ตั้งใจแต่งมาก ๆ เพื่อมอบให้คุณพ่อ คุณแม่ และเด็ก ๆ (รวมทั้งผู้อ่านที่ชอบอ่านนิทานนำบุญให้คนที่รักฟัง) ผมเขียนสิ่งที่อยากมอบให้ไว้ในนิทานเรื่องนี้หมดแล้ว หวังว่าจะชอบนิทานเรื่องนี้กันนะครับ

ทุก ๆ คืน คุณพ่อกระต่ายและคุณแม่กระต่ายจะผลัดกันอ่านนิทานให้ลูก ๆ ฟังคืนละ 3 – 4 เรื่อง แล้วจึงค่อยบอกให้ลูก ๆ เข้านอนอย่างมีความสุข

ข้าวปั้นรู้สึกว่าการอ่านนิทานไม่ใช่เรื่องยาก  มันจึงรับปากทำตามที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมาย

ในการอ่านนิทานเรื่องแรก  ข้าวปั้นเริ่มต้นอ่านนิทานด้วยเสียงที่สดใส แต่พออ่านไปได้สักพัก มันก็เริ่มระคายคอ  อ่านตะกุกตะกัก งึกงึกงักงัก เสียงแหบเสียงแห้ง เรี่ยวแรงร่อยหรอ  คันคอยิบยิบ ข้าวปั้นเพิ่งรู้ว่า การอ่านนิทานไม่ได้ง่ายอย่างที่มันคิด เมื่อข้าวปั้นอ่านนิทานเรื่องแรกจบ มันจึงบอกน้อง ๆ ว่า “ไม่ไหวแล้ว อ่านนิทานเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าวปุ้นมาอ่านนิทานแทนพี่ได้ไหม”

ในการอ่านนิทานเรื่องที่สอง ข้าวปุ้นเริ่มต้นอ่านนิทานด้วยเสียงที่สดใส  แต่พออ่านไปได้สักพัก มันก็เริ่มระคายคอ  อ่านตะกุกตะกัก งึกงึกงักงัก เสียงแหบเสียงแห้ง เรี่ยวแรงร่อยหรอ  คันคอยิบยิบ ข้าวปุ้นเพิ่งรู้ว่า การอ่านนิทานไม่ได้ง่ายอย่างที่มันคิด  เมื่อข้าวปุ้นอ่านนิทานจบ มันจึงบอกน้อง ๆ ว่า “ไม่ไหวแล้ว อ่านนิทานเรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว  ข้าวเปียกมาอ่านนิทานแทนพี่จะได้ไหม”

แทนที่ข้าวแฉะจะรับช่วงอ่านนิทานต่อจากพี่  ข้าวแฉะกลับทำหน้าสงสัย แล้วพูดกับพี่ ๆ ว่า “หนูแปลกใจจัง ทำไมพี่ ๆ อ่านนิทานกันแค่คนละเรื่อง แล้วกลับบอกว่าอ่านนิทานต่อไปไม่ไหว  หนูเห็นคุณพ่อกับคุณแม่อ่านนิทานคืนนึงตั้ง 3-4 เรื่อง ทำไมท่านถึงไม่หยุดอ่านเลยล่ะ”

ข้าวปั้นบอกว่า “คงเป็นเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ชอบฟังนิทานเหมือนเด็ก ๆ  แต่เพราะท่านโตแล้ว (ดูริ้วรอยที่หางตาคุณแม่สิ)  พอไม่มีใครอ่านนิทานให้ฟัง ก็เลยต้องอ่านเองยังไงล่ะ แต่ทำเป็นมาอ่านให้พวกเราฟัง จะได้ไม่เขิน”

ข้าวเปียกบอกว่า “ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ ฉันว่าคุณพ่อกับคุณแม่คงขี้เกียจอาบน้ำ  แต่ถ้าจะพูดว่าเดี๋ยวก่อน ๆ  พวกเราก็จะทำตาม  คุณพ่อกับคุณแม่เลยชวนพวกเรามาฟังนิทาน  ท่านจะได้อาบน้ำช้าอีกหน่อยยังไงล่ะ”

ข้าวแฉะนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อไปว่า  “คุณพ่อคุณแม่ต้องรักพวกเรามาก ๆ  ท่านจึงยอมเหนื่อยทำงาน ยอมเหนื่อยดูแลบ้าน  ยอมเหนื่อยหาอาหารให้พวกเรา  แถมยังยอมเหนื่อยเล่านิทานให้พวกเราฟัง  พวกเราเองต่างหาก ที่ปากบอกว่ารักคุณพ่อคุณแม่ แต่พวกเราเคยยอมเหนื่อยทำอะไรเพื่อท่านบ้างไหมนะ”

……..

………….

………………..

ข้าวปั้น ข้าวปุ้น ข้าวเปียกและข้าวแฉะ ช่วยกันทำความสะอาดบ้านจนบ้านดูเรียบร้อยอย่างเห็นได้ชัด มิหนำซ้ำ ลูกกระต่ายทั้งสี่ตัวยังผลัดกันอาบน้ำแต่งตัวจนพวกมันพร้อมไปโรงเรียนโดยที่ไม่ต้องให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อย 

พ่อกระต่ายกับแม่กระต่ายสัมผัสได้ถึงความพยายามและความรักที่ลูก ๆ มีให้  คุณพ่อกับคุณแม่จึงเรียกลูก ๆ มาใกล้ ๆ  จากนั้น คุณพ่อกับคุณแม่ก็ “กอดและจุ๊บเหม่ง” ลูก ๆ ทั้งสี่ด้วยความรัก

ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็กระซิบถามลูก ๆ ด้วยความรักว่า “วันนี้วันหยุด ลูก ๆ อาบน้ำแล้วแต่งชุดนักเรียนแบบนี้ ลูก ๆ จะไปไหนกันเหรอจ๊ะ ฮิฮิ”

………………………………………………………………………………………………………….

ในตอนที่ผมพิมพ์นิทานเรื่องนี้เพื่อนำมาโพสต์ในเว็บนิทานนำบุญ ผมนึกถึงตอนที่ผมเป็นเด็ก ตอนนั้น…ผมรู้ว่าผมรักพ่อ รักแม่ รักอาม่า ผมรู้ว่าแม่กับอาม่าทำอะไรต่อมิอะไรให้ผมสารพัด เวลามีของกินอร่อย ๆ ก็ให้ผมกินหมด (ตัวเองไม่ยอมกิน) ยอมเหนื่อยทำนู่นทำนี่ให้ผมตลอด ผมซึ่งไม่รู้จักคิด ก็เห็นการกระทำเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ! ไม่เคยรู้สึกว่า “คนทำเขาก็เหนื่อยนะ และที่เขาเหนื่อยก็เพราะรักเรานะ”

ความไร้เดียงสาที่ยาวนานของผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมควรนำประเด็นนี้มาใส่ในนิทานเรื่องนี้ ผมไม่ได้ตั้งใจสอนให้เด็ก ๆ ทำงานบ้านหรือแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ แต่ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้รู้สึกถึงสิ่งที่สำคัญกว่านั้น นั่นก็คือ “เมื่อเรารู้สึกว่าเรารักใคร อย่าลืมดูแลคนที่เรารักให้ดี อย่าปล่อยให้เขาเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว”

ผมหวังว่า นิทานเรื่องนี้จะให้แง่มุมที่เป็นประโยชน์และสร้างความสุขให้คุณผู้อ่านได้บ้างนะครับ แต่สำหรับผมเอง ผมตั้งใจและดีใจที่ได้แต่งนิทานเรื่องนี้ออกมา 🙂

