80 วันรอบโลก (Around the World in 80 Days) คือวรรณกรรมเยาวชนระดับโลกที่เขียนโดย ฌูล แวร์น (Jules Verne) นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวรรณกรรมไซไฟ” หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1872 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ด้วยเนื้อหาที่สนุก เข้มข้น และเปี่ยมแรงบันดาลใจจากการเดินทางรอบโลกในยุคที่เทคโนโลยียังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
แวร์นใช้เรื่องราวของ ฟีเลียส ฟ็อก สุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบ และ ปาสปาร์ตู ผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ ร่วมเดินทางข้ามทวีปเพื่อตามให้ทันเดิมพัน 20,000 ปอนด์ ระหว่างทาง พวกเขาต้องเผชิญความล่าช้า พายุ อุปสรรค และการไล่ล่าจากสารวัตรฟิกซ์ ซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นโจรปล้นธนาคาร นอกจากนี้ยังมีตัวละครหญิงชาวอินเดียชื่อ อัลดา (จากชื่อเดิม Aouda) ซึ่งฟ็อกช่วยไว้จากพิธีกรรมโบราณกลางป่า
ในเวอร์ชันที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้ทำการ เรียบเรียงใหม่ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านทั้งที่เป็นวัยรุ่น วัยทำงานและกลุ่มครอบครัวที่ต้องการอ่านวรรณกรรมคลาสสิกในรูปแบบ เรื่องเล่าก่อนนอน
80 วันรอบโลก ฉบับ นิทานนำบุญ คือการเปิดประตูเข้าสู่วรรณกรรมต้นฉบับ ผู้อ่านที่สนใจควรหาวรรณกรรมฉบับดั้งเดิมมาอ่านเพิ่ม เพราะมีรายละเอียดมากกว่า มีภาษาที่งดงามกว่า และมีมุมมองจากยุคปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งอาจสะท้อนภาพของโลกต่างยุคได้ดี
มาอ่านวรรณกรรมเรื่อง “80 วันรอบโลก” ฉบับเรื่องเล่าก่อนนอนไปด้วยกัน
กาลครั้งหนึ่งในกรุงลอนดอน มีสุภาพบุรุษผู้เคร่งครัดในระเบียบชื่อว่า ฟีเลียส ฟ็อก ทุกเช้า เขาจะตื่นตรงเวลา ดื่มชาตามกิจวัตร และก้าวออกจากบ้านในจังหวะที่นาฬิกาพกบอกเวลาแบบพอดิบพอดี เขาไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเรื่องจุกจิก แต่รักในความเที่ยงตรง ราวกับชีวิตขับเคลื่อนด้วยเข็มนาฬิกา
ยามบ่ายของวันหนึ่ง ฟ็อกได้ไปที่ รีฟอร์มคลับ ซึ่งเป็นสโมสรของบรรดานักคิดผู้รักการสนทนาและการเดิมพัน วันนั้น มีเสียงฮือฮาเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์เรื่อง “ทางรถไฟสายใหม่ในอินเดียจะทำให้การเดินทางรอบโลกเร็วขึ้นมาก” ฟ็อกฟังคนอื่นคุยอย่างเงียบ ๆ แล้วเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “ถ้าอย่างนี้ การเดินทางรอบโลก…ต้องใช้เวลาสักกี่วัน?”
มีเสียงหนึ่งตอบเขาว่า “อย่างเก่งที่สุด ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 80 วัน…ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเลย”
ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจว่า “ถ้าเช่นนั้น ผมขอเดิมพัน…ผมจะเดินทางรอบโลกภายใน 80 วันให้สำเร็จ” สมาชิกในสโมสรต่างพากันหัวเราะ บางคนบอกว่าเขาบ้า บางคนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ฟ็อกยังยืนยัน “เรามาเดิมพันกันสัก 20,000 ปอนด์ดีไหม”
เมื่อกลับถึงบ้าน ฟ็อกไม่รีรอใด ๆ เขาหันไปพูดกับผู้ช่วยคนใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา ชายคนนี้ชื่อว่า ปาสปาร์ตู เป็นคนจิตใจดี มีอารมณ์ขัน และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เก็บกระเป๋าเถอะ” ฟ็อกพูด “เราจะออกเดินทางทันที”
“ออกเดินทาง…ตอนนี้เลยหรือครับ?” ปาสปาร์ตูเบิกตาโต ฟ็อกพยักหน้า “ใช่ เราต้องไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว เพราะเวลา…คือสิ่งมีค่าที่สุด”
และแล้ว การเดินทางเริ่มต้นขึ้นทันที ทั้งสองโดยสารรถไฟจากลอนดอนไปยังเมืองโดเวอร์ ข้ามเรือสู่ฝรั่งเศส แล้วต่อรถไฟผ่านปารีสสู่ตูริน ประเทศอิตาลี
ในรถไฟ ปาสปาร์ตูถามอย่างไม่มั่นใจว่า “คุณฟ็อก เราจะไปที่ไหนกันแน่ครับ?”
