Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

สาวเลี้ยงห่านปริศนา : นิทานผจญภัยสอนใจสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จากกริมส์

นิทานเรื่อง สาวเลี้ยงห่าน (The Goose-Girl) เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกบันทึกโดยสองพี่น้องกริมส์จากแหล่งเล่าพื้นบ้านในเยอรมนีช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกเขาเก็บรวบรวมเรื่องเล่าจากชาวบ้าน ปรับถ้อยคำให้เป็นภาษาวรรณกรรม และตีพิมพ์ในชุด Grimm’s Fairy Tales อันโด่งดัง ต่อมาเรื่องนี้ยังถูกนำไปเผยแพร่ใน The Blue Fairy Book (1889) ของ Andrew Lang หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในชุด “Fairy Books” ที่ Lang รวบรวมและแปลนิทานจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก โดยจัดพิมพ์เป็นเล่มที่มีสีต่าง ๆ เช่น Blue, Red, Green เพื่อให้เด็กและผู้อ่านทั่วไปเข้าถึงนิทานคลาสสิกได้ง่ายขึ้น ถือเป็นผลงานสำคัญที่ช่วยเผยแพร่นิทานกริมส์และนิทานพื้นบ้านไปสู่สังคมโลกตะวันตกในวงกว้าง

เนื้อหาของ สาวเลี้ยงห่าน เล่าถึงเจ้าหญิงที่ถูกนางสาวใช้ทรยศและสวมรอยเป็นตนเอง ขณะที่เจ้าหญิงแท้จริงต้องไปทำงานเลี้ยงห่านอย่างต่ำต้อย นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานนี้สะท้อนประเด็นเรื่อง “ความจริงและความเท็จ” รวมถึงการพิสูจน์คุณค่าภายในของตัวละคร สัญลักษณ์ที่ปรากฏ เช่น ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยด แสดงถึงสายสัมพันธ์และการปกป้องจากแม่ ม้าฟาลาดาที่พูดได้เป็นสัญลักษณ์แห่งความซื่อสัตย์และความจริงที่ไม่อาจถูกปิดบัง ส่วนการหวีผมสีทองของเจ้าหญิงกลางแดดสะท้อนความบริสุทธิ์และคุณค่าที่แท้จริงซึ่งเปล่งประกายแม้ในสถานะที่ต่ำต้อย การตีความเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า นิทานไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ยังเป็นบทเรียนเชิงจิตวิญญาณและสังคมที่สอดแทรกผ่านสัญลักษณ์

นิทานกริมส์หลายเรื่อง รวมถึง สาวเลี้ยงห่าน มีฉากที่อาจดูโหดร้ายสำหรับเด็กในยุคปัจจุบัน เช่น การฆ่าม้าฟาลาดา หรือการลงโทษนางสาวใช้ด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งสะท้อนค่านิยมการสั่งสอนในสังคมสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกนำมาเรียบเรียงลงในเว็บไซต์ นิทานนำบุญ ได้มีการลดทอนความรุนแรงของบางฉากเท่าที่ทำได้ โดยยังคงรักษาอารมณ์และแก่นของเรื่องต้นฉบับ เพื่อให้ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่สัมผัสได้ถึงความงดงามและบทเรียนชีวิต หากต้องการอ่านนิทานต้นฉบับฉบับเต็ม สามารถหาอ่านได้จาก Grimm’s Fairy Tales ที่ตีพิมพ์โดยสองพี่น้องกริมส์ หรือจาก The Blue Fairy Book ของ Andrew Lang ซึ่งมีฉบับดิจิทัลให้เข้าถึงได้ในเว็บไซต์โครงการ Project Gutenberg และแหล่งหนังสือสาธารณะออนไลน์ต่าง ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชินีผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาและปัญญา พระองค์มีพระธิดาเพียงองค์เดียว เป็นเจ้าหญิงที่งดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก

เมื่อเจ้าหญิงเติบโตขึ้น พระราชินีได้จัดให้พระธิดาอภิเษกกับเจ้าชายจากเมืองไกล เมืองนั้นมีสัมพันธ์อันดีกับอาณาจักรของพระราชินีมาเนิ่นนาน การแต่งงานครั้งนี้จึงเป็นทั้งสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพและความรัก

ก่อนออกเดินทาง พระราชินีเตรียมสิ่งสำคัญไว้ให้ลูกสาว ทั้งเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น และม้าพูดได้ชื่อ ฟาลาดา ซึ่งเป็นเพื่อนรักของเจ้าหญิงมาตั้งแต่วัยเยาว์ แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดคือ ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ที่มีเลือดสามหยดของพระราชินี ซึ่งพระองค์ใช้มีดเล็ก ๆ สะกิดที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือดลงบนผ้าเช็ดหน้า เพื่อเป็นเครื่องรางคอยปกป้องและเตือนว่าความรักของแม่ยังคงอยู่กับลูกเสมอ

พระราชินีส่งสาวใช้คนหนึ่งไปเป็นผู้ติดตามเจ้าหญิง เพื่อช่วยดูแลระหว่างทาง แต่ไม่นานหลังออกเดินทาง สาวใช้ก็เริ่มเผยนิสัยแท้จริง เธอพูดจาไม่สุภาพ ไม่เคารพเจ้าหญิง และค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจากผู้รับใช้เป็นผู้สั่งการ

วันหนึ่ง ในขณะที่เจ้าหญิงและสาวใช้หยุดพักที่ริมแม่น้ำ สาวใช้บังอาจงสั่งให้เจ้าหญิงลงไปตักน้ำมาให้ดื่ม แม้เจ้าหญิงจะตกใจ แต่ก็ยอมทำตาม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ครั้นเมื่อเจ้าหญิงก้มลงตักน้ำ ผ้าเช็ดหน้าที่มีเลือดสามหยดก็บังเอิญหลุดจากมือและลอยไปตามสายน้ำ ซึ่งไม่ว่าเจ้าหญิงจะตามหาเพียงใดก็ไม่พบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอีกเลย

เมื่อสาวใช้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะนางรู้ดีว่าเจ้าหญิงได้สูญเสียเครื่องรางชิ้นสำคัญ ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชิ้นเดียวที่มีอยู่ สาวใช้จึงใช้โอกาสที่เจ้าหญิงรู้สึกเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ทำการข่มขู่เจ้าหญิง โดยทำทีจะใช้กำลังและบังคับให้เจ้าหญิงสาบานว่าจะไม่เล่าเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทางให้ใครฟัง มิฉะนั้น นางจะทำร้ายเจ้าหญิงให้ถึงแก่ชีวิต เจ้าหญิงจึงจำใจต้องสาบาน และด้วยความเป็นเชื้อพระวงศ์ เจ้าหญิงจึงต้องรักษาคำสาบานที่ให้ไว้ยิ่งชีวิต

เมื่อเจ้าหญิงและสาวใช้เดินทางมาถึงเมืองของเจ้าชาย สาวใช้ก็สวมรอยเป็นเจ้าหญิง ส่วนเจ้าหญิงตัวจริงถูกบังคับไม่ให้พูด และต้องทำตัวเหมือนคนธรรมดา

นอกจากนี้ สาวใช้ยังแอบสั่งให้คนนำม้าพูดได้อย่างฟาลาดาไปจัดการ เพื่อไม่ให้มันเปิดเผยความจริง โดยหัวของฟาลาดาถูกนำไปแขวนไว้ใต้ซุ้มประตูหินใกล้วัง ซึ่งเมื่อเจ้าหญิงเดินผ่านไปเห็น เจ้าหญิงก็ตกใจและพูดกับเพื่อนของพระองค์ว่า “โอ้ ฟาลาดา เจ้าถูกแขวนอยู่ตรงนี้” และหัวม้าก็ตอบกลับอย่างเศร้าสะเทือนใจว่า “โอ้ เจ้าหญิง หากพระมารดาของท่านรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์คงเสียใจยิ่งนัก”

ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงถูกส่งไปทำงานเลี้ยงห่านร่วมกับเด็กหนุ่มชื่อคอนราด ทุกวัน พระองค์ต้องตื่นแต่เช้าไปดูแลฝูงห่าน แม้จะเศร้าและเหนื่อย แต่พระองค์ก็ทรงทำงานโดยไม่บ่นและไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง แต่ไม่นานนัก คอนราดเริ่มสังเกตว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่เหมือนคนทั่วไป เพราะเมื่อเธอหวีผมกลางแดด ผมยาวสีทองของเธอได้เปล่งประกายราวกับเส้นไหมที่ปลิวไปตามสายลม คอนราดตกตะลึงและสงสัยว่าสาวเลี้ยงห่านปริศนาผู้นี้เป็นใครกันแน่

ไม่นานนัก เรื่องราวเกี่ยวกับสาวเลี้ยงห่านปริศนาก็ไปเข้าหูของพระราชา พระองค์จึงแอบมาสังเกตการณ์ด้วยตนเอง และเมื่อพระราชาเห็นสาวเลี้ยงห่านที่กำลังหวีผมสีทอง แต่ดวงตาของเธอกลับมีความเศร้าและหม่นหมองจนยากจะบรรยายได้ พระราชาจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่

พระราชาจึงเรียกสาวเลี้ยงห่านมาพบและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจ้าหญิงในฐานะสาวเลี้ยงห่านไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะได้ให้คำสาบานเอาไว้แล้ว พระราชาจึงสั่งสร้างห้องเล็ก ๆ มีผนังสูง และบอกว่า “เจ้าไปเล่าให้ผนังฟังเสียสิ ไม่ถือว่าเจ้าบอกใคร” ครั้นเมื่อเจ้าหญิงอยู่เพียงลำพัง เจ้าหญิงจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา ตั้งแต่การเดินทาง การสูญเสียผ้าเช็ดหน้า การถูกบังคับ และการถูกสวมรอย เจ้าหญิงเล่าทุกเรื่องโดยไม่รู้ว่า พระราชาทรงซ่อนตัวอยู่ภายนอกและได้ยินทุกถ้อยคำ

ในงานเลี้ยงใหญ่วันรุ่งขึ้น พระราชาทรงเรียกเจ้าหญิงตัวปลอมมาถามว่า “คนทรยศและหลอกเจ้านายของตน ควรได้รับโทษเช่นไร?” สาวใช้ไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้ จึงตอบอย่างลำพองว่า “คนเช่นนั้นควรถูกลงโทษอย่างหนักให้เป็นเยี่ยงอย่าง”