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

เจ้าหญิงสายลมกับเจ้าชายทั้งสาม

ความสนุกในการใช้ A.I.ที่ผมพบ คือ A.I.มักมีจุดบกพร่องในการคิดเยอะ คือ เวลาเราพิมพ์อะไรให้ A.I.สังเคราะห์คำตอบ A.I.มักเกริ่นด้วยคำพูดเท่ ๆ ที่ดูน่าเชื่อถือ แต่เนื้อหาที่ตอบ ไม่ค่อยน่าเชื่อถือมากนัก (บางครั้ง มีการให้ข้อมูลเป็นชื่อและนามสกุลของคน ที่จริง ๆ แล้วไม่มีตัวตน! พอไล่ต้อน A.I.ก็จะแกล้งแฮงค์ แล้วปิดระบบหนีไป)

ผมจึงนำเรื่องย่อมาขัดเกลา เพิ่มลดรายละเอียด ปรับให้เรื่องสมเหตุสมผลมากขึ้น (แบบพิมพ์ไว ๆ ) แล้วให้ A.I. เรียบเรียงเป็นนิทานที่เขียนแบบสมบูรณ์ขึ้น

แต่การที่ A.I. ทำงานเพี้ยนในครั้งนี้ จู่ ๆ A.I.ก็สังเคราะห์ข้อความในช่วงท้ายของนิทานที่ทำให้ผมทึ่ง! เพราะเนื้อหาของนิทานที่ A.I. พิมพ์ออกมาในช่วงท้าย เป็นแง่มุมที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อนในนิทานสำหรับเด็ก

ก่อนไปอ่านนิทาน ผมอยากบอกว่า จริง ๆ แล้วนิทานเรื่องนี้สามารถเขียนให้เป็นนิทานที่มีตัวละครหรือเรื่องราวได้อีกหลายรูปแบบ ทั้งยังสามารถเพิ่มรายละเอียดให้สนุกสนานตื่นเต้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ผมตั้งใจแต่งนิทานเรื่องนี้ให้กระชับ และคงสิ่งที่ A.I. สังเคราะห์เอาไว้เท่าที่ควรจะมี เพื่อเป็นที่ระลึกว่า “A.I.เพี้ยน ๆ ก็ทำให้นักแต่งนิทานทึ่งได้เหมือนกันนะ”

เจ้าหญิงสายลมเป็นเจ้าหญิงแสนสวย ที่มีนิสัยน่ารัก ทั้งยังมีจิตใจดีงาม จนทุกคนที่ได้พบมักหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น  ซึ่งรวมไปถึง เจ้าชายสามพระองค์ที่หญิงสาวจากทั่วทุกสารทิศต่างหมายปอง

เจ้าชายองค์ที่สองมีชื่อว่า “เจ้าชายแสงอาทิตย์”  พระองค์เป็นเจ้าชายรูปหล่อ ที่มีพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถสร้างได้ทั้งความอบอุ่นและพลังความร้อนเพื่อใช้ทำลายล้าง

เจ้าชายทั้งสามพระองค์ต่างหลงรักเจ้าหญิงตั้งแต่แรกเห็น  เจ้าชายทั้งสามจึงรอเวลาที่พระราชาจะจัดงานเลือกคู่แบบที่เคยฟังในนิทานเรื่องต่าง ๆ

วันหนึ่ง เกิดเหตุร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะมีแม่มดใจร้ายตนหนึ่ง อยากได้เจ้าหญิงแสนสวยไปแต่งงานกับพ่อมดซึ่งเป็นลูกชายของตน    แม่มดจึงลักพาตัวเจ้าหญิงไปจากพระราชวัง  โดยตั้งใจจะบังคับให้เจ้าหญิงมาเป็นลูกสะใภ้ของตนให้จงได้

เมื่อพระราชาทราบว่าเจ้าหญิงถูกแม่มดลักพาตัวไป  พระราชาจึงประกาศขอความช่วยเหลือจากผู้คนทั้งหลายอย่างไม่รอช้า

เมื่อเจ้าชายทั้งสามไปถึงหอคอยของแม่มด   เจ้าชายแสงจันทร์ใช้พลังสร้างความเงียบสงบ ทำให้ทุกคนเข้าไปในหอคอยได้ โดยที่แม่มดและลูกชายไม่ได้ยินเสียงผู้บุกรุกเลยแม้สักนิด    

เมื่อเจ้าหญิงปลอดภัย เจ้าชายต่างคาดหวังว่าเจ้าหญิงอาจเลือกแต่งงานกับเจ้าชายสักพระองค์ เพื่อให้เรื่องราวของนิทานจบลงอย่างมีความสุข

เจ้าชายแสงจันทร์ เจ้าชายแสงอาทิตย์ และเจ้าชายแสงดาว ต่างรู้สึกผิดหวัง เพราะเจ้าชายทุกพระองค์คาดหวังว่าตนเองอาจได้แต่งงานกับเจ้าหญิง 

เมื่อเจ้าชายทุกพระองค์ได้รับพลังแสงดาว  เจ้าชายผู้ผิดหวังก็ตระหนักได้ว่า  จริงๆ  แล้ว  มิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เจ้าหญิงมอบให้ มีคุณค่าไม่แพ้การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงที่ตนหลงรัก  เพราะความเป็นเพื่อน คือการที่บุคคลมีความปรารถนาดีต่อกัน การสนับสนุนซึ่งกันและกัน  การคอยตักเตือนกัน  และการให้เพื่อนมีอิสระในการใช้ชีวิต   

เมื่อพลังแสงดาวช่วยทำให้เจ้าชายทุกพระองค์ได้สติและเกิดความเข้าใจ    เจ้าชายทั้งสามจึงยินดีเป็นเพื่อนกับเจ้าหญิง โดยพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน  พัฒนาตนเองไปด้วยกัน และใช้ความรู้ความสามารถในการช่วยเหลือผู้คนที่ลำบากเดือดร้อนไปด้วยกัน 

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

นิทานเรื่อง ฉันชอบเธออย่างที่เธอเป็นมากที่สุด

“แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล แอปเปิ้ล มะละกอ มะละกอ มะละกอ

กล้วย กล้วย กล้วย ส้ม ส้ม ส้ม

แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม”

แอปเปิ้ลเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยิ่งถ้าวันไหนได้ปลูกผักในสวน แอปเปิ้ลจะอยู่ในสวนได้ทั้งวัน

กล้วยเป็นเด็กที่ชอบศึกษาหาความรู้ ถ้าวันไหนกล้วยได้อยู่บ้านอ่านหนังสือหรือได้ไปห้องสมุด กล้วยจะมีความรู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง

เมื่อถึงวันเกิดของลูก ๆ คุณแม่เห็นว่าลูก ๆ เป็นเด็กที่น่ารัก ไม่ดื้อไม่ซน และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์เสมอ คุณแม่จึงซื้อของขวัญเป็นตุ๊กตามาฝากลูกสาวคนละหนึ่งตัว

มะละกอได้ตุ๊กตาหมีที่มีชุดเป็นลายดอกไม้แสนอ่อนหวาน

ส่วนส้มไม่ได้ตุ๊กตาหมีเหมือนพี่ ๆ แต่เธอได้ตุ๊กตาเด็กไม่ใส่เสื้อแถมมีหัวจุก ซึ่งพี่ ๆ พากันร้องเพลงว่า “จ่อกกวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก กวิก จ่อก จ่อก กวิก กูลิติแกว็ด” กันอย่างสนุกสนาน

ในเวลาต่อมา เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิด

ในขณะเดียวกัน ตุ๊กตาหมีของมะละกอก็ส่งยิ้มให้มะละกอ พอมะละกอเห็น เธอก็ตาโตด้วยความประหลาดใจ แต่เธอก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ที่จะได้มีเพื่อนเล่น

ส่วนตุ๊กตาเด็กหัวจุกที่ดูคล้ายกุมารทองของส้มนั้น มันรู้สึกว่าตัวของมันไม่น่ารักเหมือนตุ๊กตาตัวอื่น ๆ แถมมันยังไม่มีเสื้อใส่เสียด้วย เมื่อสบโอกาส เจ้าตุ๊กตาก็พยายามส่งยิ้มให้ส้มอย่างเจียมตัว แต่เมื่อส้มมองมาที่มัน ส้มกลับมีสีหน้านิ่งเฉย!