“บรินดีซี” ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “เมืองที่เราจะลงเรือกลไฟต่อไปยังบอมเบย์ ประเทศอินเดีย”
ปาสปาร์ตูได้แต่มองออกนอกหน้าต่าง รถไฟพุ่งผ่านทุ่งหญ้ากว้าง เมืองเล็ก และหมู่บ้านแสนเงียบสงบ เขาไม่เคยไปไกลขนาดนี้มาก่อน หัวใจของเขาจึงเต้นแรง เหมือนจะบอกว่า…ชีวิตกำลังเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เมื่อถึงฝรั่งเศสและอิตาลี พวกเขาพบเจอกับพายุ ฝน และทางรถไฟที่ต้องซ่อมแซม แต่ฟ็อกไม่เคยบ่น เขายังคงดูนาฬิกาพกเรือนเก่าอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดเบา ๆ กับตัวเองว่า “ทุกนาทีล้วนมีค่า”
เมื่อมาถึงบรินดีซี ทั้งคู่ขึ้นเรือกลไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังบอมเบย์ เมืองหลวงทางตะวันตกของประเทศอินเดีย กลางคืนบนดาดฟ้าเรือ ปาสปาร์ตูยืนมองดวงดาวที่พร่างพรายอยู่ทั่วฟากฟ้า ลมทะเลพัดเย็นจนเสื้อคลุมปลิวไปมาตามจังหวะ
เขาหลับตา พึมพำเบา ๆ กับตัวเองว่า…“ขอให้เราทำสำเร็จเถอะนะ… การเดินทาง 80 วันรอบโลก”
เมื่อฟีเลียส ฟ็อกและปาสปาร์ตูเดินทางถึงเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย กลิ่นเครื่องเทศตลบอบอวลอยู่ทุกทิศทาง เสียงรถลาก เสียงม้า และเสียงผู้คนเจรจาซื้อขายดังไม่หยุด ฟ็อกยังคงเงียบขรึม ไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว เขาดูนาฬิกา และพึมพำกับตัวเองว่า “ไปกัลกัตต้า…ต่อเรือสู่อีสเทิร์นเอเชีย”
แต่เมื่อไปถึงสถานีรถไฟ ข้าราชการในชุดขาวแจ้งข่าวไม่คาดฝัน “ขออภัยครับ…รางรถไฟยังสร้างไม่เสร็จในบางช่วง ท่านจะไปถึงกัลกัตต้าไม่ได้ในตอนนี้”
ปาสปาร์ตูอุทาน “ถ้าอย่างนั้น…เราจะเดินทางต่อยังไงล่ะครับ?” ฟ็อกไม่ตอบทันที เขาเพียงนิ่งคิด แล้วเดินตรงไปยังตลาดที่มีช้างให้เช่า
หน้าตลาด มีช้างตัวโตชื่อ “คีโอนี” ยืนอยู่อย่างสง่างาม ฟ็อกจ่ายเงินทันที พร้อมจ้างควาญช้างที่ชื่อว่า “กีซาล” จากนั้น ทั้งสามคนก็ออกเดินทางฝ่าแดดร้อน ผ่านป่ารก ผ่านต้นไทรใหญ่ และแม่น้ำที่ใสเย็น มุ่งหน้าไปทางตะวันออก
กลางป่า มีเสียงนกและเสียงลิงดังแว่วมาเป็นระยะ ลมพัดใบไม้ไหว ปาสปาร์ตูตื่นเต้น มือของเขาลูบเบา ๆ ที่คอคีโอนีแล้วพูดว่า “เจ้านี่น่ารักจังเลย”
แต่แล้ว…ก็มีเสียงกลองดังมาแต่ไกล เสียงโห่ร้อง และเสียงเครื่องเป่าดังขึ้นเรื่อย ๆ
ควาญช้างกีซาลขมวดคิ้ว “มีพิธีกรรมบางอย่างเกิดขึ้นที่วัดร้างข้างหน้า…บางทีพวกเขากำลังประกอบพิธีบูชายัญ”
เมื่อพวกเขาแอบมองจากพุ่มไม้ ก็เห็นกลุ่มคนพื้นเมืองรายล้อมอยู่รอบหญิงสาวคนหนึ่ง ผู้สวมชุดส่าหรีสีขาว หลับตาอยู่กลางพิธี “เธอชื่อ อัลดา” กีซาลกระซิบ “เธอถูกบังคับให้ตามสามีที่ล่วงลับเข้าสู่ไฟมรณะ…”
