“บ้านที่ฟางชี้โด่ชี้เด่” คือ นิทานซึ้งกินใจ ที่เล่าเรื่องของคุณตาผู้จมอยู่กับความเศร้าหลังการสูญเสียคนรัก และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดจากเหล่านกน้อยตัวจิ๋วผู้ไม่ยอมแพ้ นี่คือนิทานอบอุ่นหัวใจ ที่จะทำให้คุณยิ้มทั้งน้ำตา และมองเห็นความงดงามของความรัก ความทรงจำ และการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มาอ่านนิทานเรื่อง “บ้านที่ฟางชี้โด่เด่” กันเถอะ…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคุณตากับคุณยายคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านไม้กลางสวนดอกไม้แสนสวย
บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านธรรมดา แต่เป็นบ้านที่ทั้งสองช่วยกันสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจ คุณตาเป็นคนเลือกไม้ เลือกสีทาห้อง ส่วนคุณยายเป็นคนปักผ้าม่าน ตัดผ้าปูโต๊ะ จัดดอกไม้ในแจกันข้างหน้าต่าง
“เราจะมีบ้านที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” คุณยายเคยพูด พร้อมยิ้มหวาน
และก็เป็นจริงอย่างที่คุณยายว่า บ้านหลังนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นขนมอบใหม่ ๆ ดอกไม้สด และเสียงนกร้องจิ๊บจิ๊บ คุณตามักตื่นแต่เช้า เพื่อออกไปดูแลต้นไม้ดอกไม้ในสวน ส่วนคุณยายก็จะนำขนมและชาอุ่น ๆ มาให้ พร้อมกับเสียงฮัมเพลงเบา ๆ ที่ทำให้ทุกเช้าสดใสและเต็มไปด้วยความสุข
“ยายคือดอกไม้ที่งดงามที่สุดในชีวิตของตา ตาเลยอยากปลูกดอกไม้สวย ๆ เพื่อทำให้ยายยิ้มได้ทุกเช้า”
คุณยายเคยยิ้มให้กับคำพูดนั้น และยังคงยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินคุณตาพูด
คุณยายเป็นคนที่ยิ้มแล้วน่ารักมาก ๆ คุณยายมักยิ้มให้คุณตา ยิ้มให้ต้นไม้ ยิ้มให้ชีวิตเรียบง่ายที่มีความสุขเต็มหัวใจ
แต่แล้ว วันหนึ่ง… คุณยายก็ล้มป่วย และจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
บ้านที่เคยสดใส กลายเป็นบ้านที่เงียบงัน คุณตาไม่ออกไปปลูกต้นไม้ดอกไม้ และไม่ทำอะไรอีกเลย วัน ๆ คุณตาเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ในห้อง นึกถึงเสียงฮัมเพลงของคุณยายที่เหมือนยังคงแว่วอยู่ในทุกมุมบ้าน
“เมื่อไม่มียาย… บ้านก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป” คุณตาพึมพำเบา ๆ เหมือนเสียงจะหายไปกับสายลม
ดอกไม้ในสวนเริ่มเหี่ยว กระถางต้นไม้หน้าบ้านเริ่มแห้ง หน้าต่างเริ่มเป็นฝ้า และหัวใจของคุณตาก็แห้งแล้งลงเรื่อย ๆ
นกน้อยในสวนเฝ้ามองคุณตาอยู่เงียบ ๆ พวกมันพยายามร้องเพลงที่เพราะที่สุดให้คุณตาฟัง บางครั้ง พวกมันก็พยายามส่งเสียงร้องให้ดังจนน่ารำคาญ แต่คุณตากลับไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง และไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามอง
หัวใจของคุณตาหดเล็กลงทุกวัน…เหมือนลูกโป่งที่ลมค่อย ๆ รั่วออก
วันหนึ่ง เจ้านกกระจอกน้อยตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ต้นไม้ แล้วพูดกับเพื่อนนกว่า “เราต้องช่วยคุณตานะ ถ้าเราไม่ช่วย คุณตาต้องแย่แน่ ๆ”
“ถ้าการส่งเสียงร้องไม่ได้ผล เราก็คงต้องเปลี่ยนแผน!” นกตัวหนึ่งเปรย
นกชราตัวหนึ่งครุ่นคิด จากนั้น มันก็บอกนกทุกตัวว่า “เราลองใช้ฟางเพื่อช่วยคุณตากันดีไหม?”
ฝูงนกปรึกษาหารือกันอยู่สักพัก เมื่อนกทุกตัวเข้าใจตรงกันแล้ว พวกมันก็ช่วยกันคาบเศษฟาง เศษหญ้า ใบไม้แห้ง แล้วบินไปเสียบไว้ตามรูร่องต่าง ๆ ของบ้าน
นกบางตัวเอาฟางไปแหย่ตามหน้าต่าง นกบางตัวแอบซุกฟางไว้ในกระถางต้นไม้ นกบางตัวเอาใบไม้ไปวางพาดบนหลังคาให้ดูรุงรัง นกบางตัวเอาหญ้าเสียบเข้าไปในโคมไฟจนชี้โด่ชี้เด่
วันแล้ววันเล่า…บ้านของคุณตาก็เริ่มดู “ประหลาด” ขึ้นเรื่อย ๆ จากบ้านที่ดูสวยงามอ่อนหวาน กลายเป็นบ้านที่ดูเหมือนมีผมยุ่ง ๆ ทิ่มกระจายอยู่เต็มหัว!