ในวินาทีนั้น ส้มเพิ่งได้สติเพราะมัวแต่คิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ส้มเพิ่งสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาของเธอมีชีวิต และมีสีหน้าแปลก ๆ ด้วยเหตุนี้ ส้มจึงพูดกับตุ๊กตาว่า “เธอเป็นอะไรไปเหรอ ปวดห้องน้ำรึเปล่าจ๊ะ?”

ส้มมองเจ้าตุ๊กตาหัวจุกของเธอด้วยความเอ็นดู จากนั้น ส้มก็บอกกับเจ้าตุ๊กตาหัวจุกว่า

เจ้าตุ๊กตาหัวจุกเขินจนหน้าแดงไปหมด เพราะตลอดเวลา มันไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่าสำหรับใครเลย แต่ในวันนี้ มันรู้สึกว่า ตัวมันมีค่าจริง ๆ เมื่อได้อยู่กับเพื่อนใหม่ที่เห็นคุณค่าของมัน

ครั้นเมื่อคุณแม่กลับมา เด็กทุกคนก็ไม่ลืมที่จะไปหอมแก้มคุณแม่ เพราะนอกจากคุณแม่จะมอบของขวัญแสนพิเศษให้กับลูก ๆ ทุกคนแล้ว คุณแม่ยังรู้ใจลูก ๆ ทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถ้าใครจะหอม ขอฝากหอมด้วยสักสองสามฟอด จากนั้น ก็ขอให้ทุกคนเข้านอนอย่างมีความสุขนะจ๊ะ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก (แบบกระชับ)

ชื่อเสียงในการสอนและความรักเด็กของคุณครูจรัสศรีทำให้ผู้คนในเมืองพาลูกหลานมาเรียนที่โรงเรียนเล็ก ๆ เก่า ๆ ของคุณครูจรัสศรีกันหมด   แม้จะมีเด็กมาเรียนมาก  แต่คุณครูจรัสศรีก็ไม่เคยคิดเอาเปรียบ  คุณครูจรัสศรีมักจัดสรรเงินค่าเทอมไปจ้างครู  จ้างทีมสนับสนุนการทำงานของครู  จ้างทีมแม่ครัวและแม่บ้าน  แล้วฝึกอบรมให้ทุกคนดูแลเด็ก ๆ ด้วยหัวใจ   

เมื่อเศรษฐีย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ในเมืองเล็ก ๆ  เศรษฐีพยายามค้นหาโรงเรียนให้ลูกสาวสุดที่รัก แต่เมืองทั้งเมืองมีโรงเรียนประถมแค่แห่งเดียว เป็นโรงเรียนที่ทั้งเล็กและเก่า แถมครูใหญ่ยังต้องมาสอนหนังสือด้วยตัวเอง  เศรษฐีจึงคิดว่า โรงเรียนคงไม่มีคุณภาพแน่ ๆ  ด้วยเหตุนี้ เศรษฐีจึงเรียกประชุมผู้จัดการให้ช่วยกันคิด “แผนธุรกิจ” ในการสร้างโรงเรียนประถม เพื่อใช้เป็นโรงเรียนของลูกสาว และเพื่อการสร้างรายได้จากเด็กนักเรียน

ผู้จัดการอีกคนหนึ่งเสนอว่า หากสร้างอาคารเรียนให้ทันสมัย เป็นตึกสัก 7 ชั้น แต่ละชั้นตกแต่งด้วยรูปแบบที่ต่างกัน เช่น ตกแต่งเป็นชั้นอวกาศ ชั้นวิทยาศาสตร์ ชั้นกีฬา ชั้นสร้างศิลปิน ชั้นของเล่น ชั้นสวนสนุก ชั้นสวนสัตว์  พ่อแม่น่าจะแย่งกันส่งลูกมาเรียน

เศรษฐีคิดตามแล้วสั่งให้ผู้จัดการทั้งหมดสร้างโรงเรียนให้เสร็จภายในเวลา 6 เดือน

เศรษฐีแปลกใจที่พ่อแม่ในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครส่งลูกมาเรียนที่โรงเรียนของเขาเลย  

“ลูกต้องสืบให้ได้นะว่า โรงเรียนคู่แข่งของเราตกแต่งโรงเรียนยังไง ใช้หลักสูตรจากประเทศไหนและมีการใช้ A.I.หรือมีอะไรที่ทันสมัยกว่าโรงเรียนของเราหรือเปล่า”  เศรษฐีกำชับ

วันแรกที่ลูกสาวเศรษฐีไปโรงเรียน  คุณครูจรัสศรีเป็นคนมารับเด็กหญิงตัวน้อยที่รถของคุณพ่อ จากนั้น คุณครูจรัสศรีก็ทักทายนักเรียนใหม่ว่า  “สวัสดีจ้ะคนดี ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ ครูชื่อครูจรัสศรี ไม่ใช่จรัสหมีหรือจะจับหมีนะจ๊ะ ถึงครูจะตัวใหญ่เหมือนหมี แต่ครูก็น่ารักไม่แพ้หมีแพนด้านะ”  จากนั้น  คุณครูตัวใหญ่ก็พานักเรียนตัวเล็กเดินไปยังห้องเรียน

ลูกสาวเศรษฐีตื่นเต้นที่จะได้ปลูกดอกไม้ของตัวเองบ้าง  เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่า  เธอสามารถมีส่วนร่วมในการทำให้โรงเรียนน่าอยู่ได้  เพราะโรงเรียนของพ่อใช้วิธีจ้างคนให้มาตกแต่งให้ทั้งหมด   

ในเรื่องของหลักสูตรที่ใช้   ลูกสาวเศรษฐีถามคุณครูจรัสศรีว่า  คุณครูจรัสศรีใช้หลักสูตรจากประเทศไหนมาทำการสอน  ตอนแรก คุณครูจรัสศรีค่อนข้างแปลกใจกับคำถาม  แต่พอนึกทบทวนดู  คุณครูจรัสศรีก็ตอบลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “หลักสูตรของครูน่าจะเป็นหลักสูตรจากประเทศหัวใจนะ”  

ในเรื่องของการใช้คอมพิวเตอร์  อินเตอร์เน็ต หรือ A.I.   ลูกสาวเศรษฐีพยายามสังเกตและหาคำตอบตามที่พ่อมอบหมาย  แต่ในห้องเรียนไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยใด ๆ  เลย   จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง  ลูกสาวเศรษฐีพบว่า   มีทีมครูอีกทีมหนึ่ง ชื่อ ทีมสนับสนุนการทำงานของครู  เข้ามาพูดคุยกับคุณครูจรัสศรีพร้อมกับนำเอกสารปึกใหญ่มาด้วย

ลูกสาวเศรษฐีค่อนข้างตกใจที่เธอเพิ่งรู้ว่า  A.I.ที่โรงเรียนของพ่อใช้แทนครู เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือไม่ได้เสมอไป การใช้ A.I. แทนครูจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก

ทันทีที่เศรษฐีลงจากรถ แทนที่เศรษฐีจะถามลูกสาวว่าหิวไหม เหนื่อยไหม  เศรษฐีผู้ร้อนรนกลับรีบกระซิบถามลูกสาวด้วยเสียงที่เบาที่สุดว่า “วันนี้ สืบอะไรมาได้บ้าง” 