ปาสปาร์ตูอุทาน “เราต้องช่วยเธอ” ฟ็อกไม่พูด เขาพยักหน้า แล้ววางแผนลอบเข้าไปช่วยในช่วงกลางคืน
ยามค่ำ ท้องฟ้าสีดำสนิท ดาวประดับอยู่เบื้องบน ปาสปาร์ตูแอบคลานเข้าไปแทนที่นักบวชคนหนึ่งในพิธี ส่วนฟ็อกรอเวลาอยู่ด้านหลังวัด
เมื่อถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนเปลวไฟจะถูกจุด ปาสปาร์ตูลุกขึ้นอุ้มอัลดา แล้ววิ่งเต็มฝีเท้า ฝูงชนแตกฮือ เสียงตะโกนลั่นวัด ฟ็อกกระโดดขึ้นหลังคีโอนี พร้อมปาสปาร์ตูและอัลดา แล้วช้างก็กระโจนฝ่าความมืดด้วยฝีเท้าที่แข็งแรง
เสียงไล่หลังและกลองเบาลงเรื่อย ๆ ในขณะที่คีโอนีวิ่งเข้าสู่แสงแรกของยามเช้า อัลดาน้ำตาคลอ เธอกล่าวแบบคนเสียขวัญว่า “ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้…ฉันจะเดินทางไปกับคุณ ไม่ว่าจะต้องไปที่ใด”
ฟ็อกเพียงพยักหน้า ส่วนปาสปาร์ตูยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่เคยยิ้มมา
การเดินทางที่เริ่มด้วยผู้ชายสองคน บัดนี้มีผู้ร่วมทางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง… และบางที หัวใจที่เคยเงียบงันก็เริ่มมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นทีละน้อยโดยไม่อาจอธิบายได้
หลังจากช่วยชีวิตอัลดาออกจากพิธีบูชายัญได้อย่างหวุดหวิด ฟีเลียส ฟ็อก ปาสปาร์ตู และอัลดา ก็เดินทางต่อไปยังเมืองฮ่องกง เมืองท่าซึ่งเต็มไปด้วยเรือสำเภา เสียงระฆังดังจากร้านค้า และกลิ่นชาอ่อน ๆ ลอยฟุ้งบนถนน
ฟ็อกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาดูนาฬิกาเป็นระยะ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “เราต้องขึ้นเรือ คาร์นาติก เพื่อไปโยโกฮามาให้ทันวันพรุ่งนี้”
แต่เมื่อมาถึงบริษัทเรือ กลับพบว่ามีพายุเข้า และเรือจะออกคืนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้
ฟ็อกรีบกลับโรงแรมเพื่อเก็บของ ส่วนปาสปาร์ตูซึ่งคิดว่าฟ็อกขึ้นเรือไปแล้ว ก็วิ่งขึ้นเรือ คาร์นาติกโดยไม่รู้ว่าเจ้านายและอัลดายังมาไม่ถึง
เมื่อฟ็อกกลับมาถึงท่าเรือ เขาเห็นเรือออกไปแล้ว พร้อมผู้ช่วยของเขาที่อยู่บนเรือลำนั้น
แทนที่จะสิ้นหวัง ฟ็อกกลับหันไปเช่าเรือเล็กชื่อ แทงกาแดร์ แล้วลงเรือไม้ฝ่าคลื่นลมในคืนเดือนมืด เพื่อไล่ตามเรือใหญ่สู่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น
อัลดานั่งเงียบอยู่ข้างฟ็อก เธอมองบุรุษผู้นิ่งเฉย แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรค สายลมพัดปลายผมของเธอเบา ๆ ขณะที่เธอเอ่ยถามด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณยอมเสี่ยงขนาดนี้ เพียงเพื่อไม่ให้เสียเวลา…หรือเพื่อช่วยคนที่คุณห่วงใยกันแน่?”
ฟ็อกยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบเรียบ ๆ ว่า “เวลาเป็นสิ่งมีค่า…แต่บางคนที่ร่วมเดินทางก็มีค่ามากกว่าเวลาเสียอีก”
เมื่อถึงโยโกฮามา เมืองแห่งโคมแดง เสียงเครื่องดนตรีที่เรียกว่าซามิเซ็น และรอยยิ้มของชาวญี่ปุ่น ฟ็อกกับอัลดารีบเดินหาเบาะแสของปาสปาร์ตู จนพบว่า…ผู้ช่วยของเขากำลังแสดงเป็นตัวตลกอยู่ในโรงละครสัตว์
เมื่อฟ็อกกับอัลดาไปที่โรงละครสัตว์ พวกเขาพบว่าปาสปาร์ตูกำลังแสดงเป็นตัวตลกในฉากสัตว์ประหลาด เพื่อหาเงินกลับบ้าน
เมื่อปาสปาร์ตูเห็นฟ็อก เขาก็ตะลึงจนน้ำตาไหล พร้อมกับพูดออกมาว่า “เจ้านาย ผมดีใจที่ยังได้เจอทุกคนอีกครั้ง”
ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย แล้วก้มดูนาฬิกาของเขา
การเดินทางยังต้องดำเนินต่อไป แม้อุปสรรคยังมีอีกมาก แต่ความผูกพันของผู้ร่วมทางทั้งสาม ก็แน่นแฟ้นและแข็งแกร่งจนไม่น่าจะแพ้อะไรไปง่าย ๆ
หลังจากเดินทางผ่านประเทศญี่ปุ่น ฟีเลียส ฟ็อก, ปาสปาร์ตู และอัลดา ได้โดยสารเรือชื่อ เจนเนอรัล แกรนท์ ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก มุ่งสู่ฝั่งอเมริกา
ทันทีที่ถึงเมืองซานฟรานซิสโก พวกเขาก็กระโจนขึ้นรถไฟสายข้ามทวีป ด้วยเป้าหมายคือเมืองนิวยอร์ก เพื่อขึ้นเรือกลับอังกฤษให้ทันกำหนด
แต่การเดินทางในทวีปอเมริกาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด พวกเขาต้องเผชิญกับพายุหิมะ หมอกหนา และควายป่านับร้อยตัวที่วิ่งขวางทางรถไฟกลางทุ่ง รถไฟต้องจอดชั่วคราว ปาสปาร์ตูหายใจแรงเมื่อเห็นฝูงสัตว์โถมมาแบบไม่หยุดยั้ง
“เราต้องรอ…ทุกชีวิตมีสิทธิ์เดินทางเหมือนกัน” ฟ็อกพูดเรียบ ๆ ขณะมองเวลาที่เดินไปอย่างไม่หยุดยั้ง
และเมื่อรถไฟกลับมาแล่นต่อ จู่ ๆ เสียงปืนก็ดังขึ้น “ปัง! ปัง!” กลุ่มโจรพุ่งขึ้นรถไฟกลางสายฝน พวกเขาพยายามปล้นของมีค่าและข่มขู่ผู้โดยสาร
ฟ็อกคว้าร่มไม้เก่าขึ้นมา “หลบอยู่ด้านหลังฉันนะอัลดา” เขาตะโกน ปาสปาร์ตูปีนขึ้นหลังคารถไฟ วิ่งฝ่าลมและความกลัว ไล่ตามโจรจนตกลงข้างทาง
แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่ความกล้าหาญและสามัคคีของผู้โดยสารช่วยกันสกัดโจรเอาไว้ได้ ทว่าหลังเหตุการณ์สงบ…ปาสปาร์ตูกลับหายตัวไปอีกครั้ง
แม้เวลาจะเหลืออยู่เพียงไม่กี่วัน แต่ฟ็อกก็ตัดสินใจกระโดดลงจากรถไฟ ฝ่าหิมะและความมืดเพื่อออกตามหาเพื่อน เวลาเป็นสิ่งมีค่า แต่เพื่อนก็มีค่าไม่แพ้เวลา หลังจากความพยายามอย่างเต็มที่ ในที่สุด ฟ็อกก็พบปาสปาร์ตูถูกขังอยู่ในกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ และเขาก็ช่วยปาสปาร์ตูให้รอดกลับมาได้อย่างหวุดหวิด แต่รถไฟเที่ยวสุดท้ายที่จะไปนิวยอร์ก…ได้ออกเดินทางไปเสียแล้ว!
ท่ามกลางความสิ้นหวัง แต่ฟ็อกกลับไม่ยอมแพ้ เขารีบหาเรือเล็ก เพื่อใช้เดินทางลัดเลาะผ่านแม่น้ำและเส้นทางในป่า จนในที่สุด เขาก็พาอัลดาและปาสปาร์ตูมาถึงนิวยอร์กได้สำเร็จ
แต่ความท้าทายยังไม่จบ เพราะเรือกลไฟลำสุดท้ายที่มุ่งสู่อังกฤษได้ออกจากท่าไปแล้ว ปาสปาร์ตูถึงกับหมดแรง “พลาดแล้ว…ยังไงเราก็คงไปไม่ทัน”
แต่ฟ็อกกลับตรงดิ่งไปหาเรือขนถ่านลำหนึ่งชื่อ The Henrietta เขาขอเช่าเรือทั้งลำ พร้อมขอเปลี่ยนเส้นทางเดิมให้มุ่งหน้าสู่ลิเวอร์พูลทันที
“แต่เรือของฉันไม่ได้มีไว้สำหรับผู้โดยสาร” กัปตันร้อง ฟ็อกตอบเรียบ ๆ “ถ้าอย่างนั้น…ก็เปลี่ยนมันซะ” พร้อมจ่ายทองคำจำนวนมหาศาล
เรือแล่นท่ามกลางพายุ มหาสมุทรแอตแลนติกเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ มันต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมากกว่าที่คิด และในช่วงกลางของการเดินทาง…เชื้อเพลิงก็หมด!
ในภาวะวิกฤต ฟ็อกนิ่งคิด แล้วสั่งด้วยเสียงแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่มีถ่านหิน…ก็ใช้ไม้บนเรือแทน”
ปาสปาร์ตูตกใจ “หมายถึง ให้รื้อเสาไม้ พื้นเรือ แล้วต้มเป็นไอน้ำหรือครับ?”
ฟ็อกพยักหน้า “เราต้องแล่นต่อไปให้ถึง แม้จะต้องแล่นด้วยหัวใจแทนเครื่องจักร”
ไม้บนเรือค่อย ๆ ลดลงจนแทบไม่เหลือ แต่เรือก็ยังแล่นไปข้างหน้า จนในที่สุด…เรือก็เทียบท่าที่ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ในช่วงเช้ามืด
ฟ็อกรีบวิ่งไปที่สถานีรถไฟ เพื่อตรงกลับลอนดอนซึ่งเป็นจุดหมายให้ทัน แต่ที่สถานีรถไฟ มีเสียงหนึ่งตะโกนลั่นว่า “คุณฟ็อก! ผมขอจับคุณในนามของกฎหมาย”
สารวัตรฟิกซ์ซึ่งเป็นตำรวจปรากฏตัวขึ้น พร้อมหมายจับเรื่องปล้นธนาคาร แม้ทุกคนจะอธิบายว่าเขาจับผิดคน แต่ฟ็อกก็ถูกควบคุมตัวไว้ชั่วคราว และเวลาก็ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุด
หลังจากผ่านอุปสรรคมากมาย ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับข่าวดีว่า ตำรวจที่ลอนดอนจับโจรตัวจริงได้แล้ว เขาถูกปล่อยตัวทันที และเขาก็รีบขึ้นรถไฟกลับบ้านด้วยหัวใจที่ยังพอมีหวัง
แต่เมื่อฟ็อกมาถึงลอนดอน นาฬิกาในบ้านบอกเวลา 20 นาฬิกา 47 นาที ของวันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม
ตามเงื่อนไขการเดิมพัน เขาต้องกลับถึง สโมสรรีฟอร์มคลับ ภายในเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม ฟ็อกนิ่งเงียบ ดูเหมือนเขาจะสายไปแล้ว หนึ่งวันกับสองนาที
ฟ็อกไม่พูดอะไร เขาถอดหมวกอย่างสงบ แล้วนั่งลงข้างนาฬิกาพกที่เคยพาเขาท่องโลก ปาสปาร์ตูได้แต่นั่งเงียบอยู่มุมห้อง ในใจมีเพียงประโยคเดียว “เรามาช้าเกินไป…”
เช้าวันรุ่งขึ้น… บรรยากาศยังเงียบเหมือนเดิม แต่เมื่อปาสปาร์ตูหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เขากลับต้องเบิกตาโพลง
“หนังสือพิมพ์ระบุว่า วันนี้คือ วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม”
เขาหยิบหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่มีอยู่มาดู วันที่ในนั้นตรงกันหมด “เดี๋ยวก่อน…เราคิดผิด” เขาร้องอย่างตกใจ “คุณฟ็อกครับ เรากลับถึงลอนดอน ทันเวลา…มันไม่ได้ช้าเกินไปอย่างที่เราคิด”
ฟ็อกหันมา สีหน้าสงสัย
ปาสปาร์ตูจึงรีบอธิบายว่า “ตอนที่เราเดินทางจากตะวันออกไปตะวันตก เราเดินตามแสงอาทิตย์ทุกวัน เวลาในแต่ละวันของเราถูก ‘ยืดออก’ ทีละนิด โดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อครบ 80 วัน…เราจึงได้เวลาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งวันเต็ม ๆ”
ฟ็อกนิ่งไปครู่หนึ่ง…แล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถ้าวันนี้ยังเป็นวันเสาร์ และตอนนี้เพิ่ง 8 นาฬิกา เรายังมีเวลาเหลืออีก 12 ชั่วโมงกับ 45 นาทีนี่นา”
ฟ็อกหยิบหมวก หยิบไม้เท้า และออกจากบ้านอย่างไม่รอช้า
เมื่อฟ็อกเดินเข้าสู่สโมสรรีฟอร์มคลับ เสียงนาฬิกากลางห้องก็ดังขึ้นพอดี “ติ๊ง…ติ๊ง…” นาฬิกาบอกเวลา 20 นาฬิกา 45 นาที ของวัน เสาร์ที่ 21 ธันวาคม
เสียงคนในสโมสรเฮลั่น “เขามาทันเวลาจริง ๆ”
ในที่สุด ฟีเลียส ฟ็อกก็ได้รับรางวัลจากการเดิมพัน
หลังจาก 80 วันแห่งการเดินทาง ฟีเลียส ฟ็อกได้กลับมาสู่บ้านของเขาอีกครั้ง แต่ในบ้านหลังนั้น คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังเหมือนเดิม วันนี้ เขามีปาสปาร์ตู ผู้ซื่อสัตย์คอยรินชาให้ด้วยรอยยิ้ม เขามีอัลดาหญิงสาวผู้เคยเกือบสูญเสียทุกสิ่ง คอยอยู่เป็นกำลังใจให้เขา ดังนั้น สิ่งที่เขาได้รับจากการเดินทาง 80 วันรอบโลก จึงไม่ใช่แค่เงินเดิมพัน แต่คือชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มด้วยความรักจากคนที่อยู่เคียงข้างและหัวใจของตัวเองที่กล้าหาญแต่อ่อนโยนกว่าเดิม
#จบบริบูรณ์

