Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) | นิทานกริมม์คลาสสิกสำหรับเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) เป็นหนึ่งในนิทานกริมม์ที่โด่งดังที่สุดในโลก เรื่องเล่าของพี่น้องสองคนที่ถูกพาไปทิ้งกลางป่า และได้เผชิญหน้ากับแม่มดใจร้ายในบ้านขนมหวาน นิทานเรื่องนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง ก่อนจะถูกเก็บบันทึกและปรับแต่งโดย พี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและตีพิมพ์ นิทานพื้นบ้านเยอรมัน จนกลายเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

ผลงานของกริมม์ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อในยุคนั้น เช่น ความยากจน ความหิวโหย ความสัมพันธ์ในครอบครัว และภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในโลกภายนอก นิทาน Hansel and Gretel เวอร์ชันของกริมม์ จึงมักมีบรรยากาศหม่น ๆ และบางช่วงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ซึ่งนักวิชาการด้านวรรณกรรมหลายคนมองว่า นิทานกริมม์ทำหน้าที่ทั้ง สอนบทเรียนชีวิต และ สะท้อนความจริงของสังคม ไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม นิทานเรื่องนี้ยังได้รับการตีความใหม่และดัดแปลงในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในวรรณกรรม ภาพยนตร์ การ์ตูน ละครเวที และแม้กระทั่งดนตรี ทำให้ Hansel and Gretel กลายเป็นนิทานคลาสสิกที่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ทั่วโลกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

สำหรับเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้นำ ฮันเซลกับเกรเทล มาถ่ายทอดใหม่ โดยเรียบเรียงจากเวอร์ชันกริมม์ แต่มีการปรับรายละเอียดบางส่วนให้อ่านง่ายขึ้น เหมาะสำหรับเด็ก และลดทอนความรุนแรงที่อาจไม่เหมาะสม เนื้อเรื่องยังคงรักษาแก่นแท้ของความกล้าหาญ ความรัก และสายใยครอบครัวเอาไว้ เพื่อให้เป็น นิทานก่อนนอนที่ทั้งสนุก น่าติดตาม และสอดแทรกแนวคิดดี ๆ สำหรับเด็ก ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางป่าลึก บ้านหลังนั้นเป็นของคนตัดไม้ใจดีคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่กับลูกสองคน คือ “ฮันเซลกับเกรเทล” เด็กชายและเด็กหญิงที่รักกันมาก พวกเขาเติบโตท่ามกลางเสียงนกร้องและกลิ่นไม้หอมในป่า แม้จะยากจน แต่ครอบครัวก็มีความอบอุ่นในทุกวัน

เมื่อแม่ของเด็ก ๆ จากไปอย่างสงบ พ่อได้แต่งงานใหม่กับหญิงคนหนึ่งที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม และไม่ค่อยพูดกับเด็ก ๆ เท่าไรนัก แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ความอบอุ่นกลับลดลงทุกวัน

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน อาหารในบ้านเริ่มขาดแคลน พ่อพยายามหาทางออก แต่แม่เลี้ยงกลับพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าไม่มีอาหารพอ…ก็คงต้องพาเด็ก ๆ ไปปล่อยไว้ในป่า” พ่อไม่อยากทำ แต่ครอบครัวของเขาก็ลำบากจริง ๆ

คืนก่อนออกเดินทาง ฮันเซลซึ่งได้ยินแม่เลี้ยงคุยกับพ่อ ได้แอบเก็บก้อนกรวดสีขาวใส่กระเป๋า เขาไม่พูดอะไรกับใคร แต่ในใจคิดว่า “เราจะกลับบ้านให้ได้”

เช้าวันใหม่ พ่อพาเด็ก ๆ เดินลึกเข้าไปในป่า ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวและแสงแดดอ่อน ๆ ฮันเซลแอบโรยกรวดเอาไว้ตามทาง

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พ่อจากเด็ก ๆ ไปอย่างเงียบ ๆ โดยทิ้งเด็ก ๆ เอาไว้กลางป่า เกรเทลน้ำตาคลอ ฮันเซลยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องกลัวนะ เราจะตามรอยกรวดกลับบ้าน” และพวกเขาก็เดินตามรอยกรวดจนถึงบ้านอย่างปลอดภัย

เมื่อเห็นเด็ก ๆ กลับมา แม่เลี้ยงก็รู้สึกไม่พอใจมาก เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดกับพ่อว่า “พรุ่งนี้ ต้องพาไปให้ไกลกว่าเดิม” พ่อเศร้าใจ แต่ก็จำใจทำตามอีกครั้ง

ครั้งนี้ฮันเซลไม่มีเวลาหากรวด เขาจึงใช้เศษขนมปังแทน แต่ในป่ามีสัตว์มากมาย ทั้งนก กระรอก และกระต่าย เมื่อฮันเซลโรยเศษขนมปัง พวกสัตว์ก็กินเศษขนมปังจนหมด เด็ก ๆ จึงหาทางกลับบ้านไม่ได้

ฮันเซลและเกรเทลหลงทางและเดินลึกเข้าไปในป่า ยิ่งเดิน….ท้องก็ยิ่งร้องด้วยความหิว เสียงใบไม้เริ่มน่ากลัว แต่สองพี่น้องจับมือกันไว้แน่น “พี่อย่าทิ้งหนูนะ” เกรเทลพูดเบา ๆ ฮันเซลพยักหน้าและเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏ ท่ามกลางต้นไม้สูง มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านหลังนั้นไม่เหมือนบ้านทั่วไป เพราะมันทำจากขนมหวาน หลังคาทำจากพายแอปเปิ้ล หน้าต่างเป็นคัพเค้กสีชมพู ประตูเป็นบราวนี่หนานุ่ม ผนังบ้านเป็นเค้กช็อกโกแลตโรยน้ำตาล ลูกกวาดหลากสีห้อยระย้าเหมือนโคมไฟ และมีสายไหมฟูฟ่องล้อมรอบบ้านเหมือนเมฆ

เด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจจนเผลออุทานว่า “ว้าว! บ้านขนมของจริงเลยนะเนี่ย” เกรเทลร้อง ฮันเซลยิ้มกว้าง “หิวจังเลย ลองชิมดูไหม” พวกเขาเริ่มกินขอบหน้าต่างคัพเค้ก และกัดประตูบราวนี่อย่างเอร็ดอร่อย

ในขณะนั้นเอง มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เธอยิ้มและพูดเสียงนุ่มว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เข้ามาสิ บ้านนี้มีขนมอีกมากมาย” เด็ก ๆ ดีใจและเดินเข้าไปโดยไม่รู้ว่าเธอคือแม่มด

แม่มดแสร้งทำทีใจดี เธอให้เกรเทลช่วยทำงานบ้าน แต่ขังฮันเซลไปนอนพักผ่อนในกรงขนาดใหญ่ “กินเยอะ ๆ นะ จะได้อ้วน” เธอพูดพร้อมยื่นขนมให้ทุกวัน

ฮันเซลเริ่มสงสัยว่าทำไมแม่มดชอบให้เขากินกับนอน และเขาสังเกตว่าแม่มดชอบจับมือเขาเหมือนจะวัดอะไรบางอย่าง จนวันหนึ่งเกรเทลได้ยินแม่มดรำพึงว่า “เมื่อไหร่จะอ้วนสักทีนะ จะได้จับไปอบกินให้หนำใจ” เมื่อเกรเทลนำเรื่องมาเล่าให้ฮันเซลฟัง เขาก็รู้ในทันทีว่า แม่มดต้องการเลี้ยงให้เขาอ้วนเพื่อจับกินเป็นอาหาร

ฮันเซลจึงคิดหาวิธีรับมือกับแม่มด เขารู้ว่าแม่มดแก่มากและสายตาไม่ดี เมื่อแม่มดเข้ามาขอจับมือเขา เขาจึงซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อแล้วยื่นกระดูกเล็ก ๆ ผ่านลูกกรงให้แม่มดจับแทน ด้วยเหตุนี้ แม่มดจึงรู้สึกว่า ฮันเซลผอมจนเหลือแต่กระดูก

เวลาผ่านไปนานพอสมควร แม่มดเริ่มหงุดหงิด “เมื่อไหร่จะอ้วนขึ้นสักทีนะ” แม่มดรำพึงเสียงดัง เกรเทลได้ยินแล้วใจคอไม่ดี เธอจึงตั้งสติและเริ่มคิดหาทางช่วยพี่ชาย

วันหนึ่งแม่มดสั่งให้เกรเทลตรวจเตาอบ “ดูสิว่าเตาอบยังใช้งานได้ปกติไหม”

เกรเทลสังเกตเตาอบและเห็นว่าที่ฝาเตาอบมีที่ล็อก เกรเทลเห็นโอกาส เธอจึงแกล้งทำเป็นพบสิ่งผิดปกติภายในเตาอบ แล้วพูดกับแม่มดว่า “หนูเห็นอะไรบางอย่างวิบ ๆ วับ ๆ อยู่ในเตาอบ คุณยายช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”

แม่มดมีสมบัติสะสมอยู่มาก เมื่อได้ยินเกรเทลพูดคำว่าวิบ ๆ วับ ๆ แม่มดจึงตกใจคิดว่าตัวเองเผลอทำเครื่องเพชรหรือเครื่องประดับหลุดเข้าไปในเตาอบ แม่มดจึงรีบวิ่งและมุดเข้าไปดู เมื่อเกรเทลสบโอกาส เกรเทลจึงผลักก้นแม่มดอย่างแรง แล้วปิดฝาเตาอบพร้อมกับล็อกแม่มดเอาไว้ จากนั้น เธอรีบวิ่งไปหาฮันเซล “พี่ เราต้องรีบหนี!”