แต่คุณตาก็ยังไม่เห็น… ความเศร้าทำให้ใจปิด และทำให้คุณตาลืมมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่คุณตาเดินเหม่อออกมานอกบ้าน เมื่อแสงแดดอ่อน ๆ กระทบเข้าที่ใบหน้าของคุณตา คุณตาเงยหน้าขึ้น… และแล้ว คุณตาก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่บนหลังคา
“เอ๊ะ…ทำไมมันมีอะไรชี้ ๆ อยู่ตรงนั้น?” คุณตาหยีตามอง แล้วเดินไปที่โรงรถ
“โอ๊ย! ฟางเต็มไปหมดเลย ใครมาแกล้งอะไรชั้นเนี่ย?” คุณตาบ่นเสียงดัง จากนั้น คุณตาก็เริ่มใช้ไม้กวาดเขี่ยฟางออก
ครั้นเมื่อคุณตาเดินไปดูรอบบ้าน คุณตาก็เห็นฟางถูกเสียบถูกสอดไว้ตรงนั้นตรงนี้อีก ไม่ว่ามองไปที่ไหน ก็มีแต่ฟาง…ฟาง…ฟาง หน้าต่าง ซอกประตู ช่องระบายอากาศ กระถางต้นไม้ โคมไฟ…เต็มไปด้วยหญ้าแห้งและฟาง
“โธ่เอ๊ย บ้านแสนรักของเรา”
คุณตาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง คุณตาทั้งกวาด ทั้งปัด ทั้งดึง ทั้งเขี่ยฟางออก แต่พอทำเสร็จ ก็ต้องนั่งหอบ เหงื่อไหลเป็นสายน้ำ
แล้ววันรุ่งขึ้น…ฟางใหม่ก็กลับมาอีก! คุณตาก็ต้องกวาด ปัด ดึง เขี่ยอีก แล้ววันต่อมา…ฟางใหม่ก็กลับมาอีก กลับมาอีก….. กลับมาอีก…..
คุณตาเลยกลายเป็น “คุณตานักเขี่ยฟาง” ประจำบ้านที่เชี่ยวชาญในการกวาด ปัด ดึง เขี่ย จนละเหี่ยใจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณตาก็เริ่มรู้สึกว่า “ตั้งแต่ที่เริ่มกวาด ปัด ดึง เขี่ยฟาง เราก็ลืมความทุกข์ ความเศร้า ความเหงาไปเสียสนิท”
คุณตานั่งพักเหนื่อย แล้วมองไปรอบ ๆ บ้าน บ้านที่เคยรกรุงรัง…เริ่มสะอาดขึ้น ดอกไม้ในสวน…เริ่มฟื้นและผลิดอกอีกครั้ง กลิ่นชาในครัวที่ตาชงดื่ม…เริ่มส่งกลิ่นหอมเหมือนตอนที่ยายยังอยู่
คุณตาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหัวใจก็เหมือนถูกปัดฝุ่น “นกไม่ได้แกล้งเราหรอก” คุณตาพึมพำ “แต่นกพยายามปลุกเราให้ตื่น…ให้ตื่นจากความทุกข์ เพื่อลุกขึ้นอีกครั้ง”
วันต่อมา คุณตาตื่นมาอบขนมและเตรียมอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแบ่งให้นกเหมือนอย่างที่คุณยายเคยทำ คุณตาปลูกต้นไม้ดอกไม้เพิ่มอีกสองสามต้น แล้วนำดอกไม้มาปักในแจกันข้างหน้าต่าง…จุดเดิมที่เคยวางให้คุณยาย
และทุกเช้า…คุณตาจะยิ้มให้ดอกไม้ ยิ้มให้ท้องฟ้า และยิ้มให้ชีวิตที่ยังคงมีความรักหลงเหลืออยู่
แม้คุณยายจะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ คุณตาแล้ว แต่คุณยาย…ยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ อยู่ในกลิ่นขนมที่ลอยออกมาจากครัว อยู่ในเสียงนกร้องที่ข้างหน้าต่าง และอยู่ในหัวใจของคุณตา…ตลอดไป
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :
- แม้ความเศร้าจะบดบังใจ แต่ความรักสามารถปลุกชีวิตให้ลุกขึ้นอีกครั้งได้
- การใส่ใจเล็ก ๆ จากเพื่อนรอบข้าง อาจเปลี่ยนโลกทั้งใบของใครบางคน
- คนที่จากไป…อาจไม่ได้หายไปไหนเลย หากเรายังรักและระลึกถึงเขาอยู่ในใจ
- การลุกขึ้นแม้ในวันที่ไม่มีแรง คือชัยชนะของหัวใจที่เข้มแข็ง
#นิทานนำบุญ
