Posted in กฎหมาย, การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, คดีลิขสิทธิ์

ความน่ากลัวของคดีลิขสิทธิ์ : ทางเลือกและบทเรียนราคาแพง

บทนำ: ละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ใช่เรื่องเล็ก

ในยุคที่สื่อออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้คนใช้มันเพื่อความบันเทิง หาความรู้ ทำการค้า หรือสร้างสรรค์เนื้อหาในฐานะ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์”

แต่ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างรวดเร็ว บางคนกลับเลือกทางลัดด้วยการ “หยิบฉวย” ผลงานของผู้อื่นจากอินเทอร์เน็ตไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างชัดเจน และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักแสน

ประสบการณ์จริงจากเว็บไซต์ “นิทานนำบุญ”

นิทานในเว็บไซต์นิทานนำบุญถูกละเมิดลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่องยาวนาน ในช่วงแรกผมใช้วิธีตักเตือนและให้ลบออก แต่ไม่นานก็มีผู้ละเมิดรายใหม่ ๆ ทำซ้ำไม่รู้จบ

กรณีที่ทำให้ผมตัดสินใจเลิกใจดี คืออาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนคนหนึ่งที่นำนิทานเรื่อง “การเดินทางของความสุข” ไปเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ชื่อดัง เมื่อถูกจับได้ก็เพียงโทรมาขอโทษ อ้างสารพัด และแก้ตัวว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”

เหตุการณ์นั้นทำให้ผมเข้าใจว่า หลายคนไม่ได้รู้สึกผิดที่ขโมยงานไปใช้ พวกเขาแค่กลัวว่าจะถูกลงโทษหรือเสียเงิน การเตือนแล้วปล่อยจึงไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย

ขั้นตอนการปกป้องลิขสิทธิ์นิทาน

เมื่อพบการละเมิด ผมดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

  • เก็บหลักฐาน: บันทึกหน้าจอเป็นวิดีโอ พร้อมบรรยายวันเวลาและลักษณะการละเมิด
  • ให้โอกาส: ติดต่อผู้ละเมิดเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายในอัตราที่เบาที่สุด (มักเริ่มที่หลักพัน หรือไม่เกินค่าลิขสิทธิ์)
  • แจ้งความ: หากเพิกเฉย ผมต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน ก่อนหมดอายุความ
  • ไกล่เกลี่ย: หากตำรวจแนะนำให้ไกล่เกลี่ย ผมจะไกล่เกลี่ย แต่ค่าชดเชยจะสูงขึ้น
  • ฟ้องร้อง: หากคดีไม่คืบหน้า ผมต้องจ้างทนายฟ้อง ซึ่งเป็นขั้นที่หนักที่สุด

ความแตกต่างระหว่าง “การยอมจ่ายเงินชดใช้” กับ “การถูกฟ้องร้อง”

การจ่ายชดใช้ตั้งแต่แรก เป็นทางออกที่เบาที่สุด ไม่เกินค่าลิขสิทธิ์ และจบเรื่องได้เร็ว

แต่หากเพิกเฉยและถูกฟ้องร้อง ค่าใช้จ่ายจะพุ่งสูงทันที เช่น

  • ค่าทนาย: 30,000–200,000 บาท
  • ค่าปรับตามศาล: ไม่น้อยกว่าค่าลิขสิทธิ์ (33,000 บาทต่อเรื่อง)
  • ค่าเดินทางและที่พัก: ประมาณ 5,000 บาทต่อครั้ง (ต้องไปหลายครั้ง)
  • ความวุ่นวาย: ต้องขึ้นศาลหลายรอบ ทั้งคดีแพ่งและอาญา หากผู้ละเมิดเป็นบุคลากรขององค์กรหรือหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของ, ผู้ถือหุ้น, ผํู้อำนวยการ, เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ ก็อาจถูกเรียกขึ้นศาลเพื่อสืบพยานทั้งหมด (คนทำผิด 1 คนจึงส่งผลกระทบไปทั้งองค์กร)

หากเป็นข้าราชการ อาจต้องออกจากราชการ และชื่อเสียงที่เสียไปก็ยากจะกู้คืน

บทเรียนชีวิต

ในคดีละเมิดลิขสิทธิ์ หากผู้ถูกฟ้องไม่ได้ละเมิดจริง ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้ามีการนำผลงานที่มีลิขสิทธิ์ไปทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่สู่สาธารณะในทุกรูปแบบ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์มีหลักฐานชัดเจน การถูกฟ้องจะถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด เพราะเมื่อถึงขั้นศาลแล้ว การกลับไปขอจ่ายค่าเสียหายตามข้อเสนอแรกก็ไม่ทันเสียแล้ว

คดีละเมิดลิขสิทธิ์จึงเป็นเรื่องร้ายแรง มีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา ค่าใช้จ่ายอาจสูงถึงหลักแสน ผู้ที่เลือกไม่ชำระค่าเสียหายตั้งแต่แรก จึงอาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่หนักหน่วง ซึ่งเป็นบทเรียนราคาแพง!