ก่อนออกจากบ้าน เกรเทลซึ่งทำความสะอาดบ้านจนรู้ว่าแม่มดมีหีบใบใหญ่ที่ภายในมีเหรียญทองและอัญมณีระยิบระยับอยู่เต็มไปหมด ได้ตัดสินใจชวนพี่ชายให้ช่วยกันนำสมบัติเหล่านั้นติดตัวกลับบ้านด้วย

เมื่อกลับถึงบ้าน เด็ก ๆ เห็นพ่อกำลังนั่งร้องไห้เพราะพ่อรู้สึกผิดและคิดถึงลูก เมื่อพ่อเงยหน้าแล้วเห็นฮันเซลและเกรเทลกลับมา พ่อก็ร้องไห้พร้อมกับส่งเสียงว่า “ลูกรักของพ่อ” หลังจากนั้นพ่อก็รีบวิ่งเข้ากอดลูกทั้งสองคนเอาไว้แน่น (ส่วนแม่เลี้ยงที่เห็นพ่อเอาแต่ร้องไห้และออกตามหาลูก ๆโดยไม่สนใจเธอ แม่เลี้ยงก็เก็บของออกจากบ้านโดยปล่อยให้พ่ออยู่ที่บ้านตามลำพังมานานแล้ว)

ในที่สุด ฮันเซล เกรเทล และพ่อก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น และมีสมบัติที่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ส่วนเรื่องราวของแม่มดและบ้านขนมหวานก็ไม่มีใครเคยได้ยินอีกเลย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดและไหวพริบช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย
  • ความรักและความสามัคคีในครอบครัวทำให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคไปได้
Posted in Female Protagonists in Folklore, Female Protagonists in Folklore, Thai Folk Tales in English

Kaew Na Ma: A Thai Folk Tale of Loyalty, Courage, and Inner Beauty

Kaew Na Ma is one of Thailand’s most intriguing folk tales—an emotionally rich story that defies traditional expectations. Unlike many Thai legends where male heroes dominate the narrative, Kaew Na Ma centers on a female protagonist who overcomes ridicule, danger, and rejection to rescue the man she loves.

Her name, Kaew Na Ma, literally means “Kaew with the face of a horse.” Though her appearance is mocked, her heart is noble, her mind sharp, and her loyalty unwavering. This tale explores themes of transformation, inner beauty, and the quiet strength of women who fight not with weapons, but with wisdom and love.

Rooted in Thai oral tradition and adapted across generations, Kaew Na Ma remains a rare gem—a story where the heroine saves the prince, not the other way around. It invites readers of all ages to reflect on how we judge others, and what true beauty really means.

Whether you’re new to Thai folklore or a lifelong lover of Southeast Asian storytelling, this tale offers a fresh perspective on courage, compassion, and the power of being underestimated.

Once upon a time, in the peaceful kingdom of Pangthong, there lived a wise king and a kind queen. They had one son—Prince Pintong. He was handsome, clever, and beloved by all.

As Prince Pintong grew older, he longed to explore the world and learn beyond the palace walls. The king and queen agreed, sending loyal attendants to accompany him.

The prince traveled far—through cities, forests, and villages—until he reached a deep jungle where a powerful hermit lived. The hermit welcomed him kindly and told him of a young woman named Kaew Na Ma.

Kaew Na Ma had the face of a horse—strange and unlike other women. But the hermit said she was wise, brave, and gifted with the power to change her form

When Prince Pintong met Kaew Na Ma, he was startled by her appearance. But as they spoke, he saw her cleverness, her courage, and her heart. Slowly, admiration grew.

Then one day, disaster struck. The prince was captured by bandits and locked in a cave deep in the forest. His attendants fled in fear. Only Kaew Na Ma stayed.

She searched for him. She used the hermit’s teachings, her wit, and her bravery. Disguised as an old wanderer, she went to a nearby village, pretending to sell herbs to gather clues.

Once she learned the cave’s location, she made a plan. She feigned illness and asked the bandits to let her rest inside. Then, she served them food laced with sleeping herbs. When they fell asleep, she freed the prince and led him to safety.

Prince Pintong was deeply moved. “Though your face may not be fair,” he said, “your heart is more beautiful than any in the land.” He chose her as his bride, despite objections from the royal court.

Back in Pangthong, the king and queen were disappointed by her appearance. So the prince quietly kept her in his private quarters. Though mocked by many, Kaew Na Ma never grew bitter. She cared for the prince with love and loyalty.

One day, war broke out. Prince Pintong had to fight a neighboring kingdom led by a powerful general who used magic in battle.

Kaew Na Ma offered to help. She transformed into a graceful woman named Mani—a diplomat with charm and wisdom. She traveled to the enemy city, won the general’s trust, and learned his battle plans.

She returned swiftly and shared everything. Prince Pintong prepared wisely and won the war.

The king and queen saw Mani and adored her, wishing she could be their daughter-in-law—unaware she was Kaew Na Ma in disguise.

Prince Pintong knew the truth but kept silent. Until one day, he spoke it aloud. The king and queen were shocked—and ashamed.

They apologized to Kaew Na Ma and welcomed her with honor. A grand celebration was held.

Kaew Na Ma revealed herself and said, “I never held anger in my heart. I always believed… goodness will shine when the time is right.”

From that day on, Kaew Na Ma was respected by all. She helped govern the land, plan wisely, and care for the people.

Prince Pintong loved her more each day. And when she returned to visit the hermit who raised her, she received blessings and magical gifts to aid her kingdom.

And so, Pangthong grew more peaceful than ever—thanks to one woman, whose face was not fair, but whose heart was the fairest of all.

Illustration of Kaew Na Ma, the horse-faced heroine from Thai folklore, symbolizing inner beauty, loyalty, and quiet strength.
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ, วรรณกรรมไทย

แก้วหน้าม้า: นิทานพื้นบ้านไทยที่กล้าท้าทายความงามและโชคชะตา

นิทานพื้นบ้านไทยเป็นมากกว่าความบันเทิงสำหรับเด็ก เพราะมันคือกระจกสะท้อนค่านิยม ความเชื่อ และบทเรียนชีวิตที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เรื่องราวเหล่านี้มักแฝงด้วยความหวัง ความกล้าหาญ และการยอมรับในความแตกต่างของมนุษย์ เช่นเดียวกับนิทานเรื่อง “แก้วหน้าม้า” ที่แม้จะมีฉากหลังเป็นโลกแฟนตาซี แต่กลับพูดถึงประเด็นร่วมสมัยอย่างการไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ และการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองอย่างทรงพลัง

“แก้วหน้าม้า” เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีต้นกำเนิดจากภาคกลางของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยมีทั้งฉบับร้อยกรองและบทละครนอกที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ทรงนิพนธ์ไว้ ตัวละครเอกคือหญิงสาวผู้มีใบหน้าเหมือนม้า แต่มีสติปัญญาและความกล้าหาญเหนือใคร เธอใช้ไหวพริบและความสามารถในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตนเอง แม้จะถูกดูหมิ่นจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ตาม นิทานเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบละครโทรทัศน์ การ์ตูน และหนังสือสำหรับเด็ก

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองปางทองอันสงบสุข มีพระราชาผู้ทรงธรรม และพระมเหสีผู้เปี่ยมเมตตา ทั้งสองมีพระโอรสองค์เดียวชื่อ “พระปิ่นทอง” เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฉลาดหลักแหลม และมีจิตใจแน่วแน่

เมื่อพระปิ่นทองเจริญวัย พระองค์ขอออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง พระราชาและพระมเหสีจึงทรงอนุญาต พร้อมส่งข้าราชบริพารติดตามไปด้วย

พระปิ่นทองเดินทางไกล ผ่านเมือง ผ่านป่า ผ่านภูเขา จนมาถึงป่าลึกแห่งหนึ่ง ที่มีฤๅษีผู้ทรงฤทธิ์อาศัยอยู่ ฤๅษีเห็นพระปิ่นทองเป็นชายหนุ่มมีบุญบารมี จึงต้อนรับด้วยความเมตตา

ฤๅษีเล่าเรื่องของหญิงสาวผู้หนึ่งให้พระปิ่นทองฟัง หญิงสาวคนนั้นชื่อ “แก้วหน้าม้า” นางมีใบหน้าคล้ายม้า ดูแปลก ดูอัปลักษณ์ แต่ฤๅษีบอกว่า นางมีจิตใจดีงาม ฉลาดหลักแหลม และมีความสามารถพิเศษในการแปลงกาย

