“ฟาวสต์ : ชายผู้ทำสัญญากับปีศาจ” เป็นนิทานคลาสสิกจากยุโรปที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวรรณกรรม ศิลปะ และปรัชญาตะวันตก เรื่องนี้ปรากฏครั้งแรกในหนังสือชื่อ Historia von D. Johann Fausten หรือที่รู้จักกันในชื่อ Faustbuch (1587) ซึ่งตีพิมพ์ในเยอรมนีโดยผู้เรียบเรียงนิรนาม และต่อมาได้รับการแปลและดัดแปลงโดยนักเขียนระดับโลก เช่น Christopher Marlowe และ Johann Wolfgang von Goethe นิทานเรื่องนี้เล่าถึงนักปราชญ์ผู้แสวงหาความรู้เหนือธรรมชาติจนยอมแลกวิญญาณกับปีศาจ เป็นเรื่องที่ทั้งสะเทือนใจและชวนครุ่นคิด ถูกเล่าขานและตีความใหม่ในหลากหลายยุคสมัย
นักวิจารณ์และนักวิชาการมองว่า “ฟาวสต์” เป็นนิทานปรัชญาที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างปัญญาและศีลธรรม หลายคนตีความว่าเรื่องนี้เป็นคำเตือนต่อการหลงใหลในอำนาจและความรู้ที่ปราศจากคุณธรรม ในขณะที่บางกลุ่มมองว่าเป็นบทสนทนาเชิงศาสนาเกี่ยวกับการไถ่บาปและเสรีภาพในการเลือกของมนุษย์ ไม่ว่าจะมองจากมุมใด นิทานเรื่องนี้ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ทรงพลังที่สุดในวรรณกรรมยุโรป และเป็นต้นแบบของ “นิทานสอนใจ” ที่มีความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณ
เวอร์ชั่นที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ “นิทานนำบุญ” นี้ ได้รับการเรียบเรียงใหม่โดยยึดตามโครงเรื่องดั้งเดิมจาก Faustbuch (1587) อย่างเคร่งครัด โดยปรับภาษาให้ร่วมสมัยและเหมาะสมกับผู้อ่านทุกวัย เราเน้นการรักษาเจตนารมณ์ของต้นฉบับ ทั้งในด้านศีลธรรม ความรู้สึก และโครงสร้างเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับแก่นแท้ของเรื่องอย่างแท้จริง สำหรับท่านที่สนใจอ่านฉบับดั้งเดิม สามารถค้นหาได้จากแหล่งออนไลน์ เช่นโครงการ Gutenberg หรือหอสมุดดิจิทัลของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยใช้คำค้นว่า “Faustbuch 1587 full text” หรือ “Historia von D. Johann Fausten”
มาอ่านนิทานเรื่อง “ฟาวสต์ : ชายผู้ทำสัญญากับปีศาจ” ด้วยกันนะครับ
ในแคว้นเยอรมันอันเงียบสงบ มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อ “ฟาวสต์” ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รู้แห่งยุค เขาเชี่ยวชาญทั้งปรัชญา เทววิทยา การแพทย์ และกฎหมาย ไม่มีศาสตร์ใดที่เขาไม่เข้าใจ แต่แม้จะมีความรู้มากมาย เขากลับรู้สึกว่างเปล่าในจิตใจ เพราะสิ่งที่เขาแสวงหาไม่ใช่เพียงความรู้ แต่คืออำนาจเหนือธรรมชาติ และความลับของจักรวาลที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึง
แม้ฟาวสต์จะได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความกระหายที่ไม่อาจดับได้ เขาเริ่มเบื่อหน่ายกับศาสตร์ของมนุษย์ที่วนเวียนอยู่กับความรู้ซ้ำซากและข้อจำกัด เขาเชื่อว่ามีพลังบางอย่างที่เหนือกว่าตำรา พลังที่สามารถเปิดเผยความลับของธรรมชาติและจักรวาล เขาจึงหันไปศึกษาวิชาเวทมนตร์และการเรียกวิญญาณ ซึ่งเป็นศาสตร์ต้องห้ามที่นักบวชและผู้มีศีลธรรมต่างพากันสาปแช่ง