จริง ๆ แล้ว คุณครูจรัสศรีพอจะทราบว่า คุณพ่อของเด็กน้อยเป็นเศรษฐีและเป็นเจ้าของโรงเรียนแห่งใหม่ ส่วนเด็กน้อยเป็นเด็กกำพร้าที่เพิ่งเสียคุณแม่ไปได้ไม่นานนัก  การที่เศรษฐีส่งลูกสาวมาเรียนที่โรงเรียนจึงเป็นเรื่องที่คุณครูจรัสศรีรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่ต้น  แต่เมื่อคุณครูจรัสศรีได้เห็นท่าทีและได้ฟังคำพูดของเศรษฐีที่มีกับลูก  คุณครูจรัสศรีจึงมองลูกศิษย์ด้วยความสงสาร จากนั้น คุณครูจรัสศรีจึงตัดสินใจ ปกป้องลูกศิษย์ตัวน้อยด้วยหัวใจของครูที่รักลูกศิษย์เหมือนลูกแท้ ๆ

เมื่อลูกสาวเศรษฐีเดินพ้นสายตาไปแล้ว  คุณครูจรัสศรีก็หันมามองเศรษฐีด้วยสีหน้าของคุณครูที่เข้มงวดที่สุด แล้วพูดกับเศรษฐีว่า “ครูรู้แล้วนะว่าคุณพ่อส่งลูกสาวมาเรียนที่นี่เพราะอะไร ครูเอง แม้จะเพิ่งได้เป็นครูของลูกสาวคุณพ่อแค่เพียงวันเดียว แต่ครูก็อยากปกป้องเค้าให้ดีที่สุด ครูจึงอยากเตือนคุณพ่อว่า หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่มีค่ามากนะคะ อย่าเห็นแก่ความต้องการของตัวเอง จนลืมปกป้องหัวใจของเค้า อย่าสั่งให้ลูกเป็นอย่างอื่นเลย ให้ลูกได้เป็นลูก เป็นเด็กนักเรียนธรรมดา ๆ แต่เป็นคนสำคัญที่สุดของพ่อ  จะไม่ดีกว่าเหรอคะ”

หลังจากนั้น  คุณครูจรัสศรีก็ปล่อยให้เศรษฐีปลูกต้นไม้กับลูกสาวกันตามลำพัง  ครั้นเมื่อสองพ่อลูกปลูกต้นไม้เสร็จ  พวกเขาก็ลาคุณครูขึ้นรถกลับบ้าน  โดยที่เศรษฐีไม่ได้ถามเรื่องภารกิจลับใด ๆ กับลูกสาวอีก

เศรษฐีนึกขอบคุณคุณครูจรัสศรีที่เตือนสติเขา   เศรษฐีรับรู้ได้ว่า คุณครูหวังดีและพยายามปกป้องลูกสาวของเขาจากพ่อที่ไม่เอาไหน  เศรษฐีรู้แล้วว่า เพราะเหตุใดผู้คนจึงพาเด็ก ๆ มาเรียนหนังสือกันที่นี่ 

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง ครูจะกอดลูกไว้ด้วยใจรัก

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง พลังวิเศษของกูรูบูจู้

กูรูบูจู้เป็นสัตว์ที่เป็นมิตรและชอบเล่นกับสัตว์ป่าอื่น ๆ มาก แต่กูรูบูจู้ไม่ใช่สัตว์ที่เกิดตามธรรมชาติมันเป็นผลงานการเนรมิตของนักเวทย์ที่ชื่อว่า “แอนโทเนีย”

แม้กูรูบูจู้จะเป็นสัตว์ที่เกิดขึ้นจากเวทมนตร์ แต่กูรูบูจู้มีความแตกต่างจากสัตว์เนรมิตของนักเวทย์คนอื่น ๆ นั่นก็คือ มันเป็นสัตว์เนรมิตที่ “มีหัวใจ” และรู้จักการส่งมอบความรัก

กูรูบูจู้เป็นสัตว์เนรมิตที่แอนโทเนียรักมากที่สุด ส่วนกูรูบูจู้ก็รักและถือว่าแอนโทเนียเป็นแม่ของมันด้วยเหตุนี้เอง กูรูบูจี้จึงตั้งใจที่จะเป็นสัตว์เนรมิตที่ดี และต้องการปกป้องแอนโทเนียให้ปลอดภัยจากผู้ที่ไม่หวังดีทั้งหลาย

แต่การจับกูรูบูจู้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกูรูบูจู้มีอาวุธเป็นเขา แถมยังบินได้ ที่สำคัญ มันมีความผูกพันกับแอนโทเนียมาก จึงมักอยู่ใกล้ ๆ เธอเสมอ หากใครคิดจะไปลักพาตัวหรือจับกูรูบูจู้ แอนโทเนียก็คงปกป้องกูรูบูจู้ด้วยเวทมนตร์ของเธออย่างเต็มที่

วันนั้น นักเวทย์คนหนึ่งได้ปลอมตัวมาหลอกกูรูบูจู้ว่า ในป่าเวทมนตร์มีสมุนไพรที่สามารถรักษาแอนโทเนียให้หายป่วยได้ ส่วนนักเวทย์คนอื่น ๆ ก็ซ่อนตัวอยู่ในป่าเวทมนตร์ เพื่อรอเวลาในการจับตัวกูรูบูจู้มาศึกษา

แต่เมื่อมันไปถึงที่หมาย มันกลับพบว่าไม่มีสมุนไพรใด ๆ อยู่ที่นั่น มีก็แต่เหล่านักเวทย์จอมเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนตัวอยู่ และทุกคนก็รวมพลังเวทมนตร์ เพื่อสะกดไม่ให้กูรูบูจู้ขยับปีกหรือใช้เขาในการต่อสู้ ในที่สุด กูรูบูจู้ก็ถูกจับนักเวทย์ทั้งหลายต่างพากันกระหยิ่มยิ้มย่องที่จับกูรูบูจู้ได้สำเร็จ

ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นได้สัมผัสกับความอบอุ่น และความจริงใจจากหัวใจของกูรูบูจู้ พวกมันก็เริ่มรู้สึกเหมือนเลือดลมในร่างเนรมิตของพวกมันเริ่มไหลเวียน จนพวกมันเริ่มรู้สึกถึงความมีชีวิตอย่างแท้จริง และพวกมันก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญ ของการส่งมอบความรักให้แก่ผู้อื่น

พวกสัตว์เนรมิตช่วยกันหาวิธีพากูรูบูจู้หนีออกจากห้องเวทมนตร์ลึกลับอยู่สักพัก ในที่สุด พวกมันก็ทำได้สำเร็จ

เมื่อกูรูบูจู้หนีการติดตามมาจนเข้าเขตบ้านของแอนโทเนีย แอนโทเนียซึ่งยังคงป่วยอยู่ได้ยินเสียงผิดปกติจึงลุกขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่หน้าต่าง

เมื่อกูรูบูจู้เห็นแอนโทเนีย มันก็รีบโผเข้าหาวงแขนอันอบอุ่นนั้น ส่วนแอนโทเนียก็กอดเจ้ากูรูบูจู้สัตว์เนรมิตที่เธอรักเหมือนลูกเอาไว้ในอ้อมอก

แต่ก่อนที่เหล่านักเวทย์จะลงมือ สัตว์เนรมิตทั้งหลายก็ทำเรื่องที่เหล่านักเวทย์คาดไม่ถึง นั่นคือ พวกมันพากันโผเข้ากอดเหล่านักเวทย์ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ผู้สร้างชีวิตให้แก่มัน

ครั้นเมื่อเหล่านักเวทย์ถูกสัตว์เนรมิตที่ตนเองสร้างโผเข้ากอดและส่งมอบความรักให้ หัวใจอันหยาบกระด้างของพวกเขาก็ค่อย ๆ ละมุนละไมมากขึ้น

ในที่สุด เรื่องราวท้ั้งหมดก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง เจ้าชายสัตว์ป่า