เมื่อพระปิ่นทองได้พบแก้วหน้าม้า พระองค์ตกใจในรูปลักษณ์ของนาง แต่เมื่อได้พูดคุย ได้ฟัง ได้เห็นความสามารถ พระองค์ก็เริ่มชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและความกล้าหาญของนาง

แล้ววันหนึ่ง…เกิดเหตุร้าย พระปิ่นทองถูกโจรจับตัวไปขังไว้ในถ้ำลึกกลางป่า ข้าราชบริพารต่างพากันหนีด้วยความกลัว เหลือเพียงแก้วหน้าม้าเท่านั้นที่ไม่ยอมทิ้งพระองค์

แก้วหน้าม้าออกตามหา ใช้ความรู้จากฤๅษี ใช้ไหวพริบ ใช้ความกล้า นางปลอมตัวเป็นหญิงชราเร่ร่อน เดินทางไปยังหมู่บ้านใกล้ถ้ำ แกล้งทำเป็นคนขายสมุนไพรเพื่อสืบข่าว

เมื่อรู้ตำแหน่งถ้ำแล้ว นางก็วางแผนอย่างแยบยล นางแกล้งทำเป็นหญิงแก่ป่วยหนัก ขอให้โจรช่วยพาไปพักในถ้ำ แล้วใช้ยาสลบที่เตรียมไว้ผสมในอาหารให้โจรกิน โจรหลับหมด! นางรีบปลดโซ่ตรวนพระปิ่นทอง และพาหนีออกมาอย่างปลอดภัย

พระปิ่นทองซาบซึ้งในน้ำใจและความกล้าหาญของแก้วหน้าม้า พระองค์กล่าวว่า “แม้เจ้าจะมีหน้าตาไม่งาม แต่ใจเจ้ากลับงามยิ่งกว่าหญิงใดในแผ่นดิน” พระองค์จึงรับนางเป็นชายา แม้ข้าราชบริพารจะคัดค้านก็ตาม

เมื่อกลับถึงเมืองปางทอง พระราชาและพระมเหสีเห็นชายาของพระโอรสมีหน้าตาอัปลักษณ์ก็รู้สึกผิดหวัง และไม่ยอมรับนางในฐานะสะใภ้ พระปิ่นทองจึงพานางไปอยู่ในตำหนักส่วนตัวอย่างเงียบ ๆ

แก้วหน้าม้าแม้จะถูกดูหมิ่นจากผู้คน แต่ก็ไม่เคยโกรธเคือง นางยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างดี คอยดูแลพระปิ่นทองด้วยความรักและซื่อสัตย์

วันหนึ่ง พระปิ่นทองต้องออกศึกกับเมืองข้างเคียง ซึ่งมีแม่ทัพผู้เก่งกล้าและใช้เวทมนตร์ในการรบ แก้วหน้าม้าจึงอาสาแปลงกายเป็นหญิงงามชื่อ “มณี” โดยใช้เวทมนตร์จากฤๅษี

นางปลอมตัวเป็นหญิงผู้มีความรู้ด้านการทูต เดินทางไปยังเมืองศัตรูเพื่อเจรจา ใช้วาทศิลป์และไหวพริบหลอกให้แม่ทัพศัตรูหลงรัก และยอมเปิดเผยแผนการรบทั้งหมด

เมื่อได้ข้อมูลสำคัญ นางมณีก็รีบกลับมาบอกพระปิ่นทอง พระองค์จึงวางแผนรับมืออย่างรอบคอบ และสามารถเอาชนะศึกได้อย่างงดงาม

พระราชาและพระมเหสีเห็นหญิงงามผู้นี้ก็เกิดความรักใคร่ และอยากให้เป็นสะใภ้ โดยไม่รู้ว่านางคือแก้วหน้าม้าในร่างใหม่

พระปิ่นทองรู้ความจริง แต่ไม่กล้าบอกผู้ใด จนกระทั่งวันหนึ่ง พระองค์เผลอพูดออกมา ทำให้พระราชาและพระมเหสีตกใจ และรู้สึกละอายใจ

พระราชาทรงขอขมาแก้วหน้าม้า และยอมรับนางเป็นสะใภ้อย่างเป็นทางการ พร้อมจัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่

แก้วหน้าม้าในร่างมณีจึงเปิดเผยตัวตน และกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยโกรธเคืองผู้ใด เพราะข้ารู้ดีว่า ความดีจะปรากฏเมื่อถึงเวลา”

นับแต่นั้นมา นางแก้วหน้าม้าก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในเมืองปางทอง นางใช้ความสามารถช่วยเหลือบ้านเมืองในหลายด้าน ทั้งการปกครอง การวางแผน และการดูแลประชาชน

พระปิ่นทองก็รักและเคารพนางมากขึ้นทุกวัน และเมื่อวันหนึ่ง นางขออนุญาตกลับไปเยี่ยมฤๅษีผู้เลี้ยงดู นางก็ได้รับพรและของวิเศษจากฤๅษี เพื่อใช้ในการช่วยเหลือบ้านเมืองต่อไป

และนับจากวันนั้น…เมืองปางทองก็สงบสุขยิ่งกว่าเดิม เพราะมีหญิงผู้หนึ่ง ที่แม้จะมีหน้าตาไม่งาม แต่มีหัวใจที่งดงามที่สุดในแผ่นดิน

  • แม้รูปลักษณ์จะไม่งดงาม แต่หัวใจที่ดีงามจะเปล่งประกายเมื่อถึงเวลา
  • อย่าตัดสินคุณค่าของใครจากรูปลักษณ์ภายนอก เพราะสิ่งงดงามที่สุดอาจซ่อนอยู่ในสิ่งที่คนมองข้าม
  • ความเมตตาและการให้อภัยคือหนทางสู่การยอมรับและความสงบสุข


Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ

เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว – นิทานคลาสสิกจากฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน

“เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว” (The Princess and the Pea) หรือในชื่อภาษาเดนมาร์กว่า Prinsessen på ærten เป็นนิทานสั้นที่แต่งโดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) นักเล่านิทานผู้เปลี่ยนโลกแห่งวรรณกรรมเด็กด้วยเรื่องเล่าที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง นิทานเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1835 และกลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดของเขา

แม้เนื้อเรื่องจะดูเรียบง่าย คือเป็นเรื่องของเจ้าชายที่ตามหาเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง และใช้เมล็ดถั่วเล็ก ๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นเจ้าหญิง แต่นิทานเรื่องนี้กลับได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวางในแวดวงวรรณกรรมเด็กและจิตวิทยา นักวิชาการหลายท่านมองว่า “เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว” เป็นนิทานที่ยกย่องความอ่อนไหว ความละเอียดอ่อน และความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ซึ่งมักถูกมองข้ามในโลกที่ให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งและรูปลักษณ์ภายนอก

เมล็ดถั่วในเรื่องจึงไม่ใช่แค่สิ่งของเล็ก ๆ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของ “ความจริงเล็ก ๆ” ที่สามารถเปิดเผยตัวตนของคนเราได้อย่างน่าทึ่ง และเตียงที่สูงลิบก็ไม่ใช่เพียงฉากในนิทาน แต่เป็นบททดสอบที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกแห่งนิทาน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายองค์หนึ่งที่กำลังตามหาเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง เพื่อมาเป็นคู่ครองของพระองค์

เจ้าชายเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ มากมาย พบหญิงสาวมากหน้าหลายตา บางคนแต่งกายงดงามราวกับเจ้าหญิง บางคนพูดจาอ่อนหวานราวกับเจ้าหญิง แต่ไม่ว่าใครจะแสดงออกอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้เจ้าชายมั่นใจได้ว่า คน ๆ นั้นเป็นเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง เจ้าชายจึงกลับมายังปราสาทของพระองค์ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

คืนหนึ่ง เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ลมพัดแรงจนต้นไม้โยกไหว ฝนตกกระหน่ำไม่หยุด และฟ้าร้องเสียงดังจนปราสาทสะเทือน ทุกคนต่างหลบอยู่ในห้องของตนเอง ไม่มีใครกล้าออกไปไหน

ทันใดนั้น มีเสียงเคาะประตูปราสาทดังขึ้น เจ้าชายและพระราชินีต่างแปลกใจ เมื่อเปิดประตูออกดูเจ้าชายกับพระราชินีก็พบหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางสายฝน เสื้อผ้าเปียกโชก ผมเปียกชุ่ม และรองเท้าก็เต็มไปด้วยโคลน

หญิงสาวกล่าวอย่างสุภาพว่า “ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหญิงจากแดนไกล ขออภัยที่มาขอพักพิงในยามค่ำคืนเช่นนี้”

ราชินีมองหญิงสาวด้วยความสงสัย แม้เธอจะพูดจาอ่อนโยน แต่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอไม่เหมือนเจ้าหญิงเลย