สรุป

ในมุมมองของผู้ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ผมได้ทำทุกวิถีทางเพื่อเตือนและให้โอกาส ทั้งการติดแบนเนอร์แจ้งเตือนในเว็บไซต์ (เสียเวลาไปมาก) , การเขียนบทความเตือนซ้ำ ๆ และ การเรียกค่าชดเชยในอัตราที่ไม่เกินค่าลิขสิทธิ์

แต่เมื่อผู้ละเมิดเลือกที่จะเพิกเฉย หรืออ้างเหตุผลให้ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบ ผมก็จำเป็นต้องปล่อยวาง และให้พวกเขาเรียนรู้บทเรียนที่เจ็บปวดในชั้นศาลด้วยตัวเอง

หมายเหตุ :

การใช้งานนิทานที่มีลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เป็นเรื่องปกติ (33,000 บาท) หากนำไปใช้โดยไม่ขออนุญาต ก็ต้องเสียเงินเช่นกัน

บางรายผมปรับน้อยมาก เพียงเพื่อให้เป็นบทเรียน แต่ผู้กระทำผิดก็ยังเพิกเฉย พร้อมมีข้ออ้างสารพัด สุดท้าย การถูกฟ้องร้องจนต้องขึ้นศาล และเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างมหาศาล อาจเป็นวิธีเดียวที่ทำให้พวกเขาได้เห็นความจริงว่า…การละเมิดลิขสิทธิ์น่ากลัวขนาดไหน

นักเขียนนั่งทำงานกลางคืนกับแมวดำ สื่อถึงความเครียดจากคดีละเมิดลิขสิทธิ์
“บันทึกจากประสบการณ์จริงที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้” – ภาพสะท้อนความรู้สึกของผู้ถูกละเมิดลิขสิทธิ์

Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเด็ก, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

ทิศทางของนิทานนำบุญปี 2568

………

………

………

………

………..

Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, ทิศทางเว็บไซต์นิทานนำบุญ, เรื่องเล่าจากพี่นำบุญ

จดหมายน้อย

วันที่ 1 กรกฎาคม 2567

สวัสดีครับ พี่นำบุญนั่งเขียน “จดหมายน้อย” ฉบับนี้ ในเช้าต้นเดือนกรกฎาคม 2567

อีกราว 10 วัน พี่นำบุญก็จะมีอายุเข้าวัย 54 ปี (เรียกว่า 54 ขวบก็ได้ เพราะใจยังเป็นเด็กอยู่ ฮิฮิ)

หลังจากวัย 50 พี่นำบุญเตือนตัวเองเสมอว่า เราอาจต้อง “เดินทางไกล” ได้ทุกเมื่อ ตามกฎของธรรมชาติ ที่คนทุกคนต่างหนีไม่พ้น

การจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขพอประมาณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

………

หลายปีมานี้ คุณผู้อ่านน่าจะทราบมาบ้างว่า “นิทานนำบุญ” พบปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีคนนำนิทานในเว็บไซต์นี้ไปทำคลิปหรือเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

พี่นำบุญเขียนคำเตือน เขียนบทความเกี่ยวกับกฎหมายและโทษที่หนักมากของการละเมิด แต่ก็ยังคงมีคนนำนิทานไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ในวันที่พี่นำบุญยังมีชีวิตและมีเรี่ยวแรง พี่นำบุญจึงพยายามปกป้องนิทานที่ตัวเองแต่ง ด้วยการเก็บหลักฐาน – แจ้งความ – ติดต่อให้ผู้ละเมิดมาเจรจา – แจ้งระบบให้ลบคลิปละเมิดออกจากแพลตฟอร์มนั้น ๆ ฯลฯ

คลิปการละเมิด มีอยู่เป็นร้อยคลิป คลิปบันทึกหน้าจอเก็บหลักฐานรวม ๆ แล้วก็น่าจะเกิน 100 ชั่วโมง (พี่นำบุญต้องซื้อฮาร์ดดิสมาเก็บข้อมูลเพิ่ม) การแจ้งให้แพลตฟอร์มลบคลิปก็น่าจะเกิน 100 เคส

สิ่งที่พบมาตลอดหลายปี คือ มันเป็นเรื่องที่ “เสียเวลาในชีวิต” และ “เสียความตั้งใจที่ดีในการ ทำงานเด็กมาก ๆ”

การแจ้งความต่อตำรวจ ก็แทบจะเป็นเรื่อง “ว่างเปล่า” เพราะคดีบางคดีแทบไม่คืบหน้านานถึง 2 ปีเศษ (ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานครบถ้วน) พี่นำบุญเคยทำจดหมายติดตามความคืบหน้าไปที่โรงพักหลายครั้ง ทุกอย่างก็ยังคงนิ่ง จนกระทั่งทำจดหมายไปยัง “ตำรวจภูธรภาค” ซึ่งกำกับดูแลโรงพักที่ไปแจ้งความอีกที ตำรวจจึงเริ่มขยับ และให้เดินทางไปเซ็นเอกสาร “ไม่ติดใจเอาเรื่องตำรวจ”

บางครั้งที่ไปแจ้งความ ตำรวจบางคนบอกว่า เคยเห็นมาแจ้งความแล้ว จะแจ้งทำไม แจ้งเอาเงินเหรอ?

คำพูดบางคำที่ได้ฟัง มันไม่น่ารักเลย สิ่งที่พี่นำบุญอยากให้เกิดขึ้น คือ การหยุดยั้งไม่ให้เกิดการละเมิดอีก และถ้าเลือกได้ระหว่างการให้คนทำผิดเสียเงินในคดีแพ่ง กับการให้ติดคุกในคดีอาญา พี่นำบุญขอเลือกอย่างหลัง

การเป็นนักเขียน (โดยเฉพาะนักเขียนนิทานเล็ก ๆ) ที่แม้จะมีกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองผลงาน แต่ในแง่ปฏิบัติ กลับได้รับการดูแลน้อยมาก

พี่นำบุญจึงเริ่มเข้าใจว่า การที่นักเขียนหลายคนจำเป็นต้องมองข้ามเมื่อถูกละเมิดลิขสิทธิ์ น่าจะเป็นเพราะ “มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด”

การเผชิญหน้ากับการละเมิด จะต้องเสียเวลาเก็บหลักฐาน (เช่น แคปหน้าจอ ตามสืบ ตามเก็บข้อมูล) เสียอารมณ์ (ทำให้เขียนงานไม่ออก) เสียความรู้สึก (กับเจ้าหน้าที่ที่แทบไม่ใส่ใจ) เสียสุขภาพ (ในการติดตามเรื่องต่าง ๆ)

แต่…พี่นำบุญในวัย 50 เศษ ไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้เป็นภาระรุงรังกับครอบครัว พี่นำบุญอยากรักษานิทานนำบุญเอาไว้ที่นี่ ให้เด็ก ๆ และคุณผู้อ่านได้เข้ามาอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และไม่อยากให้ใครไม่รู้ “ขโมยนิทานไปใช้ตามอำเภอใจ”

พี่นำบุญจึงตัดสินใจ จ้างทีมทนาย เพื่อปกป้องผลงานนิทานนำบุญ โดยเตรียมเงินเก็บส่วนตัวรวมแล้วประมาณ 6 หลัก ในการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ละเมิดให้ถึงที่สุด

พี่นำบุญเชื่อว่า คงมีนักเขียนไม่มากนัก ที่พร้อมจะใช้เงินหลักแสน ในการต่อสู้กับคดีละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะค่าตอบแทนในการเขียนหนังสือมีราคาเพียงหลักพัน และการต้องพัวพันกับการดำเนินคดีน่าจะทำให้นักเขียนหมดแรงในการสร้างผลงานชิ้นใหม่ ๆ เพื่อยังชีพ

แต่พี่นำบุญเป็นคนที่ไม่เคยยอมกับเรื่องเหล่านี้ ยิ่งยากก็จะยิ่งสู้ ถ้าเราไม่ผิด เราก็ต้องยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง

พี่นำบุญทำงานเด็กมาราว 30 ปี ทำงานแต่งนิทานมาราว 20 ปี การทำงานเพื่อเด็กเป็นสิ่งที่พี่นำบุญตั้งใจทำและภูมิใจที่ได้ทำ ถ้ายอมแพ้ต่อความยากลำบาก พี่นำบุญก็คงหยุดทำงานเด็กไปนานแล้ว พี่นำบุญดีใจที่ตัวเองไม่ยอมแพ้ ทำจนผลงานได้รางวัลรับรองว่านิทานนำบุญเป็น “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน” ทำจนเด็กบางคนโตเป็นคุณแม่แล้วย้อนมาอ่านนิทานนำบุญให้ลูกฟัง ทั้งหมดนี้ คือ ผลจากความตั้งใจในชีวิตนี้ ที่ผลิดอกออกผล ซึ่งทำให้พี่นำบุญอยากดูแลปกป้องผลงานนิทานที่ทำไว้ให้ดีที่สุด โดยสร้างภาระให้ครอบครัวน้อยที่สุด แม้ในวันที่พี่นำบุญจะไม่อยู่แล้ว

ปัจจุบัน พี่นำบุญจึงเริ่มให้ทีมทนายช่วยดูแลคดีแรกที่ค้างคามานาน ซึ่งหลังจากคดีนี้ผ่านไป พี่นำบุญตั้งใจจะขอให้ทีมทนายช่วยดูแลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญทั้งหมด เพื่อให้พี่นำบุญไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้อีก (และไม่ต้องคอยห่วงคนละเมิด ว่าจะต้องโดนปรับหรือโดนโทษหนักขนาดไหน คือปล่อยวางไปเลย) พี่นำบุญจะได้กลับมาแต่งนิทานเรื่องใหม่ ๆ อย่างจริงจัง และใช้เวลาในช่วงบั้นปลายทำสิ่งที่ควรทำเสียที (เช่น การกินขนม)

……

ในวัยใกล้ 54 เป็นวัยที่ยังพอมีเรี่ยวแรงปกป้องผลงานนิทานของตัวเองด้วยกำลังของตัวเอง (คือเดินทางไปขึ้นศาลไหว) พี่นำบุญหวังว่า การตัดสินใจพึ่งทีมทนาย จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่จะช่วยทำให้ “นิทานนำบุญ” ได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม และทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์หมดไปเสียที

ท้ายสุด พี่นำบุญต้องขอขอบคุณ ผู้อ่านทุกท่าน (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) ที่ส่งกำลังใจเป็นข้อความในกล่องข้อความ รวมทั้งทุกคนที่สนับสนุน “โครงการนิทานเรื่องละบาท” ที่พี่นำบุญเริ่มต้นในปีนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พี่นำบุญรู้สึกจริง ๆ ว่า “มีคนรู้และรักในสิ่งที่ตัวเราตั้งใจทำอยู่”

เมื่อต้นปี พี่นำบุญได้ทำเว็บนิทานนำบุญสาขา 2 โดยลงนิทานใหม่มากถึง 40 เรื่อง พร้อมภาพประกอบที่ตรงใจมาก ๆ (แต่ก็เหนื่อยมาก ๆ) พี่นำบุญจึงบอกกับตัวเองว่า ถ้าพี่นำบุญจัดการกับคดีเรียบร้อยและส่งมอบการดูแลนิทานให้ทีมทนายจัดการต่อได้จริง ๆ พี่นำบุญก็จะกลับมาทำให้เว็บนิทานนำบุญ (สาขา 1) มีความสมบูรณ์ สวยงาม น่าอ่านมากขึ้น ให้สมกับที่คุณผู้อ่านหลาย ๆ คน ให้เกียรติรักและให้การสนับสนุนนักเขียนเล็ก ๆ วัย 54 ขวบ….คนนี้

รักและขอบคุณทุกคนมาก ๆ นะครับ

นำบุญ นามเป็นบุญ

Posted in การจัดการลิขสิทธิ์นิทาน, การพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเด็ก, ทิศทางเว็บไซต์นิทานนำบุญ

ทิศทางของเว็บไซต์ในปี2565

สวัสดีครับ … ผมเขียนบันทึกนี้ในวันที่ 26 ธันวาคม 2564 เพื่อแจ้งทิศทางของเว็บไซต์นิทานนำบุญให้คุณผู้อ่านได้ทราบ

ปัจจุบัน เว็บไซต์นิทานนำบุญมีนิทานอยู่ประมาณ 300 เรื่อง ในปี 2565 ผมจึงตั้งใจที่จะลงนิทานเรื่องใหม่ ๆ น้อยลง แต่จะพยายามจัดหมวดหมู่ของนิทานให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น และจะตรวจทานความถูกต้องทางภาษาของนิทานแต่ละเรื่อง รวมทั้งเติมรายละเอียดในส่วนเกริ่นนำหรือในส่วนท้ายของนิทาน เพื่อให้นิทานแต่ละเรื่องมีความสมบูรณ์มากขึ้น จึงขอแจ้งและขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ

ในส่วนของโครงการเลี้ยงกาแฟปีละ 1 บาท เนื่องจากปีที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ได้รับเงินเลี้ยงกาแฟมาราวสามหมื่นบาท (อ่านได้จากลิงค์นี้ https://bit.ly/32Dw4Uc ) ซึ่งน่าจะใช้ดูแลเว็บไซต์ได้อีก 8 ปี ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 2565 ผมจึงขอหยุดรับการเลี้ยงกาแฟ โดยจะค่อย ๆ นำเลขบัญชีออกจากเว็บไซต์ เพราะผมไม่อยากรบกวนผู้อ่านและไม่อยากถือเงินเอาไว้มากเกินไป ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันดูแลเว็บไซต์นี้นะครับ

ในปี 2564 ผมพบปัญหาน่าหนักใจเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญอย่างรุนแรง และเรื่องการแอบอ้างชื่อ “นิทานนำบุญ” ในการประกาศเชิญชวนผู้คนให้สมัครเข้าทำงาน “คัดลอกนิทาน” ซึ่งมีลักษณะเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต

ในส่วนของปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ มีคนนำนิทานจากเว็บไซต์นิทานนำบุญไปทำคลิปลงในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้กระทำผิดบางคนเล่าว่า เห็นนิทานส่งต่อกันมาทางไลน์ (ไม่มีชื่อผู้แต่ง) จึงก๊อปนิทานมาลงในบทความของตนเอง และเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์! กรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผมวิตกว่า หากปล่อยให้มีการละเมิดต่อไปเรื่อย ๆ นิทานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของผม จะถูกละเมิดจนผู้คนคิดว่าเป็นนิทานที่ไม่มีผู้แต่งและไม่มีลิขสิทธิ์ ดังนั้น ในปี 2565 ผมจึงจำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีอย่างจริงจัง ซึ่งปกติ เวลาที่ผมขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ นิทาน 1 เรื่องที่นำไปพิมพ์หนังสือ 1 เล่ม (พิมพ์ 3000 ฉบับ) ผู้สร้างสรรค์จะได้รับค่าลิขสิทธิ์ 10% ของราคาปก คูณด้วยยอดพิมพ์ (ราว 30,000 บาท) ดังนั้น ผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์นิทานนำบุญจึงอาจถูกดำเนินคดีและเสียเงินเป็นจำนวนมาก (นอกจากนี้ ยังอาจมีโทษทางอาญาด้วยครับ) ซึ่งการดำเนินคดีอย่างจริงจังอาจช่วยแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ไปได้บ้าง

ส่วนปัญหาเรื่องการแอบอ้างชื่อ “นิทานนำบุญ” ในการประกาศรับจ้างที่ไม่สุจริต ผมในฐานะผู้จัดทำเว็บไซต์นิทานนำบุญขอยืนยันว่า ผมไม่มีความเกี่ยวข้องกับการประกาศรับจ้างงานดังกล่าว และจะทำการรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความโดยเร็วที่สุด

ในส่วนของแผนงานปี 2565 ผมตั้งใจที่จะเริ่มทำคอนเทนต์นิทานลงในยูทูบ โดยมีกลุ่มผู้ชมเป็นคนทุกเพศทุกวัย (ไม่เน้นไปที่กลุ่มเด็ก) ซึ่งหากทำได้สำเร็จและเป็นที่นิยมของผู้ชม ก็อาจทำให้ผมมีรายได้มาทำอะไรสนุก ๆ ได้อีก ปี 2565 จึงเป็นปีที่น่าจะยุ่งมากและต้องแก้ปัญหาอะไรค่อนข้างมาก แต่ผมสัญญาว่า ถ้าได้ลงคลิปในยูทูบเมื่อไหร่ ก็จะนำมาแชร์ให้ได้ติดตามกันด้วยครับ

สุดท้าย โครงการหนังสืออีบุ้คที่ผมทำขาย ผมตั้งใจที่จะหยุดขายเพื่อลดภาระของน้องชายที่ต้องมาทำหน้าที่ขายแทนผม ดังนั้น หากใครอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีแต่งนิทานของผม คงต้องรีบสั่งซื้อกันหน่อยตามช่องทางที่อยู่ในภาพข้างล่างนี้ เพราะปลายเดือนมกราคม…เมื่อเลิกขายแล้ว หนังสือเล่มนี้ก็จะไม่มีกลับมาจำหน่ายอีกเลยครับ