วันหนึ่ง  ในขณะที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินชมนกชมไม้อยู่เพลินๆ   จู่ ๆ เจ้าชายก็ได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก   เจ้าชายสัตว์ป่ารู้สึกว่ากลิ่นดังกล่าวหอมอย่างบอกไม่ถูก เจ้าชายจึงแอบย่องไปสังเกตการณ์ว่าใครแอบเข้ามาในป่าของพระองค์  แต่ทันทีที่เจ้าชายเห็นว่า ผู้บุกรุกคือเจ้าหญิงที่แสนน่ารัก พระองค์ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างทำให้พระองค์หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  เมื่อได้สติ เจ้าชายจึงรู้ตัวว่าตนเองคง “ตกหลุมรัก” เจ้าหญิงเข้าให้เสียแล้ว  แต่เพราะเจ้าชายสัตว์ป่าเป็นเจ้าชายที่ไม่ใช่มนุษย์  เจ้าชายจึงรู้ดีว่า การจะไปขอแต่งงานกับเจ้าหญิง เป็นเรื่องที่ยากเสียจนไม่น่าจะเป็นไปได้

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าทราบข่าว  เจ้าชายสัตว์ป่าก็รู้สึกมีความหวัง แต่เจ้าชายรู้ดีว่าตนเองเป็นเจ้าชายสัตว์ป่าที่แตกต่างจากเจ้าชายอื่น ๆ  พระองค์จึงใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน เพราะรู้สึกว่าตนอาจไม่เหมาะสมกับเจ้าหญิง แต่ความรักที่เจ้าชายมีต่อเจ้าหญิงมีอานุภาพมาก ในที่สุด เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตัดสินใจไปร่วมงานเลือกคู่

เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าไปถึงงาน เจ้าชายพบว่าตนเองมาถึงงานเป็นคนสุดท้าย   ครั้นเมื่อถึงเวลา  พระราชาได้แจ้งกติกาในการเลือกคู่ให้เจ้าชายทุกพระองค์ทราบว่า เจ้าชายที่สามารถนำอัญมณีสายรุ้งจากรังนกที่อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้ามามอบให้แก่เจ้าหญิงได้  จะมีสิทธิ์ได้พูดคุยทำความรู้จักเพื่อให้เจ้าหญิงตัดสินใจเลือกเป็นคู่ครองต่อไป

ทันทีที่เจ้าชายทั้งหลายได้ฟังเงื่อนไขจากพระราชา  แม้เจ้าชายทุกพระองค์จะรู้ถึงความยากลำบาก  แต่การได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและการได้ครอบครองอาณาจักรต่อจากพระราชาเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่า  เจ้าชายเกือบทั้งหมดจึงรีบกระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบม้าฝ่าพายุฝนที่ตกลงมาพอดี  จนในท้องพระโรงเหลือเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ยังไม่ออกเดินทางไปไหน ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าชายสัตว์ป่า

เจ้าชายสัตว์ป่าส่งยิ้มให้พระราชาด้วยความอ่อนน้อม จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงตอบพระราชาไปว่า “กระหม่อมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในธรรมชาติ  กระหม่อมจึงได้เรียนรู้ว่า  บางครั้งเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาทันที  แต่ในบางกรณี การหยุดรอแทนการเข้าไปปะทะอย่างไรประโยชน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า  เมื่อกระหม่อมเห็นพายุฝนที่ซัดกระหน่ำลงมา และประเมินถึงภารกิจที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกหลายอย่าง กระหม่อมจึงขอเลือกเก็บแรงไว้ก่อน แล้วใช้เวลานี้วางแผน เตรียมสิ่งที่จำเป็น เพื่อใช้ในการเดินทาง ซึ่งน่าจะดีกว่าการออกไปปะทะกับพายุฝน”

หลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางมาได้ราวครึ่งวัน  จู่ ๆ เจ้าชายก็พบว่ามีเจ้าชายบางพระองค์ที่ออกเดินทางมาก่อน ขี่ม้านำหน้าพระองค์อยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น   ซึ่งหลังจากที่เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าแซงหน้าเจ้าชายเหล่านั้นไปได้   เจ้าชายจึงคาดเดาว่า เจ้าชายบางพระองค์ที่ขี่ม้าฝ่าพายุฝน คงสะบักสะบอมเพราะพลังของธรรมชาติ ทำให้หมดสภาพที่จะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย

ณ ลานทางเข้าป่าอาถรรพ์ มีเจ้าชายจำนวนมากที่เนื้อตัวมอมแมม (ซึ่งอาจเกิดจากการขี่ม้าฝ่าพายุฝนแล้วคลุกกับฝุ่นตอนขี่ม้ากลางแดด) กำลังครุ่นคิดว่าจะเดินทางผ่านป่าอาถรรพ์เพื่อมุ่งหน้าไปยังภูเขาเสียดฟ้าในทันที  หรือจะหยุดพักค้างแรมที่ลานทางเข้านี้ก่อนสักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในตอนเช้า

เมื่อเจ้าชายองค์อื่น ๆ เห็น “คู่แข่ง” ออกเดินทางไปก่อน  เจ้าชายทั้งหลายจึงเลิกคิดที่จะพัก  แต่กลับพากันกระโดดขึ้นม้าแล้วควบตามเจ้าชายองค์แรกไป จนลานกว้างเหลือเจ้าชายอยู่เพียงพระองค์เดียว คือ เจ้าชายสัตว์ป่า นั่นเอง

วันรุ่งขึ้น เจ้าชายสัตว์ป่าควบม้าคู่ใจเข้าไปในป่าอาถรรพ์ตั้งแต่เช้าตรู่  ระหว่างทาง เจ้าชายสัตว์ป่าพบร่องรอยการต่อสู้ระหว่างเจ้าชายทั้งหลายกับเหล่าปิศาจปรากฏให้เห็นอยู่เต็มไปหมด ทั้งการได้เห็นกิ่งไม้หักระเนระนาด  การพบเจ้าชายจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ  หรือการได้เห็นม้าหวาดกลัวจนหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ ฯลฯ   เมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าขี่ม้าพ้นออกมาจากเขตป่าอาถรรพ์และเดินทางต่อจนถึงตีนเขาสูงเสียดฟ้า  พระองค์ก็พบว่ามีเจ้าชายเพียงพระองค์เดียวที่เอาชนะเหล่าปิศาจได้จนหมด (ทำให้เจ้าชายสัตว์ป่าไม่ต้องสู้กับปิศาจเลย) ซึ่งเจ้าชายพระองค์นั้นกำลังควบม้าขึ้นสู่ยอดเขาสูงเสียดฟ้าเพื่อค้นหาอัญมณีสายรุ้ง

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าเดินทางขึ้นไปถึงยอดเขา เจ้าชายสัตว์ป่าก็พบว่า รังนกจำนวนมากถูกรื้อค้นกระจุยกระจายไปหมด ส่วนลูกนกทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงร้องอยู่ที่พื้นอย่างน่าสงสาร เจ้าชายสัตว์ป่ามองเจ้าชายอีกพระองค์ที่รีบเร่งค้นหาอัญมณีจนลืมใส่ใจต่อชีวิตน้อย ๆ ของลูกนกด้วยความรู้สึกสังเวชใจ  บุคคลเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของเจ้าหญิงและคงเป็นพระราชาที่ดีไม่ได้แน่ ๆ  

แม้เจ้าชายสัตว์ป่าจะเห็นว่าเจ้าชายอีกพระองค์ได้เดินทางนำหน้าไปก่อนแล้ว  แต่แทนที่พระองค์จะรีบค้นหา   อัญมณีสายรุ้งบ้าง เจ้าชายสัตว์ป่ากลับเลือกที่จะสร้างรังพักฉุกเฉิน เพื่อให้ลูกนกที่สูญเสียรังไปได้มีที่อยู่ชั่วคราวก่อน  เมื่อภารกิจสำเร็จ พระองค์จึงเริ่มค้นหาอัญมณีสายรุ้ง…แม้จะเป็นการเริ่มต้นค้นหาที่ช้ากว่าเจ้าชายองค์แรกมากก็ตาม

เมื่อเจ้าชายมองไปที่ปากของนก เจ้าชายก็พบอัญมณีที่มีสีถึง 7 สี คือ สีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เจ้าชายแปลกใจ พลางตั้งสติพิจารณาสีของอัญมณีอีกครั้งอย่างรอบคอบ  จนมั่นใจว่าอัญมณีที่นกนำมาให้เป็นอัญมณีสายรุ้งที่พระองค์กำลังค้นหา   เจ้าชายรับอัญมณีมาจากนกด้วยความขอบคุณ  จากนั้น เจ้าชายสัตว์ป่าจึงออกเดินทางลงจากยอดเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองของเจ้าหญิง

เจ้าชายผู้เก่งกล้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะพระองค์รู้ดีว่าตนเองคงไปถึงเมืองของเจ้าหญิงช้ากว่าคู่แข่งเป็นแน่  เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงเล่าความจริงให้เจ้าชายสัตว์ป่าฟังว่า “ข้าพเจ้าประมาทเกินไป จึงเอาแต่บุกตะลุยเพื่อหวังจะเอาชนะ จนม้าประจำตัวหมดกำลังไปต่อไม่ไหว  ข้าพเจ้าคงแพ้ในการเลือกคู่ครั้งนี้แล้ว  ท่านไปต่อเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”

ครั้นเมื่อเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าชายผู้เก่งกล้าเดินทางไปถึงปราสาทของเจ้าหญิง พระราชาทรงออกมาต้อนรับเจ้าชายทั้งสองด้วยความกระตือรือร้น  เมื่อเจ้าชายทั้งสองได้พบพระราชา ทั้งคู่จึงนำอัญมณีสายรุ้งจากยอดเขาสูงเสียดฟ้ามอบให้พระราชาพิจารณาทันที

เจ้าชายผู้เก่งกล้าตกใจและรู้สึกผิดที่ตนเองรีบร้อน ไม่ตรวจสอบความถูกต้องให้ดีเสียก่อน  บางที การใช้แต่พละกำลังบุกตะลุยสู้กับอุปสรรค โดยขาดความรอบคอบ อาจบทเรียนที่พระองค์ควรปรับปรุงแก้ไข  ในขณะเดียวกัน    เจ้าชายผู้เก่งกล้าก็รู้สึกว่า เจ้าชายสัตว์ป่าคือเจ้าชายที่เหมาะสมกับเจ้าหญิงจริง ๆ  ทั้งในเรื่องความสามารถและจิตใจอันดีงาม  ดังนั้น เจ้าชายผู้เก่งกล้าจึงยอมรับคำตัดสินของพระราชาแต่โดยดี

หลังจากเจ้าชายสัตว์ป่าและเจ้าหญิงได้ทำความรู้จักนิสัยใจคอกัน และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้กันฟัง  เจ้าหญิงทรงชื่นชมความสามารถของเจ้าชายที่รู้จักบุกเมื่อควรบุก รู้จักหยุดเมื่อควรตั้งรับ  ทั้งยังรักในจิตใจอันดีงามของเจ้าชายที่มีต่อผู้อื่น (ทั้ง ๆ ที่เป็นคู่แข่ง) รวมทั้งความเมตตาที่มีต่อลูกนก ส่วนเจ้าชายสัตว์ป่าก็ทรงมีความสุขเมื่อได้คุยกับเจ้าหญิงที่ตนแอบหลงรัก ทั้งยังสบายใจเมื่อได้รู้ว่า เสด็จแม่ของเจ้าหญิงสืบเชื้อสายมาจากตระกูลนางเงือก  ทำให้เจ้าหญิงมีเลือดผสมที่สามารถอภิเษกสมรสกับเจ้าชายสัตว์ป่าได้

และแล้ว นิทานก็จบลงอย่างมีความสุข

Posted in ครอบครัว, ความรัก, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง คู่รักกระต่ายน้อย

ก่อนที่จะแต่งงงาน  กระต่ายหนุ่มได้จ้างช่างมาสร้างเรือนหอเป็นบ้านแห่งความรักระหว่างมันกับกระต่ายสาวยอดดวงใจ 

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวได้จัดการหาสีมาทาแก้ไขจนรอยกระดำกระด่างหายไปจนหมด  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เช้าวันต่อมา ในขณะที่กระต่ายหนุ่มยังคงโมโหโทโส  กระต่ายสาวตัดสินใจเก็บกวาดจัดสวนให้เรียบร้อย แถมยังจัดหาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกเพิ่มเติมจนสวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อกระต่ายหนุ่มได้รู้ในภายหลังว่า กระต่ายสาวยอดดวงใจไม่มัวเสียเวลาอยู่กับการ “โมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืน” ที่ไร้ประโยชน์  แต่กระต่ายสาวกลับใช้เวลาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาจนสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จ  กระต่ายหนุ่มก็รู้สึกชื่นชมกระต่ายสาวและคิดว่ามันเลือกคู่ครองได้ไม่ผิดจริง ๆ

เมื่อพูดจบ กระต่ายสาวก็ชวนกระต่ายหนุ่มให้ช่วยกันจุดเทียนรอบ ๆ งานแต่ง  จากนั้น  พวกมันก็ชวนให้แขกเข้ามานั่งใกล้ ๆ กันอีกนิด เพราะในงานไม่มีไมโครโฟน   ส่วนเรื่องเพลงหรือดนตรี กระต่ายสาวก็ขอให้กระต่ายหนุ่มและแขกในงานช่วยกันร้องเพลง ซึ่งทั้งหมดให้บรรยากาศภายในงานดูอบอุ่นและทำให้พิธีแต่งงานดำเนินไปได้อย่างน่าประทับใจ

กระต่ายหนุ่มมองกระต่ายสาวด้วยสายตาที่เหมือนต้องการจะบอกว่า “ขอบคุณนะ”  ส่วนกระต่ายสาวซึ่งหันมาสบตากระต่ายหนุ่มพอดี กลับส่งยิ้มให้แล้วทำหน้าทะเล้นใส่  จากนั้น กระต่ายสาวก็บอกกระต่ายหนุ่มว่า “นับจากวันนี้ ถ้าเจออะไรไม่สมดังใจ ก็อย่างเพิ่งโมโหข้ามวัน ติดพันข้ามคืนนะ  เพราะถึงจะขาดสิ่งนู้น ไม่มีสิ่งนี้ แต่ยังไง..เราก็ยังมีกันและกัน ที่จะช่วยกัน แก้ปัญหาในทุก ๆ เรื่องนะ”

“ใช่แล้ว มีกันและกัน” กระต่ายสาวยิ้มเขิน   จากนั้น กระต่ายสาวก็อ้อนกระต่ายหนุ่มว่า “ว่าแต่คืนนี้ เธอลืมอะไรไปรึเปล่า”

กระต่ายหนุ่มยิ้มให้กระต่ายสาวด้วยความรัก  ส่วนกระต่ายสาวก็ยิ้มตอบ พร้อมกับหัวเราะ “แหะ ๆ” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ากระต่ายสาวคิดอะไรอยู่

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง พรานเฒ่ากับราชสีห์

นิทานก่อนนอนเรื่อง “พรานเฒ่ากับราชสีห์” เป็นนิทานที่ผม (นำบุญ นามเป็นบุญ) แต่งและพิมพ์ในนิตยสารขวัญเรือนเมื่อนานมาแล้ว นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ผมแต่งด้วยความเคารพที่มีต่อนักแต่งนิทานพื้นบ้านในอดีต จึงนำความประทับใจบางอย่างจากนิทานพื้นบ้านที่ชอบ แล้วนำมาสร้างเป็นนิทานเรื่องใหม่ โดยมีเสน่ห์ของนิทานเรื่องดั้งเดิมเจืออยู่จาง ๆ (นิทานในลักษณะนี้อยู่ในหมวด “นิทานชุด จากแรงบันดาลใจ” ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ)