ราชินีจึงคิดจะทดสอบว่าเธอเป็นเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริงหรือไม่ พระองค์สั่งให้คนรับใช้จัดเตียงนอนให้หญิงสาว โดยวางเม็ดถั่วหนึ่งเมล็ดไว้ใต้ฟูกที่นอน จากนั้นก็ซ้อนฟูกอีกถึงยี่สิบชั้น และปูผ้านวมอีกยี่สิบผืนไว้ด้านบน

เตียงนั้นสูงจนต้องใช้บันไดปีนขึ้นไป หญิงสาวขึ้นไปนอนบนเตียงนั้น ทุกคนในปราสาทต่างเฝ้ารอคำตอบในเช้าวันรุ่งขึ้น ว่าการทดสอบของราชินีจะได้ผลหรือไม่

เมื่อรุ่งเช้า ราชินีถามหญิงสาวว่าเธอนอนหลับสบายหรือไม่

หญิงสาวตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าพเจ้านอนไม่หลับเลยตลอดคืน มีบางสิ่งแข็ง ๆ อยู่ใต้ที่นอน มันทำให้ข้าพเจ้าปวดหลังจนแทบขยับตัวไม่ได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชินีก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะมีเพียงเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่มีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนมากพอจะรู้สึกถึงเมล็ดถั่วเล็ก ๆ ใต้ฟูกหนานุ่มถึงยี่สิบชั้น

เจ้าชายดีใจอย่างยิ่งที่พบเจ้าหญิงผู้มีความเป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง พระองค์ขอเธอแต่งงานทันที และเจ้าหญิงก็ตอบรับด้วยความยินดี

พิธีแต่งงานจัดขึ้นอย่างงดงาม และทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข

ในที่สุด เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ก็กลายเป็นนิทานที่เล่าขานกันมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดของผู้ใหญ่คือการรู้จักใช้วิธีอ่อนโยนในการพิสูจน์ความจริง
  • การอบรมเลี้ยงดูที่ดีจะหล่อหลอมให้คนมีความละเอียดอ่อนโดยธรรมชาติ
  • ความละเอียดอ่อนคือคุณสมบัติที่ไม่สามารถแสร้งทำได้
ภาพเจ้าหญิงนอนบนเตียงสูงในนิทานเจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานนานาชาติ, นิทานผจญภัย

สาวน้อย เปโตรซิเนลลา: นิทานคลาสสิกจากอิตาลีที่เป็นต้นแบบของราพันเซล

นิทานเปโตรซิเนลลา (Petrosinella) เป็นนิทานพื้นบ้านจากอิตาลีที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี โดยปรากฏครั้งแรกในหนังสือ Lo cunto de li cunti หรือ The Tale of Tales ซึ่งเขียนโดย Giambattista Basile นักเขียนและนักสะสมนิทานพื้นบ้านชาวอิตาลีในช่วงศตวรรษที่ 17

นิทานเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของนิทาน ราพันเซล ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี แม้ว่าเวอร์ชันของ Brothers Grimm จะได้รับความนิยมมากกว่าในยุคหลัง แต่ Petrosinella กลับมีโครงเรื่องที่ลึกซึ้งและมีรายละเอียดที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การที่นางเอกเรียนรู้เวทมนตร์จากนางยักษ์ และใช้ไหวพริบในการหลบหนีด้วยของวิเศษสามชิ้น

นักวิชาการด้านวรรณกรรมเปรียบเทียบมักชื่นชม Petrosinella ในฐานะนิทานที่ให้บทเรียนเรื่อง “การเติบโตผ่านการเรียนรู้” และ “ชัยชนะของสติปัญญาเหนืออำนาจ” โดยเฉพาะในเวอร์ชันของ Basile ที่เน้นความกล้าหาญและความรักที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา

ในแง่ของวัฒนธรรม นิทานเรื่องนี้สะท้อนความเชื่อของชาวอิตาลีในยุคนั้นเกี่ยวกับเวทมนตร์ ความอยากในช่วงตั้งครรภ์ และการต่อรองกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ซึ่งเป็นธีมที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรปตอนใต้

การนำเสนอเรื่อง สาวน้อยเปโตรซิเนลลา ในเว็บไซต์นิทานนำบุญ จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวรรณกรรมคลาสสิกกับบทเรียนชีวิตที่เข้าถึงใจเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างลึกซึ้ง

ในเมืองเล็กแห่งหนึ่งของอิตาลี มีหญิงสาวชื่อปัสกาโดซเซียอาศัยอยู่กับสามีอย่างยากจน วันหนึ่งเธอตั้งครรภ์ และเกิดความอยากกินผักชีฝรั่งที่ปลูกอยู่ในสวนของนางยักษ์ข้างบ้าน ความอยากนั้นรุนแรงจนเธอขอให้สามีแอบเข้าไปเก็บมาให้

สามีแม้จะลังเล แต่ก็ยอมทำตามคำขอของภรรยา เขาแอบเข้าไปในสวนของนางยักษ์และเด็ดผักชีฝรั่งมาให้ภรรยากิน เมื่อภรรยากินแล้วก็ยิ่งอยากกินอีก เขาจึงกลับไปเก็บอีกครั้ง แต่คราวนี้นางยักษ์จับได้

นางยักษ์โกรธมากและขู่ว่าจะลงโทษเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำไปเพราะความรักต่อภรรยา นางจึงยื่นข้อเสนอว่า หากเขายอมมอบลูกในครรภ์ให้เมื่อคลอดออกมา นางจะไม่ลงโทษและจะให้อภัย เขาจำใจตกลง

เมื่อเด็กหญิงเกิดมา นางยักษ์มารับตัวไปเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก และตั้งชื่อว่า เปโตรซิเนลลา ซึ่งหมายถึง “ผักชีฝรั่งน้อย” เด็กหญิงเติบโตขึ้นในบ้านของนางยักษ์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ถูกห้ามไม่ให้ออกไปข้างนอก

เมื่อเปโตรซิเนลลาโตขึ้น เธอมีผมยาวสลวยและเสียงร้องเพลงไพเราะ วันหนึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านบ้านของนางยักษ์และได้ยินเสียงร้องเพลงของเธอ เขาหลงใหลในเสียงนั้นและแอบดูเธอจากหน้าต่าง

ชายหนุ่มพยายามหาทางเข้าไปหาเปโตรซิเนลลา แต่บ้านของนางยักษ์ไม่มีประตู มีเพียงหน้าต่างสูงที่นางยักษ์ใช้ปีนขึ้นโดยจับผมของเปโตรซิเนลลา เขาจึงเลียนแบบวิธีของนางยักษ์และเรียกให้เธอปล่อยผมลงมา

เมื่อเปโตรซิเนลลาเห็นชายหนุ่ม เธอตกใจแต่ก็รู้สึกอบอุ่น ทั้งสองพูดคุยกันและเริ่มมีความรักต่อกัน พวกเขาแอบพบกันทุกวันโดยใช้ผมของเธอเป็นทางขึ้นลง

นางยักษ์เริ่มสงสัยและจับได้ว่าเปโตรซิเนลลาแอบพบชายหนุ่ม เธอโกรธมากและวางแผนจะจับตัวเปโตรซิเนลลากลับไปขังไว้ในหอคอยกลางป่า เพื่อไม่ให้ใครเข้าถึงได้อีก

แต่เปโตรซิเนลลาไม่ยอมแพ้ เธอใช้ไหวพริบและเวทมนตร์ที่เรียนรู้จากนางยักษ์ แอบเตรียมของวิเศษไว้สามอย่าง ได้แก่ หวี หิน และกระจก ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งกีดขวางได้

คืนหนึ่ง เปโตรซิเนลลาแอบหลบหนีออกจากหอคอยพร้อมชายหนุ่ม โดยนำของวิเศษติดตัวไปด้วย นางยักษ์รู้ทันและรีบตามทั้งคู่ไปด้วยความโกรธจัด

เปโตรซิเนลลาโยนหวีลงพื้น หวีกลายเป็นป่าหนามขวางทาง นางยักษ์ใช้เวทมนตร์ฝ่าผ่านไปได้

เปโตรซิเนลลาจึงโยนหินลงไป หินกลายเป็นภูเขาสูง นางยักษ์ปีนข้ามไปอย่างยากลำบาก

สุดท้าย เปโตรซิเนลลาโยนกระจกลงพื้น กระจกกลายเป็นทะเลกว้าง นางยักษ์ไม่สามารถข้ามไปได้ และจมน้ำหายไปในที่สุด

เมื่อพ้นภัย เปโตรซิเนลลาและชายหนุ่มกลับไปยังเมืองของเขา ทั้งสองแต่งงานกันอย่างมีความสุข และใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักและความกล้าหาญที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความรักและสติปัญญาสามารถเอาชนะอำนาจที่กักขังได้ แม้จะต้องเผชิญกับความกลัวและอุปสรรคมากมาย หากมีความกล้าและความจริงใจ ก็สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างงดงาม