พระราชาจึงประกาศทันทีว่า โทษดังกล่าวจะใช้กับเจ้าเอง จากนั้น พระราชาก็สั่งให้ลงโทษสาวใช้ด้วยโทษที่หนักหนาสาหัสจนกลายเป็นตัวอย่างไม่ให้คนกล้าทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้อีก

เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เจ้าหญิงตัวจริงจึงได้รับเกียรติของพระองค์กลับคืนมา เจ้าชายทรงดีใจที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของคู่หมั้น แล้วทั้งคู่ก็ได้อภิเษกสมรสและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข…นับจากนั้น

สาวผมทองในชุดน้ำเงินและผ้าคลุมแดงยืนท่ามกลางฝูงห่านในป่าแฟนตาซี มีปราสาทและตัวละครลับอยู่เบื้องหลัง
เจ้าหญิงเลี้ยงห่านในฉากป่าแฟนตาซี—ภาพประกอบจากนิทานกริมส์เรื่องสาวเลี้ยงห่าน
Posted in นิทานกริมม์, นิทานคลาสสิก, นิทานตลกก่อนนอน

สาวน้อยนักปั่นด้าย : นิทานตลกก่อนนอนของพี่น้องกริมส์

ในบรรดานิทานคลาสสิกของพี่น้องกริมม์ (Grimm Brothers) ซึ่งเป็นนักเล่านิทานชาวเยอรมันผู้รวบรวมเรื่องเล่าพื้นบ้านในศตวรรษที่ 19 มีอยู่หลายเรื่องที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่น ซินเดอเรลล่า, หนูน้อยหมวกแดง, ฮันเซลกับเกรเทล ฯลฯ แต่ยังมีนิทานอีกจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของนิทานยอดนิยมเหล่านั้น หนึ่งในนั้นคือนิทานเรื่อง สาวน้อยนักปั่นด้าย (The Three Spinners) หรือแปลตรง ๆ ตามชื่อภาษาอังกฤษก็คือ “หญิงแก่สามคนกับการปั่นด้าย”

นักวิชาการด้านวรรณกรรมมองว่านิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของ “นิทานเสียดสีแบบอ่อนโยน” ที่สะท้อนค่านิยมของสังคมในยุคนั้นเกี่ยวกับแรงงานหญิง ความขยัน และรูปลักษณ์ภายนอก ตัวละครหญิงแก่ทั้งสามมีรูปร่างแปลกตาเพราะทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับกลายเป็นผู้ช่วยให้หญิงสาวขี้เกียจได้แต่งงานกับเจ้าชายโดยไม่ต้องลงแรงเลย นักวิจารณ์บางคนชี้ว่าเรื่องนี้ตั้งคำถามกับความคาดหวังทางสังคม และเสนอความจริงที่ซ่อนอยู่ในความขบขันอย่างแยบคาย

เว็บไซต์นิทานนำบุญเลือกนำเสนอนิทานเรื่องนี้ เพราะนี่คือนิทานที่ “สนุกมาก” แต่ “คนรู้จักน้อย” ถ้าใครอ่านแล้วชอบ คอมเม้นต์บอกกันด้วยนะครับ

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ “ลิซ่า” ลิซ่าอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านไม้หลังเก่า เธอเป็นคนหน้าตาน่ารัก ผิวขาว ผมทอง แต่มีนิสัยขี้เกียจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องการปั่นด้าย ซึ่งเป็นงานที่หญิงสาวในหมู่บ้านต้องทำทุกวัน ลิซ่ามักหลบเลี่ยงงานนี้เสมอ และใช้เวลานั่งเล่นริมหน้าต่างหรือเดินเล่นในทุ่งหญ้าแทน

แม่ของลิซ่ารู้สึกเหนื่อยใจและอับอายที่ลูกสาวไม่ยอมทำงานเหมือนคนอื่น วันหนึ่งเมื่อแม่เรียกลิซ่ามาช่วยปั่นด้ายอีกครั้ง และลิซ่าปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แม่จึงโกรธจัดและต่อว่าลูกสาวเสียงดังจนได้ยินไปถึงถนนหน้าบ้าน

ในขณะนั้นเอง รถม้าของพระราชินีเสด็จผ่านหน้าบ้านพอดี พระราชินีได้ยินเสียงแม่ด่าลูกสาว จึงสั่งให้หยุดรถและถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ของลิซ่ารู้สึกอับอายที่ลูกขี้เกียจ จึงโกหกไปว่า “ลูกสาวของข้าขยันปั่นด้ายจนข้าต้องห้ามเธอไว้ เพราะกลัวเธอจะทำงานหนักเกินไปจนล้มป่วย”

พระราชินีได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประทับใจในความขยันของลิซ่า จึงกล่าวว่า “เด็กสาวเช่นนี้ควรได้รับโอกาสดี ๆ หากเธอสามารถปั่นด้ายได้มากพอ ข้าจะให้เธอแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็สั่งให้พาลิซ่าไปยังพระราชวังทันที โดยไม่ทันให้แม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

ลิซ่ารู้สึกตกใจและหวาดกลัว เธอไม่เคยปั่นด้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงวัง แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธพระราชินี เธอจึงนั่งเงียบอยู่ในรถม้า มองออกไปยังทุ่งหญ้าที่เคยเดินเล่นด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

เมื่อมาถึงพระราชวัง ลิซ่าถูกพาไปยังห้องเล็ก ๆ ที่มีล้อปั่นด้ายตั้งอยู่กลางห้อง พร้อมกองเส้นใยผ้าจำนวนมาก พระราชินีบอกว่า “เจ้าจะต้องปั่นด้ายทั้งหมดนี้ให้เสร็จภายในสามวัน หากทำได้ ข้าจะให้เจ้าแต่งงานกับเจ้าชาย” แล้วพระราชินีก็จากไป ทิ้งให้ลิซ่ายืนตัวแข็งอยู่กลางห้องด้วยความตกใจ

ลิซ่านั่งลงข้างล้อปั่นด้ายอย่างหมดหวัง เธอไม่รู้แม้แต่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร น้ำตาเริ่มไหลลงแก้มขาว เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังติดอยู่ในเรื่องโกหกของแม่ และไม่มีทางออกใดเลยในสถานการณ์นี้

ขณะที่เธอกำลังร้องไห้ เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น เมื่อเปิดออก เธอเห็นหญิงแก่สามคนยืนอยู่หน้าห้อง คนแรกมีเท้ากว้างและแบนจนแทบไม่เห็นข้อเท้า คนที่สองมีริมฝีปากหนาและยาวจนเกือบถึงคาง ส่วนคนที่สามมีนิ้วโป้งใหญ่และหยาบกร้านราวกับไม้เก่า

หญิงแก่คนแรกพูดว่า “เราได้ยินเสียงร้องไห้ของเจ้า และรู้ว่าเจ้าเดือดร้อน” คนที่สองเสริมว่า “เรามีความสามารถในการปั่นด้าย และยินดีจะช่วยเจ้า” คนที่สามกล่าวว่า “แต่มีข้อแลกเปลี่ยน คือ หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าต้องเชิญพวกเราไปงานแต่งงานของเจ้า และแนะนำเราต่อเจ้าชายว่าเป็นญาติของเจ้า”

ลิซ่ารู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบพยักหน้าอย่างดีใจ “ข้าสัญญา” เธอกล่าว หญิงแก่ทั้งสามจึงเข้ามาในห้อง และเริ่มปั่นด้ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงล้อหมุนดังเป็นจังหวะ และเส้นใยผ้าค่อย ๆ กลายเป็นด้ายเรียบงามในมือของพวกเธอ ลิซ่านั่งมองด้วยความทึ่งและโล่งใจ

ภายในสามวัน หญิงแก่ทั้งสามช่วยกันปั่นด้ายจนเสร็จเรียบร้อย เส้นด้ายที่ได้มีความเรียบงามและแข็งแรงจนช่างในวังยังเอ่ยปากชม ลิซ่าไม่ต้องแตะล้อปั่นเลยแม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกทั้งโล่งใจและละอายใจในคราวเดียวกัน แต่ก็ยังไม่กล้าบอกความจริงกับใคร

เมื่อพระราชินีเห็นงานที่เสร็จเรียบร้อย ก็พอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์กล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ลิซ่า ข้าจะจัดงานแต่งงานให้เจ้าในเร็ววันนี้ เจ้าชายจะต้องดีใจแน่” ลิซ่ารู้สึกทั้งตื่นเต้นและหวาดหวั่น เพราะเธอยังไม่ลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงแก่ทั้งสาม

ในวันงานแต่งงาน ลิซ่าสวมชุดเจ้าสาวสีขาวเรียบหรู ผมทองถูกรวบอย่างงดงามด้วยริบบิ้นสีฟ้าอ่อน แขกเหรื่อมากมายมาร่วมงาน และเจ้าชายก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน แต่ลิซ่ายังไม่สบายใจนัก เพราะเธอรู้ว่าต้องทำตามคำสัญญาให้ครบถ้วน

เมื่อพิธีแต่งงานจบลง ลิซ่าจึงเชิญหญิงแก่ทั้งสามเข้ามาในงาน และกล่าวกับเจ้าชายว่า “นี่คือญาติของข้า ผู้มีพระคุณที่ช่วยข้าในยามลำบาก” เจ้าชายมองหญิงแก่ทั้งสามด้วยความสงสัย เขาเห็นเท้าที่แบน ริมฝีปากที่ยาว และนิ้วโป้งที่ใหญ่เกินธรรมดา จึงถามอย่างสุภาพว่า “เหตุใดท่านจึงมีรูปร่างเช่นนี้”

หญิงแก่คนแรกตอบว่า “ข้าใช้เท้ากดล้อปั่นทุกวันจนเท้ากลายเป็นเช่นนี้” คนที่สองกล่าวว่า “ข้าต้องเป่าลมใส่เส้นใยผ้าอยู่เสมอ ริมฝีปากจึงยืดยาว” ส่วนคนที่สามพูดว่า “ข้าต้องใช้นิ้วโป้งกดเส้นด้ายตลอดเวลา จนมันใหญ่และหยาบกร้าน” เจ้าชายฟังแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหาลิซ่าและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะไม่ให้เจ้าปั่นด้ายอีกเลยตลอดชีวิต”

หลังจากเจ้าชายประกาศว่าจะไม่ให้ลิซ่าปั่นด้ายอีกเลย ทุกคนในงานต่างหัวเราะเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู หญิงแก่ทั้งสามยิ้มอย่างพอใจ และกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าที่รักษาสัญญา” ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกจากงาน ลิซ่ามองตามด้วยความซาบซึ้งและสำนึกในบุญคุณ