ในปี 2566 ผมตั้งใจจะนำนิทานที่เคยเขียนมาลงเพิ่มเติมในเว็บไซต์นิทานนำบุญ รวมทั้งอยากแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ให้เด็ก ๆ ได้อ่าน แต่ปีนี้ มีเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นมาก ผมจึงค่อนข้างท้อและเสียเวลาไปกับการดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ผมหวังว่า หากปัญหานี้คลี่คลายลง ผมคงมีกำลังใจและมีเวลาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ ให้ได้อ่านกันอีก

ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิมานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง พรานเฒ่ากับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพรานเฒ่าคนหนึ่งรอนแรมอยู่ในป่าจนร่างกายอ่อนล้า ทำให้ต้องนั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ เพื่อเก็บเรี่ยวแรงก่อนเดินทางกลับบ้าน 

แต่ในขณะนั้นเอง  มีราชสีห์หิวโซตัวหนึ่งเกิดได้กลิ่นเนื้อมนุษย์  มันจึงย่องเข้ามาหาพรานเฒ่า โดยหมายที่จะขย้ำเหยื่อของมันกินเป็นอาหาร 

เดชะบุญที่พรานเฒ่าได้ยินเสียงฝีเท้าของราชสีห์ เขาจึงรีบคว้าห่อผ้าสัมภาระ แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมรับมือกับภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามาหา

เมื่อราชสีห์เห็นว่าเหยื่อของตนคือพรานเฒ่าซึ่งมีห่อผ้าคล้ายปืนอยู่ในมือ  ราชสีห์ก็ตกใจจนเกือบกระโจนกลับเข้าป่า  แต่เนื่องจากราชสีห์กลัวนายพรานจะถือโอกาสยิงมันจากด้านหลัง  ราชสีห์จึงจำต้องยืนเผชิญหน้ากับนายพราน โดยทำได้เพียงแค่คำรามขู่เพื่อคุมสถานการณ์เอาไว้เท่านั้น

ฝ่ายพรานเฒ่าเมื่อเห็นราชสีห์ยืนนิ่งไม่จู่โจมเข้าใส่  เขาจึงคาดเดาได้ว่า ราชสีห์คงกลัวของในห่อผ้าจนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม   จริง ๆ แล้วของในห่อผ้าไม่ใช่ปืนดังเช่นที่ราชสีห์คิด  แต่มันเป็นเพียงกิ่งไม้ที่พรานเฒ่าเก็บมาทำยารักษาโรค   ด้วยเหตุนี้  พรานเฒ่าจึงได้แต่เฝ้ารอจังหวะเพื่อหาโอกาสตีตัวจากราชสีห์ที่จ้องมองเขาอยู่อย่างไม่วางตา       

ในระหว่างที่ราชสีห์กับพรานเฒ่ายืนคุมเชิงกันอยู่นั้น  มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้า  และด้วยเหตุที่หมาจิ้งจอกเป็นสัตว์จอมเจ้าเล่ห์  ดังนั้น  มันจึงคิดที่จะหาประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากที่หมาจิ้งจอกใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด มันก็เลือกที่จะเข้าไปประจบประแจงราชสีห์ เพราะมันเห็นว่าราชสีห์แข็งแรงกว่าพรานเฒ่า ซึ่งหากมันสามารถยุให้ราชสีห์จัดการกับพรานเฒ่าได้สำเร็จ  ราชสีห์ก็อาจจะแบ่งเนื้อของพรานเฒ่าให้มันกินด้วยก็เป็นได้

เจ้าหมาจิ้งจอกเริ่มแผนด้วยการเดินเข้าไปตีสนิทกับราชสีห์  จากนั้น มันก็พูดกับราชสีห์ว่า “ท่านเจ้าป่าที่เคารพ  ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเพราะเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่าน จึงปล่อยให้มนุษย์ยืนหยามท่านอยู่เช่นนั้นได้เล่า  ข้าคิดว่าท่านน่าจะจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสีย” 

เมื่อราชสีห์ได้ฟังคำของหมาจิ้งจอกจึงตอบว่า “เจ้าไม่เห็นปืนของพรานผู้นั้นหรอกรึ?  หากข้าผลีผลาม…มีหวังตัวของข้าคงเป็นรูโบ๋ด้วยกระสุนปืนเป็นแน่”           

ทันทีที่หมาจิ้งจอกได้ยินเรื่องปืน  มันจึงเปลี่ยนท่าทีด้วยการพูดจาดูหมิ่นราชสีห์ต่าง ๆ นานา  จากนั้น  มันก็รีบเดินเข้าไปประจบพรานเฒ่า เพราะมันเชื่อว่า พรานเฒ่าน่าจะใช้ปืนจัดการกับราชสีห์ได้ไม่ยาก ซึ่งหากมันสามารถยุให้พรานเฒ่ายิงราชสีห์ได้สำเร็จ  มันก็อาจจะได้เนื้อของราชสีห์เป็นรางวัล

“ท่านพรานที่เคารพ  ท่านจะปล่อยเจ้าสิงโตงี่เง่าตัวนั้นเอาไว้ทำไมเล่า  เอาปืนออกมายิงมันเสียเถิด  สัตว์ป่าทั้งหลายจะได้มีชีวิตที่สงบสุขกันเสียที” 

ราชสีห์โกรธมากที่เห็นความกะล่อนของหมาจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์  ในขณะเดียวกัน พรานเฒ่าก็ค้นพบโอกาสที่เขาจะผละจากสถานการณ์อันคับขัน! 

เมื่อหมาจิ้งจอกแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสัตว์ที่กลิ้งกลอก…คบไม่ได้   พรานเฒ่าจึงแกล้งมองหมาจิ้งจอกด้วยความระอาใจ  จากนั้น  เขาก็เปรยให้ราชสีห์ได้ยินว่า “ข้าไม่อยากยุ่งกับหมาจิ้งจอกที่มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้หรอก  เชิญเจ้าจัดการกับมันเอาเองเถิด”  เมื่อนายพรานพูดจบ  เขาก็แกล้งส่ายหน้า แล้วเดินถอยห่างไปเหมือนเบื่อหน่ายอย่างที่สุด

หมาจิ้งจอกได้แต่ยืนงงเพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์จะลงเอยเช่นนี้  และก่อนที่มันจะตั้งสติได้  ราชสีห์หิวโซซึ่งโกรธจัดก็กระโดดเข้าตระครุบตัวของมัน แล้วจัดการกินมันเป็นอาหาร

ในที่สุด  พรานเฒ่าก็รอดพ้นจากคมเขี้ยวของราชสีห์ได้อย่างหวุดหวิด  ส่วนหมาจิ้งจอกผู้ประสงค์ร้ายก็ได้รับผลกรรมไปอย่างที่ตัวมันเองก็คาดไม่ถึง

#นิทานนำบุญ

Posted in ครอบครัว, นิทาน, เด็ก

นิทานเรื่อง พ่ออุ๊ยใจดีกับเศรษฐีใจร้าย

นิทานก่อนนอนไทยพื้นบ้านเรื่องนี้ เป็นนิทานที่ดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่ง ซึ่งพี่นำบุญไม่แน่ใจว่า นิทานดั้งเดิมมาจากประเทศไหน แม้เวลาจะผ่านมาอย่างเนิ่นนาน แต่โครงสร้างของนิทานพื้นบ้านฉบับดั้งเดิมที่เรียบง่ายแต่สนุกสนาน ทำให้การนำมาแต่งเป็นนิทานเรื่องใหม่ ยังคงมีความสนุกไม่แพ้นิทานฉบับดั้งเดิม ภูมิปัญญาในอดีตเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก การเรียนรู้ภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่า จะช่วยให้เราต่อยอดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้อย่างที่เราอาจไม่เคยนึกถึง ขอให้มีความสุขกับการอ่านนิทานเรื่องนี้นะครับ