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความรักแท้ต้องมาพร้อมความกล้าหาญในการเผชิญอุปสรรค
  • สติปัญญาและการเตรียมตัวสามารถช่วยให้เรารอดพ้นจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก
  • การกักขังไม่อาจหยุดยั้งจิตใจที่โหยหาอิสรภาพและความรัก
ภาพประกอบนิทานสาวน้อยเปโตรซิเนลลา เด็กหญิงผมแดงกำลังหลบหนีจากนางยักษ์ในฉากป่า สื่อถึงความกล้าหาญและการหลุดพ้น
เปโตรซิเนลลาใช้ไหวพริบและเวทมนตร์หลบหนีจากนางยักษ์ เพื่อค้นหาอิสรภาพและความรักแท้
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานเจ้าหญิง, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน : เจ้าหญิงนิทรา – นิทานคลาสสิกจากพี่น้องกริมส์ในรูปแบบบทเพลงน่ารัก

“เจ้าหญิงนิทรา” หรือ Sleeping Beauty เป็นหนึ่งในนิทานคลาสสิกที่ครองใจผู้คนทั่วโลกมาหลายศตวรรษ โดยเฉพาะเวอร์ชั่นของพี่น้องกริมส์ ซึ่งมีเสน่ห์เฉพาะตัว

เว็บไซต์นิทานนำบุญ ขอเสนอ เพลงเล่านิทานเจ้าหญิงนิทรา โดยถ่ายทอดผ่านบทเพลงอบอุ่นที่ฟังง่ายและชวนฝัน สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่ยังเชื่อในพลังแห่งความรักและความหวัง

บทเพลงนี้มีท่อนที่น่ารักมาก ๆ ซึ่งร้องว่า “จุ๊บ..จุ๊บ…” เพื่อสื่อถึงฉากสำคัญในนิทาน คือ ช่วงเวลาที่เจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิง และทำให้เธอฟื้นจากการหลับใหลอันยาวนาน เป็นท่อนที่แต่งขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังจำได้ง่าย และรู้สึกถึงความอ่อนโยนของเรื่องราว

หากคุณกำลังมองหานิทานก่อนนอนที่อบอุ่นหัวใจ หรือบทเพลงที่ช่วยปลอบโยนและสร้างรอยยิ้มให้กับเด็ก ๆ เพลงเล่านิทานเจ้าหญิงนิทราเวอร์ชั่นนี้ อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหา

ใครที่เคยอ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมขอลงเรื่องย่อให้อ่านกัน ดังนี้

นิทานเรื่อง : เจ้าหญิงนิทรา (ฉบับย่อ)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีที่ปรารถนาจะมีลูก วันหนึ่งปลาวิเศษปรากฏตัวขึ้นและทำนายว่า พระราชินีจะได้ให้กำเนิดพระธิดาในไม่ช้า ไม่นานนัก เจ้าหญิงน้อยผู้แสนงดงามก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมเสียงเฉลิมฉลองทั่วอาณาจักร

พระราชาจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญนางฟ้า 12 องค์มามอบพรให้เจ้าหญิง แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องจานทอง นางฟ้าองค์ที่ 13 จึงไม่ได้รับเชิญ นางโกรธและสาปว่า เมื่อเจ้าหญิงอายุครบ 15 ปี จะถูกเข็มปั่นด้ายตำมือและสิ้นพระชนม์

นางฟ้าองค์ที่ 12 ซึ่งยังไม่ได้มอบพร จึงแก้คำสาปให้เจ้าหญิงไม่ตาย แต่จะหลับใหลไปหนึ่งร้อยปี และจะมีเจ้าชายมาปลุกให้ฟื้นคืน พระราชาจึงสั่งเผาเครื่องปั่นด้ายทั่วอาณาจักร

เมื่อเจ้าหญิงอายุครบ 15 ปี พระนางเดินเที่ยวในวังและพบหญิงชรากำลังปั่นด้าย ด้วยความอยากรู้ เจ้าหญิงจึงลองปั่นเอง และถูกเข็มตำตามคำสาป ทำให้หลับใหลทันที ทั้งวังก็หลับตามไปด้วย

พุ่มกุหลาบหนามขึ้นปกคลุมพระราชวังจนไม่มีใครเข้าถึงได้ จนกระทั่งครบหนึ่งร้อยปี เจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งเดินทางผ่านมา พงหนามแยกออกเป็นทางให้พระองค์เข้าไปถึงห้องบรรทมของเจ้าหญิง

เมื่อเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงเบา ๆ เจ้าหญิงก็ฟื้นขึ้น พร้อมทุกชีวิตในวังที่ตื่นขึ้นตามมา ทั้งสองจัดงานอภิเษกสมรส และครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงแบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

เจ้าหญิงนิทรานอนหลับอยู่ในห้องบรรทม ท่ามกลางพุ่มกุหลาบหนามที่เบ่งบาน สะท้อนความหวังและรักแท้ในนิทาน Dornröschen
ภาพประกอบจากนิทานเจ้าหญิงนิทราเวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์ ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงหลับใหลในวังที่ถูกพุ่มหนามปกคลุม
Posted in นิทานก่อนนอน, นิทานคลาสสิก, นิทานเจ้าหญิง

เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์: นิทานคลาสสิกที่อบอุ่น

ในโลกของนิทานคลาสสิก มีนิทานเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานผ่านกาลเวลาอย่างไม่เสื่อมคลาย—เรื่องของเจ้าหญิงผู้หลับใหลด้วยคำสาป และตื่นขึ้นด้วยจุมพิตแห่งรักแท้ นิทานเรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อ Sleeping Beauty หรือ “เจ้าหญิงนิทรา” แต่ในเวอร์ชั่นดั้งเดิมของพี่น้องกริมส์จากประเทศเยอรมนี นิทานนี้มีชื่อว่า Dornröschen ซึ่งแปลว่า “กุหลาบหนาม” อันเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง ความอดทน และการรอคอยอย่างมีความหวัง

แม้หลายคนจะคุ้นเคยกับฉบับดิสนีย์ที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยภาพฝัน แต่แท้จริงแล้ว “เจ้าหญิงนิทรา” มีรากฐานจากนิทานพื้นบ้านยุโรปที่เก่าแก่และลุ่มลึก เวอร์ชั่นแรกสุดที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรคือ Sun, Moon, and Talia โดย จาแมตติสตา บาซีล (Giambattista Basile) ในศตวรรษที่ 17 ซึ่งมีเนื้อหาเข้มข้นและมืดมนกว่าฉบับที่เรารู้จักในปัจจุบัน ต่อมาในปี 1697 ชาร์ลส์ แปโรต์ (Charles Perrault) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ได้ปรับเรื่องให้ละมุนขึ้นใน La Belle au bois dormant ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเวอร์ชั่นดิสนีย์ในเวลาต่อมา

พี่น้องกริมส์ (Jacob และ Wilhelm Grimm) ได้นำเรื่องนี้มาปรับใหม่ในชื่อ Dornröschen โดยตีพิมพ์ในปี 1812 จุดเด่นของเวอร์ชั่นกริมส์คือการเน้นความบริสุทธิ์ของเจ้าหญิง ความกล้าหาญของเจ้าชาย และภาพพุ่มหนามที่ปกคลุมพระราชวังเป็นดั่งม่านเวลาที่ปกป้องความงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอ นิทานนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องราวของเวทมนตร์และโชคชะตา แต่ยังสะท้อนบทเรียนชีวิตเรื่อง “การรอคอยอย่างไม่สิ้นหวัง” และ “รักแท้ที่ไม่ต้องเร่งรีบ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชากับพระราชินีพระองค์หนึ่ง ทั้งสองพระองค์ครองราชย์มานาน แต่ก็ยังไม่มีพระโอรสหรือพระธิดาเลยสักองค์ พระราชินีทรงเศร้าโศกและภาวนาทุกวันว่าขอให้มีลูกเสียที

วันหนึ่ง พระราชินีเสด็จไปอาบน้ำที่สระน้ำ ทันใดนั้น ปลาตัวหนึ่งว่ายโฉบขึ้นมาแล้วพูดว่า “ความปรารถนาของพระนางกำลังจะเป็นจริง อีกไม่นานพระองค์จะมีลูกสาวแล้ว”

ไม่นานนัก พระราชินีก็ให้กำเนิดพระธิดางดงาม พระราชาและพระราชินีดีใจยิ่งนัก ทั้งอาณาจักรเต็มไปด้วยความสุข พระราชาจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ เชิญเหล่านางฟ้ามามอบพรให้เจ้าหญิงน้อย

ในราชอาณาจักรมีนางฟ้าอยู่ 13 องค์ แต่ในพระราชวังมีจานทองเพียง 12 ใบ พระราชาจึงจำใจเชิญนางฟ้ามาเพียง 12 องค์ เพื่อเลี้ยงดูอย่างสมเกียรติ

ในงานเลี้ยง นางฟ้าแต่ละองค์ต่างพากันประทานพรให้เจ้าหญิง ทั้งความงาม ความใจดี ความร่ำรวย ความสุข และพรดี ๆ อีกมากมาย แต่แล้ว…จู่ ๆ นางฟ้าองค์ที่ 13 ซึ่งไม่ได้รับเชิญก็มาปรากฏกายขึ้น นางโกรธมากที่ถูกลืม นางไม่ได้กินเลี้ยงกับคนอื่น และไม่ได้รับเกียรติใด ๆ เลย

นางฟ้าองค์ที่ 13 จึงกล่าวคำสาปเสียงดังว่า “เมื่อเจ้าหญิงมีอายุครบ 15 ปี เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นด้ายตำมือ และจะต้องสิ้นพระชนม์!”