ลิซ่าใช้ชีวิตในวังอย่างสงบสุข เธอไม่ต้องปั่นด้ายอีกเลยตามคำสั่งของเจ้าชาย แต่เธอก็ไม่ลืมบทเรียนจากเหตุการณ์ทั้งหมด เธอเริ่มหัดทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เรื่องปั่นด้าย แต่เธอก็อยากเป็นคนที่เจ้าชายภูมิใจ

  • การโกหกอาจทำให้เราเดือดร้อนมากขึ้น
  • ความขี้เกียจไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
  • การรักษาสัญญาคือคุณธรรมที่มีค่า
  • ทุกประสบการณ์คือบทเรียนสอนใจ
Posted in #นิทานอมตะ, นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ

เจ้าชายติ๋มติ๋ม – นิทานกริมส์ The Queen Bee ฉบับเรียบเรียงใหม่

นิทานเรื่อง The Queen Bee หรือที่รู้จักกันว่า “ราชินีผึ้ง” เป็นหนึ่งในนิทานกริมส์ (Grimm’s Fairy Tales) ที่ถูกรวบรวมโดยพี่น้องกริมส์ในศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดเรื่อง “ความอ่อนโยน เมตตา และความนอบน้อม” ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ของความกล้าหาญที่มักถูกยกย่องในนิทานยุโรปโบราณ จุดเด่นของเรื่องคือการที่ตัวละครเอก ไม่ได้ใช้กำลังหรือความห้าวหาญเอาชนะอุปสรรค แต่กลับใช้หัวใจที่อ่อนโยนต่อสัตว์และสิ่งเล็กน้อยรอบตัว จนได้รับความช่วยเหลือและสามารถแก้คำสาปได้สำเร็จ

นิทานกริมส์หลายเรื่องถูกเล่าในโครงสร้างคล้ายกัน เช่น The Golden Goose (ห่านทองคำ), The Three Feathers (ขนนกสามเส้น) หรือ The Simpleton (เจ้าชายซื่อ) ซึ่งล้วนสะท้อนมุมมองว่า “คนที่ดูอ่อนแอหรือถูกมองข้าม” มักจะเป็นผู้ไขปริศนาหรือทำภารกิจสำเร็จ เรื่องเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบของ “นิทานอมตะ” ที่คนทั่วโลกจดจำ เพราะนอกจากจะมีความแฟนตาซีและปริศนาแล้ว ยังให้ข้อคิดเรื่องความดีงามที่ซ่อนอยู่ในตัวคนธรรมดา

ในเวอร์ชันเรียบเรียงใหม่ เว็บไซต์ นิทานนำบุญ พยายามคงโครงเรื่องและอารมณ์ตามต้นฉบับเดิมไว้ แต่เพิ่มการตีความใหม่ให้สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น แต่เดิมในฉบับแปลไทยมักใช้คำว่า “เจ้าชายซื่อ” แต่ในการตีความครั้งนี้เลือกใช้คำว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ” เพราะคำว่า “ติ๋ม ๆ” ในภาษาไทยสื่อถึงคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย สุภาพ อ่อนโยน ไม่โลดโผน และอาจถูกมองว่าเชื่องช้า ไม่ทันคน แต่แท้จริงแล้วสะท้อนบุคลิกที่สงบและเมตตา ซึ่งสอดคล้องกับแก่นแท้ของนิทานกริมส์เรื่องนี้มากกว่า การเรียบเรียงใหม่จึงไม่ใช่เพียงการแปลแบบตรงตัว แต่เป็นการ “ทำความเข้าใจ” ความหมายดั้งเดิม และถ่ายทอดออกมาในแบบที่ผู้อ่านชาวไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

กาลครั้งหนึ่ง มีพระราชาองค์หนึ่ง มีพระโอรสอยู่สามพระองค์ เจ้าชายองค์โตเป็นคนห้าวหาญและชอบความท้าทาย เจ้าชายองค์รองมีนิสัยคล้ายพี่ชาย คือ ชอบผจญภัยและไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนเจ้าชายองค์เล็กกลับมีนิสัยที่แตกต่าง คือพระองค์เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน และมีจิตใจเมตตาต่อสัตว์ จนผู้คนแอบตั้งสมญาให้เจ้าชายว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ”

อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าชายองค์โตกับเจ้าชายองค์รองทรงออกเดินทางเพื่อผจญภัย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติแต่การเดินทางนี้ ทั้งคู่หายไปนานโดยไม่ส่งข่าวกลับมา ทำให้พระราชาทรงเป็นกังวล พระราชาจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายองค์เล็กออกติดตาม

เมื่อเหล่าเสนาบดีได้ทราบพระบัญชา เสนาบดีต่างก็ซุบซิบกันว่า “เจ้าชายติ๋ม ๆ คงไม่มีทางตามตัวพี่ชายทั้งสองได้แน่ หนำซ้ำยังอาจเอาตัวไม่รอดจากป่า”

แม้เจ้าชายองค์เล็กจะได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่พระองค์ก็ไม่เสียกำลังใจ เพราะพระองค์เชื่อว่า เจ้าชายที่มีนิสัยอย่างพระองค์ก็สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ไม่ต่างจากคนอื่น

เจ้าชายองค์เล็กออกเดินทางโดยใช้ความกล้าหาญ ความอ่อนน้อม และหัวใจที่ดีงามเป็นเกราะคุ้มครองตัว พระองค์เลือกเดินตามเส้นทางที่พี่ชายเคยเปรยไว้ และค่อย ๆ สอบถามชาวบ้านด้วยความสุภาพ คำพูดที่อ่อนโยนและสายตาที่จริงใจ ทำให้ผู้คนยินดีให้เบาะแส จนพระองค์ตามตัวพี่ชายทั้งสองได้สำเร็จ

เมื่อเจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์รองเห็นน้องเล็กตามมา ต่างก็ประหลาดใจ แต่ลึก ๆ แล้ว ทั้งสองพระองค์ก็แอบภูมิใจในตัวน้อง ครั้นเมื่อเจ้าชายองค์เล็กขอให้พี่ทั้งสองรีบกลับวังตามพระบัญชา พี่ชายทั้งสองได้บอกว่า ยังมีภารกิจที่ปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งอยากทำมาก ๆ หากทำสำเร็จแล้วก็จะกลับแต่โดยดี

เจ้าชายองค์เล็กเห็นว่าคงพาพี่ชายกลับวังในทันทีไม่ได้ จึงขอติดตามไปด้วย โดยตั้งใจที่จะเตือนให้พี่ชายกลับวังเมื่อภารกิจสิ้นสุด

เจ้าชายองค์โตและองค์รองไม่ขัดข้องที่น้องเล็กจะร่วมเดินทาง แต่ทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเจ้าชายองค์เล็กอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็แกล้งถามว่า “เจ้าจะกลัวเสียงนกกลางคืนไหม” บางครั้งก็แกล้งให้เดินนำในทางรก เจ้าชายองค์เล็กไม่โต้ตอบ ได้แต่ยิ้มและเดินตามไปอย่างเงียบ ๆ เพราะพระองค์รู้ดีว่า พี่ชายทั้งสองหยอกพระองค์ด้วยความรัก

วันหนึ่ง เจ้าชายทั้งสามเดินผ่านเนินดินที่มีฝูงมดตัวเล็ก ๆ กำลังขนไข่ของพวกมันอย่างขะมักเขม้นเจ้าชายองค์โตหัวเราะแล้วพูดว่า “ลองเหยียบรังมันดูสิ จะได้เห็นพวกมันวิ่งกันวุ่น” เจ้าชายองค์เล็กรีบยกมือห้าม “อย่ารบกวนพวกมันเลย ปล่อยให้พวกมันอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์โตชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็หัวเราะเบา ๆ จากนั้น ก็ยอมเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังมด

อีกวันหนึ่ง พวกเขาเดินผ่านทะเลสาบที่เงียบสงบ มีฝูงเป็ดว่ายน้ำอย่างสบายใจ เจ้าชายองค์รองพูดขึ้นว่า “จับมาสักสองตัวไปย่างกินกันเถอะ” เจ้าชายองค์เล็กส่ายหน้า “อย่าฆ่าพวกมันเลย ให้พวกมันว่ายน้ำอย่างสงบเถิด” เจ้าชายองค์รองถอนใจ “เจ้าช่างอ่อนโยนเกินไป” แต่ก็ยอมถอยห่างจากฝูงเป็ด

เมื่อเดินทางต่อไปอีก เจ้าชายทั้งสามก็พบต้นไม้ใหญ่ที่มีรังผึ้งอยู่เต็มโพรง น้ำผึ้งไหลลงมาตามลำต้นจนชวนให้ลิ้มลอง เจ้าชายองค์โตพูดขึ้นว่า “จุดไฟรมควันเถอะ จะได้เอาน้ำผึ้งมากิน” แต่เจ้าชายองค์เล็กยืนขวาง “อย่าทำลายบ้านของพวกมันเลย ปล่อยให้ผึ้งอยู่กันอย่างสงบเถิด” เจ้าชายทั้งสองมองหน้ากันอย่างเสียดาย แต่ก็วางไฟลง และเดินจากไปโดยไม่แตะต้องรังผึ้ง

เมื่อเจ้าชายทั้งสามเดินทางมาถึงปราสาทกลางหุบเขา ซึ่งเป็นจุดหมายของเจ้าชายองค์โตและองค์รอง พวกเขายืนอยู่หน้าประตูหินสูงใหญ่ที่ปิดสนิท เจ้าชายองค์โตและเจ้าชายองค์ทรงร้องตะโกนเรียกให้ผู้ที่อยู่ด้านในเปิดประตูด้วยน้ำเสียงห้าวหาญราวกับเป็นการออกคำสั่ง แต่ไม่ว่าเจ้าชายจะตะโกนดังสักเพียงใด ประตูก็ยังคงปิดอยู่เช่นนั้น เจ้าชายองค์เล็กจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ขออภัยเถิด หากเป็นไปได้ พวกเราอยากขอเข้าไปพักในปราสาทได้ไหม” เสียงพูดที่นอบน้อมของเจ้าชายองค์เล็กไม่ได้ดังมากนัก แต่มันกลับก้องกังวาลอยู่ในความเงียบ และเพียงครู่เดียว ประตูปราสาทก็ค่อย ๆ เปิดออก

ทันทีที่ประตูเปิด เจ้าชายทั้งสามก็เห็นชายชราร่างเล็กนั่งอยู่ในห้องโถงตามลำพัง ชายชราไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินนำเจ้าชายทั้งสามไปยังโต๊ะอาหารที่จัดไว้อย่างเรียบง่าย และหลังอาหาร ชายชราก็พาเจ้าชายแต่ละพระองค์ไปยังห้องพักโดยไม่เอ่ยคำใด