นิทานเรื่อง พ่ออุ๊ยใจดีกับเศรษฐีใจร้าย

พ่ออุ๊ยขวัญเมืองเป็นผู้เฒ่าใจดีที่ใครต่อใครพากันรักใครนับถือ  แม้พ่ออุ๊ยจะไม่ใช่คนที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง  แต่ความเอื้ออารีและความใจบุญสุนทานของแกก็เป็นคุณธรรมที่ทำให้ชาวเมืองทุกชั่วรุ่นพยายามที่จะเจริญรอยตามแนวทางที่แกประพฤติปฏิบัติ

อยู่มาวันหนึ่ง  ในขณะที่พ่ออุ๊ยขวัญเมืองกำลังจะเดินทางไปวัดเพื่อฟังธรรมตามปกติ  จู่ ๆ พ่ออุ๊ยก็เหลือบไปเห็นลูกลิงตัวหนึ่งนอนหมดสติอยู่ด้วยอาการบาดเจ็บอย่างน่าสงสารเป็นที่สุด  โดยมิได้ลังเล…พ่ออุ๊ยรีบตรงเข้าไปดูอาการของเจ้าลิงน้อย แล้วพาลิงน้อยกลับบ้านเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทันที

พ่ออุ๊ยคอยดูแลเจ้าลิงน้อยจนกระทั่งลูกลิงค่อย ๆ มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และเมื่อลูกลิงหายจากอาการบาดเจ็บ  ลูกลิงก็รีบเผ่นโผนโจนทะยานกลับเข้าป่า และหลังจากนั้นเพียงสามวัน ลูกลิงก็กลับมาหาพ่ออุ๊ยผู้มีพระคุณอีกครั้งโดยคราวนี้มันแบกเอาฟักทองผลใหญ่ติดมือกลับมาด้วย

ลูกลิงตั้งใจที่จะมอบฟักทองผลใหญ่ให้แก่พ่ออุ๊ยแทนคำขอบคุณ  พ่ออุ๊ยดีใจและคิดที่จะนำเอาฟักทองส่วนหนึ่งไปทำแกงบวดเพื่อใส่บาตร แต่แล้วความตั้งใจของพ่ออุ๊ยก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อพ่ออุ๊ยลงมือผ่าฟักทอง และพบว่าเนื้อในของฟักทองผลนั้นแตกต่างจากเนื้อของฟักทองผลอื่น ๆ !

ภายในผลฟักทองที่ลิงน้อยนำมาให้แก่พ่ออุ๊ยอัดแน่นไปด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่มีมูลค่าเกินกว่าที่จะประมาณได้  แรกทีเดียว พ่ออุ๊ยตั้งใจที่จะคืนทองคำทั้งหมดให้แก่เจ้าลิงน้อย แต่หลังจากที่ลูกลิงคะยั้นคะยอพ่ออุ๊ยอยู่นาน  ในที่สุด  พ่ออุ๊ยก็ใจอ่อนและยอมเก็บทองคำทั้งหมดเอาไว้กับตัว

อย่างไรก็ตาม  ด้วยอุปนิสัยที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  ไม่นานนัก  พ่ออุ๊ยแสนดีก็คิดหาวิธีใช้ทองให้เกิดประโยชน์ได้

พ่ออุ๊ยขวัญเมืองเคยได้ยินมาว่า ชาวบ้านที่ยากจนส่วนใหญ่ต้องทำงานกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ เพื่อหาเงินไปชำระเป็นดอกเบี้ยให้แก่เศรษฐีหน้าเลือดที่ออกเงินกู้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงลิ่วอย่างน่ารังเกียจ   ชีวิตของคนที่มีหนี้สินเป็นชีวิตของคนที่เต็มไปด้วยความทุกข์  ด้วยเหตุนี้  พ่ออุ๊ยจึงตัดสินใจปันส่วนทองคำที่แกได้มาให้ชาวบ้านนำมันไปใช้หนี้

เศรษฐีหน้าเลือดถึงกับเดือดดาลที่ชาวบ้านสามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้จนหมด  เศรษฐีนึกสงสัยว่าชาวบ้านหาเงินมากมายมาจากไหน  และหลังจากที่เศรษฐีพยายามค้นหาความจริง  ในที่สุด  เศรษฐีก็ได้รับรู้ถึงที่มาของเงินและเรื่องราวทั้งหมดของเจ้าลิงตัวน้อยกับฟักทองมหัศจรรย์!

เมื่อการช่วยเหลือลูกลิงที่บาดเจ็บส่งผลให้พ่ออุ๊ยขวัญเมืองได้รับทองคำที่มีมูลค่ามหาศาลเป็นการตอบแทน  เศรษฐีหน้าเลือดจึงคิดแผนการร้ายเพื่อให้ตัวเองได้ทองคำแบบเดียวกับที่พ่ออุ๊ยขวัญเมืองได้รับมาบ้าง

เศรษฐีใจร้ายเริ่มแผนด้วยการพรางตัวและดักซุ่มรอลูกลิงอยู่ในป่าลึก  และหลังจากที่ลูกลิงผู้เคราะห์ร้ายเดินผ่านพุ่มไม้ที่เศรษฐีดักซุ่มรออยู่  เศรษฐีผู้มีใจหยาบช้าก็รีบกระโจนออกจากที่ซ่อนแล้วกระหน่ำตีลูกลิงที่น่าสงสารจนกระทั่งลูกลิงหมดสติไป

เศรษฐีใจร้ายฉุดแขนของลูกลิงที่ยังคงหมดสติอยู่แล้วลากลูกลิงกลับไปรักษาที่บ้านอย่างไม่แยแส  และทันทีที่ลูกลิงฟื้นคืนสติ  เศรษฐีก็เอ่ยปากให้ลูกลิงรีบนำฟักทองมหัศจรรย์มาตอบแทนความดีจอมปลอมของเขา  ลูกลิงรู้สึกงุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แต่ด้วยความที่ลูกลิงไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับคนที่มีจิตใจชั่วร้าย  ดังนั้น ลูกลิงจึงพาร่างกายที่แสนจะบอบช้ำกลับเข้าป่าไปอย่างเงียบ ๆ

สามวันผ่านไป  ลิงน้อยกลับมาหาเศรษฐีใจร้ายพร้อมกับฟักทองผลใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าฟักทองที่มันเคยนำมาให้พ่ออุ๊ยถึงสองเท่า  เศรษฐีผู้ละโมบถึงกับตาลุกวาวเมื่อได้เห็นผลฟักทองที่ลิงน้อยนำมาฝาก  และหลังจากที่ลิงน้อยลากลับไปแล้ว  เศรษฐีผู้ไม่เคยละอายและเกรงกลัวต่อบาปก็จัดการผ่าฟักทองออกเป็นสองซีก

แทนที่ภายในผลฟักทองจะเป็นทองคำดังที่เศรษฐีหวังเอาไว้  ผลของฟักทองกลับเป็นที่ซ่อนตัวของเหล่าบรรดาสัตว์ร้ายอสรพิษทั้งหลาย นับตั้งแต่งูเงี้ยวเขี้ยวขอไปจนถึงตะเข็บตะขาบ แมงป่องและฝูงต่อแตนที่แสนจะดุร้าย

แม้เศรษฐีจะรอดชีวิตจากพิษของสัตว์ร้ายได้  แต่กว่าที่เขาจะรู้สึกทุเลาเบาบางจากความเจ็บปวดและทรมานที่เขาได้รับ  เขาก็มีเวลาเพียงพอที่จะไตร่ตรองและสำนึกถึงความร้ายกาจที่เขาได้กระทำลงไป

ในที่สุด  เศรษฐีใจร้ายก็กลับตัวเป็นคนดี และเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ก็ได้รับการเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

#นิทานนำบุญ

………………………….