สิ้นเสียงนั้น นางฟ้าก็หายวับไปในทันที ทั้งราชวังตกอยู่ในความตกใจและเศร้าโศก

แต่ยังมีนางฟ้าองค์ที่ 12 ซึ่งยังไม่ได้มอบพร นางจึงออกมากล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย ข้าพเจ้าจะช่วยได้ แม้พรของข้าจะไม่สามารถลบคำสาปได้ แต่ข้าจะทำให้เจ้าหญิงไม่ตาย เพียงแต่จะหลับใหลไปเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี แล้วจะมีเจ้าชายมาปลุกให้ฟื้นคืน”

พระราชาได้ยินดังนั้นก็โล่งใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังกลัว จึงรับสั่งให้เผาเครื่องปั่นด้ายทุกอันในอาณาจักรทิ้งให้หมด

กาลเวลาผ่านไป เจ้าหญิงเติบโตเป็นสาวงดงาม มีน้ำใจอ่อนโยน และเป็นที่รักของทุกคน ครั้นเมื่อถึงวันเกิดครบ 15 ปี พระราชาและพระราชินีไม่อยู่ในพระราชวัง เจ้าหญิงจึงเดินเที่ยวไปตามห้องต่าง ๆ ด้วยความซุกซน

แล้วเจ้าหญิงก็มาถึงหอคอยสูง ห้องเล็ก ๆ ที่เจ้าหญิงไม่เคยเห็นมาก่อน ข้างในมีหญิงชราองค์หนึ่งกำลังนั่งปั่นด้ายอยู่ “คุณยายกำลังทำอะไรอยู่หรือคะ” เจ้าหญิงถามด้วยความอยากรู้ “ยายกำลังปั่นด้ายจ้ะ” หญิงชราตอบ เจ้าหญิงสนใจจึงขอลองทำบ้าง แต่ทันทีที่เจ้าหญิงจับเครื่องปั่นด้าย เข็มก็ทิ่มนิ้วของพระนาง คำสาปของนางฟ้าที่ 13 จึงเป็นจริง เจ้าหญิงทรุดลงและหลับใหลไปในทันที

และแล้ว…ทั้งพระราชวังพลันตกอยู่ในความสงบงัน พระราชา พระราชินี และเหล่าข้าราชบริพารต่างก็หลับไปเช่นเดียวกัน แม้แต่ม้าในคอก นกบนหลังคา หรือไฟที่กำลังลุกในเตา ก็หยุดนิ่งราวกับเวลาถูกสะกด

ไม่นานหลังจากนั้น พุ่มกุหลาบหนามก็ขึ้นปกคลุมรอบพระราชวัง พงหนามนั้นหนาทึบจนไม่มีใครสามารถเข้าไปถึงได้ และไม่นานนัก พระราชวังทั้งหลังได้หายไปจากสายตาของผู้คน

มีเรื่องเล่ากันไปทั่วดินแดน ว่าภายในพุ่มหนามนั้นมีเจ้าหญิงงดงามนอนหลับใหลอยู่ ใครก็ตามที่เข้าไปพยายามฝ่าพงหนามก็ล้วนติดอยู่ในนั้น ไม่มีใครกลับออกมาได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง…ครบหนึ่งร้อยปีเต็ม พุ่มหนามก็กลับกลายเป็นกุหลาบงดงามบานสะพรั่ง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่งได้เดินทางผ่านมา และได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าหญิงในวังที่ถูกสาป เจ้าชายต้องการเห็นความจริงด้วยตา จึงตัดสินใจลองเข้าไปดู

ทันทีที่เจ้าชายเริ่มเดินเข้าไปในพุ่มหนาม พงกุหลาบหนามที่เคยพันเกี่ยวแน่นหนา กลับแยกตัวออกเป็นทางให้เจ้าชายก้าวเข้าไปได้โดยง่าย

เมื่อเข้าไปถึงในวัง เจ้าชายก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่อย่างเงียบสงัด ผู้คนและสัตว์ต่าง ๆ หลับใหลนิ่งไม่ไหวติง จนเจ้าชายไปถึงห้องบรรทมของเจ้าหญิง

เมื่อเจ้าชายมองเห็นเจ้าหญิงนอนหลับอยู่บนเตียง เจ้าหญิงทรงงดงามราวกับเทพธิดา พระองค์รู้สึกเหมือนหัวใจถูกดึงดูดอย่างแรงกล้า เจ้าชายจึงเผลอก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของเจ้าหญิง

ทันใดนั้น เจ้าหญิงก็ลืมพระเนตรขึ้น และตื่นจากการหลับใหล พระราชา พระราชินี และทุกชีวิตในวังก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็จัดงานมงคลสมรสขึ้น พระราชวังกลับมามีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข และพวกเขาทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การรอคอยอย่างอดทนและไม่สิ้นหวัง คือพลังเงียบที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอันงดงาม
  •  ความรักแท้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบหรือเร้าอารมณ์ หากแต่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม และปลุกชีวิตให้เบ่งบานอีกครั้ง
  • สิ่งที่ดูเหมือนอุปสรรค เช่นพุ่มหนาม อาจเป็นการปกป้องสิ่งงดงามไว้ให้คนที่คู่ควรได้พบเจอในเวลาที่ใช่
เจ้าหญิงนิทรานอนหลับอยู่ในห้องบรรทม ท่ามกลางแสงอ่อนและพุ่มกุหลาบหนามที่ปกคลุม สื่อถึงการหลับใหลหนึ่งร้อยปีตามคำสาปในนิทานเจ้าหญิงนิทรา sleeping beauty หรือ Dornröschen
ภาพประกอบจากนิทาน Dornröschen เวอร์ชั่นพี่น้องกริมส์ ถ่ายทอดช่วงเวลาที่เจ้าหญิงหลับใหลในวังที่ถูกพุ่มหนามปกคลุม รอคอยรักแท้ที่จะปลุกให้ตื่นขึ้น
Posted in นิทานคลาสสิก, นิทานความรัก, นิทานนานาชาติ

นิทานอบอุ่นหัวใจ : เจ้าหญิงนิทราและคำสัญญาแห่งรัก : นิทานที่ถูกลืม

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรา เป็นหนึ่งในเทพนิยายคลาสสิกที่ถูกเล่าขานและดัดแปลงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานหลายศตวรรษ โดยเวอร์ชันที่คนส่วนใหญ่รู้จักมักมาจากปลายปากกาของ Charles Perrault (ฝรั่งเศส, ค.ศ. 1697) และ Brothers Grimm (เยอรมนี, ค.ศ. 1812) ซึ่งทั้งสองได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับเด็กและสังคมในยุคนั้น โดยตัดทอนฉากที่อาจขัดแย้งกับจริยธรรมร่วมสมัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับเจ้าหญิงในขณะหลับใหล

แต่ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปี นิทานเรื่องนี้เคยปรากฏในรูปแบบที่แตกต่างออกไปในหนังสือชื่อ Perceforest ซึ่งเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส เขียนขึ้นราวปี ค.ศ. 1330–1344 โดยนักเขียนนิรนามในยุคกลาง Perceforest ไม่ใช่ชื่อของนิทาน แต่เป็นชื่อของหนังสือที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวิน ความรัก และเวทมนตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงตำนานของกษัตริย์อาเธอร์กับประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส

หนึ่งในเรื่องราวที่โดดเด่นใน Perceforest คือเรื่องของ เจ้าหญิง Zellandine และ เจ้าชาย Troylus ซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องโชคชะตา ความรักที่มั่นคง และคำมั่นสัญญาในบริบทของยุคกลาง โดยเจ้าหญิงตกอยู่ในห้วงนิทราเพราะเสี้ยนป่าน และฟื้นขึ้นมาเมื่อบุตรของเธอดูดนิ้วและดึงเสี้ยนออกโดยบังเอิญ

แม้เรื่องราวจะมีความงดงามในเชิงสัญลักษณ์ แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ขณะหลับ ซึ่งนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเนื้อหาโดยนักแต่งนิทานรุ่นหลังอย่าง Perrault และ Grimm เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมทางศีลธรรมและการเลี้ยงดูเด็กในยุคของตน

นิทานเรื่อง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เป็นการเรียบเรียงใหม่ ที่เลือกจะกลับไปสำรวจความงามในต้นฉบับของ Perceforest ด้วยความเคารพและความเข้าใจในบริบทดั้งเดิม