เมื่อฟาวสต์หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ต้องห้าม เขาเริ่มค้นหาวิธีเรียกวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เหนือธรรมชาติ วันหนึ่ง เขาพบตำราเก่าแก่ที่กล่าวถึง “วิธีเรียกปีศาจรับใช้” โดยต้อง “เขียนวงไสยเวทย์” ที่พื้นตามแบบแผนโบราณ และท่องถ้อยคำเฉพาะในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง ฟาวสต์เชื่อมั่นในสิ่งที่อ่าน เขาเตรียมทุกอย่างตามตำรา เทียนสี่เล่ม สมุดหนังสัตว์ และขนนกสำหรับเซ็นสัญญา
ในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง ฟาวสต์เขียนวงไสยเวทย์ลงบนพื้นหินของห้องใต้ดินตามแบบแผนในตำรา เขาจุดเทียนสี่เล่มตามทิศ และท่องถ้อยคำเรียกวิญญาณด้วยเสียงหนักแน่น เมื่อถ้อยคำสุดท้ายหลุดจากปาก วงไสยเวทย์ก็เริ่มเรืองแสงอ่อน ๆ ลมเย็นพัดผ่านทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องลม และเงาดำก็ปรากฏขึ้นกลางวงเวทมนตร์อย่างช้า ๆ ก่อนที่จะกลายเป็นร่างของปีศาจตนหนึ่ง ตัวสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ดวงตาแดงเรืองแสง และมีรอยยิ้มที่เย็นชา
ปีศาจที่ปรากฏตัวในวงไสยเวทย์แนะนำตนว่ามันชื่อ “เมฟิสโตเฟลิส” ฟาวสต์ถามมันว่า หากเขายอมมอบวิญญาณให้ปีศาจ เขาจะได้รับสิ่งใดตอบแทน เมฟิสโตเฟลิสตอบว่า เขาจะได้รับความรู้เหนือมนุษย์ ได้รับอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ และได้สัมผัสความสุขในโลกนี้เป็นเวลา 24 ปี แต่หลังจากนั้น วิญญาณของเขาจะเป็นของนรกตลอดกาล ฟาวสต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ายอมแลก”
เมื่อฟาวสต์ตกลงรับข้อเสนอ เมฟิสโตเฟลิสได้ยื่นแผ่นสัญญาให้เขา เป็นหนังสัตว์เก่าแก่ที่จารึกถ้อยคำโบราณไว้ด้วยหมึกสีดำ ฟาวสต์ต้องเซ็นชื่อด้วยเลือดของตนเองตามธรรมเนียมของนรก เขาจึงกรีดนิ้วด้วยมีดเล่มเล็ก หยดเลือดลงบนปลายขนนก และเขียนชื่อของตนลงบนสัญญาอย่างมั่นคง เมื่อเขาเซ็นเสร็จ เมฟิสโตเฟลิสกล่าวว่า “จากนี้ไป ข้าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้าในโลกนี้…แต่เมื่อครบกำหนด 24 ปี วิญญาณของเจ้าจะเป็นของข้าโดยไม่มีข้อแม้”
เมื่อสัญญาเริ่มมีผล เมฟิสโตเฟลิสกลายเป็นผู้ติดตามของฟาวสต์ในทุกการเดินทาง มันพาฟาวสต์ไปยังเมืองต่าง ๆ ทั้งใหญ่และเล็ก ฟาวสต์ใช้เวทมนตร์เพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้าผู้คน เช่น การเรียกไฟจากอากาศ เปลี่ยนโลหะเป็นทองคำ เสกอาหารและเครื่องดื่มขึ้นจากความว่างเปล่า ผู้คนต่างตกตะลึงและยกย่องเขาว่าเป็นผู้วิเศษ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังนั้นคือสัญญากับนรก
เมื่อฟาวสต์ได้รับอำนาจจากสัญญา เขาเริ่มใช้เวทมนตร์เพื่อสนองความปรารถนาของตนโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม เขาเสกภาพลวงตาเพื่อหลอกลวงหญิงสาวให้หลงใหลในรูปลักษณ์และวาจาอ่อนหวานของเขา หลายคนถูกล่อลวงด้วยความมั่งคั่งและความรู้ที่เขาแสดงออก แต่เมื่อความจริงปรากฏ พวกเธอก็ถูกทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย ฟาวสต์ไม่รู้สึกผิด เขาเห็นทุกสิ่งเป็นเพียงเครื่องมือในการเติมเต็มความอยากของตน
ชื่อเสียงของฟาวสต์แพร่ไปถึงหูของเจ้านายและขุนนางในหลายแคว้น เขาได้รับเชิญเข้าสู่ราชสำนักเพื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อหน้ากษัตริย์และเหล่าขุนนางผู้ทรงอำนาจ เมฟิสโตเฟลิสช่วยเขาเสกภาพลวงตาอันน่าตื่นตะลึง เช่น ปราสาทลอยฟ้า เหล่าสตรีงามจากยุคโบราณ และสัตว์ประหลาดในตำนาน ผู้ชมต่างพากันปรบมือและถวายเกียรติแก่เขาอย่างสูงสุด ฟาวสต์ยิ้มรับคำสรรเสริญ แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่า เพราะทุกสิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นของจริง
ฟาวสต์มิได้พึงพอใจเพียงการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่อผู้คน เขาเริ่มใช้เวทมนตร์เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเข้าถึง ทั้งเมืองลับในหุบเขา ปราสาทโบราณในตำนาน และแม้แต่ภาพลวงตาของอดีตกาล เขาเสกตนเองให้ปรากฏตัวในยุคของเฮเลนแห่งทรอย เพื่อชื่นชมความงามที่เล่าขานกันมานาน เมฟิสโตเฟลิสเป็นผู้เปิดประตูแห่งกาลเวลาให้เขา แต่ทุกการเดินทางกลับทำให้ฟาวสต์ยิ่งห่างไกลจากความจริง และใกล้ชิดกับความหลงใหลที่ไม่มีวันเติมเต็ม
เมื่อเวลาผ่านไป ฟาวสต์ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ เขาเสพสุขจากทรัพย์สมบัติที่เสกขึ้นจากเวทมนตร์ ดื่มกินอย่างไม่รู้จักพอ และล่อลวงผู้คนด้วยภาพลวงตา เขาได้รับการยกย่องจากผู้มีอำนาจ ได้รับของขวัญและตำแหน่งในราชสำนัก แต่ในยามค่ำคืน เมื่ออยู่เพียงลำพัง เขากลับรู้สึกว่างเปล่าและไร้ความหมาย เพราะทุกสิ่งที่เขาสร้างขึ้นไม่มีราก ไม่มีความจริง และไม่มีความรักที่แท้จริง
เมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสอง ฟาวสต์เริ่มรู้สึกถึงเงาแห่งคำสัญญาที่ตามหลอกหลอน เมฟิสโตเฟลิสไม่กล่าวอะไรตรง ๆ แต่เริ่มปรากฏตัวบ่อยขึ้นในยามค่ำคืน บางครั้งมันยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง บางครั้งเพียงส่งสายตาเตือน ฟาวสต์เริ่มฝันร้าย เห็นตนเองถูกลากลงสู่เหวลึก เห็นเปลวไฟล้อมรอบ และเสียงหัวเราะของปีศาจดังก้องในหัว เขาตื่นขึ้นด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ แต่ไม่กล้าบอกใครถึงสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา
เมื่อเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสาม ฟาวสต์เริ่มหวาดกลัวต่อสิ่งที่เขาเคยยอมแลก เขาเปิดตำราเก่า พยายามค้นหาวิธีลบล้างสัญญา หรือหาทางไถ่บาปด้วยการทำบุญและสวดมนต์ แต่ทุกถ้อยคำในสัญญานั้นชัดเจน ไม่มีช่องว่าง ไม่มีเงื่อนไขให้หลบหนี เมฟิสโตเฟลิสเตือนเขาว่า “เจ้าคือผู้เลือกเอง ไม่มีใครบังคับ” ฟาวสต์เริ่มหลีกเลี่ยงเวทมนตร์ ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อีก และใช้ชีวิตอย่างเงียบงัน แต่เงาแห่งคำสัญญายังคงตามหลอกหลอนเขาไม่หยุด
เมื่อเข้าสู่ปีสุดท้ายของสัญญา ฟาวสต์เริ่มถอนตัวจากสังคม เขาไม่เดินทาง ไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อีก และใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องหนังสือเก่าที่เคยเป็นที่พักพิงของความรู้ เขาเปิดพระคัมภีร์ พยายามสวดมนต์และขออภัยจากพระเจ้า แต่ทุกครั้งที่เขาเอ่ยคำสวด เมฟิสโตเฟลิสจะปรากฏขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเย็นชา “สายไปแล้ว ฟาวสต์” มันกล่าว “เจ้าคือผู้เลือกข้า ไม่ใช่พระเจ้า” ฟาวสต์หลับตาแน่น เขารู้ดีว่าไม่มีทางหนีจากสิ่งที่เขาเคยยอมแลก