เช้าวันรุ่งขึ้น ชายชราพาเจ้าชายทั้งสามไปยังลานหินหน้าปราสาท ที่นั่นมีแผ่นหินสลักข้อความไว้ว่า “ผู้ใดต้องการถอนคำสาปของปราสาทนี้ ต้องทำภารกิจสามอย่างให้สำเร็จ หากล้มเหลว จะถูกสาปให้กลายเป็นหิน” ชายชราอธิบายเงื่อนไขอย่างช้า ๆ ด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้อหนึ่ง จงเก็บไข่มุกพันเม็ดในป่าให้ครบก่อนพระอาทิตย์ตก ข้อสอง จงนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ ข้อสาม จงเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงจากเจ้าหญิงสามองค์ที่หน้าตาเหมือนกัน ผู้ที่เข้าร่วมในภารกิจเหล่านี้ หากทำสำเร็จก็จะได้รับรางวัล แต่หากทำไม่สำเร็จ ก็จะถูกสาปให้กลายเป็นหินตลอดกาล”

เจ้าชายองค์โตเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยาก จึงตัดสินใจทำภารกิจแรก โดยพระองค์ออกเดินเข้าไปในป่าอย่างมั่นใจ แต่เมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์กลับเก็บไข่มุกได้เพียงหนึ่งร้อยเม็ดเท่านั้น ร่างของพระองค์จึงแข็งทื่อ และกลายเป็นหินอยู่กลางป่า

เจ้าชายองค์รองอยากช่วยพี่ชาย วันต่อมา เจ้าชายองค์รองจึงขอลองทำภารกิจเดียวกัน ซึ่งเมื่อพระองค์ออกไปค้นหาไข่มุก และพยายามเร่งมืออย่างเต็มที่ แต่ท้ายที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พระองค์ก็ยังทำไม่สำเร็จ ร่างของพระองค์จึงกลายเป็นหินอยู่ข้างพี่ชาย

เจ้าชายองค์เล็กมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร วันต่อมา พระองค์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ คิดว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะทำภารกิจได้สำเร็จเพื่อที่จะช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากการกลายเป็นหินได้ แต่ในระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ ฝูงมดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็กรูกันออกมา พวกมันช่วยกันค้นหาไข่มุกอย่างขะมักเขม้น มดตัวเล็ก ๆ วิ่งไปทั่วพื้นป่า คาบไข่มุกทีละเม็ดมาวางรวมกัน และก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เจ้าชายก็ได้ไข่มุกจำนวนหนึ่งพันเม็ดโดยที่พระองค์ไม่ต้องออกแรงเลย

หลังจากภารกิจแรกสำเร็จ วันต่อมา เจ้าชายองค์เล็กได้ไปยังทะเลสาบใสกลางหุบเขาเพื่อทำภารกิจที่สองคือ การนำกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบขึ้นมาเพื่อเปิดหีบสมบัติ เมื่อไปถึงทะเลสาป เจ้าชายยืนครุ่นคิดหาวิธีเก็บกุญแจทองคำจากก้นทะเลสาบอยู่เงียบ ๆ แต่ทันใดนั้นเอง ฝูงเป็ดที่เจ้าชายเคยช่วยไว้ก็ว่ายน้ำเข้ามา จากนั้น พวกมันก็ผลัดกันดำน้ำอย่างขะมักเขม้น จนในที่สุด เป็ดตัวหนึ่งก็พบกุญแจทองคำ และนำขึ้นมาให้เจ้าชาย

หลังจากเจ้าชายนำกุญแจทองคำไปไขหีบสมบัติที่ปราสาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายชราก็พาเจ้าชายองค์เล็กไปยังห้องลับของปราสาท ซึ่งที่นั่นมีเจ้าหญิงสามองค์นอนหลับอยู่บนเตียงเรียงกัน และใบหน้าของเจ้าหญิงทั้งสามก็เหมือนกันทุกประการ ภารกิจสุดท้ายที่เจ้าชายต้องทำก็คือ การเลือกเจ้าหญิงที่แท้จริงให้ถูกต้อง ถ้าหากเลือกผิด ทุกสิ่งที่เจ้าชายทำมาก็จะสูญเปล่า

เจ้าชายองค์เล็กยืนลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ก่อนที่เจ้าชายจะต้องตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีผึ้งตัวหนึ่งบินเข้ามาในห้องลับแห่งนั้น แล้วค่อย ๆ โบยบินไปเกาะลงที่ริมฝีปากของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง เหมือนจงใจที่จะบอกให้เจ้าชายได้รู้ว่าใครคือเจ้าหญิงตัวจริง

เจ้าชายองค์เล็กมองผึ้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น จากนั้น พระองค์ก็ชี้ไปยังเจ้าหญิงตามที่ผึ้งบอกใบ้

ทันใดนั้น ประกายแสงสีทองก็ส่องสว่างขึ้นในห้อง แล้วเจ้าหญิงทั้งสามก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ส่วนเจ้าชายทั้งสององค์ที่กลายเป็นหินก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จ ปราสาทที่เคยเงียบงันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แสงสว่างสาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง เสียงหัวเราะของผู้คนเริ่มกลับมา และดอกไม้ในสวนก็ผลิบานรับแสงอรุณ

เมื่อเจ้าชายองค์เล็กทำภารกิจได้สำเร็จและสามารถช่วยพี่ชายทั้งสองได้ เจ้าชายทั้งสามก็พากันเดินทางกลับสู่พระราชวังทันที

เมื่อเจ้าชายทั้งสามกลับถึงพระราชวัง พระราชาทรงดีใจมาก และยิ่งปลื้มใจขึ้นไปอีกเมื่อได้ทราบว่า เจ้าชายองค์เล็กที่หลายคนมองว่าเป็นเจ้าชายติ๋มติ๋ม แต่พระองค์คือผู้ที่ทำภารกิจสำคัญได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยพี่ ๆ ให้รอดพ้นจากอันตราย พระราชามีรับสั่งให้จัดงานเฉลิมฉลองทั่วทั้งแผ่นดิน

ตั้งจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าชายองค์เล็กก็ได้รับความเคารพจากทุกคนในแผ่นดิน และบุคลิกของพระองค์ก็ทำให้ผู้คนเห็นความสำคัญของคนที่อ่อนโยนไม่แพ้คนที่มีความห้าวหาญ

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความอ่อนโยนและเมตตา อาจนำมาซึ่งพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าความแข็งแกร่ง
  • อย่าดูถูกคนที่ดูเรียบง่ายหรือไม่โดดเด่น เพราะพวกเขาอาจทำสิ่งสำคัญได้
  • การช่วยเหลือสิ่งเล็กน้อยในวันนี้ อาจกลายเป็นความช่วยเหลือครั้งใหญ่ในวันหน้า
  • ความดี ความสุภาพ และความจริงใจ คือกุญแจไขปริศนาและอุปสรรคทั้งปวง


Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานสอนใจ

นิทานกริมส์: ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ | นิทานก่อนนอนสำหรับเด็ก

นิทานเรื่องนี้มีต้นกำเนิดจากประเทศเยอรมนี โดยปรากฏในชุดนิทานของพี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ซึ่งเป็นนักสะสมและเรียบเรียงนิทานพื้นบ้านที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 นิทานเรื่องนี้มีชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมันว่า “Die goldene Gans” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “หงส์ทองคำ” แต่ในฉบับภาษาอังกฤษกลับมีชื่อหลากหลาย เช่น The Golden Goose หรือ The Simpleton ซึ่งเน้นไปที่ตัวละครเอกที่เป็นคนซื่อและถูกดูแคลน ความหลากหลายของชื่อเรื่องในแต่ละภาษา ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบางครั้ง เช่น บางฉบับเน้นหงส์ทองคำเป็นสิ่งวิเศษ บางฉบับกลับเน้นตัวละคร “ชายซื่อบื้อ” ที่กลายเป็นผู้ชนะอย่างไม่คาดคิด

นิทานเรื่องนี้จัดอยู่ในกลุ่มนิทานแนว “ซื่อตรงแล้วได้ดี” หรือ “คนดีมีโชค” ซึ่งเป็นโครงเรื่องที่พบได้บ่อยในนิทานยุโรป โดยเฉพาะใน Grimm’s Fairy Tales เช่นเดียวกับเรื่อง Hans in Luck, The Three Brothers, หรือ The Queen Bee นิทานแนวนี้มักมีตัวเอกที่ถูกดูแคลนในตอนต้น แต่ด้วยความเมตตา ความกล้าหาญ หรือความซื่อแท้ ๆ ทำให้เขาได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในท้ายเรื่อง นิทานประเภทนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ เพราะให้ความหวังและปลอบโยนว่า “ความดีไม่สูญเปล่า” และ “โชคชะตาอาจพลิกผันได้เสมอ”

ในการเรียบเรียงนิทานครั้งนี้ เราเลือกใช้ชื่อว่า “ชายซื่อตรงกับหงส์ทองคำ” เพื่อรักษาแก่นแท้ของเรื่องและให้ความเคารพต่อชื่อดั้งเดิมในภาษาเยอรมัน ขณะเดียวกันก็ใช้ภาษาที่อ่อนโยนและเข้าใจง่ายสำหรับผู้อ่านไทย โดยเฉพาะเด็ก ๆ และผู้ปกครองที่อยากอ่านนิทานก่อนนอน เราปรารถนาให้นิทานเบา ๆ เรื่องนี้เป็นพื้นที่แห่งความสุข ความขำขัน และความอบอุ่นใจ ที่จะช่วยปลุกจินตนาการและปลอบโยนหัวใจในยามค่ำคืน

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหญิงชราผู้ยากจนคนหนึ่ง มีลูกชายสามคน พี่สองคนแรกฉลาดหลักแหลมและขยันขันแข็ง ส่วนคนเล็กกลับซื่อ ๆ ที่ไม่ค่อยทันใคร ทำอะไรก็ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ ผู้คนต่างเรียกเขาว่า “เจ้าคนซื่อบื้อ”

วันหนึ่ง หญิงชราอยากกินแพนเค้ก แต่ในบ้านไม่มีน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมไว้ราด หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนโตให้ไปป่าเพื่อตามหาน้ำผึ้ง

ลูกชายคนโตจึงออกเดินทางจนถึงป่าลึก เขาพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง และได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากในลำต้นของต้นไม้ ต้นไม้บอกว่า หากเขาต้องการน้ำผึ้ง ต้องเปิดโพรงและดูข้างในเสียก่อน แต่ชายหนุ่มเกิดกลัวขึ้นมา คิดว่าคำพูดของต้นไม้นั้นเป็นสิ่งประหลาดอันตราย เขาจึงหนีเตลิดกลับบ้านมือเปล่า

หญิงชราจึงสั่งลูกชายคนกลางให้ไปแทน เขาจึงออกเดินทางเข้าป่าจนไปถึงต้นไม้ต้นเดียวกัน ต้นไม้พูดประโยคเดียวกันกับที่บอกพี่ชายคนโต แต่ชายหนุ่มหวาดหวั่น เขาคิดว่ามีภูตผีหรือปีศาจอยู่ในนั้น เขาจึงรีบวิ่งหนีกลับบ้าน

ในที่สุด เจ้าคนซื่อบื้อก็อาสาจะไปบ้าง แม่กับพี่ชายหัวเราะเยาะ “คนซื่อบื้ออย่างเจ้า ไปแล้วจะได้อะไรกลับมา”

แต่เจ้าคนซื่อบื้อก็ยืนยันที่จะไป เมื่อเขาเดินทางไปถึงต้นไม้และได้ยินเสียงพูด เขาไม่ได้กลัวเลย ตรงกันข้าม ด้วยความซื่อของเขา เขาจึงทำตามคำพูดที่ได้ยิน โดยเปิดโพรงไม้ออก และพบว่ามี หม้อทองคำ ซึ่งมีเหรียญทองคำซ่อนอยู่เต็มไปหมด เขาดีใจมาก จึงในใจว่า “ถ้าแม่และพี่ชายทั้งสองได้เห็น ทุกคนคงตะลึงแน่ ๆ”

ระหว่างทางกลับบ้าน เจ้าคนซื่อบื้อได้พบกับทหารสามคนที่กำลังเดินทางอย่างยากลำบาก เจ้าคนซื่อบื้อจึงแบ่งทองให้พวกเขา และพูดด้วยความซื่อว่า “ทองคำเหล่านี้ข้าเพิ่งได้มาจากป่า เอาไปเถิด ท่านทั้งหลาย” ทหารทั้งสามปลื้มใจ และสาบานว่าจะติดตามรับใช้เจ้าซื่อบื้อไปทุกที่

ในเวลาไม่นาน ข่าวเรื่องชายหนุ่มผู้ค้นพบหม้อทองคำก็แพร่สะพัดไปถึงหูพระราชา พระราชาเห็นว่าน่าสนใจดี จึงให้ทหารไปเรียกเจ้าคนซื่อบื้อเข้ามาหาในวัง แต่ขุนนางทั้งหลายต่างพากันคัดค้าน เพราะเจ้าคนซื่อบื้อไม่น่ามีอะไรที่คู่ควรจะมาพูดคุยกับพระราชาเลยแม้สักนิด พระราชาจึงจำใจต้องหาเรื่องทดสอบเจ้าคนซื่อบื้อ ซึ่งหากทำได้ เขาก็คงเหมาะสมที่จะได้พบกับพระองค์โดยที่ไม่มีใครคัดค้านอีก ด้วยเหตุนี้ พระราชาจึงสั่งให้เจ้าคนซื่อไปนำหงส์ทองคำที่อาศัยอยู่ในป่าลึกมาถวาย และหากทำได้ พระองค์ก็จะมอบรางวัลให้ตามที่ใจปรารถนา

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อได้ฟังคำสั่งของพระราชา เจ้าคนซื่อบื้อกับทหารทั้งสามจึงออกเดินทางเข้าไปในป่าแบบ “ไม่คิดมาก” และด้วยโชคชะตากับความช่วยเหลือของทหารทั้งสาม เจ้าคนซื่อบื้อจึงสามารถนำหงส์ทองคำกลับมาได้

เมื่อเจ้าคนซื่อบื้อพาหงส์ทองคำตัวใหญ่เข้ามาในเมือง ผู้คนต่างก็พากันตื่นตาตื่นใจ จนอดใจขอแตะขนที่ตัวของหงส์ไม่ได้

เมื่อชาวบ้านแตะหงส์ มือที่แตะ ก็ติดแน่น จนไม่สามารถดึงมือออกมาได้ พอเด็ก ๆ เห็น เด็ก ๆ ก็พากันหัวเราะ แล้วพยายามดึงหงส์ให้หลุดออกจากมือ แต่นั่นก็ทำให้เขาติดกับหงส์ไปด้วย พอหญิงสาวเดินผ่านและเห็นเช่นนั้น เธอก็หัวเราะ แต่เมื่อเธอพยายามจะช่วย มือของเธอก็ติดเข้าไปด้วย จนในที่สุด ขบวนของเจ้าคนซื่อบื้อที่เข้ามาในวังจึงมีทั้งหงส์ทองคำและผู้คนที่พ่วงตามมาด้วยอีกยาวเหยียด

เมื่อเจ้าหญิงผู้ไม่เคยยิ้มเห็นภาพเหตุการณ์ตลก ๆ ที่เกิดขึ้น เจ้าหญิงก็เผลอหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งนั่นทำให้พระราชาถึงกับตะลึง เพราะนี่คือครั้งแรกที่พระธิดาหัวเราะอย่างมีความสุข

ตามสัญญา พระราชาจะต้องมอบรางวัลให้เจ้าคนซื่อบื้อตามที่ใจปรารถนา เพราะเขานำหงส์ทองมาถวายได้สำเร็จ เจ้าคนซื่อบื้อซึ่งเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึก มองเห็นเจ้าหญิงที่ยังคงยิ้มอย่างมีความสุข เขาเห็นว่าเจ้าหญิงทั้งสวยและน่ารัก เขาจึงขอ “ขอเจ้าหญิงเป็นรางวัล” แบบซื่อ ๆ

พระราชาพูดแล้วคืนคำไม่ได้ ดังนั้น พระองค์จึงตั้งให้เจ้าคนซื่อบื้อเป็นราชบุตรเขย ทำให้พี่ชายทั้งสองคนได้แต่ยืนอิจฉา

แม้เจ้าคนซื่อบื้อจะถูกหัวเราะเยาะมาตลอดชีวิต แต่ด้วยซื่อตรงกับความรู้สึกนึกคิดและจิตใจที่ดีงาม เขาจึงได้รับรางวัลที่ไม่มีใครคาดคิด

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความซื่อและเมตตาอาจดูธรรมดา แต่เป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตได้
  • อย่าดูถูกคนที่ดูไม่เก่ง เพราะคุณค่าที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย
Posted in นิทานกริมม์, นิทานคลาสสิก, นิทานสอนใจ

ภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง (Rumpelstiltskin): นิทานกริมส์ฉบับเรียบเรียงใหม่

Rumpelstiltskin หรือที่เรียบเรียงใหม่ในชื่อ “ภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง” เป็นนิทานพื้นบ้านยุโรปที่มีต้นกำเนิดเก่าแก่ย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16 โดยมีรูปแบบเรื่องเล่าคล้ายกันในหลายวัฒนธรรม เช่น Tom Tit Tot ในอังกฤษ, Whuppity Stoorie ในสกอตแลนด์ และ Gilitrutt ในไอซ์แลนด์ ก่อนจะถูกพี่น้องกริมส์รวบรวมและตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1812 ในนิทานชุด Grimm’s Fairy Tales ซึ่งกลายเป็นฉบับที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั่วโลก

ชื่อ “Rumpelstiltskin” มาจากคำภาษาเยอรมันโบราณ หมายถึง “ภูตขาไม้เสียงดัง” หรือ “สิ่งมีชีวิตที่ชอบทำเสียงรบกวน” ซึ่งสะท้อนถึงตัวละครลึกลับที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดและชอบเล่นเกมกับมนุษย์ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนสิ่งของมีค่าเพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์คับขัน

แก่นเรื่องของนิทานนี้คือการต่อรองกับสิ่งลึกลับเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ โดยมีตัวละครหญิงสาวเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง เธอถูกพระราชาสั่งให้ปั่นฟางให้กลายเป็นทอง และเมื่อทำไม่ได้ ก็มีภูตลึกลับปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือ แลกกับสิ่งของมีค่า และในที่สุดคือ “ลูกคนแรก” ของเธอ

ในฉบับดั้งเดิม ตัวละครหญิงสาวแก้ปัญหาได้สำเร็จโดยการทายชื่อของภูต ซึ่งทำให้เธอรอดพ้นจากคำสัญญา แม้จะเป็นการ “ผิดสัญญา” ก็ตาม ซึ่งในมุมมองของนิทานเด็กสมัยใหม่ การกระทำเช่นนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่ควรยกย่องโดยไม่ตั้งคำถาม แต่เมื่อพิจารณาบริบทของสังคมในยุคนั้น นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึง โครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่ อย่างชัดเจน เช่น พระราชาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด พ่อของหญิงสาวเป็นผู้โยนปัญหาให้ลูกแก้ และหญิงสาวผู้ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธคำสั่งใด ๆ

นิทานนำบุญจึงเรียบเรียงเรื่องนี้ใหม่ด้วยความเคารพต่อฉบับดั้งเดิม โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงเรื่อง แต่ เน้นบทบาทของหญิงสาวให้ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ เธอไม่ได้เป็นเพียงผู้ถูกกระทำ แต่เป็นผู้ที่ใช้สติปัญญา ความกล้าหาญ และหัวใจของแม่ในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่รัก แม้จะต้องท้าทายอำนาจของผู้ชายก็ตาม

นอกจากนี้ ในการเรียบเรียงใหม่ ยังมีการแปลคำว่า “Rumpelstiltskin” ให้เข้ากับบริบทไทย เป็น “ภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง” เพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น (คำว่า Rumpelstilskin ออกเสียงยากมากสำหรับคนไทย) และมีการปรับวิธีการทายชื่อให้ ดูเป็นเหตุเป็นผลและกลมกล่อมมากขึ้น โดยยังคงรักษาเสน่ห์ของนิทานคลาสสิกไว้ครบถ้วน (พยายามไม่ปรับมากจนเกินไป)

กาลครั้งหนึ่ง มีช่างปั่นด้ายผู้ยากจนคนหนึ่ง เขาไม่มีทรัพย์สินใดนอกจากลูกสาวที่งดงามและฉลาดเฉลียว วันหนึ่งเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อหางาน และด้วยความอยากอวด เขาโกหกต่อพระราชาว่า “ลูกสาวของข้าสามารถปั่นฟางให้กลายเป็นทองได้”

พระราชาผู้โลภและหลงอำนาจหัวเราะเยาะ แต่ก็สั่งให้ทหารพาหญิงสาวมายังปราสาท “ถ้าลูกสาวเจ้าทำได้จริง ข้าจะให้รางวัลใหญ่ แต่ถ้าโกหก…ข้าจะลงโทษอย่างสาสม” พระราชาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หญิงสาวถูกนำตัวเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยฟาง และมีวงล้อปั่นด้ายวางอยู่ตรงกลาง “เจ้ามีเวลาถึงรุ่งเช้า ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนฟางให้เป็นทองได้ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นแสงอาทิตย์อีก” พระราชาทิ้งท้ายก่อนปิดประตู

หญิงสาวนั่งลงอย่างสิ้นหวัง เธอไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอไม่ได้มีเวทมนตร์ ไม่ได้มีอำนาจ มีเพียงความกลัวที่กัดกินหัวใจ

ทันใดนั้น มีเสียงเดิน “ตึงตัง ตึงตัง” ดังขึ้นจากมุมห้อง เสียงนั้นเป็นเสียงของภูตหน้าตายียวน ซึ่งมีขาทั้งสองข้างเป็นไม้ เดินลงส้นเท้าเข้ามาหาหญิงสาวอย่างอวดดี “ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ เจ้าต้องการความช่วยเหลือใช่ไหม?”

หญิงสาวตกใจ แต่ก็พยักหน้า “ถ้าข้าปั่นฟางให้เป็นทองไม่ได้…ข้าจะต้องตายแน่ ๆ” ภูตยิ้มเยาะ “ข้าจะช่วยเจ้าปั่นฟางให้เป็นทอง แต่เจ้าต้องให้สิ่งตอบแทน” หญิงสาวจึงรีบถอดสร้อยคอส่งให้เขา

เมื่อได้สร้อยคอ ภูตก็เริ่มปั่นฟาง เสียงวงล้อหมุนดัง “ครืด ครืด” ฟางค่อย ๆ กลายเป็นเส้นทองคำระยิบระยับ หญิงสาวมองด้วยความตกตะลึงและโล่งใจ

รุ่งเช้า พระราชาเข้ามาเห็นทองเต็มห้อง เขายิ้มกว้าง แต่ยังไม่ได้ปล่อยเธอไป “คืนนี้เจ้าต้องปั่นฟางเป็นทองอีก ในห้องที่ใหญ่กว่าเดิม และฟางมากกว่าเดิม” พระราชาสั่งโดยไม่ฟังเสียงใคร

คืนนั้น หญิงสาวถูกขังอีกครั้ง เธอเริ่มเข้าใจว่าอำนาจของผู้ชายในโลกช่างยิ่งใหญ่เหลือล้น เธอร้องไห้ไม่หยุด แล้วเสียงเดิน “ตึงตัง” ก็ดังขึ้นอีก

ภูตขาไม้ปรากฏตัว “เจ้าร้องไห้อีกแล้ว? ข้าจะช่วยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้…ข้าต้องการแหวนของเจ้า” หญิงสาวลังเล แต่ก็ยอมถอดแหวนให้ เพราะไม่มีทางเลือก

เมื่อได้รับแหวน ภูตก็จัดการเปลี่ยนฟางทั้งห้องให้กลายเป็นทอง รุ่งเช้า เมื่อพระราชาเห็น พระราชาก็ยิ่งโลภ แล้วสั่งให้เธอทำฟางให้เป็นทองอีกเป็นคืนที่สาม “ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นราชินี” คำพูดนั้นไม่ใช่คำปลอบใจ แต่เป็นคำสั่งที่เต็มไปด้วยอำนาจ

คืนสุดท้าย ภูตขาไม้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ หญิงสาวไม่มีอะไรจะให้อีกแล้ว ภูตจึงเสนอว่า “ครั้งนี้ ข้าขอสิ่งที่เจ้าจะมีในอนาคต นั่นคือลูกคนแรกของเจ้า” หญิงสาวตกใจ แต่จำใจต้องยอม เพราะเธอไม่มีทางเลือก

และแล้ว ฟางทั้งหมดก็กลายเป็นทอง และพระราชาก็ทำตามสัญญา พระองค์แต่งงานกับหญิงสาว แล้วเธอก็ได้กลายเป็นราชินี แต่ในใจของเธอรู้ดีว่า…เธอไม่ได้เลือกชีวิตนี้เอง

เมื่อเวลาผ่านไป ราชินีได้ให้กำเนิดลูกชายตัวน้อย เธอรักลูกด้วยอย่างหมดหัวใจ และหวังว่าภูตขาไม้จะลืมคำสัญญา

แต่แล้ววันหนึ่ง เสียง “ตึงตัง” ก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ถึงเวลาแล้ว ข้าจะเอาลูกของเจ้าไปล่ะนะ” ภูตขาไม้กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา

ราชินีร้องไห้ “ข้าขออ้อนวอนท่าน อย่าเอาลูกของข้าไปเลย”

ภูตเห็นโอกาสในการเล่นสนุก จึงท้าทายว่า “ภายในสามวันนี้ ถ้าเจ้าทายชื่อของข้าซึ่งเป็นความลับได้ถูกต้อง ข้าจะยกเลิกสัญญา และไม่เอาลูกเจ้าไป”

ราชินีตาโตอย่างมีความหวัง “ถ้าข้าทายชื่อท่านถูก ท่านจะปล่อยลูกของข้าไปใช่ไหม?”

ภูตขาไม้หัวเราะ “ใช่สิ แต่เจ้าจะไม่มีวันรู้ชื่อข้าหรอก” เมื่อพูดจบ ภูตก็หายตัวไป

หลังจากภูตขาไม้หายตัวไปแล้ว ราชินีก็รีบส่งคนออกไปทั่วอาณาจักรเพื่อรวบรวมชื่อแปลก ๆ ทุกชื่อที่เป็นไปได้

คืนแรก ราชินีทายชื่อเป็นพัน ๆ ชื่อ แต่ก็ผิดหมด “ฟริตซ์? ฮันส์? โยฮัน?” ภูตหัวเราะ “ไม่ใช่!”

คืนที่สอง ราชินีเลือกทานชื่อที่แปลกกว่าเดิม แต่ผลก็ไม่เปลี่ยนแปลง “ครูมป์? สติลท์? ซิกฟริด?” ภูตหัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่!”

คืนสุดท้าย ทหารกลับมารายงานว่าเห็นภูตเต้นอยู่ในป่า แถมร้องเพลงวนไปวนมา ไม่ได้สาระว่า “ไม่มีใครรู้ชื่อข้า ไม่มีใครรู้ชื่อข้า แต่ข้าจะได้ลูกของราชินี ภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง ลั้นลา สั้นลา ไม่มีใครรู้ชื่อข้า”

ราชินีฟังคำรายงานของทหาร ก็รู้สึกแปลกใจ “เรามัวแต่คิดถึงชื่อแบบคนทั่วไป แต่บางที ชื่อของใครก็อาจเหมือนลักษณะของคน ๆ นั้น”

เมื่อภูตปรากฏตัวอีกครั้ง ราชินีจึงจ้องหน้าภูตอย่างแน่วแน่ พลางคิดในใจว่า “บางที ชื่อของใครก็อาจเหมือนลักษณะของคน ๆ นั้น” จากนั้น ราชินีก็พูดว่า “ภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง นี่คือชื่อจริง ๆ ของท่านใช่ไหม” ราชินีพูดชื่อจริงของภูตขาไม้ออกมากล้าหาญ ซึ่งเมื่อภูตได้ฟัง ภูตก็ตกใจสุดขีด พร้อมกับร้องว่า “เจ้ารู้ชื่อของข้าได้อย่างไร” จากนั้น ภูตกรีดร้องแล้วก็หายตัวไปทันที

ราชินีโอบลูกเอาไว้แน่น น้ำตาไหลด้วยความโล่งใจ เธอรู้แล้วว่า แม้จะอยู่ในโลกที่ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่า แต่ผู้หญิงก็สามารถใช้สติปัญญา และความกล้าหาญ รวมทั้งหัวใจที่ยิ่งใหญ่ เพื่อปกป้องตัวเองและบุคคลที่รักได้

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • การโกหกเพื่ออวดอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เกินควบคุมและอันตราย
  • อำนาจที่ไร้เมตตาสามารถกดขี่ผู้ไม่มีทางเลือกได้อย่างโหดร้าย
  • สติปัญญาและความกล้าหาญคือเครื่องมือสำคัญในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
  • ความรักของแม่สามารถเอาชนะคำสัญญาอันโหดร้ายและปกป้องสิ่งที่มีค่าที่สุดได้
หญิงสาวนั่งข้างวงล้อปั่นด้าย มองภูตตัวเล็กที่แต่งกายสีสดใสซึ่งกำลังเสนอความช่วยเหลือในนิทานเรื่องภูตขาไม้เสียงเดินตึงตัง
“เจ้าต้องการความช่วยเหลือใช่ไหม?” ภูตขาไม้ปรากฏตัวในคืนแรก เสนอช่วยหญิงสาวปั่นฟางให้เป็นทอง แลกกับสร้อยคอของเธอ
Posted in นิทานกริมม์, นิทานก่อนนอน, นิทานเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) | นิทานกริมม์คลาสสิกสำหรับเด็ก

นิทานก่อนนอน ฮันเซลกับเกรเทล (Hansel and Gretel) เป็นหนึ่งในนิทานกริมม์ที่โด่งดังที่สุดในโลก เรื่องเล่าของพี่น้องสองคนที่ถูกพาไปทิ้งกลางป่า และได้เผชิญหน้ากับแม่มดใจร้ายในบ้านขนมหวาน นิทานเรื่องนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยยุโรปยุคกลาง ก่อนจะถูกเก็บบันทึกและปรับแต่งโดย พี่น้องกริมม์ (Brothers Grimm) ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมและตีพิมพ์ นิทานพื้นบ้านเยอรมัน จนกลายเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

ผลงานของกริมม์ไม่ได้เพียงเล่าเรื่องเพื่อความบันเทิง แต่ยังสะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อในยุคนั้น เช่น ความยากจน ความหิวโหย ความสัมพันธ์ในครอบครัว และภัยร้ายที่ซ่อนอยู่ในโลกภายนอก นิทาน Hansel and Gretel เวอร์ชันของกริมม์ จึงมักมีบรรยากาศหม่น ๆ และบางช่วงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ซึ่งนักวิชาการด้านวรรณกรรมหลายคนมองว่า นิทานกริมม์ทำหน้าที่ทั้ง สอนบทเรียนชีวิต และ สะท้อนความจริงของสังคม ไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม นิทานเรื่องนี้ยังได้รับการตีความใหม่และดัดแปลงในหลากหลายรูปแบบ ทั้งในวรรณกรรม ภาพยนตร์ การ์ตูน ละครเวที และแม้กระทั่งดนตรี ทำให้ Hansel and Gretel กลายเป็นนิทานคลาสสิกที่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ทั่วโลกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

สำหรับเว็บไซต์ นิทานนำบุญ เราได้นำ ฮันเซลกับเกรเทล มาถ่ายทอดใหม่ โดยเรียบเรียงจากเวอร์ชันกริมม์ แต่มีการปรับรายละเอียดบางส่วนให้อ่านง่ายขึ้น เหมาะสำหรับเด็ก และลดทอนความรุนแรงที่อาจไม่เหมาะสม เนื้อเรื่องยังคงรักษาแก่นแท้ของความกล้าหาญ ความรัก และสายใยครอบครัวเอาไว้ เพื่อให้เป็น นิทานก่อนนอนที่ทั้งสนุก น่าติดตาม และสอดแทรกแนวคิดดี ๆ สำหรับเด็ก ๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางป่าลึก บ้านหลังนั้นเป็นของคนตัดไม้ใจดีคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่กับลูกสองคน คือ “ฮันเซลกับเกรเทล” เด็กชายและเด็กหญิงที่รักกันมาก พวกเขาเติบโตท่ามกลางเสียงนกร้องและกลิ่นไม้หอมในป่า แม้จะยากจน แต่ครอบครัวก็มีความอบอุ่นในทุกวัน

เมื่อแม่ของเด็ก ๆ จากไปอย่างสงบ พ่อได้แต่งงานใหม่กับหญิงคนหนึ่งที่ไม่ค่อยยิ้มแย้ม และไม่ค่อยพูดกับเด็ก ๆ เท่าไรนัก แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ความอบอุ่นกลับลดลงทุกวัน

เมื่อฤดูหนาวมาเยือน อาหารในบ้านเริ่มขาดแคลน พ่อพยายามหาทางออก แต่แม่เลี้ยงกลับพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าไม่มีอาหารพอ…ก็คงต้องพาเด็ก ๆ ไปปล่อยไว้ในป่า” พ่อไม่อยากทำ แต่ครอบครัวของเขาก็ลำบากจริง ๆ

คืนก่อนออกเดินทาง ฮันเซลซึ่งได้ยินแม่เลี้ยงคุยกับพ่อ ได้แอบเก็บก้อนกรวดสีขาวใส่กระเป๋า เขาไม่พูดอะไรกับใคร แต่ในใจคิดว่า “เราจะกลับบ้านให้ได้”

เช้าวันใหม่ พ่อพาเด็ก ๆ เดินลึกเข้าไปในป่า ท่ามกลางเสียงใบไม้ไหวและแสงแดดอ่อน ๆ ฮันเซลแอบโรยกรวดเอาไว้ตามทาง

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน พ่อจากเด็ก ๆ ไปอย่างเงียบ ๆ โดยทิ้งเด็ก ๆ เอาไว้กลางป่า เกรเทลน้ำตาคลอ ฮันเซลยิ้มให้เธอ “ไม่ต้องกลัวนะ เราจะตามรอยกรวดกลับบ้าน” และพวกเขาก็เดินตามรอยกรวดจนถึงบ้านอย่างปลอดภัย

เมื่อเห็นเด็ก ๆ กลับมา แม่เลี้ยงก็รู้สึกไม่พอใจมาก เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดกับพ่อว่า “พรุ่งนี้ ต้องพาไปให้ไกลกว่าเดิม” พ่อเศร้าใจ แต่ก็จำใจทำตามอีกครั้ง

ครั้งนี้ฮันเซลไม่มีเวลาหากรวด เขาจึงใช้เศษขนมปังแทน แต่ในป่ามีสัตว์มากมาย ทั้งนก กระรอก และกระต่าย เมื่อฮันเซลโรยเศษขนมปัง พวกสัตว์ก็กินเศษขนมปังจนหมด เด็ก ๆ จึงหาทางกลับบ้านไม่ได้

ฮันเซลและเกรเทลหลงทางและเดินลึกเข้าไปในป่า ยิ่งเดิน….ท้องก็ยิ่งร้องด้วยความหิว เสียงใบไม้เริ่มน่ากลัว แต่สองพี่น้องจับมือกันไว้แน่น “พี่อย่าทิ้งหนูนะ” เกรเทลพูดเบา ๆ ฮันเซลพยักหน้าและเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ

แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็ปรากฏ ท่ามกลางต้นไม้สูง มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านหลังนั้นไม่เหมือนบ้านทั่วไป เพราะมันทำจากขนมหวาน หลังคาทำจากพายแอปเปิ้ล หน้าต่างเป็นคัพเค้กสีชมพู ประตูเป็นบราวนี่หนานุ่ม ผนังบ้านเป็นเค้กช็อกโกแลตโรยน้ำตาล ลูกกวาดหลากสีห้อยระย้าเหมือนโคมไฟ และมีสายไหมฟูฟ่องล้อมรอบบ้านเหมือนเมฆ

เด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจจนเผลออุทานว่า “ว้าว! บ้านขนมของจริงเลยนะเนี่ย” เกรเทลร้อง ฮันเซลยิ้มกว้าง “หิวจังเลย ลองชิมดูไหม” พวกเขาเริ่มกินขอบหน้าต่างคัพเค้ก และกัดประตูบราวนี่อย่างเอร็ดอร่อย

ในขณะนั้นเอง มีหญิงชราคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน เธอยิ้มและพูดเสียงนุ่มว่า “เด็กน้อยเอ๋ย เข้ามาสิ บ้านนี้มีขนมอีกมากมาย” เด็ก ๆ ดีใจและเดินเข้าไปโดยไม่รู้ว่าเธอคือแม่มด

แม่มดแสร้งทำทีใจดี เธอให้เกรเทลช่วยทำงานบ้าน แต่ขังฮันเซลไปนอนพักผ่อนในกรงขนาดใหญ่ “กินเยอะ ๆ นะ จะได้อ้วน” เธอพูดพร้อมยื่นขนมให้ทุกวัน

ฮันเซลเริ่มสงสัยว่าทำไมแม่มดชอบให้เขากินกับนอน และเขาสังเกตว่าแม่มดชอบจับมือเขาเหมือนจะวัดอะไรบางอย่าง จนวันหนึ่งเกรเทลได้ยินแม่มดรำพึงว่า “เมื่อไหร่จะอ้วนสักทีนะ จะได้จับไปอบกินให้หนำใจ” เมื่อเกรเทลนำเรื่องมาเล่าให้ฮันเซลฟัง เขาก็รู้ในทันทีว่า แม่มดต้องการเลี้ยงให้เขาอ้วนเพื่อจับกินเป็นอาหาร

ฮันเซลจึงคิดหาวิธีรับมือกับแม่มด เขารู้ว่าแม่มดแก่มากและสายตาไม่ดี เมื่อแม่มดเข้ามาขอจับมือเขา เขาจึงซ่อนมือไว้ในแขนเสื้อแล้วยื่นกระดูกเล็ก ๆ ผ่านลูกกรงให้แม่มดจับแทน ด้วยเหตุนี้ แม่มดจึงรู้สึกว่า ฮันเซลผอมจนเหลือแต่กระดูก

เวลาผ่านไปนานพอสมควร แม่มดเริ่มหงุดหงิด “เมื่อไหร่จะอ้วนขึ้นสักทีนะ” แม่มดรำพึงเสียงดัง เกรเทลได้ยินแล้วใจคอไม่ดี เธอจึงตั้งสติและเริ่มคิดหาทางช่วยพี่ชาย

วันหนึ่งแม่มดสั่งให้เกรเทลตรวจเตาอบ “ดูสิว่าเตาอบยังใช้งานได้ปกติไหม”

เกรเทลสังเกตเตาอบและเห็นว่าที่ฝาเตาอบมีที่ล็อก เกรเทลเห็นโอกาส เธอจึงแกล้งทำเป็นพบสิ่งผิดปกติภายในเตาอบ แล้วพูดกับแม่มดว่า “หนูเห็นอะไรบางอย่างวิบ ๆ วับ ๆ อยู่ในเตาอบ คุณยายช่วยดูให้หน่อยได้ไหม”

แม่มดมีสมบัติสะสมอยู่มาก เมื่อได้ยินเกรเทลพูดคำว่าวิบ ๆ วับ ๆ แม่มดจึงตกใจคิดว่าตัวเองเผลอทำเครื่องเพชรหรือเครื่องประดับหลุดเข้าไปในเตาอบ แม่มดจึงรีบวิ่งและมุดเข้าไปดู เมื่อเกรเทลสบโอกาส เกรเทลจึงผลักก้นแม่มดอย่างแรง แล้วปิดฝาเตาอบพร้อมกับล็อกแม่มดเอาไว้ จากนั้น เธอรีบวิ่งไปหาฮันเซล “พี่ เราต้องรีบหนี!”

ก่อนออกจากบ้าน เกรเทลซึ่งทำความสะอาดบ้านจนรู้ว่าแม่มดมีหีบใบใหญ่ที่ภายในมีเหรียญทองและอัญมณีระยิบระยับอยู่เต็มไปหมด ได้ตัดสินใจชวนพี่ชายให้ช่วยกันนำสมบัติเหล่านั้นติดตัวกลับบ้านด้วย

เมื่อกลับถึงบ้าน เด็ก ๆ เห็นพ่อกำลังนั่งร้องไห้เพราะพ่อรู้สึกผิดและคิดถึงลูก เมื่อพ่อเงยหน้าแล้วเห็นฮันเซลและเกรเทลกลับมา พ่อก็ร้องไห้พร้อมกับส่งเสียงว่า “ลูกรักของพ่อ” หลังจากนั้นพ่อก็รีบวิ่งเข้ากอดลูกทั้งสองคนเอาไว้แน่น (ส่วนแม่เลี้ยงที่เห็นพ่อเอาแต่ร้องไห้และออกตามหาลูก ๆโดยไม่สนใจเธอ แม่เลี้ยงก็เก็บของออกจากบ้านโดยปล่อยให้พ่ออยู่ที่บ้านตามลำพังมานานแล้ว)

ในที่สุด ฮันเซล เกรเทล และพ่อก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น และมีสมบัติที่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ส่วนเรื่องราวของแม่มดและบ้านขนมหวานก็ไม่มีใครเคยได้ยินอีกเลย

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :

  • ความฉลาดและไหวพริบช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย
  • ความรักและความสามัคคีในครอบครัวทำให้สามารถก้าวผ่านอุปสรรคไปได้
Posted in นิทานกริมม์, นิทานสอนใจ, นิทานเด็ก

หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว | นิทานเด็กจากพี่น้องกริมม์ | นิทานนำบุญ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่แพะตัวหนึ่ง มีลูกมากถึง 7 ตัว  

วันหนึ่ง แม่แพะบอกกับลูก ๆ ว่า “ลูกจ๋า ลูกจ๋า แม่จะเข้าป่าไปหาอาหาร พวกหนูอยู่เฝ้าบ้าน  ต้องระวังหมาป่าให้ดี  หมาป่าชอบปลอมตัวมาจับเด็ก ๆ กิน  ถ้ามีใครเสียงห้าว แหบแห้ง และมีเท้าดำปิ๊ดปี๋มาเคาะประตู  นั่นล่ะ…คือหมาป่าที่ปลอมตัวมา”  

เมื่อได้ฟังคำเตือนของแม่  ลูกแพะทั้งเจ็ดก็ตอบว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราทั้งเจ็ดจะช่วยกันระวังตัวให้ดีที่สุด” 

เมื่อแม่แพะได้ฟัง แม่แพะก็สบายใจ  จากนั้น  นางก็ออกเดินทางเข้าไปในป่า 

ในเวลาต่อมา มีเสียงคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

เหนื่อยจะตาย แล้วนี่นา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

เมื่อลูกแพะได้ฟังเสียงของคุณแม่ตัวปลอม ลูกแพะทั้งเจ็ดก็จับได้ว่า เสียงนั้นน่าจะเป็นเสียงของหมาป่า เพราะมันทั้งห้าว ทั้งแหบแห้ง  ลูกแพะจึงตอบกลับไปว่า 

“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู 

ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร 

เสียงแหบห้าว หมาป่านั่นไง 

พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”

ลูกแพะร้องต่อไปว่า “เสียงของแม่ทั้งสดใสและอ่อนโยน ไม่ใช่เสียงห้าว ๆ แหบแห้งแบบนี้  ไปเถอะไป ไปซะไปสิ ไปให้ไกล ๆ เจ้าหมาป่า”

หมาป่าโมโหที่ถูกลูกแพะไล่  มันจึงไปหาน้ำผึ้งผสมมะนาวมากิน  เพื่อทำให้เสียงใสขึ้นจากนั้น  มันก็กลับมาที่บ้านของลูกแพะ แล้วเคาะประตูพร้อมกับดัดเสียงร้องว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

มีของกิน ล้นเหลือคณา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

ในขณะที่ร้องเรียก หมาป่าบังเอิญยกขาเกาะที่หน้าต่าง  ทำให้ลูกแพะเห็นเท้าสีดำปิ๊ดปี๋ของมัน  ลูกแพะจึงตอบว่า

“ล็อก ล็อก ล็อก ปิดประตู 

ไม่ต้องดู ก็รู้ว่าใคร 

เท้าดำหนักหนา หมาป่านั่นไง 

พวกเราพร้อมใจ ใส่กลอนประตู”

เมื่อลูกแพะจับได้  หมาป่าจึงวิ่งไปที่ร้านขนมปัง แล้วขโมยแป้งมาโรยที่เท้าจนหนาเตอะ   จากนั้น  มันก็เดินกลับไปที่บ้านของลูกแพะอีกครั้ง แล้วร้องเรียกลูกแพะทั้งเจ็ดว่า

“ก๊อก ก๊อก ก๊อก  เปิดประตู

เปิดออกดู  ว่าแม่มา 

มีของกิน ล้นเหลือคณา 

ลูกลูกรีบมา เปิดประตูไวไว”

ลูกแพะเริ่มหิวและคิดว่าแม่แพะน่าจะกลับมาแล้วจึงพูดว่า “ลองยกเท้าขึ้นมาให้ดูหน่อยพวกเราจะได้รู้ว่าเป็นคุณแม่ตัวจริงหรือเปล่า”  หมาป่าจึงยกเท้าเกาะที่หน้าต่าง  ซึ่งเมื่อลูกแพะเห็นเท้าสีขาว  ลูกแพะจึงหลงกลและเปิดประตูให้  แต่ทันทีที่ประตูเปิด  หมาป่าก็กระโจนเข้ามาในบ้าน ทำให้ลูกแพะแตกกระเจิงต้องวิ่งหาที่ซ่อนตัวกันอย่างจ้าละหวั่น  

ลูกแพะบางตัวหนีไปซ่อนใต้โต๊ะ  บางตัวไปหลบใต้เตียง  บางตัวแอบไปอยู่ในเตาผิง  บางตัววิ่งไปซ่อนในห้องครัว  บางตัวรีบหนีไปอยู่ในตู้  บางตัวหนีไปอยู่ใต้อ่างล้างหน้า  ส่วนลูกแพะตัวสุดท้องน้องสุดท้ายหนีไปอยู่ในตู้นาฬิกา

หมาป่าพยายามตามหาลูกแพะทีละตัว  พอเจอลูกแพะตัวไหน มันก็จะจับลูกแพะตัวนั้นกินก่อน  หมาป่าจับลูกแพะกินได้ 6 ตัว  เหลือแต่ลูกแพะตัวสุดท้องเพียงตัวเดียวที่รอดเพราะหมาป่าหาไม่เจอ

เมื่อหมาป่ากินลูกแพะทั้ง 6 ตัวจนหนังท้องตึง  หนังตาของมันก็หย่อน  มันจึงเดินออกไปจากบ้านจนถึงทุ่งหญ้าที่ไม่ไกลนัก จากนั้น มันก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากนั้นไม่นาน แม่แพะก็กลับมาถึงบ้าน  เมื่อแม่แพะเห็นประตูเปิดอยู่ และข้าวของในบ้านกระจุยกระจายระเนระนาด แม่แพะก็เดาได้ว่าลูก ๆ คงโดนหมาป่าหลอกให้เปิดประตูและอาจถูกหมาป่าจับกินจนหมด แม่แพะใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่แม่แพะไม่ยอมหมดหวัง  นางจึงเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้านเผื่อว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่นางคิด

เมื่อแม่แพะเดินมาถึงนาฬิกาที่ลูกแพะตัวสุดท้องซ่อนอยู่ แม่แพะก็ได้ยินเสียงพูดอันสั่นเครือของลูกแพะดังขึ้นว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า หนูซ่อนอยู่ในนาฬิกานี่จ้ะ” 

เมื่อแม่แพะอุ้มลูกแพะออกจากนาฬิกา  ลูกแพะก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่แพะฟัง  เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้ว แม่แพะซึ่งรักลูก ๆ มาก จึงบอกตัวเองว่า  “ในโลกนิทาน อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ”  ดังนั้น แม่แพะจึงฮึดสู้ แล้วเดินออกไปนอกบ้าน เพื่อตามหาหมาป่าที่บังอาจมากินลูก ๆ ของนาง

เมื่อแม่แพะกับลูกน้อยตามหมาป่ามาถึงทุ่งหญ้า  พวกมันก็เห็นหมาป่านอนกรนอยู่  แม่แพะค่อย ๆ ย่องไปดูที่ท้องของหมาป่าที่บวมเป่งแทบปริเพราะอุตริกินลูกแพะเข้าไปถึง 6 ตัว แม่แพะจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์  นางเห็นว่าท้องของหมาป่ามีอะไรกระดุกกระดิกอยู่ข้างใน  และแล้ว  แม่แพะก็อุทานออกมาว่า  “อุเหม่ ลูก ๆ ของฉันที่ถูกหมาป่ากินเข้าไป ยังคงมีชีวิตอยู่นี่นา  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ” 

เมื่อเห็นดังนั้น  แม่แพะจึงใช้กรรไกรจัดแจงผ่าท้องหมาป่า ซึ่งหลังจากคุณแม่ผ่าได้ไม่ทันไร  ลูกแพะก็กระโจนออกมาจากท้องหมาป่าทีละตัว ทีละตัว ลูกแพะตัวสุดท้องจึงรำพึงว่า “อุเหม่  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”

หลังจากที่ลูกแพะทั้ง 6 ตัวกระโจนออกมาจากท้องของหมาป่าจนครบ โดยที่ทุกตัว ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  เพราะหมาป่ากลืนลูกแพะข้าไปทั้งตัวโดยไม่ได้เคี้ยว  แม่แพะและลูกแพะทุกตัวต่างดีใจที่ได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง  แต่ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะจบลง  แม่แพะบอกกับลูกแพะว่า  “บางที หมาป่าอาจไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ในโลกนิทาน ดังนั้น เพื่อหลอกหมาป่าให้มันไม่สงสัย เราจะต้องหาหินมาใส่เข้าไปท้องหมาป่าก่อนที่มันจะตื่น” 

เมื่อแม่แพะพูดจบ ลูกแพะก็แยกย้ายกันไปหาก้อนหินมาใส่ในท้องของหมาป่า  เมื่อลูกแพะยัดก้อนหินไปจนเต็มท้อง  แม่แพะก็รีบเย็บท้องหมาป่าด้วยการสอยซ่อนด้ายจนแทบไม่เหลือร่องรอยให้หมาป่าสังเกตเห็น จากนั้น  แม่แพะก็พาลูกแพะทั้งเจ็ดกลับบ้านทันที

เมื่อหมาป่าตื่นนอน  มันก็กระหายน้ำ  มันจึงเดินไปที่บ่อน้ำ พลางรำพึงว่า “การกินลูกแพะนี่มันทำให้อิ่มนานดีจัง” 

แต่เมื่อหมาป่าเดินไปถึงบ่อน้ำแล้วก้มลงดื่มน้ำ  ก้อนหินในท้องหมาป่าก็ถ่วงให้หมาป่าเสียหลัก จากนั้น มันก็ตกลงไปในบ่อน้ำ และไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวของมันอีก

ลูกแพะทุกตัวที่มองดูเหตุการณ์อยู่จึงรำพึงออกมาพร้อม ๆ กันว่า “อุเหม่  นี่มันคือความมหัศจรรย์ของโลกนิทานชัด ๆ”

ในที่สุด “นิทาน” เรื่อง “หมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว” ก็จบลงด้วยดี

“ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้”

  • อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า
  • ฟังคำเตือนของผู้ใหญ่
  • ความกล้าหาญและไหวพริบช่วยให้เอาตัวรอดได้
  • การช่วยเหลือกันในครอบครัวคือพลังที่สำคัญ

#นิทานกริมส์

…………………………..

ลูกแพะเจ็ดตัวเล่นกันในบ้าน หมาป่าแอบมองผ่านหน้าต่าง ภาพในนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแพะทั้งเจ็ดตัว