ผู้เรียบเรียงไม่ได้มองความสัมพันธ์ในห้วงนิทราอย่างผิวเผิน แต่เห็นว่าเจ้าหญิงและเจ้าชายมีความรักและคำมั่นสัญญาต่อกันก่อนที่เจ้าหญิงจะหลับใหล การมีลูกจึงเป็นผลแห่งรักแท้ ไม่ใช่การละเมิด หากเป็นการรักษาสัญญาอย่างบริสุทธิ์ในรูปแบบที่สะท้อนความรักเหนือกาลเวลา

นิทานฉบับนี้จึงเป็นการตีความใหม่ที่เน้นความอ่อนโยน ความซื่อสัตย์ และการดูแลกันแม้ในยามที่อีกฝ่ายไม่อาจตอบสนองได้ เป็นการยืนยันว่า “คำมั่นสัญญา” นั้นมีพลังมากกว่าคำพูด—มันคือการกระทำที่ต่อเนื่องและมั่นคง

หากคุณกำลังมองหานิทานที่ไม่เพียงแต่เล่าเรื่อง แต่ยังเปิดพื้นที่ให้หัวใจได้ไตร่ตรอง เจ้าหญิงนิทรากับคำสัญญาแห่งรัก คือบทกวีแห่งความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นการฟื้นคืนความงามของวรรณกรรมยุคกลางในรูปแบบที่ร่วมสมัยและเปี่ยมด้วยความเมตตา

นานมาแล้ว ในแผ่นดินที่ห้อมล้อมด้วยป่าใหญ่และท้องทะเล มีเจ้าหญิงนามว่า เซลลันดีน ผู้เปี่ยมด้วยความงดงามทั้งรูปกายและจิตใจ เธออ่อนโยน ชาญฉลาด และเต็มไปด้วยความเมตตา ราวกับเป็นดวงดาวที่ส่องแสงในยามรัตติกาล

เจ้าหญิงมีคู่หมั้นคือ เจ้าชายทรอยลัส ผู้กล้าหาญจากแดนทรอย ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ต่อคำพูดและมีหัวใจที่มั่นคงราวหินผา ทั้งสองพบกันในยามสงบของบ้านเมือง และสัญญาต่อกันว่าจะร่วมสร้างครอบครัวอันเปี่ยมสุข ครองรักด้วยความเท่าเทียมและซื่อสัตย์ต่อกันจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ

ทุกค่ำคืน เจ้าหญิงจะนั่งในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ และเจ้าชายจะมาร่วมสนทนา ทั้งสองกล่าวถึงความฝันอันเรียบง่าย คือการมีบ้านที่อบอุ่น มีบุตรชายหรือบุตรสาวที่วิ่งเล่นรอบห้องโถง และมีชีวิตที่มีเพียง “เรา” ไม่ว่าเวลาจะหมุนไปนานเพียงใด

แต่โชคชะตามักเล่นกล วันหนึ่ง เจ้าหญิงเซลลันดีนถูกเสี้ยนเวทมนตร์ตำ ทำให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนาน ไม่มีใครสามารถปลุกเธอให้ตื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตา คำวิงวอน หรือเพลงดนตรีจากขลุ่ยและพิณที่บรรเลงข้างพระแท่น

ข่าวแพร่ไปถึงแดนทรอย เมื่อเจ้าชายทรอยลัสได้ยิน เขารีบเดินทางฝ่าภูผาและท้องสมุทรเพื่อมาหาเจ้าหญิง เมื่อได้เห็นคนรักของตนเอนกายหลับนิ่งราวกับรูปสลักหินอ่อน ดวงตาของเจ้าชายพรั่งพรูด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด

“โอ เซลลันดีนที่รัก… เหตุใดชะตาจึงโหดร้ายกับเราเช่นนี้ แต่ถึงเจ้าจะหลับใหล ข้าก็จะรักเจ้ามิเปลี่ยนแปร” เจ้าชายกล่าวพร้อมกุมมืออันเย็นชืดของเจ้าหญิง น้ำตาไหลหยดลงบนปลายนิ้วเธออย่างไม่รู้จบ

ด้วยหัวใจที่ไม่เคยสั่นคลอน เจ้าชายจึงทำตามคำมั่นสัญญา เขาจัดพิธีแต่งงาน แม้เจ้าหญิงจะยังคงหลับใหลอยู่บนพระแท่น แต่เขาก็ประกาศต่อฟ้าและแผ่นดินว่า “นับแต่นี้ไป เจ้าหญิงเซลลันดีนคือภรรยาของข้า ผู้เดียวตลอดกาล”

วันคืนล่วงผ่านไป เจ้าชายใช้ชีวิตในฐานะสามีผู้ซื่อสัตย์ เขาดูแลเจ้าหญิงด้วยความอ่อนโยน สวมช่อดอกไม้ไว้ข้างหมอนของเธอทุกเช้า ขับกล่อมด้วยเสียงพิณในยามค่ำคืน และเล่านิทานให้เธอฟังเสมอ แม้จะไม่ได้ยินคำตอบกลับ เขาก็ยังยิ้มให้อย่างมั่นคง

ราชสำนักต่างพากันประหลาดใจว่า ทำไมชายหนุ่มผู้สง่างามนี้จึงยึดมั่นอยู่กับหญิงสาวที่ไม่อาจตื่นขึ้นมา แต่สำหรับเจ้าชายแล้ว คำตอบนั้นง่ายดาย… เพราะเธอคือคำมั่นสัญญาแห่งชีวิต และเขาเลือกที่จะรักโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

กาลเวลาหมุนเวียน ฤดูหนาวแปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ และในความเงียบงันนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจ้าหญิงเซลลันดีนเริ่มมีชีวิตใหม่ก่อกำเนิดภายในร่างกายของเธอ แม้เธอจะยังคงหลับใหล แต่สายใยรักได้ผลิบานเป็นดั่งดวงดาวดวงน้อย

วันหนึ่ง เจ้าหญิงให้กำเนิดทารกน้อย ดวงตาสุกใสราวท้องฟ้ายามรุ่ง เด็กน้อยถูกวางไว้ในอ้อมแขนของแม่ผู้ยังคงหลับไหล แต่กลับอบอุ่นดุจเปลแก้ว เจ้าชายทอดมองภาพนั้นด้วยน้ำตาไหลพราก ลูกคือสัญลักษณ์แห่งรักแท้ของเขาและเจ้าหญิง

วันเวลาผ่านไป ทารกเติบโตขึ้นในอ้อมกอดของบิดา และบางครั้งในยามหิว เขาจะซุกใบหน้าเล็ก ๆ ลงที่มือของแม่ พลันวันหนึ่ง เด็กน้อยได้ดูดนิ้วของเธอด้วยความไร้เดียงสา เสี้ยนที่ตำอยู่ในเล็บตรงปลายนิ้วหลุดออกโดยบังเอิญ

ราวกับเสียงระฆังจากสวรรค์ เจ้าหญิงกระพริบตาช้า ๆ แสงแห่งชีวิตกลับมาสู่ดวงตาคู่สวย เจ้าชายที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานถึงกับทรุดตัวลงร้องไห้ด้วยความปิติ “เซลลันดีน… ที่รัก เจ้าฟื้นแล้ว”

เจ้าหญิงลืมตาขึ้นพบลูกน้อยในอ้อมแขน เธอปล่อยน้ำตาแห่งความสุขไหลริน พลางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าชายที่รัก… ข้ารู้สึกถึงเจ้า แม้ในห้วงนิทราอันยาวนาน ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ทอดทิ้ง ขอบคุณที่รักษาคำสัญญา”

เจ้าชายกุมมือของเธอแน่น “ข้าสัญญากับเจ้าในวันที่เราเคยฝัน… ว่าจะรักและสร้างครอบครัวไปกับเจ้า วันนี้สวรรค์ได้โปรดให้คำมั่นนั้นเป็นจริงแล้ว”

ราชสำนักทั้งเมืองร่วมกันเฉลิมฉลองการฟื้นคืนของเจ้าหญิง ทุกผู้คนต่างเห็นว่า ความรักที่มั่นคงและซื่อสัตย์นั้นยิ่งใหญ่กว่าคำสาปหรือเวทมนตร์ใด ๆ ลูกน้อยถูกขนานนามว่า “ดาวแห่งคำมั่น” เพราะเป็นเครื่องหมายแห่งรักแท้ที่ไม่เสื่อมคลาย

และนับแต่นั้นมา เจ้าหญิงเซลลันดีน เจ้าชายทรอยลัส และลูกน้อยของพวกเขา ได้ครองชีวิตร่วมกันอย่างอบอุ่น สมดังความฝันที่เคยสัญญาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มว่า ความรักแท้จะไม่สยบต่อโชคชะตา หากจะส่องสว่างเป็นนิรันดร์

Posted in นิทานความรัก, นิทานสำหรับเด็กและผู้ใหญ่, เพลงเล่านิทาน

เพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” | นิทานฟังเพลินจากเรื่องรักแท้ที่อบอุ่นหัวใจ