คืนสุดท้ายมาถึงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ฟาวสต์รู้ดีว่าเวลาของเขาหมดลงแล้ว เขาจุดเทียนสี่เล่มในห้องหนังสือ นั่งลงกลางวงไสยเวทย์ที่เคยใช้เรียกเมฟิสโตเฟลิส และเฝ้ารอด้วยใจที่หนักอึ้ง เขาไม่ได้สวดมนต์ ไม่ร้องขอ ไม่ต่อรองอีกต่อไป เพียงนั่งเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดที่ค่อย ๆ มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ เสียงลมพัดแรงทั้ง ๆ ที่ไม่มีช่องลม และกลิ่นกำมะถันเริ่มลอยคลุ้งในอากาศ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้รับสัญญากำลังมา
เมื่อเที่ยงคืนมาถึง เมฟิสโตเฟลิสปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ในร่างของผู้รับใช้ แต่ในรูปลักษณ์ที่แท้จริงของปีศาจแห่งนรก มันไม่ได้พูดคำใด เพียงยื่นมือออกไปหา ฟาวสต์ที่นั่งอยู่กลางวงไสยเวทย์ ร่างของฟาวสต์เริ่มสั่น เสียงฟ้าร้องกึกก้องทั่วฟ้า ประตูหน้าต่างเปิดออกเอง ลมแรงพัดกระหน่ำ เทียนทั้งสี่เล่มดับลงพร้อมกัน เงาดำล้อมรอบตัวเขาเหมือนเถาวัลย์ที่ไม่มีวันปล่อย
เสียงกรีดร้องของฟาวสต์ดังก้องไปทั่วห้อง เสียงฟ้าร้องและลมกรรโชกแรงทำให้บ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน ผู้คนในละแวกนั้นต่างตื่นขึ้นด้วยความหวาดกลัว แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดู เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อประตูถูกเปิดออก ทุกสิ่งในห้องหนังสือถูกรื้อกระจัดกระจาย รอยเลือดเปื้อนพื้นหิน และไม่มีร่องรอยของฟาวสต์หลงเหลืออยู่เลย มีเพียงแผ่นสัญญาที่ถูกฉีกครึ่ง และกลิ่นกำมะถันที่ยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ข่าวการหายตัวไปของฟาวสต์แพร่กระจายไปทั่วเมือง ผู้คนต่างพูดถึงเสียงกรีดร้องในคืนสุดท้าย รอยเลือด และกลิ่นกำมะถันที่ยังไม่จางหาย หลายคนเชื่อว่าเขาถูกปีศาจพรากไปตามสัญญาที่เขาเคยเซ็นไว้ เรื่องราวของฟาวสต์กลายเป็นคำเตือนที่เล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านและนักปราชญ์ ว่าอย่าได้หลงใหลในอำนาจหรือความรู้ที่ปราศจากศีลธรรม เพราะแม้จะได้ทุกสิ่งในโลกนี้ แต่หากต้องแลกด้วยวิญญาณ สิ่งนั้นอาจไม่คุ้มค่าเลย
เรื่องราวของฟาวสต์ถูกบันทึกไว้ในตำราและคำบอกเล่าของผู้รู้ เพื่อเตือนใจผู้ที่แสวงหาความรู้และอำนาจโดยไม่ตั้งอยู่บนคุณธรรม ว่าการแลกสิ่งสูงส่งอย่างวิญญาณเพื่อความสุขชั่วคราวนั้น ย่อมนำมาซึ่งความพินาศในที่สุด ฟาวสต์มิใช่เพียงนักปราชญ์ผู้หลงผิด แต่เป็นภาพสะท้อนของมนุษย์ที่ลืมตน ลืมพระเจ้า และลืมความหมายแท้จริงของชีวิต เรื่องนี้จึงมิใช่เพียงนิทาน หากเป็นคำเตือนที่ก้องอยู่ในกาลเวลา
ฟาวสต์คือภาพแทนของมนุษย์ผู้แสวงหาความรู้และอำนาจโดยปราศจากการยึดมั่นในคุณธรรม เขาเลือกเส้นทางที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน เรื่องราวของเขาจึงมิใช่เพียงนิทาน หากเป็นคำเตือนที่ฝากไว้ให้คนรุ่นหลัง ว่าแม้มนุษย์จะมีปัญญาและความสามารถเพียงใด หากขาดความสำนึกในสิ่งที่ดีงาม ก็อาจกลายเป็นเหยื่อของความหลงใหล และถูกกลืนหายไปในเงามืดของสิ่งที่ตนเองเลือก