เพลงเล่านิทานเรื่อง “เจ้าบ่าวของหนูสาว” เป็นบทเพลงที่ผมแต่งขึ้นจากนิทานพื้นบ้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงในหลายประเทศทั่วเอเชีย โดยเฉพาะในจีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม นิทานเรื่องนี้มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า The Mouse Bride หรือ The Most Powerful Husband และในภาษาจีนว่า 老鼠嫁女 ซึ่งแปลว่า “หนูแต่งลูกสาว”

นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนูที่ออกเดินทางตามหาเจ้าบ่าวที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” (ผมใช้คำว่าแข็งแกร่งที่สุด) ให้กับลูกสาวแสนสวย นิทานเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังมันสะท้อนถึงการแสวงหาคุณค่าที่แท้จริงของความรัก ที่ไม่ได้ขึ้นกับความแข็งแกร่งหรือยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่จิตใจ ความห่วงใย และความผูกพันที่มีให้กัน

ในการแต่งเพลง ๆ นี้ ผมใช้เวลาค่อนข้างมาก ตั้งแต่การแต่งเนื้อเพลง จนถึงขั้นตอนการปรับท่วงทำนอง (ปรับเปลี่ยนเยอะมาก) เพื่อให้ได้เพลงเล่านิทานในเวอร์ชันที่ชวนฟังที่สุด ตอนที่ฟังเพลงนี้ ผมเผลอขยับตัวตามจังหวะโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อย ๆ ผมจึงหวังว่าเพลงนี้จะทำให้ผู้ฟังทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีความสุขได้ไม่ยาก ลองฟังเพลงเล่านิทาน “เจ้าบ่าวของหนูสาว” ไปด้วยกันนะครับ

เมื่อฟังเพลงนี้ไปแล้ว หากใครจำเนื้อเรื่องไม่ได้ ผมเรียบเรียงเนื้อเรื่องแบบย่อไว้ให้ทบทวนความทรงจำด้วยครับ

กาลครั้งหนึ่ง มีหนูสาวหน้าตาน่ารักที่สุดในโลก เมื่อถึงวัยแต่งงาน พ่อแม่ของเธออยากหาคู่ครองที่เก่งกาจที่สุดให้ลูกสาว จึงมองข้ามหนูหนุ่มผู้แสนดีที่เธอรัก แล้วออกตามหาเจ้าบ่าวที่คู่ควร

พวกเขาไปหาพระอาทิตย์ แต่พระอาทิตย์บอกว่าเมฆเก่งกว่า เพราะบดบังแสงของเขาได้ เมฆก็ชี้ไปที่สายลม เพราะลมพัดเขาให้ปลิวไปได้ สายลมเองก็ยกย่องกำแพง เพราะแม้ลมจะพัดแรงเพียงใด กำแพงก็ไม่สะเทือน

แต่เมื่อไปหากำแพง กำแพงกลับชี้ไปยังผู้ที่สามารถเจาะตัวเขาได้ นั่นคือหนูหนุ่มผู้รักหนูสาวนั่นเอง!

หนูหนุ่มเคยเจาะกำแพงเพื่อสร้างบ้านใกล้หนูสาว พ่อแม่ของเธอจึงตระหนักว่า “ผู้เก่งกาจ” ที่แท้จริง คือผู้ที่มีหัวใจมั่นคงและรักแท้

สุดท้าย หนูสาวได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก และทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป

ถ้าใครอยากอ่านนิทานก่อนนอนเรื่อง เจ้าบ่าวของหนูสาว ในเวอร์ชั่นที่ผมเรียบเรียงไว้แบบเต็มเรื่อง (มีรายละเอียดมากกว่าฉบับย่อ) สามารถอ่านได้ตามลิงค์ที่ด้านล่างนี้

ภาพหนูสาวและหนูหนุ่มยืนมองหน้ากันอย่างน่ารัก – ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่องเจ้าบ่าวของหนูสาว
เจ้าบ่าวของหนูสาว – ภาพประกอบนิทานก่อนนอนเรื่องอบอุ่นหัวใจ
Posted in นิทานจากทั่วโลก, นิทานยุโรป, นิทานสอนใจ

พระราชากับปริศนาสามประการ : นิทาน ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)

ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักเขียนชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ เกิดในปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) ซึ่งตรงกับปลายรัชกาลที่ 3 ของไทย และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ. 1910) ช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เขาเป็นผู้เขียนวรรณกรรมระดับโลกอย่าง สงครามและสันติภาพ (War and Peace) และ อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) ไม่เพียงแค่เขียนนวนิยายระดับโลก แต่เขายังสร้างสรรค์นิทานสั้นที่เรียบง่ายและลึกซึ้ง โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตที่เขาหันมาเน้นเรื่องศีลธรรม ความเมตตา และการเข้าใจชีวิตอย่างแท้จริง

นิทานเรื่อง พระราชากับปริศนาสามประการ (Three Questions) เป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระราชาผู้แสวงหาคำตอบของชีวิต นิทานในฉบับเรียงเรียงเป็นภาษาไทยใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่แฝงด้วยปรัชญาอันลึกซึ้ง เหมาะสำหรับเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ที่กำลังค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่งปกครองอาณาจักรด้วยความยุติธรรมและเมตตา พระองค์ปรารถนาจะเป็นกษัตริย์ที่ไม่เคยทำผิดพลาด พระองค์จึงตั้งคำถามขึ้นสามข้อ คือ ข้อแรก เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด ข้อที่สอง ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด และข้อสุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำคืออะไร

พระราชาเชื่อว่า หากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ พระองค์จะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ และจะนำพาอาณาจักรไปสู่ความสงบสุข

พระราชาส่งข่าวไปทั่วแผ่นดิน ขอให้ผู้รู้มาช่วยตอบคำถาม บางคนกล่าวว่า “เวลาสำคัญที่สุดคือยามรุ่งเช้า” บางคนตอบว่า “คนสำคัญที่สุดคือพระเจ้า” หรือ “คือแม่ของท่าน” และบางคนตอบว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางแผนล่วงหน้า”

คำตอบต่าง ๆ ไม่ทำให้พระราชาพอใจ พระองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปหานักบวชผู้ปลีกตัวจากสังคมเพื่อแสวงหาความสงบและปัญญา นักบวชอาศัยอยู่ในป่าลึก เขาเป็นคนพูดน้อย แต่เต็มไปด้วยความเข้าใจในชีวิต

พระราชาเดินทางเข้าไปในป่าโดยไม่บอกว่าเป็นกษัตริย์ เมื่อมาถึงกระท่อมเล็ก ๆ กลางป่า พระองค์เห็นนักบวชกำลังขุดดินอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่

“ข้าพเจ้ามีคำถามสามข้อ” พระราชาตรัส “ได้โปรดช่วยตอบให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

นักบวชไม่ตอบอะไร เขายื่นจอบให้พระราชา พระองค์จึงช่วยขุดดินอย่างเงียบ ๆ จนเหงื่อไหลเต็มใบหน้า

ไม่นานนัก มีชายคนหนึ่งวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ มือกุมท้องที่มีเลือดไหลไม่หยุด พระราชารีบช่วยปฐมพยาบาล ใช้ผ้าพันแผลและดูแลจนชายคนนั้นหลับไปด้วยความอ่อนแรง

รุ่งเช้า ชายคนนั้นตื่นขึ้นและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าเคยเป็นศัตรูของพระองค์ ข้าตั้งใจจะลอบทำร้าย แต่เมื่อพระองค์ช่วยชีวิตข้า ข้าสำนึกผิดแล้ว ขอให้ข้าได้เป็นข้ารับใช้ของพระองค์เถิด”

พระราชานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าให้อภัยเจ้า แต่เจ้าจงไปจากที่นี่เสียเถิด”

เมื่อชายคนนั้นจากไป พระราชาก็หันไปถามนักบวชอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง?”

นักบวชยิ้มแล้วกล่าวว่า “คำตอบทั้งหมดอยู่ในสิ่งที่ท่านเพิ่งทำ”

“เวลาใดคือเวลาที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘ตอนนี้’ เพราะเป็นเวลาที่เราสามารถทำสิ่งดี ๆ ได้

ใครคือบุคคลที่สำคัญที่สุด? คำตอบก็คือ ‘คนที่อยู่ตรงหน้าเรา’ เพราะเขาคือผู้ที่เราดูแลได้

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำอะไร? คำตอบก็คือ ‘การช่วยเหลือผู้อื่น’ เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน”

พระราชานิ่งฟังอย่างสงบ คำตอบที่ได้ช่วยไขปริศนาในใจทั้ง 3 ข้อได้อย่างกระจ่างแจ้ง เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นช่วยย้ำความจริงที่หาไม่ได้จากตำรา พระองค์ทรงเข้าใจคำตอบด้วยใจของพระองค์อย่างแท้จริง

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • เวลาที่สำคัญที่สุดคือ “ตอนนี้” เพราะเป็นช่วงที่เราสามารถลงมือทำสิ่งดีได้
  • คนที่สำคัญที่สุดคือ “ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเรา” เพราะเขาคือผู้ที่เราต้องดูแล
  • สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำคือ “การช่วยเหลือผู้อื่น” เพราะนั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน